บท 7
“มนุษย์วานร”—เป็นอะไรกันแน่?
1, 2. ทฤษฎีวิวัฒนาการยืนยันว่าบรรพบุรุษของมนุษย์เป็นอะไร?
เป็นเวลาหลายปีที่มีรายงานการพบซากฟอสซิลของมนุษย์ลักษณะคล้ายลิง. หนังสือวิทยาศาสตร์เต็มไปด้วยภาพวาดสิ่งมีชีวิตดังกล่าว. สัตว์จำพวกนี้เป็นตัวเชื่อมทางวิวัฒนาการระหว่างสัตว์กับมนุษย์หรือ? “มนุษย์วานร” เป็นบรรพบุรุษของเราหรือ? นักวิทยาศาสตร์ทางวิวัฒนาการอ้างว่าใช่. เพราะเหตุนี้เราจึงอ่านพบข้อความทำนองนี้ในนิตยสารทางวิทยาศาสตร์อยู่บ่อย ๆ ที่ว่า “จากวานรมาเป็นคน.”1
2 จริงอยู่ นักวิวัฒนาการบางคนคิดว่าบรรพบุรุษของมนุษย์ตามทฤษฎีจะเรียกว่าเป็น “พวกวานร” ก็ไม่ค่อยถูกต้องนัก. ถึงกระนั้น บางคนในพวกนั้นไม่ค่อยถือนัก.2 สตีเฟน เจย์ กูลด์กล่าวว่า “มนุษย์ . . . วิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษลักษณะคล้ายลิง.”3 และจอร์ช เกย์ลอร์ด ซิมพ์สันกล่าวว่า “ใครก็ตามที่เห็นบรรพบุรุษร่วมนี้ไม่ว่าในภาษาใดก็คงจะต้องเรียกมันว่าวานรหรือลิง. เนื่องจากคำวานร และลิง เป็นคำที่เรียกกันตามความนิยมทั่ว ๆ ไป ดังนั้น บรรพบุรุษของมนุษย์ก็คือพวกวานรหรือพวกลิงนั่นเอง.”4
3. เหตุใดจึงถือว่าหลักฐานฟอสซิลสำคัญต่อการบ่งชี้บรรพบุรุษของมนุษย์?
3 เพราะเหตุใด หลักฐานฟอสซิลจึงสำคัญมากต่อการดำเนินความพยายามหาหลักฐานบรรพบุรุษของมนุษย์ลักษณะคล้ายลิงนี้? เพราะโลกปัจจุบันที่เต็มด้วยสรรพสิ่งมีชีวิตไม่มีอะไรที่จะสนับสนุนเรื่องนี้. ดังที่ชี้แจงในบท 6 มีช่องว่างมหาศาลระหว่างมนุษย์กับสัตว์ทุกชนิดที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งรวมทั้งตระกูลลิงด้วย. เนื่องจากสิ่งมีชีวิตในโลกทุกวันนี้ไม่มีตัวเชื่อมระหว่างมนุษย์กับลิง ดังนั้นจึงหวังกันว่าตัวเชื่อมนั้นจะพบได้จากหลักฐานฟอสซิล.
4. เมื่อพิจารณาจากทัศนะทางวิวัฒนาการ เหตุใดการไม่พบ “มนุษย์วานร” ในปัจจุบันจึงเป็นเรื่องแปลกอย่างยิ่ง?
4 เมื่อพิจารณาตามทัศนะทางวิวัฒนาการแล้วช่องว่างที่เห็นได้ชัดระหว่างมนุษย์กับลิงในปัจจุบันเป็นเรื่องแปลก. ทฤษฎีวิวัฒนาการเชื่อว่าในขณะที่สัตว์ต่าง ๆ ก้าวหน้าไปตามขั้นตอนทางวิวัฒนาการ สัตว์เหล่านั้นสามารถจะอยู่รอดได้ง่ายขึ้น. ดังนั้นแล้ว เหตุใดตระกูลลิง “ชั้นต่ำ” ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน แต่กลับไม่เห็นตัวเชื่อมที่สมมุติกันแม้แต่ตัวเดียวซึ่งเชื่อกันว่าก้าวหน้าทางวิวัฒนาการมากกว่าลิง? ทุกวันนี้เราพบลิงชิมแปนซี กอริลลา อุรังอุตัง แต่ไม่เห็นมี “มนุษย์วานร.” ดูเหมือนจะเป็นได้ไหมที่ตัวเชื่อมระหว่างสัตว์ลักษณะคล้ายลิงและคนในปัจจุบันซึ่งเชื่อกันว่าได้พัฒนามามากกว่าลิงได้สูญพันธุ์ไปหมดทุกตัว แต่พวกลิงชั้นต่ำยังเหลือรอดอยู่?
มีหลักฐานฟอสซิลมากน้อยเท่าไร?
5. เรื่องราวต่าง ๆ ทำให้เราคาดว่า หลักฐานฟอสซิลเกี่ยวกับวิวัฒนาการมนุษย์จะเป็นอย่างไร?
5 จากเรื่องราวในวรรณกรรมด้านวิทยาศาสตร์ นิทรรศการในพิพิธภัณฑ์ และจากโทรทัศน์ ดูเหมือนว่ามีหลักฐานล้นเหลือแน่ ๆ ที่แสดงว่ามนุษย์ได้วิวัฒนาการมาจากสัตว์คล้ายลิง. เป็นอย่างนั้นจริงไหม? เช่น มีหลักฐานฟอสซิลอะไรบ้างในสมัยดาร์วิน? หลักฐานดังกล่าวหรือที่กระตุ้นเขาให้ตั้งทฤษฎีของเขาขึ้น?
6. (ก) ทฤษฎีต้น ๆ เกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์อาศัยหลักฐานฟอสซิลไหม? (ข) เหตุใดทฤษฎีวิวัฒนาการจึงเป็นที่ยอมรับกันทั้ง ๆ ที่ไม่มีหลักฐานชัดเจน?
6 ใบแจ้งข่าวของนักวิทยาศาสตร์ทางนิวเคลียร์ บอกเราดังนี้ “เมื่อพิจารณาดูแล้ว ทฤษฎีต้น ๆ เกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์เป็นเรื่องแปลก. เดวิด พิลบีมเคยอธิบายทฤษฎีต้น ๆ ว่า ‘ปราศจากฟอสซิล.’ นั่นก็คือ การพูดถึงทฤษฎีวิวัฒนาการของมนุษย์ซึ่งคิดกันว่าน่าจะต้องมีหลักฐานฟอสซิลสนับสนุน แต่ที่จริงแล้วมีน้อยเหลือเกินจนไม่มีผลต่อทฤษฎีนี้หรือไม่ก็ไม่มีฟอสซิลเลย. ดังนั้นสิ่งที่มีอยู่ระหว่างญาติสมมุติที่ใกล้มนุษย์มากที่สุดกับฟอสซิลของมนุษย์สมัยแรก ๆ ก็เป็นเพียงจินตนาการของนักวิทยาศาสตร์ศตวรรษที่สิบเก้า.” สิ่งพิมพ์นี้ให้สาเหตุว่า “ผู้คนต้องการจะเชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ วิวัฒนาการของมนุษย์ และข้อนี้เองมีผลกระทบต่อผลงานของพวกเขา.”5
7-9. มีหลักฐานฟอสซิลเกี่ยวกับวิวัฒนาการมนุษย์มากน้อยเพียงใดในขณะนี้?
