บท 12
แผ่นดินโลกที่ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บและความตาย
แผ่นดินโลกที่ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บและความตายตลอดไปเป็นนิตย์ช่างจะหมายถึงการสงเคราะห์ที่ดีเยี่ยมสำหรับมวลมนุษย์เราเสียนี่กระไร! นั่นย่อมจะเป็นการขจัดออกเสียซึ่งน้ำตาแห่งความขมขื่นที่ต้องหลั่งออกด้วยเป็นเครื่องแสดงถึงความเศร้าโศกและความทุกข์ทรมาน. ความเจ็บปวดอันแสนจะทรมานและความพิการอันแสนจะน่าเกลียดน่ากลัวต่าง ๆ ที่โรคภัยไข้เจ็บสามารถนำมาให้ได้นั้นก็จะสูญสิ้นไป. ผลเสียหายต่าง ๆ ของมนุษย์ที่กะปลกกะเปลี้ยอันเนื่องด้วยอายุมาก ซึ่งมักนำเอาสภาพความหมดหวัง สิ้นมานะ และการไม่สามารถช่วยตัวเองได้ก็จะไม่มีอีกต่อไป. ประชาชนทั่วไปทุกหนทุกแห่งต่างก็จะได้รับความพอใจเพลิดเพลินจากความแข็งแรง และความกระปรี้กระเปร่าเหมือนในวัยหนุ่มสาว. เสียงร้องคร่ำครวญจะไม่มีออกมาจากรีมฝีปากของเขาเลย!
เรื่องนี้หาใช่ว่าอาศัยความนึกฝันอันไร้สาระไม่. เป็นสภาพที่พระยะโฮวาพระเจ้าทรงวางจุดมุ่งหมายเอาไว้. พระองค์ทรงมุ่งพระทัยไว้ไกลยิ่งกว่าการที่มนุษยชาติจะดำรงชีวิตอยู่เพียงไม่กี่ปีอันเต็มไปด้วยปัญหาต่าง ๆ และความทุกข์ทรมานนั้นเสียอีก.—วิวรณ์ 21:3, 4.
สภาพนั้นจะนำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่โตได้ไหม?
แต่ก็แผ่นดินโลกที่ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บและความตายนั้น จะคงก่อให้เกิดปัญหาสำคัญ ๆ กระนั้นไหม? ท่านจะสงสัยหรือว่า: ประชาชนทั้งหมดจะไปอยู่ที่ไหนกัน? การที่โรคภัยไข้เจ็บและความตายสิ้นสุดลงเช่นนั้นจะไม่ทำให้เกิดสภาพแออัดยัดเยียด ทำให้ชีวิตไม่เป็นที่น่าพอใจเพลิดเพลิน และนำไปสู่สภาวะแห่งการขาดแคลนอาหารอย่างใหญ่โตหรอกหรือ?
การที่จะทำให้แผ่นดินโลกมีพลเมืองหนาแน่นเกินไปนั้นไม่เคยเป็นจุดมุ่งหมายของพระเจ้าเลย. พระเจ้าตรัสแก่อาดามและฮาวา มนุษย์ผู้สมบูรณ์ดังนี้: “จงบังเกิดบุตรหลานเป็นอันมาก และบรรจุให้เต็มทั่วทั้งแผ่นดินโลก.” (เยเนซิศ 1:28) มีความแตกต่างกันทีเดียวระหว่าง ‘การบรรจุให้เต็ม’ แผ่นดินโลกกับการทำให้มีพลเมืองหนาแน่นเกินไป. หากมีใครคนหนึ่งขอให้ท่านบรรจุน้ำลงไปในถ้วยแก้ว ท่านก็คงจะไม่รินลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งน้ำล้นถ้วยแก้ว. ครั้นถ้วยแก้วนั้นเต็มพอดี ท่านก็คงจะหยุดรินแน่ ๆ. ในทำนองเดียวกัน ถ้าแผ่นดินโลกเต็มไปด้วยมนุษยชาติที่จะอยู่อย่างสะดวกสบายแล้ว พระเจ้าก็จะทรงคอยดูแลให้การแผ่ขยายตัวของพลเมืองบนดาวเคราะห์นี้เป็นอันยุติลง.
ยิ่งกว่านั้น เราไม่ควรลงความเห็นผิดโดยยึดเอาสิ่งที่เราแลเห็นและได้ยินได้ฟังทุกวันนี้เป็นหลัก ในเรื่องความสามารถของแผ่นดินโลกที่จะเป็นบ้านสำหรับเราและที่จะประคับประคองชีวิตของมนุษย์และสัตว์ไว้ได้. ขณะที่พลเมืองจำนวนมากแออัดกันอยู่อย่างคับคั่งภายในเมืองใหญ่ ๆ นั้น ดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลทั้งหลายของแผ่นดินโลกมีผู้คนอยู่อาศัยกันเป็นหย่อม ๆ ไม่หนาแน่น. ถ้าพลเมืองปัจจุบันนี้จะแยกย้ายกระจายกันอยู่อย่างที่สมดุลแล้วก็คงจะมีที่ดินอันอุดมสมบูรณ์คนละประมาณ 15 ไร่สำหรับผู้ชายผู้หญิงและเด็กทุกคน. เช่นนี้ก็ย่อมจะเป็นที่ว่างยิ่งกว่าพอเพียงจริง ๆ!
