บ่อเกิดแห่งค่านิยมแท้
การนำไปใช้จะยุติความเสื่อมศีลธรรม
คนเราเงยหน้าขึ้นดูท้องฟ้ายามราตรีที่เจิดจรัสด้วยดวงดาว แล้วเกิดความเกรงขามและอัศจรรย์ใจ. ขณะที่เขาจ้องมองท้องฟ้าดารดาษไปด้วยดวงดาวเหนือศีรษะไกลโพ้น ก็รู้สึกว่าตัวเขาช่างเล็กกระจิริดและด้อยค่า. ถ้อยคำของผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญซึ่งเอ่ยไว้นานแล้วอาจจะผุดขึ้นในความคิดของเขาที่ว่า “ครั้นข้าพเจ้าพิจารณาท้องฟ้าที่เป็นพระหัตถกิจของพระองค์ คือดวงจันทร์กับดวงดาวซึ่งพระองค์ได้ทรงประดิษฐานไว้ มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าที่พระองค์ทรงระลึกถึงเขา? หรือพงศ์พันธุ์ของมนุษย์เป็นผู้ใดเล่า ที่พระองค์เสด็จมาเยี่ยมเขา?” (บทเพลงสรรเสริญ 8:3, 4) ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญเห็นดาวไม่กี่พันดวงและรู้สึกว่าตัวเองด้อยลง บัดนี้มนุษย์รู้ว่ามีกาแล็กซีหลายพันล้านกาแล็กซี แต่ละกาแล็กซีมีดาวหลายพันล้านดวง และเขายิ่งรู้สึกด้อยลงไปอีก. คำถามต่าง ๆ อาจประดังเข้าสู่จิตใจของเขาว่า ‘ฉันจะมีความหมายอะไร? ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่? จริง ๆ แล้ว ฉันคือใคร?’
แต่ไม่มีสัตว์ชนิดใดคิดอย่างนี้.
มนุษย์มองไปยังชีวิตหลากหลายชนิดรอบตัวเขาและสังเกตการออกแบบอันน่าพิศวงเพื่อบรรลุจุดหมายที่เป็นประโยชน์. เขาเห็นนกอพยพระยะทางหลายพันกิโลเมตร สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำศีลตลอดช่วงหนาวเน็บแห่งฤดูหนาว และรูปแบบของชีวิตอื่น ๆ อีกมากซึ่งใช้โซนาร์, การปรับอากาศ, ระบบไอพ่น, ทำน้ำจืดจากน้ำเค็ม, สารต้านการเป็นน้ำแข็ง, รูปแบบการหายใจใต้น้ำ, เครื่องฟักไข่, เครื่องวัดอุณหภูมิ, กระดาษ, แก้ว, นาฬิกา, เข็มทิศ, ไฟฟ้า, เครื่องยนต์โรตารี, และสิ่งอันน่าพิศวงอื่น ๆ หลายอย่าง เป็นเวลานานก่อนที่มนุษย์แม้แต่จะนึกฝันถึงสิ่งเหล่านั้น. คนที่มีความคิดสงสัยว่า ‘การออกแบบที่น่าพิศวง ประณีต เต็มไปด้วยจุดหมายเหล่านี้เกิดมาได้อย่างไร? เชาวน์ไหวพริบอันยิ่งใหญ่อะไรหรืออยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้?’
ไม่มีสัตว์ชนิดใดคิดถึงสิ่งเหล่านี้อีกนั่นแหละ.
แต่มนุษย์คิดถึงสิ่งเหล่านั้น. ทำไมในบรรดาสรรพสัตว์นับล้านนับโกฏิบนแผ่นดินโลกมีเฉพาะมนุษย์เท่านั้นอัศจรรย์ใจในความน่าเกรงขามและความน่าพิศวงแห่งท้องฟ้าเบื้องบนและความลึกลับซับซ้อนของชีวิตเบื้องล่างนี้? เพราะเหตุใด? เพราะว่ามนุษย์ต่างออกไป.
ทำไมมนุษย์จึงแตกต่างมาก?
