บท 12
ใครทำขึ้นก่อน?
1. นักชีววิทยาผู้หนึ่งพูดไว้อย่างไรเกี่ยวกับมนุษย์นักประดิษฐ์?
นักชีววิทยาผู้หนึ่งกล่าวว่า “ผมสงสัยว่าเราไม่ใช่เป็นผู้คิดค้นอย่างที่เราคิด เราเป็นเพียงผู้ทำซ้ำสิ่งที่มีอยู่ก่อน.”1 หลายครั้ง มนุษย์ผู้ประดิษฐ์คิดค้นเพียงแต่ทำซ้ำสิ่งซึ่งพืชและสัตว์ได้ทำต่อเนื่องกันมาเป็นพัน ๆ ปีแล้ว. การลอกแบบจากสิ่งมีชีวิตเป็นไปอย่างกว้างขวางจนกระทั่งได้รับชื่อของมันเองว่า ไบโอนิคส์ (bionics)
2. นักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งเปรียบเทียบเทคโนโลยีของมนุษย์กับสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติอย่างไร?
2 นักวิทยาศาสตร์อีกผู้หนึ่งกล่าวว่าเกือบทั้งหมดของเทคโนโลยีขั้นพื้นฐานทุกแขนงของมนุษย์ “เป็นที่รู้จัก และนำไปใช้ประโยชน์โดยสิ่งมีชีวิต . . . ก่อนที่มนุษย์จะเรียนรู้และใช้ประโยชน์จากกรรมวิธีเหล่านั้น.” น่าสนใจ เขาเพิ่มเติมว่า “ในหลายด้าน เทคโนโลยีของมนุษย์ยังล้าหลังธรรมชาติอยู่อีกมาก.”2
3. ควรคำนึงถึงคำถามอะไร เมื่อพิจารณาตัวอย่างการลอกแบบธรรมชาติ?
3 ขณะที่คุณพิจารณาความสามารถอันยอดเยี่ยมของสิ่งมีชีวิตซึ่งมนุษย์นักประดิษฐ์พยายามจะเลียนแบบ คุณคิดว่ามีเหตุผลไหมที่จะเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ? และที่ได้เกิดขึ้นนั้นก็มิใช่เพียงครั้งเดียว แต่เกิดขึ้นหลายครั้งในสัตว์ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกันเลย? ประสบการณ์สอนเราว่า การออกแบบที่ซับซ้อนอย่างนั้นต้องเป็นผลงานของผู้ออกแบบที่ยอดเยี่ยมมิใช่หรือ? จริง ๆ แล้วคุณคิดไหมว่าความบังเอิญเพียงอย่างเดียวสามารถสร้างสิ่งซึ่งต่อมาต้องอาศัยมนุษย์ที่เก่งกาจลอกเลียนแบบ? จงคำนึงถึงคำถามดังกล่าว ขณะที่คุณพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้:
4. (ก) ปลวกทำให้รังของมันเย็นอย่างไร? (ข) คำถามอะไรที่นักวิทยาศาสตร์ไม่อาจตอบได้?
4 การปรับอากาศ. เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้หลายบ้านเย็นชื่นใจ. แต่ปลวกก็ทำให้รังของมันเย็นสบายมานานแล้ว และปัจจุบันมันก็ยังทำกันอยู่. รังของมันอยู่ในใจกลางของจอมปลวก. จากรังของมันอากาศอุ่นจะลอยขึ้นไปผ่านท่ออากาศที่เป็นแผงใกล้พื้นผิว. ณ ที่นี้อากาศเสียจะซึมผ่านด้านข้างจอมปลวกที่มีรูพรุนเล็ก ๆ และอากาศที่เย็นสดชื่นจะซึมลอดลงไปสู่โพรงอากาศที่ใต้ฐานจอมปลวก. แล้วอากาศที่เย็นจะไหลเวียนเข้าไปในรัง. จอมปลวกบางชนิดมีรูที่ใต้ฐานซึ่งอากาศบริสุทธิ์จะผ่านเข้าไป และในสภาพอากาศร้อน น้ำซึ่งซึมขึ้นมาจากใต้ดินจะระเหยและทำให้อากาศเย็นลง. พนักงานตาบอดนับล้านเหล่านี้ประสานงานกันอย่างไรในความพยายามที่จะสร้างโครงสร้างที่มีการออกแบบอย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้? ลูอิส โทมัส นักชีววิทยาตอบว่า “ความเป็นจริงที่ว่า ปลวกสำแดงอะไรบางอย่างที่เป็นเสมือนปัญญาโดยส่วนรวม ยังคงเป็นเรื่องลึกลับ.”3
5-8. นักออกแบบเครื่องบินเรียนอะไรจากปีกของนก?
