บท 10
นั่นจะเป็นการหลอกลวงแบบฉลาดได้ไหม?
มนุษย์ได้เห็นสิ่งแปลกประหลาดที่สุดต่าง ๆ เกิดขึ้นเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว. หิน แก้วน้ำและอื่น ๆ อีกในทำนองนั้นลอยอยู่ในอากาศ ประหนึ่งว่าถูกเคลื่อนย้ายด้วยมืออันไม่ประจักษ์แก่ตา. มีการได้ยินเสียงพูด เสียงเคาะและเสียงอื่น ๆ อีก ซึ่งถึงแม้ไม่มีแหล่งกำเนิดหรือสาเหตุของสิ่งเหล่านั้นปรากฏแก่ตาก็ตาม. มีร่างมาปรากฏให้เห็นเป็นเงาราง ๆ และครั้นแล้วก็หายวับไปเสียทันที. บางครั้งบางคราวสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นนั้นมีพยานหลักฐานอันหนักแน่นจนถึงขนาดที่ไม่มีเหตุผลที่จะต้องสงสัยเสียเลย.
คนส่วนมากถือเสียว่าปรากฏการณ์อย่างนี้เป็นหลักฐานแสดงว่า ความตายหาได้ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่พร้อมด้วยความรู้สึกสิ้นสุดลงไม่. บางคนเชื่อว่าวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปนั้นพยายามโดยไม่ทางใดก็ทางหนึ่งที่จะได้รับการพิจารณาเอาใจใส่จากผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่และที่จะได้มีการติดต่อกับเขา.
แต่บางคนอาจถามก็ได้ว่า: ถ้าพวกเหล่านี้คือผู้ซึ่งเป็นที่รัก ที่สิ้นชีวิตไปนั้นจริง ๆ ผู้ซึ่งพยายามจะทำการติดต่อกับผู้มีชีวิตอยู่เช่นนั้นแล้ว เหตุไฉนปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของเขาโดยปกตินั้นจึงทำให้ผู้คอยสังเกตดูรู้สึกตกใจกลัว? แท้จริงอะไรที่อยู่เบื้องหลังสิ่งต่าง ๆ เช่นนั้น?
พระคัมภีร์ไบเบิ้ลเผยให้ทราบอย่างชัดเจนว่า ความตายทำให้ชีวิตความเป็นอยู่พร้อมด้วยความรู้สึกทั้งหมดสิ้นสุดลง. (ท่านผู้ประกาศ 9:5) ดังนั้น แล้วก็คงจำต้องได้มีอำนาจอื่น ๆ ซึ่งเป็นต้นเหตุของเรื่องราวต่าง ๆ ที่มักเชื่อกันว่าเป็นการกระทำของวิญญาณผู้ที่ตายไปนั้น. อะไรเล่าที่อาจจะเป็นอำนาจเหล่านั้น? อำนาจเหล่านั้นจะมีเชาว์ฉลาดไหวพริบได้หรือ? หากเป็นเช่นนั้นแล้ว จะเป็นได้หรือว่าอำนาจเหล่านั้นมีความผิดฐานกระทำการหลอกลวงมนุษย์ชาติอย่างที่ฉลาด?
แน่นอนเราไม่ปรารถนาที่จะถูกหลอกลวง. การถูกหลอกลวงย่อมหมายความว่าเราเป็นฝ่ายเสียหายแม้กระทั่งตกเข้าสู่สภาพอันเป็นภัยอย่างมหันต์ทีเดียว. ด้วยเหตุนั้นเราจึงมีเหตุผลที่ดีที่จะพึงพิจารณาดูพยานหลักฐานเท่าที่จะหาได้ แล้วคิดหาเหตุผลในเรื่องพยานหลักฐานนั้น ๆ เพื่อจะให้เป็นที่แน่ใจว่าเรามิได้ตกเป็นเหยื่อต่อการหลอกลวงแบบที่ฉลาดใด ๆ. เราควรเต็มใจที่จะดำเนินความย้อนหลังไปไกลเท่าที่จะเป็นไปได้ในข้อที่ว่าด้วยประวัติศาสตร์ของมนุษย์โดยออกความพยายามที่จะให้ได้มาซึ่งความจริงเกี่ยวกับเรื่องนั้น.
พระคัมภีร์ไบเบิ้ลจะช่วยเราให้สามารถกระทำเช่นนั้นได้. พระคัมภีร์พาเราย้อนหลังไปจนกระทั่งถึงสมัยเมื่อมนุษย์คู่แรกมีชีวิตเป็นอยู่. ในพระธรรมเยเนซิศบทสาม พระคัมภีร์บอกเล่าถึงการสนทนาซึ่งเมื่อฟังดูแล้ว หลายคนในทุกวันนี้อาจจะรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อ. กระนั้นก็ดี นั่นหาใช่เรื่องที่ประดิษฐ์ขึ้นไม่. การสนทนากัน ณ ที่นี้จัดร่องรอยให้ไว้ในเรื่องที่ว่าผู้หลอกลวงที่ฉลาดกำลังปฏิบัติกิจอยู่ในธุระการงานขอมนุษย์หรือไม่.