เพราะว่าเฉพาะมนุษย์เท่านั้นถูกสร้างขึ้นตามแบบฉายาของพระเจ้า ดังนี้: “และพระเจ้าตรัสว่า ‘ให้เราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของเรา.’” (เยเนซิศ 1:26) นี่แหละเป็นคำอธิบายสำหรับหุบเหวที่กั้นกลางซึ่งไม่อาจข้ามถึงกันได้เลยระหว่างมนุษย์กับสัตว์. นี่คือคำอธิบายว่าทำไมสัตว์ใด ๆ บนแผ่นดินโลกไม่ใกล้เคียงกับมนุษย์เลยแม้แต่น้อย. นี่คือคำอธิบายว่าทำไมมนุษย์เป็นสิ่งทรงสร้างที่ช่างคิด ช่างถามเกี่ยวกับโลกรอบตัวเขา และมีค่านิยมทางศีลธรรม.
มนุษย์ถูกสร้างขึ้นตามแบบฉายาของพระเจ้าในแง่ใด? โดยให้เขามีคุณลักษณะและคุณสมบัติบางประการของพระเจ้า เช่นความรัก, ความเมตตากรุณา, ความยุติธรรม, สติปัญญา, อำนาจ, ความกรุณา, ความดี, ความอดทน, ความซื่อสัตย์, ความสัตย์จริง, ความจงรักภักดี, ความอุตสาหะ, และความคิดประดิษฐ์. เหล่านี้คือคุณลักษณะที่ดีซึ่งได้จัดใส่ไว้ในมนุษย์ตั้งแต่แรก แต่ในเมื่อมนุษย์คู่แรกใช้เสรีภาพในการเลือกแบบที่ผิด และนำไปสู่การกบฏ คุณลักษณะเหล่านี้จึงถูกบิดเบือน และฉะนั้นได้ถ่ายทอดต่อไปถึงลูกหลานอย่างไม่ครบสมบูรณ์. คุณลักษณะดังกล่าวถูกทำให้ขาดดุลยภาพ และโดยการใช้ผิดวิธี บางส่วนจึงหายไปจากจิตสำนึก. อย่างไรก็ดี โกโลซาย 3:9, 10 แสดงให้เห็นว่าโดยการรับความรู้อันถ่องแท้ของพระเจ้าและนำไปใช้ เราก็สามารถสวมบุคลิกลักษณะใหม่ได้และเข้ามาใกล้เคียงกับ ‘พระฉายาของพระเจ้า’ อีกครั้งหนึ่ง.
เมื่อพระยะโฮวาพระเจ้าทรงประทานพระบัญญัติผ่านทางโมเซแก่พวกยิศราเอล ซึ่งบรรจุค่านิยมอันแท้จริง บัญญัติสิบประการและคำแนะนำให้ ‘รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง’ ก็รวมอยู่ในนั้นด้วย. (เลวีติโก 19:18; เอ็กโซโด 20:3-17) ค่านิยมเช่นนั้นคงต้องส่งเป็นมรดกยังคนรุ่นหลังต่อไป. โมเซได้บอกพวกยิศราเอลให้เชื่อฟังพระบัญญัตินี้ และท่านพูดต่อไปว่า “เจ้าทั้งหลายจงสั่งให้บุตรหลานของเจ้าเชื่อฟังทำตามบรรดาถ้อยคำพระบัญญัติเหล่านี้ ด้วยการนี้หาเป็นการเปล่าของเจ้าทั้งหลายไม่ แต่เป็นชีวิตของเจ้าทั้งหลาย.” (พระบัญญัติ 32:46, 47) หลายศตวรรษต่อมา สุภาษิต 8:18 (ล.ม.) ได้อ้างถึงสิ่งเหล่านี้ว่าเป็น ค่านิยม “ที่ตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ.”
