การฉ้อฉลในวิทยาศาสตร์การฉ้อฉลซึ่งร้ายกาจที่สุด
นักวิวัฒนาการบอกว่า ‘วิวัฒนาการคือข้อเท็จจริง พระเจ้าเป็นเทพนิยาย.’ พวกเขาไม่มีข้อพิสูจน์ทั้งสองกรณี แต่อคติไม่ต้องมีข้อพิสูจน์.
ทรัพย์สินส่วนตัว. ห้ามเข้า. พวกเขาพูดเช่นนี้กับพระเจ้า! นักวิวัฒนาการตั้งวิชาชีววิทยาขึ้นและบอกพระเจ้ามิให้เข้ามาเกี่ยวข้อง. พวกเขาพูดว่า ‘นักวิทยาศาสตร์ผู้มีความสามารถทุกคนเชื่อวิวัฒนาการ. ซึ่งเท่ากับบอกโดยปริยายว่า: ‘นักวิทยาศาสตร์ผู้ไม่เชื่อเป็นคนที่ไม่มีความสามารถ และขาดความเชี่ยวชาญที่พวกเรามี.’ ในเรื่องพระเจ้า พวกเขาบอกว่า ไม่มีที่ให้กับพระองค์ในแนวความคิดทางวิทยาศาสตร์. ยิ่งกว่านั้น แม้ความเป็นอยู่ของพระองค์ก็เป็นสิ่งพิสูจน์ไม่ได้.
การปฏิเสธพระเจ้าอย่างแยบยลนี้เป็นการฉ้อฉลครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด.
หนังสือเดอะ นิว ไบโอโลจี โดยโรเบิร์ต ออกรอส และยอร์ช สแตนชิยู ในหน้า 188 เน้นคำแถลงของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ ซึ่งตัดประเด็นเรื่องพระเจ้าออกไปดังต่อไปนี้ “ความเห็นโดยทั่วไปถือว่าดาร์วินตัดความจำเป็นในเรื่องพระเจ้าออกไปจากวิชาชีววิทยาตลอดกาล. เอลเดร็ดจ์พูดว่า ดาร์วิน ‘สอนพวกเราว่าเราสามารถเข้าใจประวัติชีวิตในแง่ของธรรมชาติอย่างแท้จริงได้โดยไม่ต้องพึ่งสิ่งที่เหนือธรรมชาติหรือพระผู้เป็นเจ้า.’ จูเลียน ฮักซ์เลย์บอกว่า ‘ลัทธิดาร์วินยกความคิดทั้งสิ้นเรื่องพระเจ้าผู้สร้างสิ่งมีชีวิตออกไปจากขอบเขตการพิจารณาด้วยหลักเหตุผล.’ จาก็อบเขียนว่า ‘ความคิดที่ว่าชีวิตแต่ละชนิดได้รับการออกแบบแยกต่างหากกันโดยพระผู้สร้างนั้นถูกทำลายลงโดยดาร์วิน.’ และซิมซันเขียนถึงต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตว่า ‘อย่างไรก็ตาม ไม่มีเหตุผลที่จะอ้างถึงการอัศจรรย์. ทั้งไม่จำเป็นที่จะคาดคิดว่าต้นกำเนิดของขบวนการใหม่ ๆ ด้านการสืบพันธุ์และการกลายพันธุ์เป็นอย่างอื่นนอกจากเป็นมาโดยขบวนการทางวัตถุ.’”
คุณอาจถามว่า ‘ถ้าอย่างนั้นชีวิตบนแผ่นดินโลกนี้ก็ไม่ต้องมีผู้สร้าง—ผู้ออกแบบเลยกระนั้นหรือ?’ นักวิวัฒนาการตอบว่า ‘ไม่จำเป็นเลย! มันเป็นเรื่องของความบังเอิญ. ความบังเอิญที่ไร้เชาวน์ปัญญาเป็นผู้ออกแบบ. เราเรียกว่าการคัดเลือกโดยธรรมชาติ.’