ความหิวที่มนุษย์เป็นจำนวนมากจำต้องได้รับตามส่วนต่าง ๆ ของแผ่นดินโลกนั้นมิใช่เพราะพื้นดินไม่สามารถที่จะผลิตผลมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้. ถ้าจะพูดให้ถูกการขาดแคลนอาหารที่มีอยู่อย่างแพร่หลายนั้น สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการแจกจ่ายเสบียงอาหารมีไม่เสมอภาคกัน ขณะที่การผลิตพืชผลในพื้นที่บางแห่งนั้นมีผลมากมายและมีมากจนเหลือเฟือ ส่วนในที่อื่น ๆ มีการขาดแคลนอย่างผิดธรรมดาที่สุด. แท้จริงแล้วแผ่นดินโลกสามารถให้กำเนิดพืชผลได้มากมายยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้. ย้อนหลังไปในปี 1970 องค์การอาหารและเกษตรกรรมแห่งสหประชาชาติ ได้งบประมาณขีดความสามารถที่แฝงอยู่ภายในทางด้านเกษตรกรรมของโลก ว่ามากมายพอเพียงที่จะเลี้ยงประชาชนเป็นจำนวนมากประมาณสี่สิบสองเท่าแห่งพลเมืองของโลกปัจจุบันนี้ได้.
สิ่งที่คนเราได้กระทำมาแล้วในส่วนต่าง ๆ บางส่วนของโลกนั้นแสดงให้เห็นอยู่บ้างว่ามีทางที่จะเป็นไปได้สำหรับการเพิ่มพูนผลิตผลของแผ่นดินโลกนี้สักเพียงไร.
หุบเขาอิมพีเรียลแห่งแคลิฟอร์เนียซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นทะเลทรายอันไม่อุดมสมบูรณ์ ยังไม่ได้มีการเพาะปลูก. แต่ว่าการให้น้ำแก่พื้นดินอันเป็นทะเลทรายซึ่งอุดมไปด้วยแร่นั้นได้ทำให้หุบเขานี้เป็นดินแดนหนึ่งที่อุดมที่สุดทางด้านเกษตรกรรมในประเทศสหรัฐ.
ทั้ง ๆ ที่มีดินแดนสำหรับการเพาะปลูกประมาณครึ่งหนึ่งของทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรปสามารถผลิตอาหารได้มากเกือบจะเท่ากับทวีปอเมริกาเหนือ เพราะที่ยุโรปมีการจดจ่อมุ่งมั่นในการเพาะปลูกอย่างหนาแน่นกว่า.
เป็นความจริง ไม่มีข้อสงสัยเลยว่ามีที่ดินอีกมากที่จะเอามาใช้ในการ เพาะปลูกอย่างหนาแน่นขึ้นอีกได้ และโดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีการทำลายความงามแห่งบรรดาป่าไม้และทุ่งหญ้าทั้งหลาย.
ยังมีอยู่อีกปัจจัยหนึ่งที่จะรับรองเรื่องการจัดเตรียมให้มีอาหารอย่างพอเพียงถึงขนาดขึ้นไว้สำหรับแผ่นดินโลกที่เต็มไปด้วยชีวิตมนุษย์และสัตว์อย่างเป็นสุขนั้น. นั่นคืออะไร? นั่นก็คือการสงเคราะห์และการบัญชางานของพระผู้เป็นเจ้าที่จะทรงกำหนดให้กับมนุษยชาติ ภายใต้การบริหารการปกครองแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าโดยพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์. ไม่มีใครทราบเรื่องแผ่นดินโลกได้ดีไปกว่าพระเจ้า. เพราะพระองค์เป็นผู้ทรงสร้าง. และภายใต้การบริหารที่ฉลาดรอบรู้แห่งราชอาณาจักรของพระองค์นั้นแผ่นดินก็จะผลิตพืชผลอย่างอุดมสมบูรณ์. ประสบการณ์แห่งชนชาติยิศราเอลสมัยก่อนโน้นขณะเมื่อซื่อสัตย์จงรักภักดีนั้นเป็นอย่างไร สมัยนั้นก็จะเป็นเช่นเดียวกัน “แผ่นดินโลกจะให้กำเนิดพืชผลอย่างแน่นอน พระเจ้าคือพระเจ้าของเรา จะทรงอำนวยพระพรแก่เรา.”—บทเพลงสรรเสริญ 67:6.