ค่านิยมที่จะแก้ไขความเสื่อมศีลธรรม
อย่างไรก็ดี หลายคนคัดค้านว่าบัดนี้มีสังคมหลายรูปแบบจนถึงขนาดที่ค่านิยมชุดเดียวไม่อาจสนองความต้องการของทุกคน. พวกเขาโต้แย้งว่าภูมิหลังและวัฒนธรรมที่ต่างกันเรียกร้องให้มีค่านิยมหลากหลาย. แต่ปัญหาในปัจจุบันนี้อะไรบ้างที่แก้ไม่ตกโดยการปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเยซูคริสต์ที่ให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง? หรือที่ว่ากระทำต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านอยากให้ผู้อื่นกระทำต่อท่าน? หรือดำเนินชีวิตตามหลักการที่มีอยู่ในพระบัญญัติสิบประการ? หรือการมุ่งให้เกิดผลพระวิญญาณที่ระบุไว้ในฆะลาเตีย 5:22, 23 ที่ว่า “ผลพระวิญญาณคือ ความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดกลั้นไว้นาน ความปราณี ความดี ความสัตย์ซื่อ (ความเชื่อ, ล.ม.) ความอ่อนสุภาพ การรู้จักบังคับตน. การเช่นนั้นไม่มีพระบัญญัติห้ามเลย.” ที่กล่าวมานี้ไม่มีสักข้อที่เรียกร้องมากจนทำไม่ได้ ไม่ว่าข้อใดก็ตามก็จะกำจัดภัยพิบัติส่วนใหญ่ของสังคมในปัจจุบันให้หมดไปได้.
‘แต่ผู้คนจะไม่ดำเนินชีวิตอย่างนั้น!’ คุณแย้งขึ้นมา. อย่างไรก็ดี ถ้าคุณคิดว่าข้อแก้ปัญหาเช่นนั้นยากเกินไป ก็อย่าคาดหมายว่าปัญหาจะแก้ได้โดยวิธีง่าย ๆ ที่ใช้แทน. พลังของสังคมอยู่ในวิสัยที่จะนำข้อแก้ปัญหาเหล่านี้ไปปฏิบัติได้ แม้ดูเหมือนว่าไม่มีเจตจำนงจะทำเช่นนั้น. คนในยุคสมัยนี้ไม่ยอมเหนี่ยวรั้งตนในการใช้เสรีภาพ รวมทั้งเสรีภาพที่จะกระทำผิดและรับผลพวงที่ตามมา.
หนังสือพิมพ์ บอททอม ไลน์/เพอร์ซันนัล ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับการเหนี่ยวรั้งตัวเอง?” หลังจากให้ความเห็นว่า “ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกสยองขวัญต่อผลแห่งยุคการทำตามอำเภอใจเรื่องเพศ” แล้วกล่าวต่อ “กระนั้น ผู้คนยังคงถือเอาการปรนเปรอตามความปรารถนาทางเพศจนเต็มที่เป็นสิ่งสำคัญซึ่งไม่อาจล่วงละเมิดได้. . . . เป็นที่คาดหมาย ว่าผู้คนจะต้องควบคุมอาหาร, ออกกำลังกาย, เลิกสูบบุหรี่, มีวินัยกับตัวเองในเรื่องวิธีดำรงชีวิตเพื่อเห็นแก่สุขภาพของตน. เฉพาะการสนองความพอใจทางเพศเท่านั้นดูเหมือนยอมให้เป็นสิ่งที่จะละเมิดมิได้เพื่อปล่อยตัวต่อไปอย่างไม่มีขีดจำกัด.” ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สามารถใช้ค่านิยม พวกเขาไม่ยอมใช้ต่างหาก. ฉะนั้นสังคมจึงเก็บเกี่ยวผลที่ตนหว่านลงไป.
ปัจจุบันค่านิยมเหล่านี้ได้ตกต่ำสู่ความเสื่อมเสีย. หลายคนได้เรียกความชั่วเป็นความดีและความดีเป็นความชั่ว ดังที่มีบอกไว้ล่วงหน้าว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้น ดังนี้: “วิบัติแก่คนที่เห็นชั่วเป็นดี และเห็นดีเป็นชั่ว และถือเอาว่ามืดเป็นสว่าง และสว่างเป็นมืด และถือว่าขมเป็นหวานและหวานเป็นขม. (ยะซายา 5:20) อย่างไรก็ดี คนอื่น ๆ มีความห่วงใยเพิ่มขึ้น. พวกเขาเห็นผลแห่งความเน่าเฟะซึ่งเกิดจากปรัชญาทำตามอำเภอใจ และต้องการจะเห็นการแก้ไขความเสื่อมศีลธรรมในปัจจุบัน.
ศาสนาและครอบครัวช่วยได้ไหม?