7 หลังจากค้นหานานกว่าหนึ่งศตวรรษ ได้หลักฐานฟอสซิลของ “มนุษย์วานร” มากแค่ไหน? ริชาร์ด ลิกกีย์กล่าวว่า “พวกที่ทำงานด้านนี้ได้หลักฐานน้อยมากที่จะใช้สนับสนุนข้อสรุปของเขา จึงจำเป็นที่เขาต้องเปลี่ยนข้อสรุปอยู่บ่อย ๆ.”6 นิวไซเยนติสต์ กล่าวว่า “ถ้าดูจากปริมาณหลักฐานที่ใช้สนับสนุนแล้ว การศึกษาฟอสซิลของมนุษย์คงเป็นแค่แขนงย่อยของวิชาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในยุคดึกดำบรรพ์หรือวิชามานุษยวิทยา. . . . หลักฐานต่าง ๆ น้อยจนน่าโมโหและตัวอย่างที่เก็บมาได้ก็เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ที่แน่นอน.”7
8 เช่นเดียวกัน หนังสือต้นกำเนิด ยอมรับว่า “ขณะเราเดินไปตามแนววิวัฒนาการถึงมนุษย์จะพบว่าเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนอย่างชัดเจน เนื่องจากหลักฐานฟอสซิลมีน้อยมาก.”8 วารสารไซเยนซ์เพิ่มเติมว่า “หลักฐานสำคัญทางวิทยาศาสตร์ได้แก่ กองกระดูกกองเล็กดูน่าสลดใจ ซึ่งจะใช้สร้างประวัติวิวัฒนาการของมนุษย์. นักมานุษยวิทยาคนหนึ่งได้เปรียบเทียบภารกิจนี้กับการแต่งหนังสือสงครามและสันติภาพ ขึ้นใหม่ โดยใช้เพียง 13 หน้าที่บังเอิญเหลืออยู่.”9
9 หลักฐานฟอสซิลเกี่ยวกับ “มนุษย์วานร” มีน้อยมากเพียงใด? โปรดสังเกตต่อไปนี้. นิวสวีค: “เอลวิน ไซมอนส์แห่งมหาวิทยาลัยดูคกล่าวว่า ‘คุณสามารถวางหลักฐานฟอสซิลทั้งหมดกองไว้บนโต๊ะแค่ตัวเดียว.’”10 เดอะนิวยอร์กไทมส์: “ซากฟอสซิลของบรรพบุรุษมนุษย์เท่าที่หลงเหลืออยู่เมื่อเอามากองบนโต๊ะบิลเลียดได้พอดีหนึ่งตัว. นั่นถือได้ว่าเป็นฐานที่ง่อนแง่นมากถ้าจะเพ่งฝ่าม่านหมอกในช่วงสามสี่ล้านปีที่ผ่านมา.”11 ไซเยนซ์ ไดเจสท์: “ข้อเท็จจริงที่น่าทึ่งก็คือว่า หลักฐานทั้งหมดที่เรามีเกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์อาจบรรจุไว้ในหีบศพเพียงหีบเดียว กระนั้น ก็ยังจะไม่เต็ม! . . . ตัวอย่างเช่น พวกลิงในทุกวันนี้ ดูเหมือนว่าโผล่ขึ้นมาเฉย ๆ. มันไม่มีเทือกเถา ไม่มีหลักฐานฟอสซิล. และถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ต้นตอที่แท้จริงของมนุษย์ปัจจุบัน—สิ่งมีชีวิตที่ตัวยืนตรงไม่มีขน ประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้ มีสมองที่ใหญ่—ก็เป็นเรื่องที่ลึกลับพอ ๆ กัน.”12
10. หลักฐานแสดงอย่างไรเกี่ยวกับการปรากฏขึ้นของมนุษย์ปัจจุบัน?
10 มนุษย์ปัจจุบันซึ่งสามารถหาเหตุผล วางแผน ประดิษฐ์ เรียนรู้จากอดีตและใช้ภาษาที่ซับซ้อนต่าง ๆ ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันในหลักฐานฟอสซิล. กูลด์ ผู้เขียนเดอะ มิสเมเชอร์ อ็อฟ แมน ตั้งข้อสังเกตว่า “เราไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาในเรื่องขนาดและโครงสร้างของสมองตั้งแต่โฮโม ซาเปียนส์ ปรากฏอยู่ในหลักฐานฟอสซิลประมาณห้าหมื่นปีก่อน.”13 ดังนั้น หนังสือเอกภพภายใน ตั้งคำถามว่า “อะไรเป็นเหตุให้วิวัฒนาการ . . . คล้ายกับว่าในชั่วคืนเดียว ก่อให้เกิดมนุษย์ปัจจุบันซึ่งมีสมองพิเศษสุด?”14 วิวัฒนาการไม่อาจให้คำตอบได้. แต่จะเป็นไปได้ไหมที่คำตอบคือว่า เป็นการสร้าง สิ่งมีชีวิตอันสลับซับซ้อนอย่างยิ่งขึ้นให้ต่างจากสัตว์?
“ตัวเชื่อม” อยู่ที่ไหน?
11. มีการยอมรับอะไรว่าเป็น “เรื่องปกติ” ในหลักฐานฟอสซิล?
11 แต่นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ค้นพบ “ตัวเชื่อม” ที่จำเป็นระหว่างสัตว์คล้ายลิงกับคนหรอกหรือ? ตามหลักฐานแล้วไม่เป็นเช่นนั้น. ไซเยนซ์ ไดเจสท์ กล่าวถึงการ “ขาดตัวเชื่อมที่จะอธิบายการปรากฏขึ้นอย่างค่อนข้างกะทันหันของมนุษย์ปัจจุบัน.”15 นิวสวีค ตั้งข้อสังเกตว่า “ตัวเชื่อมที่ขาดไประหว่างคนกับลิง . . . เป็นแต่เพียงตัวที่น่าหลงใหลที่สุดในบรรดาสัตว์ที่มีอยู่ในจินตนาการ. สำหรับหลักฐานฟอสซิลตัวเชื่อมที่ขาดเป็นเรื่องปกติ.”16
12. การขาดตัวเชื่อมต่าง ๆ ทำให้เกิดอะไร?