5 เครื่องบิน. การออกแบบปีกเครื่องบินได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นในหลายปีที่ผ่านมาโดยการศึกษาปีกของนก. ความโค้งของปีกนกทำให้เกิดแรงยกที่ต้องการเพื่อต้านแรงโน้มถ่วงที่ดึงลงมา. แต่เมื่อเอียงปีกขึ้นมากเกินไป จะเกิดการติดขัดขึ้นได้ เพื่อเลี่ยงการติดขัดนี้ ที่ขอบหน้าของปีกนกจึงมีแถวขนซึ่งจะโผล่ออกเมื่อมุมเอียงของปีกมีมากขึ้น (1, 2). แผ่นขนเหล่านี้จะคงแรงยกไว้โดยกันไม่ให้กระแสอากาศแยกจากพื้นผิวปีก.
6 อีกสิ่งหนึ่งที่จะควบคุมลมแปรปรวน และป้องกัน “การติดขัด” คือขนอะลูลา (3) ขนนกกระจุกเล็ก ๆ ซึ่งนกจะกระดกขึ้นได้เหมือนนิ้วหัวแม่มือ.
7 ตรงปลายปีกของทั้งนกและเครื่องบิน จะมีกระแสอากาศวนเกิดขึ้นและทำให้เกิดแรงต้าน. นกจะลดแรงต้านนี้โดยสองวิธี. นกบางชนิดเช่น นกแอ่นและนกอัลบาทรอสมีปีกที่ยาวเรียวปลายแหลม ปีกแบบนี้จะขจัดกระแสอากาศวนได้เกือบหมด. นกชนิดอื่นเช่น เหยี่ยวตัวใหญ่และนกแร้งมีปีกกว้างซึ่งจะทำให้เกิดกระแสวนได้มาก แต่นกจะแก้เรื่องนี้ด้วยการกางขนที่ปลายปีกออกกว้างเหมือนกางนิ้วมือ. โดยวิธีนี้ทำให้ปลายปีกที่ไม่แหลมกลายเป็นปลายแหลมหลาย ๆ แฉกซึ่งจะลดกระแสอากาศวนและแรงต้าน (4).
8 นักออกแบบเครื่องบินได้นำรูปแบบต่าง ๆ เหล่านี้ไปใช้. ความโค้งของปีกทำให้เกิดแรงยกตัว. ปีกเล็กและกระโดงต่าง ๆ ช่วยควบคุมกระแสอากาศ หรือเป็นตัวช่วยห้ามล้อ. เครื่องบินลำเล็กบางชนิดลดแรงต้านที่ปลายปีกโดยการติดแผ่นแบนตั้งฉากกับพื้นผิวปีก. กระนั้นปีกเครื่องบินก็ยังไม่อาจเทียบได้กับกลไกอันมหัศจรรย์ในปีกนก.
9. มีสัตว์และพืชอะไรที่นำหน้าก่อนมนุษย์รู้จักใช้สารกันการเป็นน้ำแข็ง และมันได้ผลดีถึงเพียงไหม?
