พระธรรมเล่มที่ 17—เอศเธระ
ผู้เขียน: มาระดะคาย
สถานที่เขียน: ซูซัร, เอลาม
เขียนเสร็จ: ประมาณปี 475 ก.ส.ศ.
ครอบคลุมระยะเวลา: 493-ประมาณปี 475 ก.ส.ศ.
1. มีการเปิดเผยเรื่องราวอะไรในพระธรรมเอศเธระ?
พูดง่าย ๆ นี่เป็นเรื่องราวของอะหัศวะโรศกษัตริย์เปอร์เซียซึ่งบางคนคิดว่าเป็นกษัตริย์เซอร์เซสที่ 1 ซึ่งนางวัศธีมเหสีผู้ดื้อดึงถูกแทนตำแหน่งโดยเอศเธระสาวชาวยิวลูกพี่ลูกน้องของมาระดะคาย. ฮามานชาวอะฆาฆวางแผนสังหารมาระดะคายและชาวยิวทั้งปวง แต่เขากลับถูกแขวนคอบนเสาของตนเอง ขณะที่มาระดะคายได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีและชาวยิวได้รับการช่วยให้รอด.
2. (ก) เหตุใดบางคนข้องใจในเรื่องที่พระธรรมเอศเธระมีขึ้นโดยการดลใจ? (ข) พระนามของพระเจ้าปรากฏในพระธรรมเอศเธระในรูปแบบใด?
2 แน่ละ มีคนที่บอกว่า พระธรรมเอศเธระไม่ได้มีขึ้นโดยการดลใจและไม่เป็นประโยชน์ แต่เป็นแค่ตำนานสวยหรูเท่านั้น. พวกเขาอ้างเช่นนี้โดยอาศัยข้อที่ว่า ไม่มีพระนามพระเจ้าในพระธรรมนี้. แม้ว่าเป็นความจริงที่ไม่มีการกล่าวถึงพระเจ้าโดยตรง แต่ในข้อความภาษาฮีบรูมีสี่แห่งที่มีเททรากรัมมาทอนในแบบอะครอสติกปรากฏอยู่ คืออักขระตัวแรกของสี่คำที่เรียงกัน ซึ่งสะกดเป็น ยฮวฮ (ฮีบรู, יהוה) หรือยะโฮวา. อักขระตัวแรกเหล่านี้ถูกทำให้เด่นเป็นพิเศษในสำเนาฮีบรูโบราณอย่างน้อยสามฉบับและยังถูกหมายไว้ด้วยอักษรสีแดงในฉบับมาโซรา. นอกจากนี้ ที่เอศเธระ 7:5 ยังปรากฏถ้อยคำแบบอะครอสติกในคำแถลงของพระเจ้าด้วยที่ว่า “เราจะพิสูจน์ว่าเป็น.”—ดูเชิงอรรถในฉบับแปลโลกใหม่ที่มีข้ออ้างอิง ที่เอศเธระ 1:20; 5:4, 13; 7:7 รวมทั้ง 7:5.
3. เหตุการณ์อะไรบ้างแสดงถึงความเชื่อในพระเจ้าและการอธิษฐานถึงพระองค์ และเหตุการณ์อะไรบ้างบ่งถึงการที่พระเจ้าทรงควบคุมเรื่องราวต่าง ๆ?