ตอนเริ่มต้นแห่งการหลอกลวง
วันหนึ่งขณะที่มิได้อยู่ด้วยกันกับสามีของเธอ ฮาวาผู้หญิงคนแรกนั้นได้ยินเสียงพูด. โดยอาศัยสิ่งที่แลเห็นได้นั้นแล้ว เสียงพูดนั้น ๆ เป็นเสียงพูดของงู. พระคัมภีร์รายงานเรื่องการสนทนานั้นมีดังนี้:
“ปรากฏว่างูเป็นสัตว์ที่ฉลาดที่สุดในบรรดาสัตว์ป่าทั้งปวง ที่พระยะโฮวาได้ทรงสร้างไว้นั้น. ดังนั้นจึงเริ่มพูดกับหญิงนั้นว่า: ‘จริง ๆ หรือที่พระเจ้าตรัสห้ามมิให้กินผลจากต้นไม้ทุกต้นในสวน?’ หญิงนั้นจึงตอบงูว่า: ‘ผลแห่งต้นไม้ในสวนเรากินได้ เว้นแต่ผลแห่งต้นที่อยู่กลางสวนนั้น พระเจ้าทรงตรัสว่า “เจ้าอย่ากิน เจ้าอย่าถูกต้องเลยเพื่อเจ้าจะไม่ตาย.”’ งูจึงบอกหญิงนั้นว่า: ‘เจ้าจะไม่ตายจริงดอก. เพราะพระเจ้าทรงทราบว่า เจ้ากินผลไม้นั้นเข้าไปวันใด ตาของเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วเจ้าก็จะเป็นเหมือนพระเจ้า จะรู้จักความดีและความชั่ว.’ เนื่องจากเหตุนั้น หญิงนั้นจึงแลเห็นว่า ต้นไม้นั้นเหมาะสำหรับเป็นอาหารและทั้งเป็นสิ่งที่น่าดู จริงทีเดียว เป็นต้นไม้ที่พึงปรารถนา.”—เยเนซิศ 3:1-6.
ข่าวที่มีส่งผ่านมาโดยงูนั้นเป็นคำพูดมุสา. เป็นคำพูดมุสาแรกในประวัติศาสตร์. ฉะนั้นแหล่งกำเนิดของคำพูดมุสาจึงจำต้องเป็นผู้ริเริ่มหรือพ่อของคำพูดมุสา. ในเมื่อคำพูดมุสาไปสู่ผลอันได้แก่ความตาย ผู้พูดมุสานั้นก็เป็นผู้ฆ่าคนด้วยดุจกัน. ปรากฏชัดว่าผู้พูดมุสานี้มิใช่งูตามตัวอักษร อันได้แก่สัตว์ซึ่งไม่มีความสามารถในการพูด. หากแต่จะต้องได้มีใครคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังงูนั้น ใครคนหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนนักแปลงเสียงที่ทำให้ดูเหมือนว่างูกำลังพูดอยู่. นั่นก็ไม่น่าจะทำให้ดูราวกับเป็นสิ่งแปลกประหลาดแก่พวกเราภายในศตวรรษที่ยี่สิบนี้ในเมื่อเราสามารถที่จะทำให้แผ่นสั่นในลำโพง เครื่องวิทยุหรือโทรทัศน์สะเทือนอย่างที่จะก่อให้เกิดดุจเสียงพูดของคนขึ้น. แต่ใครเป็นผู้พูดที่อยู่เบื้องหลังงู?
ตัวหลอกลวงที่ไม่ปรากฏแก่ตา
พระเยซูคริสต์ผู้ซึ่งเสด็จมาจากสวรรค์และทรงทราบสิ่งต่าง ๆ ที่ดำเนินไปในแดนอันไม่เป็นที่ประจักษ์แก่ตานั้นได้ทรงพิสูจน์หลักฐานตัวผู้นั้น. (โยฮัน 3:13; 8:58) ขณะที่พวกผู้นำฝ่ายศาสนาบางคนพยายามแสวงหาช่องที่จะฆ่าพระองค์นั้น พระเยซูตรัสแก่พวกเขาดังนี้: “ท่านทั้งหลายมาจากพญามารพ่อของท่าน และท่านประสงค์จะกระทำตามความปรารถนาแห่งพ่อของท่าน ผู้นั้นเป็นผู้ฆ่าคนมาแต่แรกเริ่มเดิมที และมันมิได้ตั้งอยู่ในความจริง เพราะความจริงมิได้อยู่ในมัน เมื่อมันพูดมุสา มันก็พูดตามความประสงค์ของมันเอง เพราะว่ามันเป็นช่างพูดมุสา และเป็นพ่อของการมุสานั้น.”—โยฮัน 8:44.