9 สารต้านการเป็นน้ำแข็ง. มนุษย์ใช้กลีโคลในหม้อน้ำรถยนต์เพื่อต้านการเป็นน้ำแข็ง. แต่พืชขนาดเล็กบางชนิดซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นใช้กลีเซอรอลซึ่งมีลักษณะทางเคมีคล้ายคลึงกันเพื่อต้านการเป็นน้ำแข็งในทะเลสาบแถบแอนตาร์กติกา. เราพบสิ่งเดียวกันนี้ในแมลงซึ่งมีชีวิตอยู่ได้ในอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียสต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง. มีปลาซึ่งผลิตสารป้องกันการแข็งตัวของมันเอง ซึ่งทำให้มันมีชีวิตอยู่ได้ในน้ำที่เย็นเยียบแถบแอนตาร์กติกา. ต้นไม้บางชนิดยืนต้นในอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียสต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง เพราะน้ำในต้น “บริสุทธิ์ยิ่ง ไม่มีฝุ่นหรือผงใด ๆ ซึ่งผลึกน้ำแข็งจะก่อตัวขึ้นได้.”4
10. ด้วงดิ่งบางชนิดประดิษฐ์และใช้อุปกรณ์หายใจใต้น้ำอย่างไร?
10 การหายใจใต้น้ำ. มนุษย์ผูกถังอากาศไว้ที่หลังและอยู่ใต้น้ำได้ถึงหนึ่งชั่วโมง. ด้วงดิ่งบางชนิดทำแบบง่ายกว่าและอยู่ในน้ำได้นานกว่า. มันจะจับฟองอากาศไว้แล้วดำลงไป. ฟองอากาศทำหน้าที่เหมือนปอด. ฟองอากาศนี้รับคาร์บอนไดออกไซด์จากด้วงและปล่อยให้มันกระจายไปในน้ำและรับเอาออกซิเจนซึ่งมีอยู่ในน้ำมาให้ด้วงใช้.
11. นาฬิกาชีวภาพมีมากเพียงไรในธรรมชาติ และมีตัวอย่างอะไรบ้าง?
11 นาฬิกา. นาฬิกาในสิ่งมีชีวิตรักษาเวลาอย่างเที่ยงตรงมานานก่อนมนุษย์รู้จักใช้นาฬิกาแดด. เมื่อน้ำลง พืชขนาดเล็กมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นที่เรียกว่า ไดอะตอมจะขึ้นมาอยู่บนทรายเปียกตามชายหาด. เมื่อน้ำขึ้น ไดอะตอมจะมุดลงไปใต้ทรายอีก. กระนั้น เมื่อพืชนี้อยู่กับทรายในห้องทดลองซึ่งไม่มีกระแสน้ำขึ้นลง นาฬิกาในตัวไดอะตอมก็ยังคงทำงาน และมันจะขึ้นและลงไปตามเวลาน้ำขึ้นน้ำลง. ปูเปี้ยวจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำและออกจากรูในช่วงน้ำลง ในช่วงน้ำขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีจางและกลับลงรู. ในห้องทดลองห่างจากทะเล มันก็ยังรักษาเวลา โดยเปลี่ยนสีสลับกันตามเวลาน้ำขึ้นน้ำลง. นกสามารถรู้ทิศทางโดยอาศัยดวงอาทิตย์และดวงดาว ซึ่งเปลี่ยนตำแหน่งตามเวลาที่ผ่านไป. มันจะต้องมีนาฬิกาในตัวซึ่งสามารถปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนตำแหน่งเช่นนั้น. (ยิระมะยา 8:7) นับจากพืชขนาดจิ๋วกระทั่งถึงมนุษย์ นาฬิกาในสิ่งมีชีวิตนับล้าน ๆ เรือนกำลังเดินอยู่.
12. มนุษย์เริ่มใช้เข็มทิศอย่างง่าย ๆ ตั้งแต่เมื่อไร? แต่ได้มีการใช้เข็มทิศมาก่อนแล้วอย่างไร?