12 เนื่องจากไม่มีตัวเชื่อม ดังนั้น จึงต้องสร้าง “สัตว์ในจินตนาการ” ขึ้นจากหลักฐานอันน้อยนิดแล้วเสนอเรื่องประหนึ่งว่ามันเคยมีอยู่จริง. นี่เป็นเหตุผลที่ความเห็นขัดแย้งกันเกิดขึ้นได้ อย่างรายงานในวารสารวิทยาศาสตร์ฉบับหนึ่งว่าดังนี้ “มนุษย์วิวัฒนาการเป็นขั้น ๆ ทีละเล็กทีละน้อยจากบรรพบุรุษคล้ายลิง และไม่ใช่อย่างที่นักวิทยาศาสตร์บางคนยืนยันว่าเป็นการเปลี่ยนโดยกะทันหันจากรูปหนึ่งเป็นอีกรูปหนึ่ง. . . . แต่นักมานุษยวิทยาบางคน ซึ่งอาศัยข้อมูลที่เหมือนกันกลับได้ข้อสรุปที่ตรงกันข้าม.”17
13. การหา “ตัวเชื่อมที่ขาดไป” ไม่พบ ทำให้เกิดอะไร?
13 ดังนั้น เราสามารถเข้าใจข้อสังเกตของ ซอลลี ซัคเคอร์แมน นักกายวิภาคศาสตร์มีชื่อ ในวารสารของวิทยาลัยราชแพทย์แห่งเอดินบะระ ดังนี้ “การค้นหา ‘ตัวเชื่อมที่ขาดไป’ ตัวอื้อฉาวในวิวัฒนาการของมนุษย์ ตัวศักดิ์สิทธิ์ของกลุ่มนักกายวิภาคศาสตร์และนักชีววิทยาที่ดื้อรั้น ทำให้เกิดการเดาและนิยายต่าง ๆ แพร่หลายในปัจจุบันนี้ เหมือนสมัย 50 ปีก่อน แถมทำมากกว่าด้วยซ้ำ.”18 เขาสังเกตว่าบ่อยครั้งทีเดียว มีการมองข้ามข้อเท็จจริง และสนับสนุนความเห็นที่นิยมกันตอนนั้น ทั้งที่หลักฐานต่าง ๆ ค้านกันอยู่.
“ผังสายพันธุ์” ของมนุษย์
14, 15. หลักฐานยังผลอย่างไรต่อ “ผังสายพันธุ์” ทางวิวัฒนาการของมนุษย์?
14 ผลคือ “ผังสายพันธุ์” ของมนุษย์ซึ่งมักจะเขียนขึ้นโดยอาศัยการอ้างวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ว่าเกิดมาจากสัตว์ชั้นต่ำ จึงเปลี่ยนอยู่เรื่อย ๆ. ตัวอย่างเช่น ริชาร์ด ลิกกีย์กล่าวว่าการค้นพบฟอสซิลเมื่อเร็ว ๆ นี้ “ทำลายความเชื่อที่ว่า ฟอสซิลทั้งหมดของยุคแรก ๆ อาจจัดเรียงกันได้อย่างเป็นระเบียบตามลำดับของการเปลี่ยนแปลงทางวิวัฒนาการ.”19 และหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งรายงานเกี่ยวกับการค้นพบนี้ว่า “หนังสือทุกเล่มเกี่ยวกับมานุษยวิทยา บทความทุกเรื่องเกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์ ภาพวาดทุกภาพเกี่ยวกับผังสายพันธุ์ของมนุษย์จึงต้องโยนทิ้งไป. เห็นชัดว่าเรื่องเหล่านี้ผิดทั้งสิ้น.”20
15 ผังสายพันธุ์มนุษย์ตามทฤษฎีวิวัฒนาการนั้นรกรุงรังด้วย “ตัวเชื่อม” ที่ถูกตัดทิ้งไปแล้ว ซึ่งแต่เดิมเคยยอมรับกัน. เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ ตั้งข้อสังเกตว่า วิทยาศาสตร์ทางวิวัฒนาการ “มีการคาดเดามากมายจนกระทั่งทฤษฎีต่าง ๆ เรื่องต้นกำเนิดของมนุษย์บอกเรื่องคนเขียนมากกว่าเนื้อหาของเรื่อง. . . . คนที่ค้นพบกะโหลกใหม่ก็มักจะวาดภาพผังสายพันธุ์ของมนุษย์ขึ้นใหม่ โดยใช้การค้นพบของตนเองเป็นหลักในสายพันธุ์ที่นำมาถึงมนุษย์ ส่วนกะโหลกอื่น ๆ ที่ได้พบมาก่อนเลยกลายเป็นเรื่องย่อยที่ใช้การไม่ได้.”21
16. เหตุใดนักวิทยาศาสตร์สองคนจึงไม่ใช้ผังสายพันธุ์ ในหนังสือของเขาเรื่องวิวัฒนาการ?
16 ในบทความวิจารณ์ หนังสือนิยายเกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์ ซึ่งแต่งโดยนักวิวัฒนาการ ไนลส์ เอลดริจ และเอียน แทตเธอร์แซล นิตยสารดิสคัฟเวอร์ ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้เขียนเหล่านี้ปฏิเสธเรื่องผังสายพันธุ์ทางวิวัฒนาการทั้งสิ้น. เพราะเหตุใด? หลังจากได้ชี้ว่า “ตัวเชื่อมที่เป็นบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นเพียงการเดาสุ่มเท่านั้น” วารสารฉบับนี้กล่าวว่า “เอลดริจ และแทตเธอร์แซลยืนยันว่ามนุษย์ค้นหาบรรพบุรุษของเขาโดยไม่สำเร็จ. . . . พวกเขาแย้งว่า ถ้ามีหลักฐานจริงแล้ว ‘เราควรคาดหมายอย่างมั่นใจว่าเมื่อได้พบฟอสซิลของสัตว์ลักษณะคล้ายมนุษย์มากขึ้น เรื่องวิวัฒนาการของมนุษย์ก็ต้องชัดเจนขึ้น. แต่แล้วการณ์กลับเป็นตรงกันข้าม.’”
17, 18. (ก) โดยวิธีใดจึงจะได้ “พบ” สิ่งที่นักวิวัฒนาการบางคนถือว่า “สูญหาย” ไป? (ข) หลักฐานฟอสซิลยืนยันเรื่องนี้อย่างไร?
17 ดิสคัฟเวอร์ สรุปว่า “เผ่าพันธุ์มนุษย์และสัตว์ทุกสกุลคงจะยังเป็นเสมือนกำพร้าอยู่ต่อไป เนื่องจากเอกลักษณ์ของบรรพบุรุษของเขาสูญหายไป.”22 บางที “สูญหาย” ไปจากทัศนะของทฤษฎีวิวัฒนาการ. แต่ในเยเนซิศเรา “พบ” บรรพบุรุษของเราอย่างที่ปรากฏในหลักฐานฟอสซิลจริง ๆ —เป็นมนุษย์เต็มตัวอย่างที่เราเป็นอยู่มิใช่หรือ?
18 หลักฐานฟอสซิลแสดงถึงต้นกำเนิดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างลิงกับคน. นี่คือสาเหตุที่หลักฐานฟอสซิลขาดตัวเชื่อมระหว่างคนกับสัตว์คล้ายลิง. ที่แท้แล้ว ตัวเชื่อมอย่างนั้นไม่เคยมีอยู่เลย.