ไม่ต้องสงสัยว่าบรรดาทะเลทรายอันแห้งแล้งและพื้นที่อื่น ๆ ที่ไม่เกิดดอกออกผล ซึ่งกินเนื้อที่ตั้งหลาย ๆ ล้านไร่นั้นจะได้รับการบำรุงอย่างเต็มขนาดเพื่อให้เป็นประโยชน์ใช้การได้. การได้รับความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้าในการก่อให้เกิดน้ำซึ่งขาดแคลนไปนั้นก็มิใช่ว่าไม่เคยมีสภาพที่คล้ายคลึงกันมาก่อนในประวัติศาสตร์. ย้อนหลังไปในศตวรรษที่หกก่อน ส.ศ. ชนชาติยิวหลายพันคนซึ่งถูกเนรเทศไปอยู่ที่กรุงบาบุโลนนั้นได้กลับคืนไปยังกรุงยะรูซาเล็ม ซึ่งนับว่าเป็นความสำเร็จผลสมจริงตามคำทรงสัญญาของพระเจ้าที่มีพยากรณ์ไว้. (เอษรา 2:64-70) ปรากฏว่าพวกเขาออกเดินทางไปตามเส้นทางตรงซึ่งผ่านทะเลทรายซีเรียอันเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งปราศจากพืชผล. กระนั้นพระเจ้าก็ได้ทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นไว้ให้ เพื่อเลี้ยงดูเขาให้มีชีวิตอยู่. แม้แต่ในเรื่องประเทศอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเขา พระองค์ก็ได้ทรงตรัสพยากรณ์ไว้ว่า “น้ำจะพลุ่งขึ้นในป่าดง และจะเกิดมีกระแสน้ำไหลเชี่ยวในที่ราบทะเลทราย.”—ยะซายา 35:6.
โดยเหตุที่พระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้มาแล้วในอดีต พวกเราจึงมีเหตุผลอย่างดีที่จะพึงคาดหมายว่าภายใต้วิธีบริหารการปกครองแห่งราชอาณาจักรของพระองค์โดยพระคริสต์นั้น สภาพเช่นนี้ก็จะดำเนินไปด้วยขนาดที่กว้างขวางยิ่งกว่ามากนัก.
เราไม่จำเป็นต้องหวั่นกลัวว่าการนำเข้ามาซึ่งแผ่นดินโลกอันปราศจากโรคภัยไข้เจ็บและความตายเช่นนี้จะก่อให้เกิดสภาพอันไม่น่าพอใจเพลิดเพลิน. ไม่เพียงแต่จะไม่มีการอยู่กันอย่างแออัดยัดเยียดเท่านั้น แต่ทุกคนก็จะสามารถมีอาหารรับประทานได้จนเป็นที่พอใจ.
วิธีบริหารการปกครองด้วยอำนาจแห่งพระเยซูคริสต์ พระมหากษัตริย์ของพระเจ้าผู้ได้รับการแต่งตั้งไว้ และคณะพรรคของพระองค์ 144,000 คนผู้ร่วมการปกครองก็จะคอยดูว่าบรรดาประชากรแห่งแผ่นดินโลกได้รับการเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี. เพื่อชี้ไปถึงความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องอาหารที่เป็นประโยชน์แก่สุขภาพอนามัยซึ่งจะทำให้ได้รับความพอใจเพลิดเพลินนั้น คำพยากรณ์ของยะซายาแถลงให้ทราบดังนี้: “และบนภูเขานี้พระยะโฮวาจอมพลโยธาจะจัดแจงการเลี้ยงขึ้นไว้อย่างแน่นอนสำหรับปวงประชาชาติ . . . ด้วยอาหารอันปรุงขึ้นอย่างดีด้วยไขมัน และด้วยเหล้าองุ่นนอนก้นกลั่นอย่างดี.”—ยะซายา 25:6.
เราสามารถมีความมั่นใจในพระยะโฮวาพระเจ้าได้ พระองค์ผู้ซึ่งพระคัมภีร์ไบเบิลแถลงว่า “พระองค์ทรงแบพระหัตถ์ ประทานแก่สรรพสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ให้อิ่มตามความประสงค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 145:16) พระองค์ไม่เคยล้มเหลวในการปฏิบัติตามคำทรงสัญญาต่าง ๆ ของพระองค์. ตามที่พระคัมภีร์บอกเกี่ยวกับชนยิศราเอลสมัยก่อนโน้นดังนี้: “สรรพสิ่งอันดีทุกอย่างที่พระเจ้าทรงสัญญาต่อประชาชนชาติยิศราเอลนั้น ไม่ขาดสักสิ่งเดียว เป็นไปจริงทั้งสิ้น.”—ยะโฮซูอะ 21:45.