12 เข็มทิศ. ประมาณศตวรรษที่ 13 แห่งสากลศักราช มนุษย์เริ่มใช้เข็มทิศแม่เหล็กที่ลอยในถ้วยน้ำ—เป็นเข็มทิศแบบง่าย ๆ. แต่นั่นไม่ใช่สิ่งใหม่. แบคทีเรียมีเส้นใยประกอบด้วยอนุภาคแม่เหล็กในขนาดพอเหมาะสำหรับใช้เป็นเข็มทิศ. เข็มทิศเหล่านี้นำมันไปตามทิศทางซึ่งเหมาะจะเป็นที่อยู่ของมัน. มีสารแม่เหล็กอยู่ในสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อีกมากเช่น นก ผึ้ง ผีเสื้อ ปลาโลมา หอยและอื่น ๆ. การทดลองพบว่า นกพิราบสื่อสารอาศัยการตรวจจับสนามคลื่นแม่เหล็กของโลก. ปัจจุบันยอมรับกันทั่วไปว่า วิธีหนึ่งที่พวกนกอพยพรู้จักทางของมันคือ โดยเข็มทิศแม่เหล็กซึ่งมีอยู่ในหัวของมัน.
13. (ก) ไม้ป่าชายเลนเติบโตในน้ำเค็มได้อย่างไร? (ข) มีสัตว์อะไรบ้างที่ดื่มน้ำทะเลได้ เพราะเหตุใด?
13 ทำน้ำจืดจากน้ำเค็ม. มนุษย์สร้างโรงงานใหญ่โตเพื่อสกัดเกลือออกจากน้ำทะเล. ไม้ป่าชายเลนมีรากดูดน้ำทะเลขึ้นมา แต่มันกรองน้ำผ่านเยื่อบาง ๆ ที่สกัดเกลือออกไป. ต้นแสมใช้ต่อมที่อยู่ใต้ใบเพื่อกำจัดเกลือส่วนเกิน. นกทะเลเช่น นกนางนวล นกกระทุง นกกาน้ำ นกอัลบาทรอสและนกเพเทร็ลล้วนแต่กินน้ำทะเล และขจัดเกลือส่วนเกินจากเลือดโดยใช้ต่อมที่อยู่ในหัวของมัน. เช่นเดียวกัน นกเพ็นกวิน เต่าทะเลและเหี้ยทะเลกินน้ำเค็ม แต่สามารถกำจัดเกลือส่วนเกินได้.
14. สัตว์อะไรบ้างเป็นตัวอย่างในการกำเนิดไฟฟ้า?
14 ไฟฟ้า. มีปลาประมาณ 500 ชนิดที่มีไฟฟ้า. ปลาดุกแอฟริกาสามารถกำเนิดไฟฟ้าได้ 350 โวลต์. ปลากระเบนไฟฟ้ายักษ์ในแถบเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติกให้กระแสไฟฟ้า 50 แอมแปร์ที่ 60 โวลต์. ปลาไหลไฟฟ้าในอเมริกาใต้เคยปล่อยกระแสไฟฟ้าวัดได้สูงถึง 886 โวลต์. นักเคมีผู้หนึ่งกล่าวว่า “มีปลาชนิดต่าง ๆ ถึง 11 ตระกูล ที่พบว่ามีบางชนิดมีอวัยวะกำเนิดไฟฟ้าได้.”5
15. สัตว์ทำเกษตรกรรมหลายอย่างอะไรบ้าง?
15 การเกษตรกรรม. มนุษย์ได้ทำการเพาะปลูกและเลี้ยงปศุสัตว์แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว. แต่นานก่อนมนุษย์รู้จักทำ มดที่กัดใบไม้เป็นนักเพาะปลูกอยู่แล้ว. มันเพาะราเป็นอาหารในปุ๋ยหมักหมมที่ได้จากใบไม้และขี้ของมัน. มดบางชนิดเลี้ยงเพลี้ยเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยง รีดน้ำผึ้ง รสหวานจากตัวเพลี้ยเหล่านั้นและถึงกับสร้างที่กำบังให้มัน. มดเก็บเกี่ยวจะส่ำสมเมล็ดพืชไว้ในโรงเก็บใต้ดิน. (สุภาษิต 6:6-8) ด้วงลิดกิ่งแขนงของต้นสกุลไมยราบ. ตัวไพคาสและอ้นของอเมริกาเหนือ ตัด ตากแห้งและเก็บสะสมหญ้าแห้งไว้กิน.