แต่ยิ่งเราเรียนรู้ ก็ยิ่งเห็นว่าต้องมีการออกแบบ. การใช้เชาวน์ไหวพริบและสติปัญญาน่าทึ่งมาก. มันมากเกินกว่าที่ความบังเอิญอันไร้เชาวน์ปัญญาไม่มีความคิด ไม่มีสมอง จะจัดการได้มิใช่หรือ? ลองพิจารณาเพียงไม่กี่ตัวอย่างของสิ่งประดิษฐ์นับร้อย ๆ ชิ้นในธรรมชาติที่สะท้อนให้เห็นสติปัญญาในการสร้าง—ซึ่งมนุษย์นักประดิษฐ์ได้ลอกเลียนแบบบ่อย ๆ.
ปีกนกซึ่งใช้หลักวิชาพลศาสตร์ทางอากาศมีมาหลายพันปีก่อนที่จะมีการออกแบบปีกเครื่องบินซึ่งด้อยกว่า. หอยงวงช้างซึ่งในลำตัวแบ่งเป็นช่อง ๆ และปลาหมึก ใช้ถังอากาศเพื่อรักษาความลอยตัวไม่ว่าว่ายน้ำอยู่ระดับใดโดยมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเรือดำน้ำสมัยปัจจุบันมากนัก. ปลาหมึกยักษ์และปลาหมึกชนิดอื่น ๆ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแรงขับเคลื่อนไอพ่น. ค้างคาวและปลาโลมาช่ำชองในเรื่องโซน่า. สัตว์เลื้อยคลานและนกทะเลหลายชนิดมี “โรงงานทำน้ำจืดจากน้ำเค็ม” ในตัวเอง ซึ่งทำให้มันกินน้ำทะเลได้. แบคทีเรียขนาดจิ๋วมีเครื่องยนต์โรตารีซึ่งทำให้เดินหน้าและถอยหลังได้.
ด้วยรังที่ออกแบบอย่างมีเชาวน์ปฏิภาณและการใช้ประโยชน์จากน้ำ ปลวกสามารถปรับอากาศในรังของมัน. แมลง พืชขนาดจิ๋ว ปลาและต้นไม้ใช้ “สารต้านการเป็นน้ำแข็ง” ในแบบของตนเอง. การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแม้เพียงเสี้ยวองศาก็รับรู้ได้โดยเครื่องวัดอุณหภูมิที่มีอยู่ในตัวงู ยุง นกแมลลีและไก่งวง. แตน ตัวต่อ เป็นนักทำกระดาษ. ฟองน้ำ รา แบคทีเรีย หิ่งห้อย แมลง ปลา—เหล่านี้ล้วนผลิตแสงเรืองที่ไม่ร้อน และมีสีสัน. นกอพยพหลายชนิดดูเหมือนว่ามีเข็มทิศ แผนที่ และนาฬิกาชีวภาพอยู่ในหัวของมัน. ด้วงดิ่งและแมงมุมใช้เครื่องหายใจใต้น้ำที่ประกอบเป็นชุดและเครื่องประดาน้ำในการดำน้ำ.a
เพื่อจะทำให้เกิดรูปแบบต่าง ๆ และสัญชาตญาณที่เต็มไปด้วยสติปัญญาเช่นนี้ได้ จะต้องอาศัยเชาวน์ปัญญาล้ำลึกเกินกว่าของมนุษย์มาก. (สุภาษิต 30:24) แต่ตัวอย่างที่น่าพิศวงที่สุดจะพบได้ในอาณาจักรของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กสุดประมาณ—ซึ่งนักวิวัฒนาการหวังจะเห็นการเริ่มต้นของชีวิตแบบเรียบง่ายเป็นจุดเริ่มการวิวัฒนาการตามลำดับขึ้นไปจนถึงแบบชีวิตที่ซับซ้อนซึ่งเห็นกันอยู่ทุกแห่งหน—รวมทั้งตัวเรา. เริ่มต้นง่าย ๆ น่ะหรือ? ไม่ใช่เด็ดขาด! ลองพิจารณาความสลับซับซ้อนซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการออกแบบอันเต็มไปด้วยเชาวน์ปัญญาในเซลล์ที่เล็กที่สุดก็แล้วกัน.