การเป็นผู้พูดมุสาและผู้ฆ่าคนย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่าพญามารนั้นคือตัวที่มีเชาว์ฉลาดไหวพริบ. ทั้งนี้จึงได้ก่อให้เกิดปัญหาขึ้นว่า พญามารมีขึ้นมาโดยวิธีใด?
พระคัมภีร์เผยให้ทราบว่าชนจำพวกกายวิญญาณทั้งหลาย ซึ่งไม่เป็นที่ประจักษ์แก่ตาต่างก็ได้รับความพอใจเพลิดเพลินจากชีวิต แม้กระทั่งก่อนที่มีแผ่นดินโลกเสียด้วยซ้ำ. โยบ 38:7 พูดถึงชนจำพวกกายวิญญาณเหล่านี้ว่า: “บุตรทั้งหลายของพระเจ้า” ขณะที่ “โห่ร้องด้วยความยินดี” เมื่อแผ่นดินโลกถูกสร้างขึ้น. ในฐานะที่เป็น “บุตรทั้งหลายของพระเจ้า” พวกเขาจึงได้รับชีวิตจากพระองค์.—บทเพลงสรรเสริญ 90:2.
ดังนี้ผู้ที่หลอกลวงฮาวาโดยทางงูนั้นจึงจำต้องได้เป็นผู้หนึ่งในบรรดาบุตรจำพวกกายวิญญาณเหล่านี้คือผู้หนึ่งในบรรดาผู้มีเชาว์ฉลาดไหวพริบทั้งหลายของพระเจ้า. ในการแย้งคำเตือนของพระเจ้าเกี่ยวด้วยต้นไม้เกี่ยวกับความรู้ในเรื่องความดีและชั่วนั้น ผู้นี้จึงเท่ากับหมิ่นประมาทพระผู้สร้างของตน คือทำให้ดูเหมือนว่าพระเจ้าเป็นผู้ตรัสมุสา. เพราะฉะนั้นจึงเป็นการถูกต้องสมควรแล้วที่มันถูกเรียกเป็น “พญามาร” คำนั้นในภาษากรีก ได-อาโบ-ล็อส หมายความว่า “ผู้กล่าวหาที่ทุจริต ผู้กล่าวบิดเบือนใส่ร้าย ผู้กล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาท.” โดยแนวทางแห่งการกระทำของมันนั่นเอง มันได้ตั้งตัวขึ้นต่อต้านพระเจ้า และด้วยวิธีนั้นแหล่ะมันทำให้ตัวเองได้ชื่อว่า ซาตาน (ฮีบรู ซาตาน กรีก ซาตานัส) ซึ่งหายความว่า “ผู้ต่อต้าน.”
ใคร ๆ จะตำหนิพระยะโฮวาพระเจ้าไม่ได้ ในสิ่งที่ผู้นี้ได้กระทำลงไป. พระคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวถึงพระเจ้าว่า “กิจการของพระองค์ดีรอบคอบเพราะทางทั้งปวงของพระองค์ยุติธรรม พระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความสัตย์จริง เป็นองค์ที่ชอบธรรมและซื่อตรงในพระองค์นั้นความอยุติธรรมไม่มีเลย.” (พระบัญญัติ 32:4) พระองค์ได้ทรงสร้างบุตรทั้งหลายของพระองค์ให้มีเชาวน์ฉลาดไหวพริบ คือจำพวกกายวิญญาณและมนุษย์ด้วย พร้อมทั้งให้มีความสามารถในการใช้อิสรภาพทางใจ. พระองค์มิได้บังคับให้เขาปรนนิบัติรับใช้พระองค์ แต่ทรงปรารถนาให้เขากระทำเช่นนั้น ด้วยความสมัครใจอันเนื่องด้วยความรัก. พระองค์ทรงจัดให้เขามีความสามารถในการพัฒนาความรักต่อพระองค์ให้มากยิ่งขึ้นในฐานะเป็นพระเจ้า และพระบิดาของเขา.