วิธีที่โรคภัยไข้เจ็บและความตายจะผ่านพ้นไป
นอกจากการทรงสัญญาที่จะจัดหาวัตถุสิ่งของต่าง ๆ อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์เพื่อที่จะได้รับความเพลิดเพลินแล้ว พระยะโฮวาพระเจ้าได้ทรงสัญญาอะไรบางอย่างไว้ที่นับว่ามีค่ายิ่งกว่ามากนัก. นั่นคืออะไรกัน? คือการปลดเปลื้องให้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บและความตาย. พระองค์ได้ทรงประกาศจุดมุ่งหมายของพระองค์ในเรื่องการจัดแจงการเลี้ยงอย่างดีตามที่มีกล่าวไว้ในยะซายานั้น ซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็มีการส่งท้ายด้วยคำสัญญาต่อไปดังนี้: “พระองค์จะทรงทำลายความตายให้สาบสูญไปตลอดกาล และพระยะโฮวาพระผู้เป็นเจ้าองค์บรมมหิศร จะทรงเช็ดน้ำตาจากหน้าของคนทั้งปวงอย่างแน่นอน.”—ยะซายา 25:8.
สอดคล้องลงรอยกันกับคำทรงสัญญาของพระเจ้าซึ่งมีบอกไว้ ณ ที่นี้ คือการบริหารการปกครองแห่งราชอาณาจักร ในพระหัตถ์ของพระเยซูคริสต์และบรรดาผู้ร่วมการปกครองของพระองค์นั้น ก็จะลงมือดำเนินการปลดปล่อยมนุษยชาติให้พ้นจากสภาพความตาย. เหตุที่ความเจ็บไข้ได้ป่วยและความตายบังเกิดขึ้นก็เพราะการที่เราเกิดมาเป็นคนผิดบาป ซึ่งไม่สมบูรณ์เนื่องด้วยได้รับช่วงเป็นมรดกมาจากอาดามมนุษย์คนแรกนั้น ผลแห่งความผิดบาปอันได้แก่ความตายจึงจำต้องได้มีการถอนพิษให้สูญสิ้นลง. โดยวิธีใด?
หลักเกณฑ์ในการกระทำเช่นนั้นต้องได้เป็นวิธีจัดการที่เป็นไปตามความยุติธรรม ตามเหตุผลแล้วก็จำต้องได้เป็นวิธีจัดการที่จะชดเชยความเสียหายซึ่งเกิดขึ้นเนื่องด้วยการกบฏของอาดาม. สิ่งซึ่งอาดามทำให้สูญหายไปนั้นจำจะต้องได้เอากลับมา. ราคาที่จะใช้เป็นค่าไถ่นั้นจำต้องได้มีค่าพอดีทีเดียวกับสิ่งซึ่งอาดามทำให้สูญหายไปนั้น กล่าวคือ ชีวิตสมบูรณ์ของมนุษย์พร้อมด้วยสิทธิและความหวังทุกอย่างแห่งชีวิตนั้น.
บรรดาลูกหลานผู้ผิดบาปทั้งหลายของอาดามไม่มีใครเลยจะสามารถจัดหาค่าไถ่เช่นนั้นขึ้นได้. ข้อนี้ได้มีบอกไว้อย่างชัดแจ้งในบทเพลงสรรเสริญ 49:7 ดังนี้: “ไม่มีใครสักคนเดียว ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม ก็ไม่สามารถจะไถ่ชีวิตน้องชายได้ หรือจะเอาค่าไถ่มาถวายพระเจ้า สำหรับเป็นค่าไถ่น้องของตนก็ไม่ได้.” แต่พระเยซูคริสต์สามารถกระทำเช่นนั้นได้ เพราะพระองค์เป็นมนุษย์สมบูรณ์ และพระองค์เต็มพระทัยยินดีสละชีวิตของพระองค์ ด้วยเหตุนั้นจึงอุทิศ “จิตวิญญาณของพระองค์เป็นค่าไถ่เพื่อแลกเปลี่ยนเอาคนเป็นอันมาก.”—มัดธาย 20:28.
โดยยึดเอาการที่พระองค์ถวายชีวิตมนุษย์ที่สมบูรณ์ของพระองค์เองเป็นเครื่องบูชายัญนั้นเป็นหลัก พระเยซูคริสต์จึงอยู่ในฐานะที่จะใช้ประโยชน์แห่งเครื่องบูชาของพระองค์เพื่อเป็นค่าชดเชยนั้นให้เกิดประโยชน์ในการยกมนุษยชาติขึ้นให้พ้นจากสภาพการเป็นทาสต่อความบาป. ด้วยเหตุที่ความโน้มเอียงไปในทางที่ผิดบาปต่าง ๆ นั้นเป็นส่วนแห่งลักษณะของมนุษย์ การที่เอาชนะความโน้มเอียงเหล่านี้ได้จึงจำต้องใช้เวลา และรับเอาความช่วยเหลือ. ภายใต้ราชอาณาจักรในพระหัตถ์ของพระเยซูคริสต์นั้น บรรดาไพร่ฟ้าประชากรทั้งหลายต่างก็จะได้รับการฝึกหัดอบรมตามหนทางแห่งความชอบธรรม.—วิวรณ์ 20:12; ยะซายา 26:9.