ที่หน้า 30 ของหนังสือ เดอะ นิว ไบโอโลจี กล่าวว่า “โดยทั่ว ๆ ไปเซลล์หนึ่ง ๆ มีปฏิกิริยาทางเคมีนับร้อยเกิดขึ้นทุก ๆ วินาทีและสามารถสร้างเซลล์แบบตัวมันเองได้ทุก ๆ ยี่สิบนาทีหรือราว ๆ นั้น. กระนั้น ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในบริเวณที่เล็กมาก: แบคทีเรีย 500 ตัวรวมกันอยู่ในพื้นที่ขนาดเท่าจุดมหัพภาคท้ายประโยคนี้. [นักชีววิทยาฟรานซัวส์] เจค็อบรู้สึกอัศจรรย์ใจในห้องแล็บขนาดจิ๋วของเซลล์แบคทีเรียซึ่ง ‘ปฏิบัติการเพื่อก่อปฏิกิริยาทางเคมีประมาณสองพันชนิดด้วยความเชี่ยวชาญชนิดหาที่เปรียบมิได้ ในเนื้อที่แคบจนสุดจะจินตนาการ. ปฏิกิริยาทางเคมีประมาณสองพันชนิดเหล่านี้แยกจากกันและรวมตัวกันด้วยความเร็วสูงโดยไม่สับสนอลหม่าน.’”
หนังสือ เดอะ เซ็นเตอร์ ออฟ ไลฟ์—อะ แนเชอรัล ฮิสตอรี ออฟ เดอะ เซลล์ โดยแอล. แอล. แลร์ริสัน คัดมอร์ กล่าวที่หน้า 13, 14 ว่า “แค่เซลล์ ๆ เดียวอาจผลิตอาวุธ หาอาหาร ย่อยอาหาร กำจัดของเสีย เคลื่อนที่ สร้างบ้าน ผสมพันธุ์ ในแบบปกติ หรือแบบพิศดาร. สิ่งมีชีวิตดังกล่าวมีให้เห็นอยู่ทั่วไป. จุลชีพเหล่านี้—แบบชีวิตที่ครบถ้วนสมบูรณ์ กระนั้นก็เป็นเพียงแค่เซลล์เดียวพร้อมด้วยความสามารถหลากหลาย แต่ไม่มีเนื้อเยื่อ ไม่มีอวัยวะ ไม่มีหัวใจ และไม่มีจิตใจ—แท้จริงมีทุกสิ่งที่เรามีอยู่.”
หนังสือเดอะ ไบลนด์ ว็อชเมคเกอร์ โดยริชาร์ด ดอว์กินส์ ที่หน้า 116 ให้ความเห็นในเรื่องข้อมูลที่บรรจุในเซลล์เดียวดังนี้: “มีเนื้อที่เพียงพอในดีเอ็นเอเซลล์เดียวของเมล็ดดอกลิลี หรือในเซลล์เดียวของสเปอร์มจิ้งจกที่จะบรรจุข้อมูลถึง 60 เท่าของสารานุกรมบริแทนนิกา. ตัวอะมีบาบางชนิดซึ่งเรียกอย่างผิด ๆ ว่าเป็น ‘สัตว์ที่มีรูปแบบง่าย ๆ’ บรรจุข้อมูลในดีเอ็นเอของมันได้เท่ากับสารานุกรมบริแทนนิกา 1,000 ชุด.”