อย่างไรก็ดี เจ้าตัวผู้มีกายวิญญาณผู้ที่ทำตัวเป็นผู้ต่อต้านและผู้หมิ่นประมาทพระเจ้านั้น หาได้สมัครเลือกเอาที่จะปรับปรุงความรักของตนต่อพระผู้สร้างให้ดีพร้อมทุกประการไม่. เขายอมให้ความมักใหญ่ใฝ่สูงอันเห็นแก่ตัวงอกงามขึ้นในหัวใจของเขา. (เทียบดู 1 ติโมเธียว 3:6) ความมักใหญ่ใฝ่สูงนี้สะท้อนให้เห็นได้ด้วยวิธีการปฏิบัติตัวของ “กษัตริย์เมืองตุโร” ซึ่งได้มีการกล่าวถึงในบทเพลงพรรณนาความโศกเศร้าไว้อาลัยในคำพยากรณ์ของยะเอศเคลนั้น. เนื้อเพลงโศกนั้นได้มีกล่าวถึงกษัตริย์เมืองตุโร ผู้ซึ่งกลับกลายเป็นผู้ทรยศต่ออาณาจักรยิศราเอลดังนี้:
“ท่านเป็นแบบอย่างที่มีตราผนึกแล้ว บริบูรณ์ด้วยสติปัญญาด้วยความงดงามอันเลอเลิศ. ท่านได้อยู่ในเอเดนซึ่งเป็นสวนของพระเจ้า. . . . ท่านเป็นคะรูบผู้ถูกเจิมที่ดูแลแผ่คลุม และเราได้ตั้งท่านไว้. ท่านได้อยู่บนภูเขาอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า. และท่านได้เดินไปมาในท่ามกลางเพชรพลอยอันมีประกายเหมือนไฟ. ท่านปราศจากข้อตำหนิในวิถีทางทั้งหลายของท่านตั้งแต่วันซึ่งท่านถูกสร้างขึ้นในตัวท่าน. . . . ใจของท่านหยิ่งยโสเนื่องจากความงดงามของท่าน. ท่านทำให้สติปัญญาของท่านถึงซึ่งความหายนะ เพราะเหตุความงดงามอันเปล่งปลั่งสดใสของท่าน.”—ยะเอศเคล 28:12-17.
บุตรฝ่ายกายวิญญาณของพระเจ้าผู้ที่ก่อการเป็นกบฏนั้น นึกถึงตำแหน่งอันเลิศลอยของตัวเองมากเกินไปในทำนองเดียวกันกับ “กษัตริย์เมืองตุโร” ผู้ทรยศนั้น. ความหยิ่งทะนงตนเป็นสาเหตุทำให้เขาปรารถนาที่จะมีอำนาจควบคุมมนุษย์ชาติ และเขาจึงพยายามที่จะให้วัตถุประสงค์ของตนบรรลุผลด้วยการหลอกลวง. จนกระทั่งบัดนี้มนุษย์ชาติส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นเหยื่อของการหลอกลวงนั้นอยู่. โดยการไม่ยอมที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าดังที่มีชี้แจงไว้ในพระคัมภีร์พระวจนะของพระองค์เช่นนั้น แท้จริงแล้ว เขาก็จัดเอาตัวเองเข้ามาเป็นพวกเดียวกันกับซาตานนั้นเอง. ในการกระทำเช่นนั้น ก็เท่ากับเขายอมรับเอาคำมุสาอย่างเดียวกันกับที่ฮาวายอมรับเอานั้น กล่าวคือ ในข้อที่ว่าการสมัครใจเลือกปฏิบัติตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยของพระเจ้านั้นจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่แท้จริงได้.
ในเมื่อพระวจนะของพระเจ้าตำหนิคัดค้านการติดต่อกับผู้ตาย พวกเหล่านั้นผู้ซึ่งพยายามพูดกับผู้ที่ตายไปแล้ว จึงเท่ากับเอาตัวเข้าอยู่ฝ่ายซาตาน. ขณะที่เขาอาจคิดว่าตนพูดกับผู้ตายนั้น เขาก็ตกเป็นเหยื่อของอุบายหลอกลวงเสียแล้ว. ซาตานทำให้กรณีเช่นนั้นปรากฏแก่ฮาวาว่า งูกำลังพูดอยู่ฉันใด มันได้ทำให้เห็นอย่างง่ายดายว่าผู้ตายก็กำลังพูดอยู่ โดยคนทรงผีฉันนั้น. ทั้งนี้จะหมายความว่าซาตานต้องรับผิดชอบโดยตรงในเรื่องปรากฏการณ์แปลกประหลาดทั้งหมดที่มักมีการอ้างว่าเป็นการกระทำแห่งวิญญาณของผู้ตายกระนั้นไหม? หรือว่ามีผู้อื่นอีกที่มีส่วนพัวพันอยู่ด้วย?