พวกนั้นมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร?
19, 20. การวาดรูป “มนุษย์วานร” ยึดอะไรเป็นหลัก?
19 ถ้าบรรพบุรุษของคนมิใช่สัตว์คล้ายลิง แต่เหตุใดจึงมีภาพและหุ่นจำลอง “มนุษย์วานร” ปรากฏดาษดื่นบนสิ่งพิมพ์วิทยาศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ รอบโลก? เขาใช้อะไรเป็นหลัก? หนังสือชีววิทยาของชาติพันธุ์ ตอบว่า “ส่วนเนื้อและผมของตัวที่จำลองขึ้นนั้นต้องจินตนาการขึ้นเอง. สีผิว ลักษณะ สีและการกระจายของขนและรูปหน้า—เราไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลยเกี่ยวกับมนุษย์ในยุคดึกดำบรรพ์.”23
20 ไซเยนซ์ ไดเจสท์ วิจารณ์ว่า “ความคิดส่วนใหญ่ของพวกจิตรกรมักจะใช้จินตนาการมากกว่าหลักฐาน. . . . จิตรกรต้องสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมาระหว่างคนและลิง ถ้าตัวไหนว่ากันว่าโบราณมาก ก็ยิ่งทำให้เหมือนลิงมากเท่านั้น.”24 โดแนลด์ โจแฮนสันนักขุดค้นฟอสซิลยอมรับว่า “ไม่มีใครจะบอกได้แน่นอนว่าพวกที่สูญพันธุ์ไปแล้วมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร.”25
21. ที่จริงแล้ว ภาพ “มนุษย์วานร” ตามที่เห็นทั่วไปเป็นอะไร?
21 ที่จริงแล้ว นิวไซเยนติสต์ รายงานว่าไม่มี “หลักฐานมากพอจากฟอสซิลที่จะทำให้ข้อสมมุติของเราพ้นจากเรื่องความเพ้อฝัน.”26 ดังนั้นภาพ “มนุษย์วานร” จึงเป็นอย่างที่นักวิวัฒนาการคนหนึ่งยอมรับว่าเป็น “เรื่องที่แต่งขึ้นเองเสียเป็นส่วนใหญ่ . . . เป็นเรื่องประดิษฐ์ขึ้นแท้ ๆ.”27 ฉะนั้น ในหนังสือมนุษย์ พระเจ้าและเวทมนตร์ ไอวาร์ ลิสส์เนอร์วิจารณ์ว่า “เรากำลังเรียนรู้ทีละเล็กละน้อยว่ามนุษย์โบราณไม่จำเป็นต้องเป็นพวกป่าเถื่อนฉันใด เราก็ควรเข้าใจด้วยว่า มนุษย์ในยุคน้ำแข็งก็ไม่ใช่เป็นพวกสัตว์ดุร้าย หรือครึ่งลิง หรือพวกสมองทึบฉันนั้น. ดังนั้น จึงเป็นความโง่เขลาเหลือเกินที่จะพยายามสร้างมนุษย์เนอันเดอร์ทาล หรือแม้แต่มนุษย์ปักกิ่งขึ้นมาอีก.”28
22. ผู้ที่เชื่อถือในทฤษฎีวิวัฒนาการถูกหลอกอย่างไร?
22 ด้วยความพยายามที่จะหาหลักฐาน “มนุษย์วานร” นักวิทยาศาสตร์บางคนถึงกับเชื่อการโกง เช่น กรณีมนุษย์พิลท์ดาว์นในปี 1912. พวกนักวิวัฒนาการส่วนใหญ่ได้ยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นหลักฐานแท้จริงถึง 40 ปี. ในที่สุดเมื่อปี 1953 การหลอกลวงนี้ก็ถูกแฉออกมาเมื่อเทคนิคสมัยใหม่ชี้ให้เห็นว่า เป็นการเอากระดูกมนุษย์และลิงมาประกอบกันเข้า และทำให้ดูเหมือนเก่าแก่. อีกรายหนึ่ง ได้มีการวาดภาพตัวคล้ายลิงและอ้างว่าเป็น “ตัวเชื่อมที่ขาดไป” แล้วนำลงเสนอในหน้าหนังสือพิมพ์. แต่ภายหลังมีการยอมรับว่า “หลักฐาน” คือฟันเพียงซี่เดียวของสัตว์ตระกูลหมูที่สูญพันธุ์ไปแล้ว.29
พวกเหล่านี้คืออะไร?
23. พวกฟอสซิลบางอย่างที่เคยสันนิษฐานกันว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ ที่จริงแล้วคืออะไร?
23 ถ้าการสร้างภาพ “มนุษย์วานร” เป็นเรื่องไม่จริง สัตว์โบราณซึ่งเขาพบฟอสซิลเหล่านั้นล่ะเป็นตัวอะไร? สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในยุคแรก ๆ ซึ่งอ้างกันว่าเป็นที่มาของมนุษย์นั้นได้แก่สัตว์คล้ายหนูตัวเล็กที่เชื่อกันว่ามีชีวิตอยู่ 70 ล้านปีก่อน. โดแนลด์ โจแฮนสัน และเมตแลนด์ เอดีย์ เขียนไว้ในหนังสือ ลูซี: ต้นกำเนิดของมนุษยชาติ ว่า “มันเป็นสัตว์สี่เท้ากินแมลง ขนาดและรูปร่างเหมือนกระรอก.”30 ริชาร์ด ลิกกีย์เรียกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนี้ว่า “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชั้นสูงคล้ายหนู.”31 แต่มีหลักฐานแสดงชัดเจนไหมว่าสัตว์ตัวเล็กเหล่านี้เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์? ไม่มีเลย มีแต่การคาดคะเนเอาเอง. ไม่มีตัวเชื่อมซึ่งจะโยงมันเข้ากับตัวอื่นใดได้นอกไปจากที่มันเป็นอยู่คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเล็กคล้ายหนูเท่านั้น.
24. ความพยายามที่จะทำให้ อียิปโตพิเทคุส เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์นั้นก่อให้เกิดปัญหาอะไร?
24 ต่อมาในรายการซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่ว ๆ ไป และกล่าวกันว่า ห่างมาราว 40 ล้านปี คือฟอสซิลที่พบในอียิปต์ และเรียกว่าอียิปโตพิเทคุส—ลิงอียิปต์. ว่ากันว่าสัตว์ตัวนี้มีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 30 ล้านปีมาแล้ว. สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ได้ตีพิมพ์ภาพสัตว์ตัวเล็กนี้ด้วยพาดหัวข่าว เช่น “สัตว์ลักษณะคล้ายลิงเป็นบรรพบุรุษของเรา.” (ไทม์)32 “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชั้นสูงลักษณะคล้ายลิงจากแอฟริกาถูกเรียกว่าเป็นบรรพบุรุษร่วมของคนและลิง.” (เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์)33 “อียิปโตพิเทคุส คือบรรพบุรุษของทั้งพวกเราและลิงในปัจจุบัน.” (ต้นกำเนิด)34 แต่ตัวเชื่อมระหว่างสัตว์ประเภทนี้กับหนูที่มีอยู่ก่อนล่ะอยู่ที่ไหน? ตัวเชื่อมที่ต่อจากสัตว์ตัวนี้ในลำดับของวิวัฒนาการล่ะอยู่ที่ไหน? ไม่เคยได้พบเลย.