ไมเคิล เดนตัน นักชีววิทยาโมเลกุลเขียนไว้ในหนังสือเอโวลูชัน: อะ ธีโอรี อิน ไครซิส หน้า 250 ดังนี้: “ชีววิทยาทางโมเลกุลแสดงให้เห็นว่าแม้กระทั่งระบบของสิ่งที่มีชีวิตที่ง่ายที่สุดบนแผ่นดินโลกในปัจจุบันก็เป็นสิ่งที่มีความซับซ้อนมากเหลือประมาณ. ถึงแม้ว่าเซลล์แบคทีเรียชนิดที่เล็กจนเหลือเชื่อ มีน้ำหนักไม่ถึง [หนึ่งในล้านล้านส่วนของกรัม] แท้จริง แต่ละเซลล์คือโรงงานขนาดจิ๋วที่สุดบรรจุเครื่องจักรโมเลกุลที่ออกแบบอย่างงดงามละเอียดอ่อน ประกอบด้วยแสนล้านอะตอม ซับซ้อนยิ่งกว่าเครื่องจักรใด ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นและไม่มีสิ่งใด ๆ ที่ไม่มีชีวิตเทียบได้เลย.
“ชีววิทยาทางโมเลกุลแสดงให้เห็นอีกด้วยว่ารูปแบบพื้นฐานของระบบเซลล์โดยแก่นแท้แล้วเหมือนกันในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนแผ่นดินโลก ตั้งแต่แบคทีเรียจนถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม. ในสิ่งที่มีชีวิตทั้งสิ้น บทบาทของดีเอ็นเอ เอ็มอาร์เอ็นเอและโปรตีนเหมือนกัน. ความหมายของรหัสในหน่วยถ่ายพันธุ์ก็เกือบจะเหมือนกันทุกเซลล์. ขนาด โครงสร้างและรูปแบบประกอบของกลไกการสังเคราะห์โปรตีนในเซลล์ทุกชนิดแทบไม่มีอะไรต่างกัน. เพราะฉะนั้น ในแง่ของการออกแบบทางชีวะเคมีขั้นพื้นฐานแล้ว ไม่มีระบบของสิ่งมีชีวิตใด ๆ จะคิดได้เลยว่าเป็นแบบง่าย ๆ หรือเป็นบรรพบุรุษโบราณที่ระบบอื่น ๆ พัฒนาต่อมาภายหลัง ทั้งไม่มีวี่แววแม้แต่น้อยว่าเป็นการวิวัฒนาการต่อเนื่องท่ามกลางเซลล์ที่มีความหลากหลายอย่างไม่น่าเชื่อบนแผ่นดินโลก.”
จอร์ช กรีนสไตน์ ยอมรับว่าเชาวน์ปัญญาทั้งหมดนี้มีอยู่ในโครงสร้างของแผ่นดินโลก. ในหนังสือของเขาชื่อ เดอะ ซิมไบโอติค ยูนิเวอร์ส เขาพูดถึงความประจวบเหมาะมากมายอันเหลือเชื่อหาคำอธิบายไม่ได้ ซึ่งถ้าปราศจากความประจวบเหมาะเช่นนั้นแล้ว ชีวิตบนแผ่นดินโลกจะมีขึ้นไม่ได้เลย. คำกล่าวต่อไปนี้ซึ่งปรากฏอยู่ตั้งแต่หน้า 21 ถึง 28 สะท้อนให้เห็นความกลุ้มใจของเขาต่อสภาพการณ์ต่าง ๆ ซึ่งให้หลักฐานว่าต้องมีพระเจ้าซึ่งมีเชาวน์ปัญญาและมีจุดมุ่งหมาย:
“ผมเชื่อว่าเราเผชิญกับข้อลึกลับ—ข้อลึกลับอันยิ่งใหญ่สุดจะหยั่งได้ และมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด นั่นคือความลึกลับที่ว่าเอกภพเหมาะจะเป็นที่อยู่อาศัย และที่ว่าสิ่งแวดล้อมเหมาะสม.” เขาเริ่มต้น “ให้รายละเอียดสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นความบังเอิญต่อเนื่องอันน่าฉงนและไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ซึ่งเป็นการเตรียมการณ์เพื่อชีวิตจะอุบัติขึ้น.b