ผู้หลอกลวงอื่น ๆ อีกซึ่งไม่เป็นที่ประจักษ์แก่ตา
พระคัมภีร์เผยให้ทราบว่าซาตานหาใช่เจ้าตัวผู้มีกายวิญญาณผู้เดียวเท่านั้นไม่ที่ก่อการกบฏ. วิวรณ์ 12:3, 4, 9 แสดงให้เห็นว่ายังมีผู้อื่นอีก. ในพระคัมภีร์ตอนนี้พรรณนาให้เห็นภาพตามความหมายเป็นนัยว่า พญามารซาตานเป็นเสมือนหนึ่ง “พญานาคใหญ่สีแดง” ตัวหนึ่งมี “หาง” ซึ่งหางนั้น “ตวัดเอาหนึ่งส่วนในสามส่วนของดวงดาวในสวรรค์”ไว้. จริงทีเดียว ซาตานสามารถใช้อิทธิพลของมันได้ราวกับหาง เพื่อที่จะได้ “ดวงดาว” อื่น ๆ ทั้งหลายคือเหล่าบุตรฝ่ายกายวิญญาณของพระเจ้าให้มาร่วมสมทบในแนวทางเดินแห่งการเป็นกบฏของมันนั้น. (เทียบกับโยบ 38:7 ในประการที่เหล่าบุตรฝ่ายกายวิญญาณของพระเจ้าถูกเรียกเป็น “หมู่ดาวประจำรุ่ง.”) เหตุการณ์นี้บังเกิดขึ้นก่อนมหาอุทกภัยในสมัยของโนฮา. ตรงกันข้ามกับพระประสงค์ของพระเจ้า บรรดาทูตสวรรค์เป็นจำนวนมากมาย “ได้ทิ้งถิ่นฐานอันเหมาะของตนเอง “ในสวรรค์ แล้วแปลงตัวมาเป็นมนุษย์ ดำเนินชีวิตด้วยการเป็นสามีสมสู่อยู่กับพวกผู้หญิงทั้งหลาย และให้กำเนิดแก่พวกลูกหลานจำพวกพันธุ์ผสมซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าเนฟิลิม. เราได้รับการบอกเล่าเกี่ยวด้วยเรื่องนี้ว่า:
“อยู่มาเมื่อมนุษย์เริ่มทวีมากขึ้นบนพื้นแผ่นดินและมีบุตรสาวบังเกิดขึ้น ครั้นบุตรชายของพระเจ้าองค์เที่ยงแท้เริ่มสังเกตเห็นว่าบุตรสาวของมนุษย์สวย และจึงได้รับเขาไว้เป็นภรรยา กล่าวคือ ล้วนแต่ตามชอบใจของตน. . . . ในสมัยนั้นจึงได้ปรากฏมีชนจำพวกเนฟิลิมขึ้นที่แผ่นดินโลก และภายหลังจากนั้นเมื่อบุตรทั้งหลายของพระเจ้าองค์เที่ยงแท้มีการสมสู่กับบุตรสาวของมนุษย์ต่อไป และจึงได้ให้กำเนิดแก่บุตรชายทั้งหลาย เขาเหล่านั้นแหละเป็นคนมีกำลังแข็งแรงในโบราณกาลเป็นคนมีชื่อเสียงเลื่องลือ.”—เยเนซิศ 6:1-4.
ระหว่างมหาอุทกภัยนั้นบุตรเหล่านี้ของพระเจ้าต้องสูญเสียซึ่งภรรยาและลูก ๆ ผสมทั้งหลายของตน. พวกเขาจึงจำต้องเปลื้องร่างมนุษย์ออกเสีย. เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นแก่พวกเขาภายหลังจากนั้น พระคัมภีร์รายงานดังนี้: “พระเจ้ามิได้รั้งรอไว้จากการลงโทษพวกทูตสวรรค์ที่ได้กระทำบาปนั้น แต่ได้ผลักเขาเข้าไปสู่ทาร์ทารัส ขังเขาไว้ในขุมแห่งความมือทึบคุมไว้สำหรับการพิพากษา.” (2 เปโตร 2:4) และในพระธรรมยูดา 6 กล่าวต่อไปอีกดังนี้: “พวกทูตสวรรค์ที่มิได้รักษาสภาพเดิมของตน แต่ได้ทิ้งสถานที่อยู่อาศัยอันเหมาะของตนเองเสียนั้น พระองค์ได้ทรงกันด้วยเครื่องพันธนาการอันไม่รู้จักสลายภายใต้ความมืดทึบสำหรับการทรงพิพากษาแห่งวันใหญ่นั้น.”
ตามที่ถ้อยคำพรรณนาเหล่านี้กล่าวถึงพวกกายวิญญาณทั้งหลายนั้นปรากฏว่า “ขุมแห่งความมืดทึบ” และ “เครื่องพันธนาการอันไม่รู้จักสลาย” นั้นหาใช่เป็นไปตามตัวอักษรไม่. ถ้อยคำเหล่านี้แสดงให้เราเห็นเพียงแต่ภาพของการกักตัว และภาวะแห่งการลดฐานะโดยที่ต้องถูกแยกออกไว้ต่างหากจากบรรดาคำสั่งแนะนำทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นเอง.