ความนิยมและความเสื่อมเรื่อง “มนุษย์วานร”
25, 26. (ก) มีการกล่าวอ้างถึง รามาพิเทคุส กันอย่างไร? (ข) ความพยายามที่จะทำให้มันเป็น “มนุษย์วานร” นั้นอาศัยหลักฐานฟอสซิลอะไร?
25 ต่อจากช่องว่างที่กว้างมากในหลักฐานฟอสซิลอีกช่องหนึ่ง มีการเสนอฟอสซิลของสัตว์อีกอย่างหนึ่งว่าเป็นลิงที่คล้ายคนตัวแรก. มันถูกระบุว่ามีชีวิตอยู่เมื่อ 14 ล้านปีที่แล้ว และตั้งชื่อว่ารามาพิเทคุส—ลิงของพระราม. ฟอสซิลของสัตว์ประเภทนี้พบในอินเดียราว 50 ปีมาแล้ว. จากฟอสซิลนี้เองจึงได้มีการสร้างสัตว์คล้ายลิง ยืนตัวตรง. เกี่ยวกับสัตว์นี้ หนังสือต้นกำเนิด กล่าวว่า “เท่าที่บอกได้ตอนนี้ก็คือ มันเป็นตัวแทนตัวแรกของครอบครัวมนุษย์.”35
26 มีหลักฐานฟอสซิลอะไรที่ทำให้สรุปอย่างนี้? หนังสือเล่มเดียวกันให้ข้อสังเกตว่า “หลักฐานเกี่ยวกับรามาพิเทคุส มีพอสมควร—ถ้าจะพูดในแง่สมบูรณ์แล้วก็ถือว่ามีน้อยมากจนน่าโมโห: มีขากรรไกรบนและล่างบางส่วน และฟันบางซี่.”36 คุณคิดว่านี่เป็น “หลักฐาน” ที่มาก “พอสมควร” ไหมที่จะใช้สร้าง “มนุษย์วานร” ที่ยืนตัวตรงเช่นนี้ให้เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์? กระนั้นสัตว์ตัวนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเดาเอาเอง แล้วจิตรกรได้วาดให้เป็น “มนุษย์วานร” และให้ภาพของมันแพร่หลายในข้อเขียนทางวิวัฒนาการ—ทั้งหมดโดยใช้หลักฐานเพียงชิ้นส่วนของกระดูกขากรรไกรและฟันเท่านั้น! แม้จะเป็นเช่นนั้น เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ รายงานว่าเป็นเวลาหลายสิบปีทีเดียวที่รามาพิเทคุส “ถูกใช้เป็นต้นตอที่เป็นจริงแน่นอนในผังสายพันธุ์มนุษย์.”37
27. หลักฐานที่มีต่อมาพิสูจน์อะไรเกี่ยวกับ รามาพิเทคุส?
27 แต่ไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป. การพบฟอสซิลที่ครบถ้วนกว่าเมื่อไม่นานมานี้แสดงว่า รามาพิเทคุส มีความคล้ายคลึงกันมากกับตระกูลลิงในปัจจุบัน. ดังนั้น เวลานี้นิว ไซเยนติสต์ แถลงว่า “รามาพิเทคุส ไม่อาจเป็นสมาชิกแรกในสายพันธุ์มนุษย์.”38 สิ่งที่พบใหม่นี้ก่อให้เกิดคำถามในนิตยสารประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ว่า “เป็นไปได้อย่างไรที่รามาพิเทคุส . . . ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยเพียงฟันและกระดูกขากรรไกร—ไม่มีกระดูกเชิงกราน ขา หรือกะโหลก—ได้ดอดมาอยู่ร่วมขบวนที่นำไปสู่มนุษย์?”39 เห็นได้ชัดว่า ความคิดคาดเอาเองอย่างมากมายคงเป็นส่วนของความพยายามที่จะทำให้หลักฐานเป็นอย่างที่มันไม่ได้เป็นจริง.
28, 29. มีการกล่าวอ้างอย่างไรเกี่ยวด้วยออสตราโลพิเทคุส?
28 ช่องว่างขนาดมหึมาอีกช่องหนึ่งมีอยู่ระหว่างสัตว์ตัวนี้ และตัวต่อไปซึ่งถูกระบุว่าเป็น “มนุษย์วานร” ต้นตระกูล. ตัวนี้เรียกว่าออสตราโลพิเทคุส—ลิงทางใต้. มีการค้นพบฟอสซิลของมันครั้งแรกที่แอฟริกาตอนใต้ในช่วงหลังปี 1920. กะโหลกของมันเล็กเหมือนลิง มีขากรรไกรแข็งแรง และมีคนวาดภาพให้เป็นสัตว์คล้ายลิงขนยาว เดินสองขา หลังโกง. กล่าวกันว่า มันอยู่ในสมัยสามหรือสี่ล้านปีมาแล้ว. ในเวลาต่อมามันเป็นที่ยอมรับของนักวิวัฒนาการแทบทุกคนว่า มันเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์.
29 ตัวอย่างเช่น ในหนังสือเดอะ โซเชียล คอนแทรคท์ กล่าวดังนี้ “ยกเว้นเพียงหนึ่งหรือสองคน นักค้นคว้าที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้ยอมรับกันแล้วว่า พวกออสตราโลพิเทคุส . . . เป็นบรรพบุรุษที่แท้จริงของมนุษย์.”40 เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ แถลงว่า “ออสตราโลพิเทคุส คือตัวที่วิวัฒนาการมาเป็นโฮโม ซาเปียนส์ หรือมนุษย์ปัจจุบันในที่สุด.”41 และในหนังสือ มนุษย์ กาลเวลา และฟอสซิล รูท มัวร์ บอกว่า “เมื่อดูหลักฐานทั้งหมดแล้ว ในที่สุดมนุษย์ก็ได้พบบรรพบุรุษดั้งเดิมของตนที่ค้นหากันมานานแล้ว.” เธอกล่าวย้ำว่า “หลักฐานมีอยู่มากมาย . . . ในที่สุดเราก็ได้พบตัวเชื่อมที่ขาดไป.”42
30, 31. หลักฐานต่อมาแสดงให้เห็นอย่างไรเกี่ยวกับออสตราโลพิเทคุส?
30 แต่หลักฐานใดก็ตาม ซึ่งที่จริงแล้ว มีน้อยมากหรือไม่มีจริง หรืออาศัยการตบตา ไม่ช้าก็เร็วคำกล่าวอ้างนั้นฟังไม่ขึ้น. เรื่องนี้เป็นจริงกับตัวอย่างต่าง ๆ ในหลายกรณีที่อ้างกันว่าเป็น “มนุษย์วานร.”