มีรายการสิ่งที่ประจวบเหมาะมากมายซึ่งล้วนแต่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชีวิตของเรา.” กระนั้น “รายการเหล่านี้เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ. . . ความประจวบเหมาะมากมายเหลือเกิน! ยิ่งผมอ่าน ผมก็ยิ่งมั่นใจว่า ‘ความประจวบเหมาะ’ เหล่านั้น เกิดโดยบังเอิญไม่ได้เลย.” เป็นข้อเท็จจริงหักล้างอย่างสิ้นเชิงซึ่งนักวิวัฒนาการต้องเผชิญ ดังที่เขายอมรับต่อไปดังนี้:
“แต่ขณะที่ความเชื่อมั่นอย่างนี้เพิ่มขึ้น สิ่งอื่นก็เพิ่มขึ้นด้วย. แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้นับว่ายากที่จะหาคำพูดมาอธิบาย ‘สิ่งนั้น’. มันเป็นความรังเกียจเดียดฉันท์อย่างรุนแรง และบางครั้งเกือบแสดงออกมาทางร่างกาย. ผมบิดตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย. ความคิดนี้แหละที่ว่า ความเหมาะสมของเอกภพต่อสิ่งมีชีวิต เป็นข้อลึกลับที่จะต้องได้รับการเฉลย ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระจนน่าหัวเราะ. ผมรู้สึกว่ายากที่จะคิดอย่างนี้โดยไม่สะอิดสะเอียน. . . . แล้วปฏิกิริยาเช่นนี้ก็ไม่เคยเลือนหายไปตลอดเวลาหลายปี: ขณะเขียนหนังสือนี้อยู่ก็ต้องต่อสู้กับมันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น. ผมมั่นใจว่าปฏิกิริยาเช่นนี้เกิดขึ้นกับนักวิทยาศาสตร์คนอื่นทุกคน และนั่นคือสาเหตุที่มีความไม่แยแสอย่างกว้างขวางต่อแนวความคิดนี้ในปัจจุบัน. และยิ่งกว่านั้น บัดนี้ผมเชื่อแล้วว่าความไม่แยแสที่แสดงออกก็เพื่ออำพรางการเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงที่อยู่ภายใน.”
“การเป็นปฏิปักษ์ต่ออะไร? ก็ต่อความคิดที่ว่าคำอธิบายอาจจะอยู่ในพระผู้สร้างที่มีจุดมุ่งหมาย. ดังที่กรีนสไตน์แสดงความเห็นไว้ว่า “ขณะที่เราสำรวจดูหลักฐานทั้งหมด ความคิดก็รบเร้าอยู่ตลอดว่า คงมีพลังอำนาจเหนือธรรมชาติอะไรสักอย่าง หรือถ้าจะพูดให้ถูก พลังปฏิบัติงาน ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง. เป็นไปได้ไหมว่าโดยฉับพลัน อย่างไม่จงใจ เรามาสะดุดข้อพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ว่าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุดมีจริง? เป็นพระเจ้าหรือที่ได้เข้ามาออกแบบจักรวาลนี้เพื่อประโยชน์ของเรา?” แต่กรีนสไตน์สลัดความคิดนอกรีตนอกรอยเช่นนั้นทิ้ง และยืนยันอีกถึงความคิดดั้งเดิมตามหลักศาสนาวิวัฒนาการ แล้วก็พูดถึงหลักข้อเชื่อของพวกตนอีกที่ว่า: “พระเจ้ามิใช่คำอธิบาย.”