3 ตลอดบันทึกนี้ปรากฏชัดแจ้งว่ามาระดะคายยอมรับและเชื่อฟังกฎหมายของพระยะโฮวา. ท่านไม่ยอมโค้งคำนับชายคนหนึ่งซึ่งคงจะเป็นชาวอะมาเล็ก; พระเจ้าทรงหมายชาวอะมาเล็กไว้สำหรับการกวาดล้าง. (เอศ. 3:1, 5; บัญ. 25:19; 1 ซามู. 15:3) คำพูดของมาระดะคายที่เอศเธระ 4:14 บ่งว่าท่านคาดหมายการช่วยให้รอดจากพระยะโฮวาและท่านมีความเชื่อในการทรงนำของพระเจ้าตลอดช่วงเหตุการณ์ทั้งหมด. การอดอาหารของเอศเธระร่วมกับชาวยิวคนอื่น ๆ เป็นเวลาสามวันก่อนเธอจะเข้าเฝ้ากษัตริย์แสดงถึงความไว้วางใจพระเจ้า. (เอศ. 4:16) การที่พระเจ้าทรงควบคุมเหตุการณ์ต่าง ๆ ยังมีบ่งชี้ไว้ด้วยการที่เอศเธระได้รับความโปรดปรานจากเฮฆายผู้กำกับรักษาพวกสตรี และด้วยการที่กษัตริย์บรรทมไม่หลับในคืนที่ท่านรับสั่งให้ค้นจดหมายเหตุของทางการและพบว่ามาระดะคายยังไม่ได้รับยศศักดิ์ตอบแทนคุณความดีที่ท่านทำเมื่อครั้งก่อน. (เอศ. 2:8, 9; 6:1-3; เทียบกับสุภาษิต 21:1.) มีการพาดพิงอย่างไม่ต้องสงสัยถึงคำอธิษฐานในข้อความนี้: “เป็นเวลาถือศีลอดอาหารและเวลาที่เขาได้ร้องทูล [ขอความช่วยเหลือ] นั้น.”—เอศ. 9:31.
4. พระธรรมเอศเธระได้รับการยืนยันอย่างไรว่าเชื่อถือได้และเป็นความจริง?
4 ข้อเท็จจริงหลายประการยืนยันว่าบันทึกนี้เชื่อถือได้และเป็นความจริง. พระธรรมนี้ได้รับการยอมรับจากชาวยิวซึ่งเรียกพระธรรมนี้เพียงว่า เมกฮิลลาห์ʹ หมายความว่า “ม้วน; ม้วนหนังสือ.” ปรากฏว่าพระธรรมนี้ถูกรวมไว้ในสารบบพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูโดยเอษราผู้ซึ่งคงบอกปัดเรื่องราวแบบตำนานอย่างแน่นอน. จนทุกวันนี้ชาวยิวยังถือรักษาเทศกาลฟูริมหรือฉลาก เพื่อฉลองการช่วยให้รอดครั้งใหญ่ในสมัยของเอศเธระ. พระธรรมนี้เสนอเรื่องขนบธรรมเนียมและประเพณีต่าง ๆ ของชาวเปอร์เซียในแบบที่ราวกับมีชีวิตและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันดีและการค้นพบทางโบราณคดี. ตัวอย่างเช่น พระธรรมเอศเธระพรรณนาอย่างถูกต้องแม่นยำถึงวิธีที่ชาวเปอร์เซียยกย่องให้เกียรติบุคคลผู้หนึ่ง. (6:8) การขุดค้นทางโบราณคดีได้เผยให้เห็นว่า คำพรรณนาเกี่ยวกับราชวังกษัตริย์ดังที่มีบอกไว้ในพระธรรมเอศเธระนั้นถูกต้องแม่นยำแม้ในรายละเอียดปลีกย่อยที่สุด.a—5:1, 2.
5. ความถูกต้องแม่นยำอะไรทำให้เอศเธระเป็นเรื่องราวที่แท้จริง และภาษาที่ใช้สอดคล้องกับช่วงเวลาใด?
5 ความถูกต้องแม่นยำนี้ยังสังเกตได้ในตัวบันทึกเองด้วย ในการระบุชื่อข้าราชสำนักและมหาดเล็กอย่างรอบคอบ บอกแม้แต่ชื่อบุตรสิบคนของฮามาน. มีการสืบสาวลำดับวงศ์วานของมาระดะคายและเอศเธระย้อนไปจนถึงคิศแห่งตระกูลเบนยามิน. (2:5-7) มีการอ้างอิงถึงจดหมายเหตุของรัฐบาลเปอร์เซีย. (2:23; 6:1; 10:2) ภาษาที่ใช้ในพระธรรมนี้เป็นภาษาฮีบรูยุคหลัง พร้อมกับมีคำเปอร์เซียและอาระเมอิกเพิ่มเข้าไปหลายคำ ซึ่งลีลาการเขียนตรงกับในโครนิกา, เอษรา, และนะเฮมยา ดังนั้น จึงสอดคล้องเต็มที่กับระยะเวลาที่เขียน.