ไม่มีหลักฐานตรงกับพระคัมภีร์เลยในการที่ลงความเห็นว่า พวกทูตสวรรค์ซึ่งไม่เชื่อฟังเหล่านี้อยู่ในสถานที่คล้ายกับทาร์ทารัส ในเทพนิยายอิเลียด ของโฮเม่อร์ กล่าวคืออยู่ในที่คุมขังอันต่ำที่สุดซึ่งเป็นแหล่งที่มีกล่าวกันว่า ครอนัสและวิญญาณแห่งพวกนิทานอื่น ๆ ถูกคุมขังไว้นั้น. อัครสาวกเปโตรหาได้เชื่อถือเกี่ยวกับบรรดาพระต่าง ๆ ในเทพนิยายใด ๆ เช่นนั้นไม่. ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลเสียเลยที่จะลงความเห็นว่าการที่ท่านใช้สำนวนภาษากรีกที่ว่า ‘ผลักเข้าไปสู่ทาร์ทารัส’ นั้นเท่ากับเป็นการพูดแน่ะว่าสถานที่ในเทพนิยายที่โฮเม่อร์อ้างอิงถึงเมื่อราว ๆ เก้าร้อยปีก่อนนั้นมีจริง. อันที่จริง ถ้อยคำภาษากรีกที่ว่า ‘ผลักเข้าไปสู่ทาร์ทารัส’ นั้นเป็นเพียงแต่คำเดียว คือคำกริยาทาร์ทารอโอ. คำนั้นยังใช้หมายถึงการลดฐานะลงสู่ระดับต่ำสุดด้วย.
เพื่อแสดงเป็นตัวอย่าง คำภาษาไทย “ลดฐานะลง” มาจากคำนาม “ฐาน.” กระนั้นก็ดี การที่เราเอาคำนั้นมาใช้พัวพันกับการทำให้ต่ำลงเช่นนั้นหาได้หมายถึงฐานอันเป็นที่ตั้งตามตัวอักษรเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ไม่. เช่นเดียวกับคำกริยาภาษากรีกที่เอามาแปลว่า ‘ผลักเข้าสู่ทาร์ทารัส’ นั้นจึงไม่จำเป็นต้องมองดูในฐานะที่ชวนให้นึกถึงแหล่งซึ่งมีอยู่จริง ๆ หากแต่เป็นเชิงแนะนำถึงสภาพเท่านั้นเอง.
ใน 1 เปโตร 3:19, 20 มีการกล่าวอ้างอิงถึงบรรดากายวิญญาณที่ถูกทำให้ลดฐานะลงนั้นว่าเป็น “บรรดาวิญญาณที่ติดคุกอยู่ ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งมิได้เชื่อฟัง คราวเมื่อพระเจ้าทรงอดกลั้นพระทัยรอเอาไว้ในสมัยของโนฮาระหว่างที่มีการก่อสร้างนาวา.” ดังนั้นพระคัมภีร์จึงทำให้เป็นที่กระจ่างแจ้งว่าภายหลังมหาอุทกภัยนั้น “บรรดาทูตสวรรค์ที่ได้กระทำบาป”ก็ตกเข้าอยู่ภายใต้การกักตัว. พระคัมภีร์มิได้แสดงให้ทราบเลยว่า พวกทูตสวรรค์เหล่านั้นสามารถแปลงกายและเริ่มกิจกรรมอย่างที่เห็นประจักษ์แก่ตาบนแผ่นดินโลกนี้ได้อีกภายหลังมหาอุทกภัย. ดังนั้นจึงทำให้เป็นที่เข้าใจได้ตามเหตุผลว่า การที่พวกเขาตกเข้าสู่ภายใต้การกักตัวเช่นนั้นย่อมทำให้ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะรับเอาลักษณะเนื้อหนังอย่างมนุษย์ได้อีก.
จงระวังอิทธิพลของภูตผีปีศาจ
อย่างไรก็ดี ควรเอาใจใส่จดจำไว้ว่าพวกทูตสวรรค์ที่ไม่เชื่อฟัง ทั้งหลายผู้ซึ่งบัดนี้เป็นที่รู้จักกันว่าภูตผีปีศาจนั้น เคยมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับมนุษย์. พวกเหล่านั้นเคยสมัครใจยินดีที่จะละทิ้งเทวสภาพของตนเสียเพื่อความสนุกเพลิดเพลินในการสมสู่อยู่กินกับพวกผู้หญิงในฐานะเป็นสามี. ถึงแม้ว่าถูกกักตัวไว้จากการติดต่อเกี่ยวพันกันทางกายอยู่เวลานี้ก็ตาม พยานหลักฐานอันมีหลักมาจากพระคัมภีร์เผยให้ทราบว่าพวกเหล่านั้นก็หาได้เปลี่ยนแปลงความปรารถนาของตนเสียไม่. มันพยายามทุก ๆ วิถีทางที่เปิดโอกาสให้มันได้ทำการติดต่อกับมนุษย์และแม้กระทั่งควบคุมบังคับบัญชามนุษย์เสียด้วยซ้ำ. พระเยซูคริสต์ได้ตรัสพาดพิงถึงข้อนี้โดยกล่าวเป็นเชิงใช้ภาพพจน์ดังต่อไปนี้:
“ครั้นผีโสโครกออกมาจากคนใด มันก็เที่ยวไปทั่วบรรดาที่กันดารแสวงหาที่หยุดพักและหาไม่พบ. แล้วมันก็จะว่า ‘ข้าจะกลับไปยังเรือนของข้าที่ได้ออกมานั้น’ และเมื่อมาถึงก็เห็นเรือนนั้นว่างกวาดและตกแต่งไว้แล้ว. ดังนั้นมันจึงไปรับเอาผีอื่นอีกเจ็ดผีซึ่งร้ายยิ่งกว่าตัวมันเอง แล้วเข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่น และสภาพเบื้องปลายของคนนั้นก็เลวร้ายยิ่งเสียกว่าเบื้องต้น.”—มัดธาย 12:43-45.
เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดที่คนเราจะพึงระวังระไว ด้วยเกรงว่าตนอาจจะยอมจำนนต่ออิทธิพลของผีปีศาจก็ได้. เขาอาจจะไม่แน่ใจในเรื่องตัวเองและอนาคตของตนจริง ๆ ก็ได้. เขาอาจปรารถนาเหลือเกินที่จะได้รับคำรับรองบางอย่างว่าสิ่งต่าง ๆ จะดำเนินไปเป็นอย่างดีสำหรับตนก็ได้. หรือมิฉะนั้นเขาอาจรู้สึกหลงไหลตรึงใจในปรากฏการณ์อันน่าขนลุกและน่าตกใจบางอย่างเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติต่าง ๆ ทางเวทมนต์คาถาก็ได้. เขาอาจได้ยินได้ฟังข่าวลือเกี่ยวกับใครสักคนหนึ่งผู้ซึ่งสามารถทำนาย เรื่องอนาคตได้อย่างถูกต้องแม่นยำก็ได้ หรือไม่ก็เขาอาจเรียนรู้เกี่ยวด้วยวิธีการทำนายแบบต่าง ๆ ทีมีการใช้กัน—แผ่นกระดานผี อีเอสพี (การสำเหนียกได้นอกเหนือสัมผัสทั้งห้า) ลวดลายที่ใบชาลอยอยู่ในถ้วย รูปสัณฐานของน้ำมันที่อยู่บนน้ำ แขนงไม้วิเศษหรือมหัศจรรย์นอกเหนือธรรมชาติสำหรับหาน้ำหรือแร่ใต้ดิน ลูกตุ้มนาฬิกา ตำแหน่งและการเคลื่อนไหวของดวงดาวและดาวเคราะห์ต่าง ๆ (โหราศาสตร์) เสียงหอนของสุนัข การบินของนก อาการเคลื่อนไหวของงู การทำนายโชคชะตา โดยมองดูลูกแก้วและอื่น ๆ อีกในทำนองนั้น. สภาพการณ์ของเขาอาจจะดูเหมือนว่าหมดหวังสิ้นประตูหรือมิฉะนั้นก็ความตรึงใจหลงไหลของเขานั้นใหญ่โตจริง ๆ ถึงกับอาจทำให้เขาตกลงปลงใจไปปรึกษาขอความเห็นจากหมอดู หรือคนทรงผีหรือหันไปพึ่งวิธีการเสี่ยงทายชนิดใดชนิดหนึ่งก็ได้. เขาอาจยินดีเต็มใจที่จะทดลองดูอะไร ๆ ก็ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นเอง.
นั่นจะเป็นการฉลาดไหม? ไม่เลยทีเดียว. ความอยากรู้อยากเห็นของเขาสามารถนำเขาให้ตกเข้าอยู่ภายใต้อำนาจควบคุมของภูตผีปีศาจได้. แทนที่วิถีทางเช่นนั้นจะนำเอาความโล่งใจและความสุขสบายใจมาสู่ตัวเขาฐานะของเขาคงจะมีแต่เลวร้ายลงเท่านั้นเอง. ความกระทบกระทั่งต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างผิดปกติอาจรบกวนการหลับนอนของเขาก็ได้ และแม้แต่ในเวลากลางวันก็ทำให้รู้สึกเต็มไปด้วยความหวั่นกลัวเสียด้วยซ้ำ. เขาอาจเริ่มได้ยินเสียงพูดแปลก ๆ อันเป็นเชิงแนะนำถึงกับให้ฆ่าตัวเองหรือฆ่าใครคนใดคนหนึ่งก็ได้.
เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นการฉลาดหรอกหรือที่จะพึงหลีกเลี่ยงเสียซึ่งวิธีการเสี่ยงภัยเช่นนั้นและหลบหลีกวิธีการเกี่ยวกับการทำนายเหตุการณ์อนาคตแบบที่น่าอัศจรรย์ทุกอย่างนั้น? พระยะโฮวาพระเจ้าหาได้มองดูเรื่องเช่นนี้ในทำนองเล่น ๆ ซึ่งไม่สลักสำคัญเช่นนั้นไม่เลย. เพื่อป้องกันชนยิศราเอลไว้จากการถูกล่อลวงและจากอันตรายโดยพวกวิญญาณชั่วทั้งหลายนั้น พระองค์จึงทรงจัดเอากิจปฏิบัติเกี่ยวกับการเสี่ยงทายนั้นว่า เป็นความผิดฐานมีโทษถึงตาย โดยทรงระบุไว้ในพระบัญญัติดังนี้: “ในส่วนผู้ชายก็ดีหรือผู้หญิงก็ดีที่ปรากฏความจริงว่าเป็นคนทรงผีหรือเป็นพ่อมดแม่มด เขาควรจะต้องถูกประหารชีวิตเสียให้จงได้.”—เลวีติโก 20:27.