31 เป็นอย่างนั้นกับออสตราโลพิเทคุส ด้วย. การศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมแสดงให้เห็นว่ากะโหลกของมัน “แตกต่างจากกะโหลกคนในหลาย ๆ ทาง นอกเหนือไปจากสมองที่มีขนาดเล็กกว่า.”43 ซัคเคอร์แมนนักกายวิภาคศาสตร์เขียนไว้ว่า “เมื่อเปรียบเทียบกับกะโหลกของคนและลิงแล้ว พบว่ากะโหลกของออสตราโลพิเทคุสเหมือนของลิงอย่างแน่นอน—ไม่เหมือนของมนุษย์. การยืนยันอย่างอื่นก็คงเหมือนกับการยืนยันว่า สีดำเป็นสีขาว.”44 และ “สิ่งที่เราค้นพบแสดงให้เห็นว่า . . . ออสตราโลพิเทคุส ไม่มีส่วนคล้ายคลึงกับโฮโม ซาเปียนส์ แต่คล้ายกับตระกูลลิงในปัจจุบัน.”45 โดแนลด์ โจแฮนสัน กล่าวด้วยว่า “พวกออสตราโลพิเทคุส . . . ไม่ใช่คน.”46 ในทำนองเดียวกัน ริชาร์ด ลิกกีย์บอกว่า “เป็นไปไม่ได้ที่บรรพบุรุษโดยตรงของเราจะเป็นลูกหลานของพวกออสตราโลพิเทคุสตามวิวัฒนาการ.”47
32. ถ้าพวกสัตว์เหล่านั้นยังมีชีวิตในปัจจุบัน จะนับให้มันอยู่ในสกุลไหน?
32 ถ้าพวกออสตราโลพิเทคุสยังจะมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน เขาคงจะจัดที่ให้มันอยู่ในสวนสัตว์เหมือนลิงพวกอื่น ๆ. จะไม่มีใครเรียกมันว่า “มนุษย์วานร.” เป็นอย่างนั้นจริงกับฟอสซิลที่คล้ายกัน เช่น พวกออสตราโลพิเทคุสที่ย่อมกว่า เรียกว่า “ลูซี.” โรเบิร์ต จัสโทร กล่าวถึงฟอสซิลนี้ว่า “สมองของมันเป็นเพียงหนึ่งในสามของขนาดสมองมนุษย์.”48 เห็นได้ชัดว่าตัวนี้เป็นแค่ “ลิง” เช่นกัน. นิวไซเยนติสต์ กล่าวว่า “ลูซี” มีกะโหลก “เหมือนกับกะโหลกลิงชิมแปนซีมาก.”49
33. ฟอสซิลชนิดใดอาจเป็นฟอสซิลมนุษย์ หรืออาจไม่ใช่?
33 มีฟอสซิลอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่าโฮโม อีเร็คทุส—มนุษย์ที่ยืนตรง. ขนาดและรูปร่างของสมองของฟอสซิลนี้ใกล้เคียงกับของมนุษย์ตัวเล็ก ๆ ในปัจจุบัน. และเอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา ตั้งข้อสังเกตว่า “กระดูกแขนขาเท่าที่ค้นพบไม่อาจจำแนกออกจากกระดูกของโฮโม ซาเปียนส์.”50 อย่างไรก็ดี ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นมนุษย์หรือไม่. ถ้าใช่ ก็คงจะเป็นแขนงหนึ่งในตระกูลมนุษย์ที่สูญพันธุ์ไป.
ตระกูลมนุษย์
34. มีการเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับมนุษย์เนอันเดอร์ทาล?
34 มนุษย์เนอันเดอร์ทาล (ตั้งชื่อตามตำบลเนอันเดอร์ในเยอรมนีที่ได้พบฟอสซิลนี้ครั้งแรก) เป็นคนอย่างไม่มีข้อสงสัย. ในตอนแรกมีการวาดรูปเขาให้มีลักษณะเหมือนลิง มีขนยาว ท่าทางโง่ และเดินงุ้ม ๆ. ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันว่าภาพวาดที่ไม่ถูกต้องนี้อาศัยหลักฐานจากฟอสซิลของโครงกระดูกที่ผิดรูปผิดร่างไปมากเนื่องจากเป็นโรค. ภายหลังมีการค้นพบฟอสซิลของเนอันเดอร์ทาลมากมาย ยืนยันว่า พวกนี้เกือบไม่ต่างไปจากมนุษย์ปัจจุบันเลย. เฟรด ฮอยล์ ผู้แต่งหนังสือน้ำแข็ง บอกว่า “ไม่มีหลักฐานแสดงว่ามนุษย์เนอันเดอร์ทาลมีอะไรด้อยไปกว่าพวกเรา.”51 ดังนั้น รูปวาดมนุษย์เนอันเดอร์ทาลตอนหลังนี้จึงดูใกล้เคียงมากขึ้นกับคนในปัจจุบัน.
35. ฟอสซิลของโครมันยองคืออะไร?
35 ฟอสซิลอีกชนิดหนึ่งที่พบบ่อยในวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์คือ มนุษย์โครมันยอง. ชื่อนี้ตั้งขึ้นตามชื่อตำบลหนึ่งทางภาคใต้ของฝรั่งเศสซึ่งได้ขุดพบกระดูกเป็นครั้งแรก. หนังสือลูซี กล่าวไว้ว่า “ตัวอย่างเหล่านี้แทบจะไม่มีความแตกต่างอะไรเลยกับมนุษย์ในปัจจุบัน แม้กระทั่งพวกช่างสงสัยก็ยังต้องยอมรับว่า พวกนี้เป็นมนุษย์.”52
36. มีข้อเท็จจริงอะไรบ้างเกี่ยวกับฟอสซิลของสัตว์คล้ายลิงในอดีตกับฟอสซิลแบบมนุษย์?
36 ดังนั้น หลักฐานแสดงชัดว่าความเชื่อเรื่อง “มนุษย์วานร” นั้นไม่มีมูล. มนุษย์มีสิ่งบ่งทุกอย่างว่าถูกสร้างขึ้น—ต่างหากจากสัตว์ทุกชนิด. มนุษย์สืบพันธุ์มีลูกที่เป็นมนุษย์เหมือนพ่อแม่. เป็นอย่างนี้ในปัจจุบันเหมือนที่เป็นมาแล้วในอดีต. สัตว์อะไรก็ตามที่คล้ายลิงซึ่งเคยมีอยู่ในอดีตก็เป็นเพียงแต่วานรหรือลิง—มิใช่มนุษย์. และฟอสซิลใด ๆ ของมนุษย์โบราณซึ่งต่างกันเล็กน้อยกับมนุษย์ในปัจจุบัน ก็เป็นสิ่งซึ่งแสดงถึงความหลากหลายในตระกูลมนุษย์ เหมือนในทุกวันนี้ที่มีคนรูปร่างต่าง ๆ กันอาศัยอยู่ร่วมกัน. มีมนุษย์ที่สูงสองเมตรกว่าและมีมนุษย์พวกพิกมี ซึ่งมีโครงกระดูกใหญ่เล็กหลายขนาดแตกต่างกัน. แต่ทั้งหมดก็จัดอยู่ใน “ชนิด” มนุษย์ ไม่ใช่ “ชนิด” สัตว์.