มีการเสนอโครงการหลายอย่างเพื่อฟื้นฟูค่านิยม. อย่างหนึ่งได้แก่ศาสนา. ถือกันว่าเสนอความเข้มแข็งทางด้านจิตใจ. แต่ความเข้มแข็งนั้นหาไม่พบในศาสนาที่สืบทอดกันมาแห่งคริสต์ศาสนจักร. บางนิกายได้ถอยกลับไปสู่ลัทธินอกรีต ฟื้นการหมิ่นประมาทต่าง ๆ เป็นต้นว่าตรีเอกานุภาพ การทรมานตลอดกาล และจิตวิญญาณอมตะ. นิกายอื่น ๆ ได้ปฏิเสธค่าไถ่และการทรงสร้าง หันไปยกย่องศาสนาทางวิทยาศาสตร์เรื่องการวิวัฒนาการ. พวกเขาเห็นดีเห็นชอบกับการวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งทำให้ความสัตย์จริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า คือคัมภีร์ไบเบิล เป็นเรื่องน่าสงสัย. พวกเขาเสนอ “ศาสนาคริสเตียน” ที่เจือจางไร้สาระและเป็นมลพิษจนสิ่งที่มีคุณค่าไม่เหลืออยู่เลย และคนรุ่นหลังเห็นแต่ความหน้าซื่อใจคด และความจอมปลอมที่ไม่มีแก่นสาร. ไม่ใช่ศาสนาที่ป่วยโทรมเช่นนั้นหรอก ที่เราควรหมายพึ่งเพื่อความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณ แต่เฉพาะการนมัสการแท้ที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้นซึ่งประกาศให้ทราบเรื่องราชอาณาจักรของพระยะโฮวาว่าเป็นความหวังเดียวสำหรับโลกนี้.
อย่างไรก็ดี ยังมีอีกแหล่งหนึ่งที่ให้ความช่วยเหลือสำหรับผู้ห่วงกังวล และนั่นคือครอบครัว สถานะซึ่งบิดามารดาสามารถปลูกฝังค่านิยมไว้ในตัวบุตรของตน. ความผูกพันซึ่งเริ่มตั้งแต่คลอดต้องดำเนินต่อไป. เด็ก ๆ ซึ่งรักและวางใจในบิดามารดาต้องการจะเป็นเหมือนบิดามารดานั้น เลียนแบบลักษณะการพูดจาและการกระทำของเขา เลียนแบบพฤติกรรม และซึมซับหลักศีลธรรมของเขา และต่อมาค่านิยมของบิดามารดาก็ถูกผนวกเข้าไว้ในระบบค่านิยมของบุตร. คำอธิบายง่าย ๆ ไม่ใช่การเทศน์เสียยืดยาว การสื่อความทั้งสองฝ่ายมิใช่คำกล่าวแบบถือทิฐิในความเห็นของตัวเป็นหลัก คือวิธีการที่บังเกิดผล.
บิดามารดาซึ่งไม่เพียงแต่สอนแต่ปฏิบัติตามค่านิยมอันแท้จริงเช่นเดียวกันจะทำให้บุตรบรรจุค่านิยมเหล่านั้นไว้ในตัว. เด็กเช่นนั้นจะไม่ได้รับอันตรายจากบทบาทที่เป็นแบบอย่างในทางลบของคนรุ่นเดียวกันที่โรงเรียนและที่อื่น ๆ. ดังที่สุภาษิต 22:6 บอกว่า “จงฝึกสอนเด็กให้ประพฤติตามทางที่ควรจะประพฤตินั้น และเมื่อแก่ชราแล้ว เขาจะไม่เดินห่างจากทางนั้น.” จงฝึกอบรมด้วยคำแนะนำอันมีคุณค่า. สำคัญยิ่งกว่านั้น จงฝึกอบรมด้วยตัวอย่างอันมีคุณค่า.
ศักยภาพทางค่านิยมบรรจุไว้ในพันธุกรรมของเรา
พระเยซูตรัสว่า “ความสุขมีแก่ผู้ที่รู้สำนึกถึงความจำเป็นฝ่ายวิญญาณของตน.” (มัดธาย 5:3, ล.ม.) สิ่งนี้เป็นความจำเป็นตามสัญชาตญาณซึ่งใส่ไว้ในตัวเรา ดังที่นักจิตศาสตร์บางคนกล่าว. ยังเป็นความจริงเช่นกันว่าเฉพาะแต่ความเข้มแข็งทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้นที่เราจะสามารถต่อต้านค่านิยมเท็จซึ่งได้รับการสนับสนุนกันอยู่ในปัจจุบัน.