ทัศนะของพระเจ้าเกี่ยวกับคนทรงผี พ่อมดแม่มด และการเสี่ยงทายนั้นหาได้เปลี่ยนแปลงไปไม่. พระราชกฤษฎีกาของพระเจ้ายังคงยืนหยัดต่อต้านบรรดาผู้กระทำกิจเกี่ยวกับลัทธิการติดต่อกับภูตผีปีศาจนั้นอยู่.—วิวรณ์ 21:8.
ด้วยเหตุนั้นท่านจงพยายามต่อต้านการถูกหลอกลวงโดยพวกกายวิญญาณชั่วทั้งหลายทีเดียว. หากท่านได้ยินเสียงพูดแปลก ๆ บางทีอาจชวนให้ท่านนึกไปก็ได้ว่านั่นเป็นเสียงพูดของเพื่อนหรือญาติที่ตายไป อย่าคอยเอาใจใส่ฟังเสียเลย. จงร้องออกพระนามพระยะโฮวาพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ ขอพระองค์ทรงช่วยเหลือท่านมิให้ตกเข้าอยู่ภายใต้อิทธิพลของภูตผีปีศาจ. จงทูลอธิษฐานขอตามที่พระบุตรของพระเจ้าเองทรงแนะนำไว้ดังนี้: ‘ขอทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากตัวชั่วร้ายนั้น.’ (มัดธาย 6:13) ในเรื่องสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการติดต่อกับพวกวิญญาณชั่วนั้น จงเลียนแบบคนเหล่านั้นผู้ซึ่งรับรองเอาการนมัสการแท้ที่จังหวัดเอเฟโซโบราณ. “มีหลายคนในบรรดาคนเหล่านั้นผู้ที่ใช้เวทมนต์คาถา [ที่นั่น] ได้เอาตำราของตนมาเผาเสียต่อหน้าทุกคน.” สิ่งเหล่านี้แม้จะมีมูลค่าแพงก็ตาม เขาก็หาได้รั้งรอไว้จากการทำลายเสียไม่.—กิจการ 19:19.
เมื่อพิจารณาถึงตัวอย่างนี้แล้ว ท่านคิดหรือว่าการที่เจตนาคบหาสมาคมกับพวกเหล่านั้นผู้ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าทำเป็นเล่น ๆ กับการใช้เวทมนต์คาถา และการยอมรับเอาของขวัญจากเขาเช่นนั้นจะเป็นการถูกต้อง? การกระทำเช่นนั้นอาจกลายเป็นสื่อพาเอาตัวท่านเข้าอยู่ภายใต้อิทธิพลของภูตผีปีศาจมิใช่หรอกหรือ?
การที่เราสำนึกว่าพวกกายวิญญาณชั่วทั้งหลายมักเป็นต้นเหตุ ทำให้คนเราแลเห็นหรือได้ยินเสียงประหลาดอันทำให้เกิดอาการขนลุก และปรากฏการณ์ต่าง ๆ อันน่าตกใจกลัวเช่น—เสียงพูด เสียงเคาะ และร่างที่มาปรากฏให้เห็นเป็นเงาราง ๆ ซึ่งก็ไม่มีอะไรเลยเป็นสาเหตุ ที่ประจักษ์แจ้งเหล่านี้นั้นนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันเราไว้จากการถูกหลอกลวง. ความรู้เช่นนี้จะทำให้เราเป็นอิสระพ้นจากการกลัวผู้ที่ตายไปแล้ว และพ้นจากการเข้าส่วนในเรื่องพิธีรีตองต่าง ๆ อันไม่มีประโยชน์สำหรับผู้ตาย. ความรู้นั้นยังจะช่วยป้องกันเราไว้จากการตกไปเป็นเหยื่อของพวกกายวิญญาณชั่วทั้งหลายอีกด้วย.
แต่ถ้าเราต้องการจะได้รับการอารักขาไว้จากการหลอกลวงทุกแง่ ทุกด้านที่ซาตานและผีปีศาจพรรคพวกของมันได้กระทำเอาไว้เกี่ยวเนื่องกับผู้ที่ตายไปนั้น เราก็จำต้องเชื่อถือและปฏิบัติให้สอดคล้องลงรอยกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ลตลอดทั้งหมดทีเดียว. ทั้งนี้เนื่องจากพระคัมภีร์ทุกตอน คือพระวจนะซึ่งได้รับการดลบันดาลของพระเจ้า.