ในหนังสือดิ อินเทลลิเจนท์ ยูนิเวอร์ส ของเฟร็ด ฮอยล์ นักดาราศาสตร์สาขากายภาพเคมี ที่หน้า 9 พูดถึงคนประเภทเดียวกับกรีนสไตน์ผู้ซึ่งกลัวพระเจ้าจะเข้ามาเกี่ยวข้องว่า “นักวิทยาศาสตร์หัวอนุรักษ์นิยมห่วงใยที่จะป้องกันมิให้ถอยกลับไปยังความเลยเกินทางศาสนาในอดีต ยิ่งกว่าที่จะมุ่งไปยังหลักความจริง [และความห่วงใยนี้] ได้ครอบงำความคิดตามทางวิทยาศาสตร์ตลอดศตวรรษที่แล้วมา.”
ครั้นแล้วเขาได้พิจารณาในหนังสือของเขาเกี่ยวกับข้อลึกลับอย่างเดียวกันที่ทำให้กรีนสไตน์ลำบากใจ. เขาบอกว่า: “ลักษณะพิเศษเช่นนั้นดูเหมือนจะแทรกอยู่ตลอดทั่วธรรมชาติเสมือนเส้นใยแห่งความบังเอิญที่ประจวบเหมาะ. แต่ความประจวบเหมาะอันประหลาดเหล่านี้ซึ่งจำเป็นแก่ชีวิตมีมากมายจนดูเหมือนว่าต้องมีคำอธิบายบางอย่างถึงเหตุผลที่เป็นเช่นนั้น.” ทั้งฮอยล์และกรีนสไตน์บอกว่า ความบังเอิญไม่อาจอธิบาย “ความประจวบเหมาะอย่างไม่เจตนา” เหล่านี้ได้. แล้วฮอยล์ก็พูดถึงสิ่งที่อธิบายการเป็นมาเหล่านี้ว่า ‘การกำเนิดของจักรวาลต้องอาศัยเชาวน์ปัญญา’ ‘เชาวน์ปัญญาในระดับสูง’ ‘เชาวน์ปัญญาที่อยู่ก่อนหน้าเราซึ่งนำไปสู่การจงใจสร้างโครงสร้างต่าง ๆ ที่เหมาะสมต่อชีวิต.’
ที่กล่าวมานี้มิได้หมายว่าฮอยล์คิดถึงพระเจ้าของคัมภีร์ไบเบิล แต่เขาเห็นว่าเบื้องหลังเอกภพ แผ่นดินโลกและชีวิต ต้องมีเชาวน์ปัญญาน่าพรั่นพรึงเหนือธรรมชาติ. เมื่อเขาพูดว่า “พระเจ้าเป็นคำต้องห้ามในวิทยาศาสตร์” ขณะเดียวกันเขาเปิดช่องไว้ว่าเราอาจ “นิยามเชาวน์ปัญญาที่สูงกว่าตัวเราว่าเป็นผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่.” เขาเดาว่า “ผ่านทางสภาพจิตใจของเราที่มีการกำหนดไว้ก่อนหน้าแล้ว อาจจะมี “การเชื่อมโยงของเชาวน์ปัญญาจากเบื้องบนลงมา . . . ยังมนุษย์บนแผ่นดินโลก.”
เขากล่าวว่า “มีสิ่งบ่งบอกมากมายว่าอาจเป็นเช่นนั้น. ความไม่สงบใจภายในตัวเราเป็นการบอกใบ้อย่างหนึ่ง. ประหนึ่งว่า เรามีการรับรู้โดยสัญชาตญาณว่ามีอะไรบางอย่างที่สำคัญจะต้องกระทำ. ความไม่สงบใจเกิดขึ้นก็เพราะเรายังไม่สามารถค้นพบสาเหตุที่แน่นอนได้.” เขาพูดอีกว่า “ปรากฏว่าพลังกระตุ้นทางศาสนามีเฉพาะกับมนุษย์ . . . หากเครื่องประดับหรูหรามากมายซึ่งทำให้ศาสนากลายเป็นแบบแผนประเพณีถูกลอกคราบออก ก็เหลือแค่เป็นคำชี้แนะที่อยู่ภายในตัวเรามิใช่หรือซึ่งถ้าพูดออกมาแบบง่าย ๆ อาจเป็นทำนองว่า: เจ้าเกิดมาจากอะไรสักอย่างที่ ‘ไกลออกไป’ ในท้องฟ้า. จงแสวงหาสิ่งนั้นซิและเจ้าจะพบมากกว่าที่คาดคิด.”