6. (ก) ช่วงเวลาในพระธรรมเอศเธระได้รับการระบุว่าเป็นเมื่อไร? (ข) หลักฐานบอกอะไรเกี่ยวกับตัวผู้เขียน รวมทั้งสถานที่และเวลาที่เขียน?
6 คิดกันว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเอศเธระอยู่ในสมัยที่จักรวรรดิเปอร์เซียอันเกรียงไกรรุ่งเรืองสุดยอดและเหตุการณ์เหล่านั้นครอบคลุมระยะเวลาราว 18 ปีแห่งรัชกาลของอะหัศวะโรศ (เซอร์เซสที่ 1). ระยะเวลาที่ยืดยาวมาจนถึงปี 475 ก.ส.ศ. นั้นถูกระบุโดยพยานหลักฐานจากแหล่งข้อมูลของกรีซ, เปอร์เซีย, และบาบูโลน.b เป็นไปได้อย่างยิ่งว่ามาระดะคายซึ่งเป็นผู้รู้เห็นและเป็นบุคคลสำคัญในเรื่องราวนั้นเป็นผู้เขียนพระธรรมนี้; บันทึกที่ละเอียดชัดเจนแสดงว่า ผู้เขียนคงต้องใช้ชีวิตอยู่ในวังซูซัรตลอดเหตุการณ์เหล่านั้น.c แม้ว่าไม่มีกล่าวถึงท่านในพระธรรมอื่นใดของคัมภีร์ไบเบิล แต่ก็ไม่มีข้อสงสัยว่ามาระดะคายเป็นบุคคลจริงในประวัติศาสตร์. น่าสนใจ มีการพบข้อความอักษรรูปลิ่มที่ไม่ระบุวันเวลาซึ่ง อา. อุนกะนาด แห่งเยอรมนีอธิบายว่า ข้อความนั้นพาดพิงถึงมาร์ดูคา (มาระดะคาย?) ในฐานะข้าราชการชั้นสูงแห่งราชสำนักซูซา (ซูซัร) ระหว่างรัชกาลของเซอร์เซสที่ 1.d ไม่มีข้อสงสัยว่าเป็นที่ซูซัรนี้เองที่มาระดะคายบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับเอศเธระเสร็จทันทีหลังจากที่เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้น ซึ่งตกอยู่ในราวปี 475 ก.ส.ศ.
เนื้อเรื่องในเอศเธระ
7. เกิดเหตุวิกฤติอะไรขึ้นในงานเลี้ยงของอะหัศวะโรศ และยังผลให้กษัตริย์ทำอะไร?
7 ราชินีวัศธีถูกถอดจากตำแหน่ง (1:1-22). นั่นเป็นปีที่สามแห่งรัชกาลของอะหัศวะโรศ. ท่านจัดงานเลี้ยงใหญ่โตสำหรับข้าราชการแห่งจักรวรรดิของท่านเป็นเวลา 180 วันเพื่อให้พวกเขาเห็นความมั่งคั่งและสง่าราศีแห่งอาณาจักรของท่าน. ต่อจากนั้นมีงานเลี้ยงใหญ่เจ็ดวันสำหรับประชาชนทั้งปวงในซูซัร. ในเวลาเดียวกัน ราชินีวัศธีจัดงานเลี้ยงสำหรับเหล่าสตรี. กษัตริย์อวดโอ่ความมั่งคั่งและสง่าราศี และเมื่อมึนเมาด้วยเหล้าองุ่นก็ทรงให้เรียกพระนางวัศธีมาอวดความน่ารักของนางให้ประชาชนและพวกเจ้านายเห็น. พระนางวัศธียืนกรานปฏิเสธ. เมื่อได้รับคำแนะนำจากเหล่าข้าราชสำนักซึ่งชี้ว่าตัวอย่างที่ไม่ดีนี้จะทำให้กษัตริย์ถูกดูหมิ่นตลอดทั่วจักรวรรดิ อะหัศวะโรศจึงถอดพระนางวัศธีจากตำแหน่งราชินี และออกหมายประกาศเรียกร้องภรรยาทุกคน “ให้เกียรติยศแก่สามีของตน” และสามีทุกคน “ครอบครองในบ้านเรือนของตน.”—1:20, 22.