อย่างไรก็ดี ทั้งนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องหมายความว่าคนเหล่านั้นที่ได้รับการทรมานเนื่องจากทุพพลภาพ หรือความพิการอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น จะต้องได้รอคอยอยู่เป็นระยะเวลานานในระหว่างที่เขาจะฟื้นจากความทุกข์ลำบากของตนในที่สุดนั้น. คราวเมื่อพระเยซูคริสต์อยู่ที่แผ่นดินโลกนี้ พระองค์ได้ทรงรักษาคนเจ็บป่วยและคนเป็นโรคให้หายโดยทันทีทันใดอย่างน่ามหัศจรรย์. การบำบัดรักษาหลายอย่างพระองค์ทรงกระทำจากระยะทางไกล คือขณะที่ผู้ซึ่งเป็นโรคนั้นหาได้แลเห็นพระองค์ไม่ และหาได้มีการแตะต้องตัวเขาโดยตรงไม่. (มัดธาย 8:5-13; 15:21-28; ลูกา 7:1-10) เพราะฉะนั้น บรรดาคนที่มีอุปสรรคร้ายแรงอย่างใดอย่างหนึ่ง อาทิเช่น คนที่ขาข้างเดียวก็ดีหรือแขนข้างเดียวก็ดีซึ่งมีชีวิตอยู่ขณะเมื่อราชอาณาจักรเริ่มต้นบริหารกิจธุระทั้งสิ้นของแผ่นดินโลกนั้น ก็ยังสามารถคาดหมายได้อยู่ในเรื่องการบำบัดรักษาอย่างที่น่ามหัศจรรย์โดยกะทันหันตามเวลากำหนดของพระเจ้า. ช่างจะเป็นที่น่าพิศวงจริง ๆ ทีเดียวที่จะได้เห็นคนตาบอดกลับมองเห็นได้ คนหูหนวกยินได้ และคนที่มีร่างกายเสียรูป พิการหรือผิดลักษณะไปนั้นต่างก็จะกลับมีสภาพสมบูรณ์เป็นปกติ.
อย่างไรก็ดี การที่จะนำเอามนุษย์เข้าสู่สภาพความสมบูรณ์อย่างเต็มที่ทางฝ่ายร่างกายและจิตใจนั้นก็จะค่อย ๆ ดำเนินไปทีละน้อย จำเป็นต้องใช้เครื่องบูชาของพระเยซูอันเป็นค่าไถ่นั้นให้เป็นประโยชน์ และจำต้องมีการเชื่อฟังปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารการปกครองแห่งราชอาณาจักรนั้น. สิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้นอาจเอามาเทียบกับการบำรุงอบรมบุคคลที่พิการให้สมบูรณ์ขึ้นภายใต้คำแนะนำของอายุรแพทย์ผู้มีความชำนาญนั้นก็ได้. ในระหว่างที่มีการฝึกหัดอบรมอยู่นั้น คนพิการอาจทำความผิดพลาดไปหลายอย่างก็ได้ แต่ในที่สุดก็อาจมาถึงจุดซึ่งเขาสามารถดำเนินชีวิตที่เป็นประโยชน์ได้โดยไม่ต้องอาศัยคนอื่น ๆ. ความก้าวหน้าของเขาย่อมขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของเขาต่อความช่วยเหลือที่จัดไว้ให้นั้น.
คุณวุฒิของคนเหล่านั้นที่บำรุงอบรมมวลมนุษย์ผู้ไม่สมบูรณ์
ในการกู้สภาพมวลมนุษยชาติให้กลับคืนดังเดิมนั้น พระเยซูคริสต์ทรงมีคุณวุฒิที่จำเป็นทุกอย่าง. เนื่องด้วยพระองค์เคยมีชีวิตเป็นมนุษย์อยู่บนพื้นโลกนี้ พระองค์ทรงมีความคุ้นเคยด้วยพระองค์เองเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ของบรรดามนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ทั้งหลาย. ถึงแม้พระองค์จะเป็นผู้ที่สมบูรณ์ก็ดีพระองค์ก็ยังได้รับความทรมานและความเป็นทุกข์โทมนัสถึงขนาดน้ำพระเนตรไหล. บันทึกในพระคัมภีร์บอกเราว่า “ในสมัยเมื่อพระองค์ดำรงอยู่ในเนื้อหนังนั้น พระคริสต์ได้เสนอคำทูลอธิษฐานและคำวิงวอนด้วยทรงพระกันแสงมากมาย และด้วยน้ำพระเนตรไหลต่อพระองค์นั้นผู้ซึ่งสามารถที่จะช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตายได้ และพระเจ้าได้ทรงฟังเพราะเหตุความยำเกรงของพระองค์. ถึงแม้พระองค์ทรงเป็นพระบุตร พระองค์ก็ทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมเชื่อฟังเนื่องจากความยากลำบากที่พระองค์ได้ทนเอานั้น.”—เฮ็บราย 5:7, 8.