16. (ก) เต่าทะเล นกบางชนิด และจระเข้ ฟักไข่ของมันอย่างไร? (ข) เหตุใดงานของไก่แมลลีตัวผู้จึงเป็นงานที่ท้าทายที่สุด และมันทำอย่างไร?
16 เครื่องฟักไข่. มนุษย์สร้างเครื่องกกไข่ แต่เขาทำได้ทีหลัง. เต่าทะเลและนกบางชนิดวางไข่ในหลุมทรายอุ่น ๆ เพื่อให้ฟักไข่. นกชนิดอื่นจะวางไข่ไว้ตามขี้เถ้าภูเขาไฟที่อุ่นเพื่อไข่จะฟักที่นั้น. บางครั้ง จระเข้จะกลบไข่ของมันด้วยหญ้าหรือใบไม้ที่ผุเน่าเพื่อให้เกิดความร้อน. แต่เรื่องนี้ไก่แมลลีตัวผู้เป็นผู้เชี่ยวชาญ. มันจะขุดหลุมใหญ่แล้วคาบเศษใบไม้ถมลงไปและเขี่ยทรายทับ. ใบไม้ที่กำลังเน่าเปื่อยจะทำให้กองทรายนี้อุ่น ไก่แมลลีตัวเมียจะออกไข่ฟองหนึ่งแต่ละสัปดาห์เป็นเวลาถึงหกเดือน และตลอดเวลาในช่วงนั้น ไก่ตัวผู้จะตรวจอุณหภูมิโดยที่มันจะเอาจะงอยปากแหย่ลงไปในกองทราย. โดยการเขี่ยทรายเพิ่มเข้ามาหรือเขี่ยทิ้งไป ไม่ว่าอากาศจะเย็นต่ำกว่าจุดเยือกแข็งกระทั่งร้อนจัด มันจะรักษาอุณหภูมิที่กกไข่นี้คงที่ประมาณ 33 องศาเซลเซียสตลอดเวลา.
17. ปลาหมึกยักษ์ และปลาหมึกหอมใช้แรงขับเคลื่อนไอพ่นอย่างไร และมีสัตว์อะไรบ้างที่ไม่ใช่ประเภทปลาหมึกใช้วิธีนี้ด้วย?
17 แรงขับเคลื่อนไอพ่น. สมัยนี้เมื่อคุณขึ้นเครื่องบิน คุณอาจถูกขับเคลื่อนด้วยพลังไอพ่น. สัตว์หลายชนิดก็ขับเคลื่อนด้วยไอพ่นด้วย และเป็นอย่างนี้นานนับพัน ๆ ปีแล้ว. ปลาหมึกยักษ์และหมึกหอมเด่นขึ้นหน้าในเรื่องนี้. มันดูดน้ำเข้าไปในช่องพิเศษ และแล้วด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรงขณะที่ดันน้ำออกมันก็พุ่งตัวไปข้างหน้า. สัตว์ที่ใช้แรงขับเคลื่อนไอพ่นเหมือนกันได้แก่ หอยงวงช้าง หอยแครง แมงกะพรุน ตัวอ่อนแมลงปอ และรวมทั้งแพลงตอนบางชนิดในมหาสมุทร.
18. พืชและสัตว์อะไรบ้างที่มีแสง และแสงของมันมีประสิทธิภาพสูงกว่าแสงที่มนุษย์ทำขึ้นในทางใด?