มนุษย์กำลังคลำหา. สิ่งที่เขาคลำหาโดยไม่รู้ตัวก็คือความจริงในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า เราถูกสร้างตามแบบฉายาของพระเจ้า หมายความว่าเรามีคุณลักษณะเยี่ยงพระเจ้าในระดับหนึ่ง ได้แก่ สติปัญญา ความรัก อำนาจ ความยุติธรรม จุดมุ่งหมาย และคุณลักษณะอื่น ๆ ซึ่งเป็นเหตุให้มีเหวใหญ่กั้นระหว่างคนกับสัตว์. จิตใจของเราถูกกำหนดการไว้ให้มีคุณลักษณะเยี่ยงพระเจ้าและเพื่อการนมัสการต่อพระเจ้า. ความไม่สงบใจจะยังคงมีต่อไป จนกว่าคุณลักษณะหลายอย่างเหล่านั้นจะอยู่ในดุลยภาพอันถูกต้อง และมีการติดต่อกับพระเจ้าโดยคำอธิษฐานรวมทั้งการนมัสการแท้ต่อพระองค์. เมื่อความต้องการฝ่ายวิญญาณเหล่านี้ซึ่งเราถูกสร้างให้มีได้รับการสนอง ความไม่สงบใจจะเปิดทางให้แก่ “สันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเหลือที่จะเข้าใจได้” จะเข้ามาแทนที่.—ฟิลิปปอย 4:7; เยเนซิศ 1:26-28.
กิจการ 17:27, 28 สนับสนุนการคลำหาที่ว่านั้น ในทำนองนี้ “เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้า และหากเขาจะคลำหาก็จะได้พบพระองค์ ด้วยพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย ด้วยว่าเรามีชีวิต และไหวตัวและเป็นอยู่ในพระองค์.” โดยพระองค์นี้ พระผู้สร้างเอกภพ รวมทั้งแผ่นดินโลกและพวกเราที่เป็นผู้อาศัย เราจึงมีชีวิต ไหวตัว และเป็นอยู่. การเปลื้องทิ้งความหรูหราและหลักคำสอนเท็จแห่งศาสนาที่คนทั่วไปนับถือกันตั้งแต่อดีต—ซึ่งศาสนาเหล่านั้นพาคนนับล้าน ๆ รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก หันออกจากพระเจ้า—และติดตามการนมัสการแท้ต่อพระยะโฮวาเจ้า เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลกที่กลายเป็นอุทยาน ซึ่งเป็นพระประสงค์ดั้งเดิมของพระยะโฮวาในการสร้างแผ่นดินโลก.—เยเนซิศ 2:15; ยะซายา 45:18; ลูกา 23:43; โยฮัน 17:3.
ต้องมีความงมงายอย่างมหาศาลทีเดียวที่จะคิดว่าเชาวน์ปัญญาขนาดนี้อยู่ในความบังเอิญที่ไร้สมอง. ความเชื่อเช่นนั้นเทียบได้กับความเชื่อของนักศาสนานอกรีตในสมัยผู้พยากรณ์ยะซายาดังนี้ “แต่ส่วนเจ้าผู้ได้ละทิ้งพระยะโฮวา และได้ลืมภูเขาบริสุทธิ์ของเรา ผู้ได้ปูเสื่อตั้งสำหรับถวายพระโชค และเอาเหล้าองุ่นอย่างผสมใส่ลงในจอกถวายพระเคราะห์.” (ยะซายา 65:11) นักวิวัฒนาการหมายพึ่งความบังเอิญที่ “โชคดี” นับเป็นล้าน ๆ หนเพื่อจะสร้างมนุษย์จากก้อนหิน แต่พวกเขายังไม่ทันจะขึ้นขั้นแรกของบันไดวิวัฒนาการ. “พระโชค” ของเขาก็เป็นเสมือนต้นอ้อที่หักซึ่งใช้ในการค้ำยันไม่ได้ซะแล้ว.