เนื่องด้วยสิ่งที่พระเยซูได้ประสบมาแล้วทางแผ่นดินโลกนี้ เราจึงสามารถมั่นใจได้ว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้ครอบครองที่รู้จักเห็นอกเห็นใจ. พระองค์จะไม่ปฏิบัติกับบรรดาไพร่ฟ้าประชากรของพระองค์อย่างเกรี้ยวกราดรุนแรง เพราะพระองค์ทรงยินดีเต็มพระทัยสละชีวิตของพระองค์แทนมนุษยชาติ. (1 โยฮัน 3:16) นอกจากนั้นโดยเหตุที่พระองค์ทรงเป็นมหาปุโรหิตด้วยเช่นกัน พระเยซูจึงจะทรงจัดการด้วยความเมตตาสงสาร ในการปลดเปลื้องคนเหล่านั้นผู้ที่เคารพต่อคำแนะนำของพระองค์ ให้พ้นจากความผิดบาป.พระองค์จะไม่รู้สึกเบื่อหน่ายรำคาญพวกเขาและจะไม่ทำให้เขารู้สึกถูกบีบคั้น เนื่องจากการที่เขาพลาดพลั้งเข้าสู่การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งอันไม่ส่อให้เห็นบุคลิกลักษณะของพระเจ้าอย่างครบถ้วนนั้น. เกี่ยวกับงานปรนนิบัติรับใช้ของพระเยซูตามแบบปุโรหิตนั้น เฮ็บราย 4:15, 16 กล่าวดังนี้: “เรามิได้มีมหาปุโรหิตผู้ที่ไม่สามารถจะเห็นอกเห็นใจเกี่ยวกับความอ่อนแอของเรา แต่ผู้ที่ได้ทรงถูกพิสูจน์ทดลองมาแล้วทุกประการเหมือนอย่างพวกเราเอง หากแต่ปราศจากความบาป. เหตุฉะนั้นจงให้เราเข้าเฝ้าเฉพาะพระที่นั่งแห่งพระกรุณาอันไม่พึงได้รับพร้อมด้วยมีใจกล้าเพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้รับพระกรุณาคุณอันไม่พึงได้รับที่จะช่วยเราในเวลาอันสมควร.”
ขณะที่กำลังพัฒนาเข้าสู่สภาพความสมบูรณ์อยู่นั้น มนุษย์ก็จะยังกระทำความผิดบาปอยู่อย่างไม่เจตนา. แต่ว่าโดยการกลับใจและขอได้รับการให้อภัยจากพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์มหาปุโรหิตของเขาแล้ว เขาก็จะได้รับการให้อภัยและจะได้รับความช่วยเหลือต่อ ๆ ไปในการเอาชนะข้ออ่อนแอของตน. พระธรรมวิวรณ์ 22:1, 2 พรรณนาถึงการจัดเตรียมของพระผู้เป็นเจ้าในเรื่องชีวิตและการบำบัดรักษาว่ามี “แม่น้ำอันประกอบด้วยน้ำแห่งชีวิต ใสดุจแก้วไหลออกมาจากพระที่นั่งของพระเจ้า และของพระเมษโปดกลงไปจนถึงกลางถนนแห่งเมืองนั้น. และริมแม่น้ำทั้งสองฟากมีต้นไม้แห่งชีวิตซึ่งผลิตผลทุก ๆ เดือนปีละสิบสองครั้ง และใบของต้นไม้เหล่านั้นใช้สำหรับเยียวยารักษาชนนานาประเทศให้หายโรค.”
ชนเหล่านั้นที่มีส่วนร่วมกับพระเยซูคริสต์ในตำแหน่งผู้ครอบครอง ก็มีคุณวุฒิความสามารถเช่นเดียวกันในการที่จะสงเคราะห์มนุษยชาติ. เพื่อนผู้ครอบครองเหล่านี้รวมทั้งผู้ชายและผู้หญิงด้วยนั้นล้วนมาจากฐานะต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน. (ฆะลาเตีย 3:28) บางคนในพวกเขามาจากพื้นเพที่ได้นำเขาเข้าไปพัวพันในการดำเนินกิจดังเช่น การประพฤติผิดทางกาม การล่วงประเวณี การสำเร็จความใคร่ในเพศเดียวกัน การลักขโมยการเสพสุรามึนเมา การเคี่ยวเข็ญขูดรีดและอื่น ๆ อีกในทำนองนั้น. แต่พวกเขากลับใจเสียใหม่ หันกลับและเริ่มต้นดำเนินชีวิตที่สะอาดหมดจด เพื่อเป็นการสะดุดีและเป็นพระเกียรติแด่พระเจ้า. (1 โกรินโธ 6:9-11) ขณะที่เขาถึงแก่กรรมนั้นทุกคนผู้ซึ่งมีส่วนร่วมเป็นกษัตริย์ปุโรหิตกับพระเยซูคริสต์นั้นจำต้องได้ปรากฏว่าเป็นผู้ซึ่งรักใคร่และผู้ปฏิบัติกิจเกี่ยวกับความชอบธรรม ผู้เกลียดชังซึ่งความชั่วและเป็นคนซึ่งอุทิศตัวโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่งเสริมสวัสดิภาพแห่งเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน.—โรม 12:9; ยาโกโบ 1:27; 1 โยฮัน 3:15-17; ยูดา 23.