18 การให้แสงสว่าง. โทมัส เอดิสัน ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า. แต่ประสิทธิภาพยังไม่ดี เพราะดวงไฟสูญเสียพลังงานไปในรูปของความร้อน. หิ่งห้อยทำได้ดีกว่าในขณะที่มันกระพริบแสงเป็นระยะ ๆ หิ่งห้อยให้แสงเย็นที่ไม่ทำให้สูญเสียพลังงาน. พวกฟองน้ำ รา แบคทีเรียและหนอนหลายชนิดมีแสงสว่างเรือง. กิ้งกือบางชนิดเป็นเหมือนขบวนรถไฟขนาดเล็กที่เคลื่อนไปโดยมี “ไฟหัวรถจักร” สีแดง และมี “หน้าต่าง” สีขาวหรือเขียวซีดสิบเอ็ดคู่. ปลาหลายชนิดมีแสง เช่น พวกปลานักตกเบ็ดเป็นต้น. จุลชีพนับล้าน ๆ ส่องแสงระยิบระยับในคลื่นมหาสมุทร.
19. ใครได้ทำกระดาษมานานแล้วก่อนมนุษย์ และนักทำกระดาษพวกหนึ่งบุฉนวนบ้านของมันอย่างไร?
19 กระดาษ. ชาวอียิปต์ทำกระดาษหลายพันปีมาแล้ว. ถึงกระนั้นก็ยังล้าหลังตัวต่อและแตน. ช่างทำงานมีปีกเหล่านี้จะเคี้ยวเนื้อไม้ผุ ๆ ผลิตกระดาษสีเทาเพื่อใช้สร้างรังของมัน. ตัวแตนห้อยรังกลมใหญ่ของมันจากต้นไม้. ผิวนอกเป็นกระดาษแข็งหลายชั้นซ้อนกัน คั่นไว้ด้วยช่องอากาศที่ปิดทึบ. ช่องเหล่านี้เป็นฉนวนป้องกันรังไว้จากความร้อนและความหนาวเย็นได้ดีเท่ากับผนังอิฐหนา 40 เซนติเมตร.
20. แบคทีเรียชนิดหนึ่งเคลื่อนไหวไปมาอย่างไร และพวกนักวิทยาศาสตร์มีปฏิกิริยาอย่างไรต่อเรื่องนี้?
20 เครื่องยนต์โรตารี. แบคทีเรียขนาดจิ๋วรู้จักทำเครื่องยนต์โรตารีได้ก่อนมนุษย์พัน ๆ ปี. แบคทีเรียชนิดหนึ่งมีหางคล้ายเส้นผมบิดเกลียวแข็งคล้ายเกลียวเปิดจุกขวด. เกลียวนี้จะหมุนเหมือนกับใบพัดเรือ ดันตัวมันไปข้างหน้า และสามารถหมุนกลับทางได้ด้วย! แต่ที่ว่ามันทำงานอย่างไรนั้นยังไม่เป็นที่เข้าใจ. รายงานหนึ่งอ้างว่าแบคทีเรียอาจทำความเร็วได้ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และบอกว่า “ที่จริงแล้ว ธรรมชาติเป็นผู้คิดค้นล้อหมุนขึ้น.”6 นักวิจัยผู้หนึ่งสรุปว่า “ความคิดที่มหัศจรรย์ที่สุดเรื่องหนึ่งของชีววิทยาได้เป็นจริงแล้วนั่นคือ ธรรมชาติได้สร้างเครื่องยนตร์โรตารี สมบูรณ์ด้วยข้อต่อแกนหมุน ลูกปืนและเฟืองหมุนส่งกำลัง.”7
21. สัตว์หลายชนิดซึ่งไม่อยู่ในจำพวกเดียวกันใช้ระบบโซนาร์อย่างไร?
21 โซนาร์. โซนาร์ของค้างคาวและปลาโลมานั้นมนุษย์ยังทำได้ไม่ดีเท่า. ในห้องมืดซึ่งมีลวดเส้นเล็กหลาย ๆ เส้นขึงผ่าน ค้างคาวจะบินไปมาแต่ไม่ชนลวดเลย. สัญญาณเสียงความถี่สูงซึ่งมันส่งออกมาจะสะท้อนจากวัตถุกลับไปหาค้างคาว ซึ่งใช้การหาตำแหน่งโดยเสียงสะท้อนแล้วบินหลบได้. ปลาโลมาและปลาวาฬใช้วิธีเดียวกันในน้ำ. นกน้ำมันใช้วิธีการหาตำแหน่งโดยเสียงสะท้อนนำทางเข้าและออกจากถ้ำมืดซึ่งมันอาศัยอยู่ มันจะส่งเสียงแหลมนำหน้าเสมอ.