ประสานกับข้อเท็จจริงที่ว่าเราถูกสร้างขึ้นตามแบบฉายาของพระเจ้า พร้อมด้วยศักยภาพแห่งค่านิยมที่ติดตัวมาแต่กำเนิด โทมัส ลิคโคนา ศาสตราจารย์ทางการศึกษา บอกว่า “ผมคิดว่าขีดความสามารถในการทำดีมีอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มแรก.” แต่เขาเสริมว่า “บิดามารดาต้องเพาะเลี้ยงสัญชาตญาณเหล่านี้ ดังเช่นที่เขาช่วยบุตรให้กลายเป็นนักอ่าน นักกีฬา หรือนักดนตรีที่ดีอย่างไรอย่างนั้น.”
นอร์แมน แลร์ ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์เคยเป็นผู้บรรยายรับเชิญมายังการประชุมใหญ่ระดับชาติของสมาคมการศึกษาแห่งชาติ. หลังจากยอมรับ “ปัญหาเกี่ยวกับผู้ที่เจนจัดกว่า มีการศึกษาสูงกว่า ในกลุ่มพวกเรา—ผู้ที่ได้ละทิ้งการแสวงหาจุดมุ่งหมายอันสูงส่งโดยมองว่าเป็นเรื่องไร้แก่นสารหรือนอกประเด็นนั้น” เขากล่าวว่า “ผมลงความเห็นได้ไม่ยากจากประวัติศาสตร์ของมนุษย์ว่า ปฏิกิริยาต่อชีวิต, ต่อการดำรงอยู่, แรงกระตุ้นให้เชื่อในบางสิ่งที่สำคัญกว่าตนเองนั้นมีพลังมากและไม่อาจต้านทานได้จนเป็นลักษณะนิสัยที่แยกไม่ออกจากระหัสถ่ายทอดทางพันธุกรรมของเรา.”
แลร์กล่าวหาธุรกิจใหญ่และเวลาสี่สิบปีแห่งวงการโทรทัศน์ซึ่งได้ส่งผ่าน “ระบบค่านิยมใหม่” ที่มีอิทธิพลมากต่อหลักศีลธรรมของสาธารณชนและค่านิยมส่วนบุคคลจนก่อผลเป็นปัญหาสังคมเช่น โรงเรียนและวิทยาลัยที่ผลิตผู้คนซึ่งไม่สามารถเขียนได้, การใช้ยาเสพย์ติดเพิ่มขึ้น, หญิงวัยรุ่นที่ไม่ได้สมรสมีลูก, และครอบครัวที่ไม่มีเงินเก็บมีหนี้สินท่วมตัว. แล้วแลร์เสริมว่า “เมื่อเราพูดถึงปัญหาสังคมสักร้อยปัญหา—ผมคิดว่าเราอาจจะพูดถึงระบบค่านิยมแบบค่อย ๆ ตกต่ำ ซึ่งอาศัยโทรทัศน์เป็นตัวช่วย ได้มาบ่อนทำลายวัฒนธรรมทั้งมวล.” และอีกครั้งเขากล่าวว่าเขา “เชื่อว่าสิ่งที่บรรจุไว้ในหน่วยถ่ายพันธุ์ของเราคือความเชื่อที่ว่ามีพลังที่ใหญ่กว่าและความลี้ลับที่นวดปั้นชีวิตของเรา ซึ่งต้องให้ความสนใจต่อสิ่งนั้น.”