จะว่าอย่างไรเรื่องอายุ?
37. ลำดับเวลาในพระคัมภีร์แสดงว่ามนุษย์อยู่บนโลกมานานเท่าไรแล้ว?
37 การนับเวลาในพระคัมภีร์แสดงว่า ตั้งแต่มีการสร้างมนุษย์ขึ้นมา เวลาได้ล่วงประมาณ 6,000 ปีแล้ว. แล้วเหตุใดเราจึงอ่านพบบ่อย ๆ ถึงฟอสซิลมนุษย์ที่มีอายุนานกว่านั้นมาก?
38. อายุที่บ่งชี้โดยการเสื่อมสลายของกัมมันตรังสีและซึ่งไม่ลงรอยกับลำดับเวลาในพระคัมภีร์พิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ผิดพลาดไหม?
38 ก่อนที่จะสรุปว่าลำดับเวลาในพระคัมภีร์เป็นเรื่องผิดพลาด จงพิจารณาถึงการที่นักวิทยาศาสตร์บางคนได้วิจารณ์อย่างเฉียบขาดต่อวิธีนับอายุโดยใช้กัมมันตรังสี. วารสารทางวิทยาศาสตร์ฉบับหนึ่งรายงานการค้นคว้าซึ่งแสดงว่า “การนับอายุโดยถือเกณฑ์จากการเสื่อมสลายของกัมมันตรังสี อาจผิดพลาดได้—ไม่เพียงแค่สองสามปี แต่อาจผิดมากมหาศาลทีเดียว. แทนที่จะว่ามนุษย์มีชีวิตอยู่บนโลกนี้มาถึง 3.6 ล้านปี อาจเป็นได้แค่ไม่กี่พันปีเท่านั้น.”53
39. “นาฬิกา” คาร์บอนรังสี เชื่อถือได้เสมอไหม?
39 เช่นเรื่อง “นาฬิกา” คาร์บอนรังสี. วิธีการระบุอายุโดยคาร์บอนรังสีนี้เพิ่งได้พัฒนาขึ้นมาในระยะยี่สิบปีโดยนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก. วิธีนี้ได้รับการยกย่องว่าแม่นยำในการระบุอายุวัตถุต่าง ๆ ที่ได้จากมนุษย์สมัยโบราณ. แต่แล้วบรรดาผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกประชุมกันที่อัพซาลา ประเทศสวีเดน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ซึ่งมีทั้งนักรังสีเคมี นักโบราณคดีและนักธรณีวิทยา. รายงานการประชุมของเขาแสดงว่า ข้อสันนิษฐานพื้นฐานมากมายซึ่งใช้ในการตรวจวัดอายุต่าง ๆ นั้นพบว่าเชื่อถือไม่ได้. ตัวอย่างเช่น มีการพบว่าอัตราของการก่อตัวของคาร์บอนกัมมันตรังสีในบรรยากาศไม่คงที่ในเวลาที่ผ่านมา และวิธีนี้ใช้การไม่ได้เมื่อต้องระบุอายุของวัตถุสมัย 2,000 ปีก่อนสากลศักราชหรือก่อนหน้านั้น.54
40. บันทึกต่าง ๆ ทางประวัติศาสตร์ สนับสนุนลำดับเวลาในพระคัมภีร์เกี่ยวด้วยอายุของเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างไร?
40 หลักฐานที่เชื่อถือได้จริงในเรื่องชีวิตมนุษย์บนโลกมีอายุหลายพันปี มิใช่หลายล้านปี. ตัวอย่างเช่น ในหนังสือชะตากรรมของโลก เราอ่านว่า “เพียงหกพันหรือเจ็ดพันปีที่แล้วมานี่เอง . . . อารยธรรมของมนุษย์ปรากฏขึ้น ทำให้เราก่อตัวขึ้นเป็นสังคมมนุษย์.”55 หนังสือสองล้านปีที่แล้ว กล่าวว่า “ในสมัยโบราณขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลงทางกสิกรรมเกิดขึ้นในช่วง 10,000 ถึง 5,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช.” หนังสือนี้ยังกล่าวด้วยว่า “การเขียนบันทึกต่าง ๆ มีเฉพาะระยะ 5,000 ปีที่แล้วมาเท่านั้น.”56 ข้อเท็จจริงที่ว่าหลักฐานฟอสซิลแสดงว่ามนุษย์ปัจจุบันปรากฏขึ้นกะทันหันบนโลก และบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้ยอมรับกันว่ามีมาไม่นานนัก สอดคล้องกันกับลำดับเวลาในพระคัมภีร์เรื่องชีวิตมนุษย์บนแผ่นดินโลก.
41. ผู้เป็นต้นคิดผู้หนึ่งในเรื่องการกำหนดอายุโดยใช้คาร์บอนรังสี กล่าวอย่างไรเกี่ยวกับการกำหนดอายุ “ก่อนยุคประวัติศาสตร์”?
41 ดับบลิว. เอ็ฟ. ลิบบี นักนิวเคลียร์ฟิสิกส์ รางวัลโนเบล ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาผู้คิดค้นวิธีบอกอายุโดยคาร์บอนรังสี กล่าวในวารสารไซเยนซ์ ว่า “การค้นคว้าเพื่อพัฒนาเทคนิคการบอกอายุประกอบด้วยสองขั้นตอน—การบอกอายุของตัวอย่างจากยุคต่าง ๆ ของประวัติศาสตร์และยุคก่อนประวัติศาสตร์ตามลำดับ. อาร์โนลด์ [เพื่อนร่วมงาน] และตัวผมถึงกับต้องตกตะลึงเป็นครั้งแรกเมื่อที่ปรึกษาของเราบอกว่า ประวัติศาสตร์มีอายุเพียง 5,000 ปีเท่านั้น. . . . คุณอ่านพบข้อความต่าง ๆ ที่กล่าวพาดพิงถึงสังคม หรือที่ตั้งทางโบราณคดีที่นั่นที่นี่ว่ามีอายุ 20,000 ปี. เราได้มารู้อย่างกะทันหันว่าตัวเลขเหล่านี้ ยุคสมัยต่าง ๆ ในกาลโบราณเหล่านี้ไม่มีใครทราบแน่นอน.”57
42. นักเขียนชาวอังกฤษผู้หนึ่งได้วิจารณ์อย่างไรถึงความแตกต่างระหว่างเรื่องราวในแบบวิวัฒนาการกับสิ่งที่บอกไว้ในพระธรรมเยเนซิศ?