เฟร็ด ฮอยล์ รู้สึกสังหรณ์ใจในเรื่องเหล่านี้ดังคำพูดต่อไป “อีกประเด็นหนึ่งที่รบกวนใจผมคือความเชื่อที่ว่าช่องทางแห่งโอกาสสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์อาจแคบมากเมื่อมองในแง่ของเวลา. ต้องอาศัยเทคโนโลยีระดับสูงเพื่อเปิดช่องทางนี้ แต่เทคโนโลยีระดับสูงในตัวมันเอง โดยที่ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เรากับโลกภายนอกพิภพนี้ อาจจะพาไปสู่การทำลายตัวเอง. ถ้าหากว่าบางแห่งในหนังสือนี้ ดูเหมือนว่าผมคัดค้านทฤษฎีของดาร์วินรุนแรงไปบ้าง นั้นเป็นเพราะผมรู้สึกว่าสังคมที่มุ่งไปในแนวทฤษฎีนั้นเดินไปในทางทำลายตัวเองค่อนข้างแน่.”
อลิส ในนิทานเรื่องธรู เดอะ ลุคกิง กลาส ไม่เชื่อการหาเหตุผลแปลก ๆ ของราชินีขาว ก็ได้แต่หัวเราะ. เธอบอกว่า “อย่าใช้ความพยายามเลย. ใครจะไปเชื่อเรื่องที่เป็นไปไม่ได้.” ราชินีตอบว่า “ฉันกล้าพูดได้เลยว่าเธอไม่ได้ฝึกมามากพอ. เมื่อฉันอายุเท่าเธอ ฉันฝึกวันละครึ่งชั่วโมง. บางครั้งฉันเชื่อเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ตั้งหกเรื่องก่อนอาหารเช้าเชียวนะ.”
นักวิวัฒนาการคือราชินีขาวแห่งยุคปัจจุบัน. พวกเขาฝึกฝนนับครั้งไม่ถ้วนในการเชื่อเรื่องที่เป็นไปไม่ได้.
[เชิงอรรถ]
a ดูบทที่ 12 ในหนังสือชีวิต—เกิดขึ้นมาอย่างไร? โดยวิวัฒนาการหรือมีผู้สร้าง? พิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็คท์ แห่งนิวยอร์ก.
b ระยะห่างระหว่างดวงดาว; การสั่นสะเทือนร่วมของอนุภาคและอะตอมเพื่อจับตัวกันเป็นคาร์บอน; ประจุไฟฟ้าเท่ากันและมีขั้วต่างกันของโปรตอนและอีเล็กตรอน คุณสมบัติผิดธรรมดาของน้ำ; ความถี่ของแสงอาทิตย์และอัตราการดูดซึมที่พอเหมาะสำหรับการสังเคราะห์แสง; ระยะห่างของดวงอาทิตย์กับโลก; อวกาศมีสามมิติ ไม่มากกว่าแล้วก็ไม่น้อยกว่า และอื่น ๆ.
[จุดเด่นหน้า 20]
การออกแบบและสัญชาตญาณที่ส่อสติปัญญาทั้งหมดนี้เรียกร้องเชาวน์ไหวพริบ
[จุดเด่นหน้า 21]
แบคทีเรียเซลล์หนึ่งมีแสนล้านอะตอม
[จุดเด่นหน้า 22]
‘การกำเนิดของเอกภพต้องอาศัยเชาวน์ไหวพริบ’
[รูปภาพหน้า 23]
แรงขับเคลื่อนไอพ่น
ทำน้ำจืดจากน้ำเค็ม
ทำกระดาษ
โซนาร์