ซี.จี. จุง จิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงเด่นบอกว่าศาสนา “เป็นเจตคติทางสัญชาตญาณ ที่มีเฉพาะในมนุษย์ และการสำแดงผลของสิ่งนั้นสามารถติดตามดูได้ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์.” สิ่งที่มีตั้งแต่กำเนิดเช่นกันคือสติรู้สึกผิดชอบซึ่งสำนึกถูกและผิด: “เพราะว่าเมื่อพวกต่างประเทศซึ่งไม่มีพระบัญญัติก็ได้ประพฤติตามพระบัญญัติโดยธรรมดา คนเหล่านั้นแม้ไม่มีพระบัญญัติตัวของตัวก็เป็นบัญญัติแก่ตัวเอง. คือเขาสำแดงการของกฎหมายนั้นที่จารึกไว้ในใจของเขา ใจซึ่งสังเกตผิดและชอบก็เป็นพยานบอกเขา และโดยความคิดทั้งหลายของเขาเองเขาก็จะปรับโทษตัวเขาหรือแก้ตัวเขา.” (โรม 2:14, 15) “สติรู้สึกผิดชอบ” คือ “ความรู้ภายในตัวเรา” เหมือนกับศาลยุติธรรมภายในประชุมกันภายในตัวเราเพื่อให้คำตัดสินเรื่องความประพฤติของเรา ปรับโทษหรือแก้ตัวเรา. อย่างไรก็ดี ถ้าเราแสดง “การดูหมิ่นศาล” แห่งสติรู้สึกผิดชอบของเรา ความไวของมันจะกลายเป็นด้านและหยุดทำงาน.
นักวิทยาศาสตร์มองเห็นความลี้ลับซึ่งพระเจ้าเท่านั้นอธิบายได้
ที่น่าสนใจมากคือข้อเท็จจริงที่ว่าขณะนักวิทยาศาสตร์เรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับแผ่นดินโลกและเอกภพ ก็มีนักวิทยาศาสตร์บางคนเอนเอียงไปทางความเชื่อที่ว่าผู้มีเชาวน์ไหวพริบองค์สูงสุดต้องอยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด. อย่างไรก็ดี พวกเขาชะงักต่อการยอมรับพระเจ้าแห่งคัมภีร์ไบเบิล.
ในหนังสือเดอะ ซิมไบโอติก ยูนิเวอร์ส ของจอร์ช กรีนสไตน์ นักดาราศาสตร์ทางกายภาพ เขาได้ลงมือ “จัดรายละเอียดของสิ่งที่อาจมองว่าเป็นเหตุการณ์บังเอิญซึ่งเกิดต่อเนื่องกันอย่างน่ามหัศจรรย์และอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ซึ่งกรุยทางไปจนเกิดชีวิตขึ้น. มีรายการของการเกิดขึ้นโดยความประจวบเหมาะยาวเหยียด ล้วนจำเป็นต่อการดำรงอยู่ของเราทั้งสิ้น.” กรีนสไตน์บอกว่ารายการเหล่านั้นยิ่งยาวขึ้น ๆ ความประจวบเหมาะเหล่านั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยบังเอิญ จึงเกิดความคิดขึ้นว่า สิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติอะไรบางอย่างดำเนินงานอยู่. เขาคิดว่า “เป็นไปได้ไหมว่าโดยไม่รู้ตัว โดยไม่ตั้งใจเราไปสะดุดกึกอยู่กับข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าด้วยผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุดมีจริง? เป็นพระเจ้าใช่ไหมที่เข้ามาสรรค์สร้างจักรวาลเพื่อประโยชน์แก่เรา?” แล้วเขาเกิด “ความรู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างแรง” ต่อความคิดเช่นนั้นและเอ่ยออกมาตามอำเภอใจว่า “ใช้พระเจ้าอธิบายเรื่องนี้ไม่ได้.” กระนั้น รายการของ “ความประจวบเหมาะ” ที่ยาวขึ้น ๆ บีบบังคับให้เขาต้องตั้งคำถามดังกล่าว.
เฟร็ด ฮอยล์ นักดาราศาสตร์ทางกายภาพผู้ได้รับรางวัลโนเบลได้พิจารณาความประจวบเหมาะอันลึกลับเช่นเดียวกันนี้ซึ่งสร้างความวุ่นวายใจให้กับกรีนสไตน์โดยกล่าวไว้ในหนังสือของเขา เดอะ อินเทลลิเจนท์ ยูนิเวอร์ส ดังนี้ “คุณสมบัติเช่นนั้นดูเหมือนจะมีอยู่ทั่วทั้งโครงสร้างของธรรมชาติประดุจเส้นใยแห่งเหตุบังเอิญที่น่ายินดี. แต่ความประจวบเหมาะที่ผิดธรรมดาเหล่านี้ซึ่งจำเป็นต่อชีวิตมีมากเสียจนดูเหมือนต้องหาคำอธิบายว่าสิ่งเหล่านี้เป็นไปได้อย่างไร.” ฮอยล์ยังเห็นพ้องกับกรีนสไตน์ที่ว่าจะเกิดขึ้นเองโดยบังเอิญไม่ได้. เพราะฉะนั้น ฮอยล์บอกว่า ‘ต้นกำเนิดของเอกภพต้องอาศัยเชาวน์ปัญญา’ ‘เชาวน์ปัญญาในระดับสูง’ ‘เชาวน์ปัญญาซึ่งมาก่อนเราและนำไปสู่การกระทำอันจงใจแห่งการสร้างสรรพสิ่งที่เหมาะกับชีวิต.’