42 เมื่อวิจารณ์หนังสือวิวัฒนาการ เอ็ม. มักเกอร์ริดจ์ นักเขียนชาวอังกฤษกล่าวว่า วิวัฒนาการขาดหลักฐาน. เขาสังเกตว่ามีการคาดเดาเอาเองอย่างกว้างขวาง. แล้วเขากล่าวว่า “เมื่อเทียบกันแล้วข้อความในพระธรรมเยเนซิศมีเหตุผลเพียงพอและอย่างน้อยน่าเชื่อถือ เมื่อพูดถึงสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับมนุษย์และความเป็นอยู่ของมนุษย์.” เขากล่าวว่า คำกล่าวโดยไม่มีมูลที่อ้างวิวัฒนาการของมนุษย์นับเป็นล้านปี “และการกระโดดจากกะโหลกหนึ่งไปยังอีกกะโหลกหนึ่ง ก็คงจะทำให้คนที่ไม่ได้จมอยู่กับนิยาย [ทางวิวัฒนาการ] เห็นว่าเป็นเรื่องของจินตนาการทั้งเพ.” มักเกอร์ริดจ์สรุปว่า “ลูกหลานของเราคงต้องแปลกใจและผมเชื่อว่า ต้องรู้สึกขบขันที่ทฤษฎีซึ่งไม่แน่นอนและไม่น่าเชื่อถือเช่นนั้นตรึงใจคนในศตวรรษที่ยี่สิบนี้ได้อย่างง่ายดาย.”58
[คำโปรยหน้า 84]
เหตุใดพวกลิง “ชั้นต่ำ” ยังอยู่รอดมาจนทุกวันนี้ แต่ไม่มี “มนุษย์วานร” “ชั้นสูงกว่า” รอดอยู่แม้แต่ตัวเดียว?
[คำโปรยหน้า 85]
ทฤษฎีต้น ๆ ว่าด้วยวิวัฒนาการของมนุษย์เป็น “จินตนาการของนักวิทยาศาสตร์ศตวรรษที่สิบเก้า”
[คำโปรยหน้า 85]
“หลักฐานสำคัญทางวิทยาศาสตร์ได้แก่กองกระดูกกองเล็กดูน่าสลดใจ”
[คำโปรยหน้า 87]
“การค้นหา ‘ตัวเชื่อมที่ขาดไป’ ตัวอื้อฉาว . . . ทำให้เกิดการเดาและนิยายต่าง ๆ แพร่หลาย”
[คำโปรยหน้า 88]
“ภาพวาดทุกภาพเกี่ยวกับผังสายพันธุ์ของมนุษย์จึงต้องโยนทิ้งไป”
[คำโปรยหน้า 90]
ไม่มี “หลักฐานมากพอจากฟอสซิล ที่จะทำให้ข้อสมมุติของเราพ้นจากเรื่องความเพ้อฝัน”
[คำโปรยหน้า 93]
“รามาพิเทคุส ไม่อาจเป็นสมาชิกแรกในสายพันธุ์มนุษย์”
[คำโปรยหน้า 95]
“ไม่มีหลักฐานแสดงว่า มนุษย์เนอันเดอร์ทาลมีอะไรด้อยไปกว่าพวกเรา”
[คำโปรยหน้า 98]
“ลูกหลานของเราคงต้องแปลกใจ . . . ที่ทฤษฎีซึ่งไม่แน่นอนและไม่น่าเชื่อถือเช่นนั้นตรึงใจคนในศตวรรษที่ยี่สิบนี้ได้อย่างง่ายดาย”
[กรอบ/ภาพหน้า 94]
ครั้งหนึ่งเคยมีการยอมรับว่า ออสตราโลพิเทคุส เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ เป็น “ตัวเชื่อมที่ขาดไป.” ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์บางคนเห็นพ้องกันว่ากะโหลกของมัน “เหมือนกะโหลกของลิงอย่างแน่นอน—ไม่เหมือนของมนุษย์”
[ภาพ]
กะโหลกออสตราโลพิเทคุส
กะโหลกชิมแปนซี
กะโหลกมนุษย์
[ภาพหน้า 84]
เนื่องจากสิ่งมีชีวิตในโลกทุกวันนี้ไม่มีตัวเชื่อมระหว่างมนุษย์กับสัตว์ นักวิวัฒนาการจึงหวังกันว่าตัวเชื่อมนั้นจะพบได้ในพวกฟอสซิล
[ภาพหน้า 86]
นักวิวัฒนาการคนหนึ่งยอมรับว่า “เราไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาในเรื่องขนาดและโครงสร้างของสมองตั้งแต่ โฮโม ซาเปียนส์ ปรากฏอยู่ในหลักฐานฟอสซิล”
[ภาพหน้า 89]
ภาพวาด “มนุษย์วานร” อาศัยอะไรเป็นหลัก? นักวิวัฒนาการตอบว่า ใช้ “จินตนาการ” เรื่องที่แต่งขึ้นเองเสียเป็นส่วนใหญ่” “เป็นเรื่องประดิษฐ์ขึ้นแท้ ๆ”
[ภาพหน้า 91]
กล่าวกันว่าสัตว์มีฟันแทะคล้ายหนูเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์. แต่ไม่มีหลักฐานฟอสซิลแสดงถึงความเกี่ยวพันกันเช่นนั้น
สัตว์คล้ายลิงตัวนี้เคยถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งในบรรพบุรุษของเรา. ไม่มีหลักฐานฟอสซิลสนับสนุนคำกล่าวอ้างนี้
[ภาพหน้า 92]
อาศัยเพียงฟันและกระดูกขากรรไกรบางส่วน รามาพิเทคุส ถูกเรียกว่าเป็น “ตัวแทนตัวแรกของครอบครัวมนุษย์.” หลักฐานต่อมาแสดงว่าไม่ใช่
[ภาพหน้า 96]
เหมือนกับสิ่งที่พบในหลักฐานฟอสซิล ปัจจุบันนี้มีความแตกต่างกันมากมายในขนาดและแบบของโครงกระดูกมนุษย์. แต่ทั้งหมดก็จัดอยู่ใน “ชนิด” มนุษย์
[ภาพหน้า 97]
มนุษย์มีสิ่งบ่งชี้ทุกอย่างว่าถูกสร้างขึ้นต่างหากจากพวกลิง
[แผนภาพ/ภาพหน้า 90]
มนุษย์พิลท์ดาวน์เป็นที่ยอมรับว่าเป็น “ตัวเชื่อมที่ขาดไป” ถึง 40 ปี จนกระทั่งถูกแฉว่าเป็นการหลอกลวง. มีการนำเอากระดูกขากรรไกรบางส่วนและฟันของลิงชิมแปนซีมาประกอบเข้ากับบางส่วนของกะโหลกมนุษย์
[แผนภาพ]
(รายละเอียดดูจากหนังสือ)
บริเวณสีดำเป็นชิ้นส่วนของกะโหลกมนุษย์
บริเวณสีขาวทั้งหมดทำเทียมขึ้นจากปูนปลาสเตอร์
บริเวณสีดำเป็นชิ้นส่วนต่าง ๆ ของกระดูกขากรรไกรและฟันของลิงชิมแปนซี