8. (ก) เหตุการณ์อะไรบ้างนำไปสู่การที่เอศเธระได้เป็นราชินี? (ข) มาระดะคายเปิดโปงแผนอะไร และจึงมีการจดบันทึกอะไรเกี่ยวด้วยเรื่องนั้น?
8 เอศเธระเป็นราชินี (2:1-23). ต่อมากษัตริย์แต่งตั้งเจ้าพนักงานให้ค้นหาหญิงพรหมจารีที่งดงามที่สุดจาก 127 หัวเมืองทั่วทั้งจักรวรรดิ และให้นำมายังวังซูซัร ที่ซึ่งพวกนางจะถูกเตรียมไว้ด้วยการบำรุงความงามเพื่อถวายตัวแด่กษัตริย์. เอศเธระเป็นหนึ่งในบรรดาหญิงสาวทั้งหลายที่ได้รับเลือก. เอศเธระเป็นหญิงกำพร้าชาวยิวที่ “รูปร่างงามและสะสวย” ซึ่งได้รับการเลี้ยงดูโดยมาระดะคายลูกพี่ลูกน้องของเธอซึ่งเป็นข้าราชการในวังซูซัร. (2:7) ชื่อภาษายิวของเอศเธระคือ ฮะดัสซาห์ [ฮะดัดซา] หมายความว่า “ไม้หอม.” เฮฆายผู้กำกับรักษาพวกผู้หญิงชอบเอศเธระและให้เธอได้รับการดูแลเป็นพิเศษ. ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นหญิงชาวยิว เพราะมาระดะคายสั่งให้เธอเก็บเป็นความลับ. หญิงสาวทั้งหลายถูกนำเข้าเฝ้ากษัตริย์ตามลำดับ. กษัตริย์เลือกเอศเธระเป็นราชินีคนใหม่ และได้จัดงานเลี้ยงฉลองการรับตำแหน่งของเธอ. ไม่นานหลังจากนั้น มาระดะคายได้ยินถึงแผนคบคิดลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ และท่านให้เอศเธระแจ้งเรื่องแก่กษัตริย์นั้นโดย “ออกชื่อมาระดะคาย.” (2:22) แผนการถูกเปิดโปง ผู้คิดการร้ายถูกแขวนคอ และมีการจดบันทึกในจดหมายเหตุของกษัตริย์.
9. มาระดะคายทำอย่างไรที่ทำให้ฮามานโกรธ และฮามานได้รับราชกฤษฎีกาอะไรที่ให้ใช้กับชาวยิว?
9 แผนของฮามาน (3:1–5:14). ประมาณสี่ปีผ่านไป. ฮามานซึ่งดูเหมือนเป็นเชื้อสายของอะฆาฆกษัตริย์อะมาเล็กที่ซามูเอลประหาร ได้มาเป็นนายกรัฐมนตรี. (1 ซามู. 15:33) กษัตริย์ยกย่องฮามานและได้สั่งบรรดาข้าราชบริพารในราชวังให้โค้งคำนับฮามาน. คนเหล่านั้นรวมถึงมาระดะคายด้วย. แต่มาระดะคายไม่ยอมทำเช่นนั้น ซึ่งทำให้เป็นที่รู้แก่เหล่าข้าราชสำนักว่าท่านเป็นชาวยิว. (เทียบกับเอ็กโซโด 17:14, 16.) ฮามานเต็มไปด้วยความโกรธแค้น และเมื่อพบว่ามาระดะคายเป็นชาวยิวจึงเห็นช่องจะกำจัดมาระดะคายและพวกยิวทั้งหมดในคราวเดียว. มีการจับฉลาก (ฟูระ) เพื่อกำหนดวันที่เหมาะแก่การกวาดล้างชาวยิว. ฮามานอาศัยความโปรดปรานที่ได้รับจากกษัตริย์กล่าวหาพวกยิวว่าเป็นพวกนอกกฎหมายและทูลขอให้มีราชโองการกวาดล้างพวกยิว. ฮามานเสนอบริจาคเงิน 10,000 ตะลันต์ (เท่ากับประมาณ 66,060,000 ดอลลาร์) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการสังหารนั้น. กษัตริย์อนุมัติ และราชโองการซึ่งประทับตราด้วยธำมรงค์ของกษัตริย์จึงถูกส่งไปทั่วจักรวรรดิ โดยกำหนดให้วันที่สิบสามเดือนอะดาร์เป็นวันล้างเผ่าพันธุ์ยิว.