ไอน์สไตน์พูดถึงพระเจ้า แต่มิใช่ในแง่ของศาสนาตามประเพณีนิยม. แนวความคิดเรื่องพระเจ้าของเขาเกี่ยวโยงกับ “องค์วิญญาณสูงสุดหาที่เปรียบไม่ได้” ที่เขาเห็นเปิดเผยในธรรมชาติ. ติโมธี เฟอร์รีส ในบทความของเขาชื่อว่า “ไอน์สไตน์อีกคนหนึ่ง” ได้อ้างถึงคำพูดของไอน์สไตน์ดังนี้ “สิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นในธรรมชาติคือโครงสร้างอันสง่างาม ซึ่งเราเข้าใจได้เพียงกระท่อนกระแท่น และถึงกับทำให้คนช่างคิดเต็มไปด้วยความรู้สึก ‘ต่ำต้อย.’ นี่แหละคือความรู้สึกทางศาสนาอย่างแท้จริง ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับลัทธิลึกลับ. . . . ความเลื่อมใสทางศาสนาของข้าพเจ้าประกอบด้วยความนิยมชมชอบอย่างถ่อมใจต่อวิญญาณองค์สูงสุดหาที่เปรียบไม่ได้ ซึ่งเปิดเผยพระองค์เองในสิ่งเล็ก ๆ น้อยที่เรา พร้อมด้วยความเข้าใจอันอ่อนเปราะและคงอยู่ชั่วประเดี๋ยว สามารถเข้าใจได้เกี่ยวกับความเป็นจริง. . . . ข้าพเจ้าอยากจะรู้ว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกนี้อย่างไร. ข้าพเจ้าอยากจะรู้ความคิดของพระองค์ แล้วที่เหลือนอกนั้นจะเป็นสิ่งประกอบ.”
ไกย์ เมอร์ซี หลังจากพิจารณาข้อลึกลับซึ่งไม่มีผู้ใดเข้าใจแห่งเอกภพ ให้ความเห็นไว้ในหนังสือของเขาชื่อ เดอะ เซเวน มิสเตอร์รีส์ ออฟ ไลฟ์ ดังนี้ “ไม่ยากที่จะเห็นว่าทำไมนักฟิสิกส์สมัยปัจจุบัน ซึ่งได้ขยายขอบเขตของความรู้กว้างออกไปสู่สิ่งที่ไม่รู้ บางทีอาจทำได้ลึกซึ้งกว่านักวิทยาศาสตร์คนใด ๆ ในศตวรรษหลัง ๆ ที่เพิ่งผ่านไปนี้ ล้ำหน้าไปไกลกว่าเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ในการยอมรับสิ่งที่รวมความลึกลับทั้งมวลแห่งเอกภพนั้นซึ่งโดยทั่วไปเรียกกันว่าพระเจ้า.”
จงแสวงหาพระเจ้าเป็นประโยชน์แก่ตัวท่านเองมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์
มนุษย์กำลังคลำหา. สิ่งที่เขาคลำหาคือ พระเจ้า. บางคนทำเช่นนั้นในสมัยของเปาโล. ท่านบอกไว้ดังนี้: “เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้า และหากเขาจะคลำหาก็จะได้พบพระองค์ ด้วยพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย.” (กิจการ 17:27) ไม่มีสัตว์ตัวใดคลำหาพระเจ้า. ไม่มีแม้แต่ตัวเดียวมีความคิดใด ๆ เรื่องพระเจ้า. มนุษย์มี มนุษย์ถูกสร้างขึ้นในแบบฉายาของพระเจ้า พร้อมด้วยเหวใหญ่ซึ่งข้ามไม่ได้ แยกคนจากสัตว์แม้แต่สัตว์ที่ฉลาดที่สุด. และดังที่บทจารึกนั้นบอกเราว่า พระเจ้า “ไม่ทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย.”