22. หลักเกี่ยวกับการถ่วงน้ำหนักที่ใช้ในเรือดำน้ำมีบทบาทอย่างไร ในสัตว์บางชนิดที่ไม่ใช่จำพวกเดียวกัน?
22 เรือดำน้ำ. เรือดำน้ำมากมายเคยมีมาก่อนแล้ว ก่อนมนุษย์คิดประดิษฐ์ขึ้นมา. ราดิโดแลเรียนที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นมีหยดน้ำมันเล็ก ๆ ในโปรโตพลาสซึม ซึ่งมันใช้ควบคุมน้ำหนักตัว และเป็นวิธีที่มันเคลื่อนขึ้นลงในมหาสมุทร. ปลาทำให้อากาศเข้าและออกจากถุงลมเพื่อเปลี่ยนแปลงความลอยตัวของมัน. ในเปลือกหอยงวงช้างมีช่อง ๆ หรือถังสำหรับลอยตัว. โดยการเปลี่ยนสัดส่วนของน้ำและอากาศในถังเหล่านี้ มันสามารถจะอยู่ได้ในระดับความลึกต่าง ๆ กัน. ลิ้นทะเล (ส่วนแข็งของเปลือกใน) ของหมึกกระดองเต็มไปด้วยรูพรุนภายใน. เพื่อควบคุมการลอยตัว สัตว์คล้ายปลาหมึกยักษ์นี้จะสูบน้ำออกจากกระดองของมัน และให้อากาศเข้าไปแทนในช่องว่าง. ดังนั้น ช่องว่างในกระดองของมันจึงทำหน้าที่เหมือนถังอับเฉาในเรือดำน้ำ.
23. สัตว์อะไรบ้างมีอวัยวะตรวจจับความร้อน และแม่นยำขนาดไหน?
23 เครื่องวัดอุณหภูมิ. มนุษย์เริ่มประดิษฐ์เครื่องวัดอุณหภูมิตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา แต่ก็เป็นแบบหยาบ ๆ เมื่อเทียบกับสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ. หนวดยุงสามารถบอกถึงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ 1/500 องศาเซลเซียสได้. รอยบุ๋มที่หัวของงูหางกระดิ่งจะบอกถึงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ 1/1000 องศาเซลเซียสได้. งูเหลือมจะมีปฏิกิริยาใน 35/1000 วินาทีต่อความร้อนที่เปลี่ยนแปลงเพียงเสี้ยวขององศา. จะงอยปากของไก่แมลลี และไก่งวงป่าอาจบอกถึงอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงครึ่งองศาเซลเซียสได้.
24. ตัวอย่างเหล่านี้เตือนให้เราคิดถึงคำกล่าวอะไร?
24 การที่มนุษย์ลอกแบบจากสัตว์ทั้งหมดนี้ชวนให้นึกถึงสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลแนะว่า “จงถามสัตว์ป่าทั้งหลาย และมันจะสอนท่าน จงถามนกป่าทั้งหลาย—มันจะบอกท่าน สัตว์ที่คลานอยู่มันจะแนะนำท่าน ปลาในทะเลจะชี้แจงท่าน.”—โยบ 12:7,8 ฉบับแปลมอฟฟัท.
[คำโปรยหน้า 152]
การลอกแบบจากสิ่งมีชีวิตเป็นไปอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งได้รับชื่อของมันเอง
[แผนภาพหน้า 153]
(รายละเอียดดูจากหนังสือ)
รังมีอากาศเย็นสบายเพราะการระเหย
อากาศเสีย
อากาศภายนอก
น้ำใต้ดิน
[แผนภาพหน้า 154]
(รายละเอียดดูจากหนังสือ)
1 2 3 4
1 2 3
[ภาพหน้า 155]
ฟองอากาศ
[ภาพหน้า 159]
รูปหอยงวงช้างตัดตามขวาง