10. มาระดะคายกับเอศเธระดำเนินการด้วยความเชื่อในฤทธิ์ของพระยะโฮวาอย่างไร?
10 เมื่อทราบถึงราชโองการนั้น มาระดะคายและชาวยิวทั้งปวงจึงนุ่งห่มผ้าเนื้อหยาบและคลุกขี้เถ้าคร่ำครวญ. มีการ “ถือศีลอดอาหาร, และร้องไห้และคร่ำครวญ.” (เอศ. 4:3) เมื่อได้รับแจ้งจากมาระดะคายถึงเรื่องความทุกข์ของพวกยิว ตอนแรกเอศเธระลังเลที่จะเข้าแทรกแซง. โทษสำหรับการเข้าเฝ้ากษัตริย์โดยมิได้รับเชิญคือความตาย. อย่างไรก็ตาม มาระดะคายแสดงความเชื่อในฤทธิ์อำนาจของพระยะโฮวาโดยบอกว่า หากเอศเธระไม่ช่วยพวกตน เธอก็ยังจะต้องตายและการช่วยให้รอดจะ “บังเกิดแก่พวกยูดายมาจากที่อื่น.” นอกจากนั้น เป็นไปได้ไหมว่าเอศเธระได้มาเป็นราชินี “เพื่อเหตุดังนี้”? (4:14) เมื่อเข้าใจประเด็น เธอตกลงเสี่ยงชีวิตและชาวยิวทั้งปวงในซูซัรอดอาหารร่วมกับเธอเป็นเวลาสามวัน.
11. เอศเธระใช้ความโปรดปรานที่กษัตริย์มีต่อเธออย่างไร แต่ฮามานวางแผนจะทำอะไรกับมาระดะคาย?
11 ต่อมา เอศเธระปรากฏตัวต่อพระพักตร์กษัตริย์ในเครื่องทรงดีที่สุด. เธอได้รับความโปรดปรานจากกษัตริย์และท่านได้ยื่นธารพระกรทองคำแก่เธอซึ่งแสดงถึงการไว้ชีวิต. ตอนนี้เองเอศเธระได้ทูลเชิญกษัตริย์และฮามานมายังงานเลี้ยง. ระหว่างงานเลี้ยง กษัตริย์เร่งให้เอศเธระบอกสิ่งที่จะทูลขอโดยรับรองว่าจะประทานให้ “จนถึงครึ่งแผ่นดิน” เอศเธระจึงทูลเชิญกษัตริย์และฮามานมายังงานเลี้ยงอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น. (5:6) ฮามานกลับบ้านด้วยใจเบิกบาน. แต่ที่ประตูวังก็พบมาระดะคายอยู่ที่นั่น! อีกครั้งที่ท่านไม่ยอมทำความเคารพหรือแสดงความหวาดกลัวฮามาน. ความเบิกบานของฮามานกลายเป็นความโกรธ. ภรรยา และเพื่อน ๆ แนะให้ฮามานสร้างเสาสูงห้าสิบศอก (22.3 เมตร) และทูลขอราชโองการจากกษัตริย์เพื่อแขวนมาระดะคายที่นั่น. ฮามานจึงสั่งให้ทำเสาดังกล่าวทันที.
12. เหตุการณ์ผันแปรไปเช่นไรซึ่งยังผลให้อะหัศวะโรศประทานเกียรติยศแก่มาระดะคายซึ่งยังความอับอายแก่ฮามาน?