เราเห็นหลักฐานเกี่ยวกับพระองค์ทุกแห่งหนรอบตัวเรา สะท้อนให้เห็นในสิ่งทรงสร้างของพระองค์ ดังที่โรม 1:20 บอกว่า “อาการของพระเจ้าซึ่งเห็นไม่ได้นั้นคือฤทธานุภาพอันถาวรและสัมภาวะของพระองค์ ก็ทรงปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างนั้นตั้งแต่แรกสร้างโลก เขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อที่จะแก้ตัวได้.” เมื่อนักวิทยาศาสตร์มองเห็นความประจวบเหมาะ และความซับซ้อนที่อธิบายไม่ได้มากขึ้นทุกที และใคร่ครวญความมหัศจรรย์ที่น่าเกรงขามในจักรวาล บางทีพวกเขาจำนวนมากขึ้น ๆ จะสังเกตเข้าใจถึงองค์ที่มีเชาวน์ปัญญายิ่งใหญ่ซึ่งปฏิบัติงานอยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้และมารู้จักพระผู้สร้างของพวกเขาคือ พระยะโฮวาพระเจ้า.
แผ่นดินโลกและสรรพสิ่งบริบูรณ์ในนั้นเป็นของพระยะโฮวา. พระองค์วางมาตรฐานแก่ผู้ที่จะดำรงชีวิตบนโลก. พระองค์ได้ประทานค่านิยมอันแท้จริงเป็นเครื่องนำทางไปสู่ความสุขและชีวิต. นอกจากนั้น พระองค์ได้ให้เสรีภาพในการเลือกแก่ประชาชน. พวกเขาไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังพระองค์. เขาอาจหว่านอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา แต่เขาต้องเก็บเกี่ยวสิ่งที่หว่านไม่ช้าก็เร็ว. ใครจะหลอกพระเจ้าเล่นไม่ได้. พระองค์ได้ประทานค่านิยมอันแท้จริง มิใช่เพื่อเห็นแก่พระองค์เอง แต่เพื่อประโยชน์แห่งราษฎรของพระองค์บนแผ่นดินโลก. ดังที่ยะซายา 48:17, 18 กล่าวว่า “เราคือยะโฮวา พระเจ้าของเจ้าผู้สั่งสอนเจ้า เพื่อประโยชน์แก่ตัวของเจ้าเอง และผู้นำเจ้าดำเนินในทางที่เจ้าควรดำเนิน. โอ้ถ้าเจ้าได้เชื่อฟังคำสั่งของเราแล้ว ความเจริญของเจ้า ก็จะเป็นดังแม่น้ำไหล และความชอบธรรมของเจ้าก็จะมีบริบูรณ์ดังคลื่นในมหาสมุทร.”
เมื่อเอาใจใส่ต่อคำวิงวอนอย่างจริงจังของพระยะโฮวาก็จะยังผลให้ประชาชนทุกคนเดินในหนทางซึ่งพวกเขาควรเดินและจะคำนึงถึงพระบัญญัติของพระผู้สร้าง. ทุกคนจะได้ประโยชน์จากสันติภาพดุจแม่น้ำไหลและจากความชอบธรรมดุจคลื่นในมหาสมุทร. ทุกคนจะใช้ค่านิยมซึ่งสืบทอดแต่บรรพบุรุษ และจะไม่ประสบความเสื่อมศีลธรรมอีกเลย. และจะเป็นเช่นนี้เมื่อไร? ในไม่ช้านี้เมื่อคำอธิษฐานจะได้รับคำตอบที่ว่า “ขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์มาเถิด. พระทัยประสงค์ของพระองค์สำเร็จแล้วในสวรรค์อย่างไร ก็ขอให้สำเร็จบนแผ่นดินโลกอย่างนั้น.”—มัดธาย 6:10, ล.ม.
[รูปภาพหน้า 7]
ระบบไอพ่น
ทำน้ำจืดจากน้ำเค็ม
ทำกระดาษ
โซนาร์