การรักษาฐานะที่สะอาดไว้จำเพาะพระพักตร์พระเจ้านั้นไม่ใช่เป็นสิ่งง่ายสำหรับพวกเขา. พวกเขาเคยตกอยู่ในอำนาจความกดดันอันน่าหวาดกลัวต่าง ๆ เพื่อที่จะให้รับเอาวิถีทางอันเห็นแก่ตัวของโลก. หลายคนต้องได้เผชิญกับความกดดันภายนอกในลักษณะแห่งการตำหนิต่อว่า การกระทำทารุณหยาบช้าทางร่างกายและการรังเกียจทั่ว ๆ ไปและการดูถูกดูหมิ่น. ในเรื่องสิ่งที่พวกเขาจะพึงคาดหมายนั้น พระเยซูคริสต์ทรงบอกดังนี้: “คนทั้งหลายจะอายัดท่านไว้ให้ทนทุกข์ลำบากและฆ่าท่านเสีย และท่านจะเป็นเป้าหมายแห่งความเกลียดชังโดยชนนานาชาติ.” (มัดธาย 24:9) นอกจากนี้ ตลอดเวลาในระหว่างชีวิตของพวกเขานั้น เขาก็จำต้องได้พยายามต่อสู้กับความโอนเอียงของตนเองในเรื่องความผิดบาป. อัครสาวกเปาโลซึ่งเป็นคนหนึ่งในพวกเหล่านั้นได้กล่าวถึงตัวท่านเองดังนี้: “ข้าพเจ้าข่มห้ามร่างกายของข้าพเจ้าและชักนำไปเหมือนอย่างทาส เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าได้เทศนาประกาศแก่คนอื่น ๆ แล้ว ข้าพเจ้าเองจะได้ไม่เป็นผู้ซึ่งพระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งก็ตาม.”—1 โกรินโธ 9:27.
ดังนั้นจึงเป็นความจริงในการที่คณะกษัตริย์ปุโรหิต 144,000 คนนี้จะสามารถเห็นอกเห็นใจมวลมนุษย์ผู้เป็นไพร่ฟ้าประชากรทั้งหลายได้เกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ. พวกเขาเองก็จำต้องได้ต่อสู้กับปัญหาเหล่านั้นมาแล้ว และได้พิสูจน์ตัวเองจงรักภักดีต่อพระเจ้าซึ่งถึงแม้จะเต็มไปด้วยความยากลำบากที่ใหญ่โตก็ตาม.
สภาพอันดีเยี่ยมบนแผ่นดินโลก
ทุกสิ่งบนแผ่นดินโลกนี้ก็เช่นกัน จะเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสมในการช่วยเหลือมวลมนุษย์ให้ก้าวหน้าไปสู่สภาพความสมบูรณ์. เพียงแต่ชนเหล่านั้นผู้ที่แสดงให้เห็นว่าตนปรารถนาที่จะปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระผู้เป็นเจ้าด้วยหัวใจอันเต็มเปี่ยมเท่านั้นจึงจะยังคงเหลืออยู่ ภายหลังที่ราชอาณาจักรนั้นสังหารทำลายบรรดาศัตรูทั้งหลายแล้ว. ทั้งนี้ย่อมจะหมายความว่าความโลภและความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ซึ่งเคยเป็นต้นเหตุในการทำให้อาหารที่เรารับประทาน น้ำที่เราดื่ม และอากาศที่เราหายใจเหล่านี้สกปรกเป็นพิษนั้นจะเป็นเรื่องของอดีต. บรรดาชนที่มีชีวิตรอดทั้งหลายจะไม่ต้องถูกรบกวนทำให้ได้รับความรำคาญเนื่องด้วยเครื่องกีดกั้นแบ่งแยกเกี่ยวกับเชื้อชาติและสัญชาติออกจากกัน. ร่วมกันเป็นเอกฉันท์ในการนมัสการพระยะโฮวาพระเจ้า ทุกคนล้วนแต่จะปฏิบัติตนในฐานะเป็นพี่น้องกัน และต่างก็จะมุ่งไปยังสันติภาพ. แม้แต่สัตว์ป่าทั้งปวงก็จะไม่ทำอันตรายต่อมนุษย์หรือต่อสัตว์เลี้ยงทั้งหลายของเขาเช่นกัน. คำพูดอันเป็นคำพยากรณ์ในพระธรรมยะซายา 11:6-9 ในสมัยนั้นก็จะดำเนินความนอกไปกว่าความสำเร็จผลสมจริงทางฝ่ายวิญญาณ และจะแลเห็นความสำเร็จผลสมจริงตามตัวอักษรด้วยดังนี้:
“สุนัขป่าจะอาศัยอยู่ด้วยกับลูกแกะตัวผู้สักครู่สักยาม และเสือดาวจะนอนกับลูกแพะ ลูกวัวและลูกสิงโตจะเล่นด้วยกัน และเด็ก ๆ จะเป็นผู้นำสัตว์เหล่านั้น. วัวและหมีจะหากินด้วยกัน ลูกอ่อนทั้งหลายของมันก็จะนอนเล่นด้วยกัน. และแม้แต่สิงโตก็จะกินฟางเหมือนอย่างวัวตัวผู้. และแน่นอนทารกกินนมจะเล่นอยู่ที่ปากรูงูเห่า และทารกที่หย่านมแล้วจะเอามือวางบนรังของงูพิษ. สัตว์เหล่านั้นจะไม่ทำอันตรายใด ๆ หรือก่อให้เกิดความหายนะใด ๆ ที่บนภูเขาอันบริสุทธิ์ของเรา เพราะเป็นที่แน่นอนว่าแผ่นดินโลกจะเต็มไปด้วยความรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาประดุจน้ำท่วมมหาสมุทร.”
โดยการบริหารการปกครองของราชอาณาจักรนั้น พระยะโฮวาจะทรงหันมาฝ่ายพระทัยกับมวลมนุษย์ด้วยวิธีการพิเศษ. ข้อนี้ได้มีการแสดงไว้ด้วยภาพนิมิตอันเป็นเชิงพยากรณ์ดังที่มีบันทึกไว้ในพระธรรมวิวรณ์นั้น. ภายหลังการเทียบดูขนาดอานุภาพแห่งราชอาณาจักรนั้นกับยะรูซาเล็มใหม่ที่ลงมาแต่สวรรค์นั้นแล้ว เรื่องราวมีบอกให้เราทราบดังนี้: “[พระเจ้า] จะทรงเช็ดน้ำตาทุก ๆ หยดจากตาของเขา และความตายจะไม่มีอีกต่อไป การคร่ำครวญและเสียงร้องโวยวายและความเจ็บปวดอย่างหนึ่งอย่างใดจะไม่มีอีกเลย. สิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่แต่เดิมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว.”—วิวรณ์ 21:2-4.
ขอให้คิดนึกดูว่านั่นจะหมายความว่าอย่างไร. ชีวิตปัจจุบันนี้พร้อมด้วยความเจ็บปวดและความเป็นทุกข์โทมนัสนั้น แน่นอนหาใช่มีเพียงแค่นี้ไม่. มนุษยชาติจะได้รับการปลดเปลื้องให้พ้นจากความเจ็บปวดทุกอย่างทางด้านความคิดจิตใจ ทางด้านความรู้สึกและทางด้านร่างกายอันเป็นผลซึ่งเนื่องมาจากความไม่สมบูรณ์. ความปวดร้าวทรมานทางด้านความคิดจิตใจเกี่ยวกับความไม่แน่นอนหรือภัยพิบัติอย่างมหันต์และอันตรายต่าง ๆ ก็จะเป็นเรื่องของอดีต. ความท้อแท้สลดใจ ความรู้สึกเปล่าประโยชน์ และความหงอยเหงาเศร้าใจอันเนื่องมาแต่ความไม่สบายใจเหล่านี้ก็จะไม่มีอีกต่อไป. ประชาชนจะไม่มีการร้องไห้โวยวายหรือครวญครางเพราะความเจ็บปวดทางร่างกายอันสุดแสนจะทนทานได้นั้นอีกต่อไปเลย.นัยน์ตาของเขาจะไม่ต้องมีน้ำตาอันขมขื่นไหลลงอาบแก้มอีกต่อไปเลย. จะไม่มีเหตุผลใด ๆ เลยที่ใคร ๆ จะยอมปล่อยตัวให้กับความทุกข์เศร้าโศกเสียใจ. โดยเหตุที่ได้มีการกลับคืนสู่สภาพความสมบูรณ์ทางด้านจิตใจและร่างกาย มวลมนุษย์ทั้งหลายต่างก็จะรู้สึกได้รับความพอใจเพลิดเพลินอย่างแท้จริงด้วยชีวิตตลอดชั่วกัลปาวสาน. ท่านไม่ปรารถนาจะอยู่ในจำพวกชนเหล่านั้นหรอกหรือ เพื่อที่จะได้รับความพอใจเพลิดเพลินด้วยพระพรเหล่านี้จากพระเจ้า?