12 เหตุการณ์ผันแปร (6:1–7:10). คืนนั้นกษัตริย์บรรทมไม่หลับ. ท่านสั่งให้นำจดหมายเหตุมาอ่านให้ฟังและพบว่าท่านไม่ได้ประทานบำเหน็จแก่มาระดะคายที่ช่วยชีวิตท่านไว้. ต่อมา กษัตริย์ถามว่ามีใครอยู่ในท้องพระโรงบ้าง. เป็นฮามานนั่นเองที่มาเพื่อทูลขอกษัตริย์อนุมัติให้ประหารมาระดะคาย. กษัตริย์ถามฮามานว่าคนที่ทำให้กษัตริย์ชอบพระทัยควรได้รับเกียรติอย่างไร. ด้วยคิดว่ากษัตริย์หมายถึงตน ฮามานจึงเสนอรายการเลิศหรูเพื่อเกียรติยศ. แต่กษัตริย์สั่งฮามานว่า “จงกระทำอย่างนั้นแก่มาระดะคายชาติยูดาย”! (6:10) ฮามานไม่มีทางเลือก มีแต่ต้องแต่งกายให้มาระดะคายด้วยเครื่องทรงอันเลิศ ให้ท่านนั่งบนม้าทรงของกษัตริย์และนำมาระดะคายไปรอบจัตุรัสในกรุง ร้องประกาศไปข้างหน้าท่าน. ด้วยความอับอาย ฮามานรีบกลับบ้านด้วยความโศกเศร้า. ภรรยาและเพื่อน ๆ เขาไม่อาจปลอบใจได้. ฮามานถูกกำหนดจุดจบแล้ว!
13. เอศเธระเปิดเผยอะไร ณ งานเลี้ยงซึ่งนำไปถึงจุดจบเช่นไรสำหรับฮามาน?
13 บัดนี้ถึงเวลาที่ฮามานจะไปร่วมงานเลี้ยงกับกษัตริย์และเอศเธระ. ราชินีประกาศว่าเธอและประชาชนของเธอถูกขายเพื่อให้พินาศ. ผู้ใดจะบังอาจทำการชั่วช้านี้? เอศเธระทูลว่า “ผู้ร้ายและศัตรูนั้นคือฮามานคนชั่วนี้.” (7:6) กษัตริย์ลุกขึ้นด้วยความกริ้วและเดินออกไปในสวน. ขณะอยู่ตามลำพังกับราชินี ฮามานได้วิงวอนขอชีวิต และเมื่อกษัตริย์กลับมาก็ยิ่งพิโรธหนักขึ้นอีกที่เห็นฮามานอยู่บนแท่นประทับของราชินี. ท่านสั่งแขวนฮามานทันทีบนเสาที่ฮามานเตรียมไว้สำหรับมาระดะคายนั้นแหละ!—เพลง. 7:16.
14. กษัตริย์ประทานรางวัลอะไรแก่เอศเธระและมาระดะคาย และกฤษฎีกาอะไรที่ท่านทำเพื่อประโยชน์ของชาวยิว?
14 มาระดะคายได้เลื่อนตำแหน่ง ชาวยิวได้รับการช่วยให้รอด (8:1–10:3). กษัตริย์ยกทรัพย์สินทั้งสิ้นของฮามานแก่เอศเธระ. เอศเธระทูลกษัตริย์ถึงความสัมพันธ์ของเธอกับมาระดะคายซึ่งกษัตริย์ทรงเลื่อนให้ดำรงตำแหน่งที่เคยเป็นของฮามาน ประทานแหวนตราของกษัตริย์. เอศเธระเสี่ยงชีวิตอีกครั้งเมื่อเข้าเฝ้ากษัตริย์เพื่อขอแก้ราชโองการที่ให้ทำลายพวกยิว. แต่ “กฎหมายแห่งชาวฟารัศและชาวมาดาย” จะยกเลิกไม่ได้! (1:19) ฉะนั้น กษัตริย์จึงประทานอำนาจแก่เอศเธระและมาระดะคายให้ตรากฎหมายใหม่ขึ้น และประทับตราด้วยธำมรงค์ของกษัตริย์. ราชโองการนี้ซึ่งถูกส่งไปทั่วจักรวรรดิเช่นเดียวกับฉบับก่อน ให้สิทธิพวกยิว “ประชุมกัน, และให้พรักพร้อมกันป้องกันรักษาชีวิตของตัวไว้, ให้ประหาร, ให้ฆ่าฟัน, และทำลายบรรดาอำนาจคนทั้งหลายและหัวเมืองนั้นที่จะได้สู้รบกับตน, ทั้งเด็กเล็ก ๆ และผู้หญิงด้วย, และให้ริบเอาสิ่งของ ๆ เขาเหล่านั้นเป็นของริบ” ในวันเดียวกับที่กฎหมายของฮามานมีผลบังคับ.—8:11.
15. (ก) ผลการต่อสู้เป็นอย่างไร และมาระดะคายตั้งงานเลี้ยงอะไรขึ้น? (ข) มาระดะคายได้รับการเลื่อนขึ้นสู่ตำแหน่งอะไร และท่านใช้อำนาจของท่านเพื่อจุดประสงค์อะไร?
15 เมื่อถึงวันที่กำหนด คือวันที่ 13 เดือนอะดาร์ ไม่มีผู้ใดต่อต้านพวกยิวได้. ตามที่เอศเธระทูลขอกษัตริย์ การต่อสู้ดำเนินต่อไปในซูซัรถึงวันที่ 14. ศัตรูของชาวยิวรวมทั้งสิ้น 75,000 คนถูกฆ่าทั่วจักรวรรดิ. อีก 810 คนถูกฆ่าในวังซูซัร. ในจำนวนนี้มีลูกชายสิบคนของฮามานที่ถูกฆ่าในวันแรกและถูกแขวนบนเสาในวันที่สอง. ไม่มีการยึดเอาสิ่งของ. มีการหยุดพักในวันที่ 15 เดือนอะดาร์และพวกยิวจัดงานเลี้ยงฉลองและชื่นชมยินดี. ตอนนี้มาระดะคายมีหนังสือสั่งพวกยิวให้ถือการเลี้ยง “ทิ้งฟูระ, คือฉลาก” ทุกปีในวันที่ 14 และ 15 เดือนอะดาร์ และพวกเขาทำจนถึงทุกวันนี้. (9:24) มาระดะคายได้รับยศศักดิ์สูงในอาณาจักรและใช้ตำแหน่งของตนซึ่งรองจากกษัตริย์อะหัศวะโรศ “หาความสุขให้ชนชาติของท่าน และพูดให้เกิดสันติสุขแก่พงศ์พันธุ์ทั้งปวงของท่าน.”—10:3, ฉบับแปลใหม่.
เหตุที่เป็นประโยชน์
16. หลักการของพระเจ้าและแบบอย่างอันทรงค่าอะไรบ้างที่คริสเตียนพบในพระธรรมเอศเธระ?
16 ถึงแม้ไม่มีผู้เขียนพระคัมภีร์คนอื่นยกข้อความจากเอศเธระโดยตรง แต่พระธรรมเล่มนี้ก็สอดคล้องโดยตลอดกับส่วนอื่น ๆ ของพระคัมภีร์ซึ่งมีขึ้นโดยการดลใจ. ที่จริง พระธรรมนี้ให้ตัวอย่างดีเลิศบางประการเกี่ยวกับหลักการต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลที่มีกล่าวถึงภายหลังในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกและใช้กับผู้นมัสการพระยะโฮวาทุกวัย. การศึกษาข้อความต่อไปนี้ไม่เพียงแสดงให้เห็นว่าเป็นเช่นนั้นจริง แต่ยังเสริมสร้างความเชื่อแก่คริสเตียนด้วย อย่างเช่น เอศเธระ 4:5—ฟิลิปปอย 2:4; เอศเธระ 9:22—ฆะลาเตีย 2:10. ข้อกล่าวหาที่มีต่อพวกยิวที่ว่าพวกเขาไม่เชื่อฟังกฎหมายของกษัตริย์คล้ายคลึงกับข้อหาที่มีต่อคริสเตียนรุ่นแรก. (เอศ. 3:8, 9; กิจ. 16:21; 25:7) ผู้รับใช้แท้ของพระยะโฮวาเผชิญข้อกล่าวหานั้นโดยไม่ขลาดกลัวและด้วยความไว้วางใจอย่างจริงจังในฤทธิ์ของพระเจ้าที่จะช่วยให้รอด ตามแบบอย่างอันดีเลิศของมาระดะคาย, เอศเธระ, และชาวยิวคนอื่น ๆ.—เอศ. 4:16; 5:1, 2; 7:3-6; 8:3-6; 9:1, 2.
17. มาระดะคายและเอศเธระเป็นตัวอย่างอันดีอย่างไรในเรื่องการดำเนินตามแนวทางที่เหมาะสมในการยอมตนอยู่ใต้อำนาจพระเจ้า และ “อำนาจที่ สูงกว่า”?
17 ในฐานะคริสเตียน เราไม่ควรคิดว่าสภาพการณ์ของเราต่างจากสภาพการณ์ของมาระดะคายและเอศเธระ. เราก็เช่นกันอาศัยอยู่ภายใต้ “อำนาจที่สูงกว่า” ในโลกที่เหินห่างจากพระเจ้า. เราอยากจะเป็นพลเมืองที่เชื่อฟังกฎหมายไม่ว่าเราอาศัยในประเทศใด แต่ในเวลาเดียวกัน เราอยากจำกัดขอบเขตให้ถูกต้องระหว่าง ‘การจ่ายคืนของของซีซาร์แก่ซีซาร์และของของพระเจ้าแด่พระเจ้า.’ (โรม 13:1; ลูกา 20:25, ล.ม.) นายกรัฐมนตรีมาระดะคายและราชินีเอศเธระวางตัวอย่างอันดีในเรื่องความเลื่อมใสและความเชื่อฟังตามหน้าที่ทางโลก. (เอศ. 2:21-23; 6:2, 3, 10; 8:1, 2; 10:2) กระนั้น มาระดะคายจำกัดขอบเขตการเชื่อฟังไว้ด้วยความกล้าหาญตรงที่ท่านไม่เชื่อฟังพระบัญชาของกษัตริย์ที่ให้ก้มตัวต่อฮามานชาวอะฆาฆผู้น่าเกลียด. นอกจากนั้น ท่านยังดูแลให้มีการอุทธรณ์เพื่อหาทางแก้ไขอย่างชอบด้วยกฎหมายในคราวที่ฮามานวางแผนทำลายล้างพวกยิว.—3:1-4; 5:9; 4:6-8.
18. (ก) อะไรพิสูจน์ว่าพระธรรมเอศเธระ “มีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้าและเป็นประโยชน์”? (ข) พระธรรมนี้สนับสนุนอย่างไรให้ปกป้องผลประโยชน์แห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า?
18 หลักฐานทั้งหมดชี้ไปยังพระธรรมเอศเธระว่าเป็นส่วนของพระคัมภีร์บริสุทธิ์ที่ “มีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้าและเป็นประโยชน์.” ถึงแม้ว่าไม่มีการกล่าวโดยตรงถึงพระเจ้าหรือพระนามของพระองค์ แต่พระธรรมนี้ก็ให้ตัวอย่างดีเยี่ยมในด้านความเชื่อแก่เรา. มาระดะคายและเอศเธระไม่ใช่แค่เรื่องที่แต่งขึ้นเองตามจินตนาการของนักเล่าเรื่อง แต่ทั้งสองเป็นผู้รับใช้แท้ของพระยะโฮวาพระเจ้า เป็นบุคคลซึ่งมั่นใจเต็มที่ในฤทธิ์แห่งพระยะโฮวาที่จะช่วยให้รอด. แม้ว่าพวกเขาอยู่ภายใต้ “อำนาจที่สูงกว่า” ในต่างแดน แต่ทั้งสองใช้วิธีทางกฎหมายทุกอย่างเพื่อปกป้องผลประโยชน์แห่งไพร่พลของพระเจ้าและการนมัสการของตน. พวกเราในสมัยนี้สามารถทำตามตัวอย่างของคนทั้งสองในการ ‘ป้องกันและการทำให้มีกฎหมายรองรับข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรที่ช่วยให้รอดของพระเจ้า.’—ฟิลิป. 1:7, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
a การหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 1 หน้า 764; เล่ม 2 หน้า 327-331.
b การหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 2 หน้า 613-616.
c ไซโคลพีเดีย ของแมกคลินทอกและสตรอง ฉบับพิมพ์ใหม่ปี 1981 เล่มสาม หน้า 310.
d อา. อุนกะนาด, “ข้อความอักษรรูปลิ่มที่เสริมเข้ากับพระธรรมเอษราและเอศเธระ,” ศาสตร์เกี่ยวกับพันธสัญญาเดิม (ภาษาเยอรมัน) เล่มที่ 58 (1940-1941) หน้า 240-244.