พระธรรมเล่มที่ 18—โยบ
ผู้เขียน: โมเซ
สถานที่เขียน: ถิ่นทุรกันดาร
เขียนเสร็จ: ประมาณปี 1473 ก.ส.ศ.
ครอบคลุมระยะเวลา: กว่า 140 ปี ระหว่างปี 1657 และ 1473 ก.ส.ศ.
1. ชื่อของโยบหมายความว่าอย่างไร และพระธรรมโยบตอบคำถามอะไรบ้าง?
พระธรรมเก่าแก่ที่สุดเล่มหนึ่งในพระคัมภีร์ที่มีขึ้นโดยการดลใจ! พระธรรมหนึ่งที่ได้รับการยกย่องสูงยิ่งและมีการยกไปกล่าวบ่อยครั้ง กระนั้นก็เป็นพระธรรมหนึ่งที่มนุษยชาติไม่ค่อยเข้าใจ. เหตุใดจึงเขียนพระธรรมนี้ และพระธรรมนี้มีคุณค่าอย่างไรสำหรับเราในทุกวันนี้? คำตอบมีบอกไว้ในความหมายของชื่อโยบซึ่งก็คือ “เป้าแห่งการมุ่งร้าย.” ถูกแล้ว พระธรรมนี้มุ่งสนใจที่คำถามสำคัญสองข้อที่ว่า ทำไมผู้ไร้ความผิดต้องทนทุกข์? เหตุใดพระเจ้าจึงปล่อยให้มีความชั่วช้าในโลก? เรามีบันทึกเรื่องความทุกข์ของโยบอีกทั้งความเพียรอดทนมากมายของท่านเพื่อจะพิจารณาในการตอบคำถามสองข้อนี้. ทั้งหมดนี้ถูกเขียนไว้ตามที่โยบขอร้อง.—โยบ 19:23, 24.
2. อะไรพิสูจน์ว่าโยบเคยเป็นบุคคลจริง?
2 โยบกลายเป็นคำที่มีความหมายพ้องกับความอดทนและความทรหด. แต่มีบุคคลเช่นโยบไหม? ทั้ง ๆ ที่พญามารพยายามทุกวิถีทางเพื่อกำจัดแบบอย่างอันยอดเยี่ยมแห่งความซื่อสัตย์มั่นคงออกจากหน้าประวัติศาสตร์ คำตอบเป็นที่ชัดเจน. โยบเป็นบุคคลจริง! พระยะโฮวาทรงเอ่ยชื่อท่านพร้อมกับเหล่าพยานของพระองค์คือ โนฮาและดานิเอลซึ่งพระเยซูคริสต์ก็ทรงยอมรับว่าท่านทั้งสองเคยมีชีวิตอยู่. (ยเอศ. 14:14, 20; เทียบกับมัดธาย 24:15, 37.) ชนชาติฮีบรูโบราณถือว่าโยบเป็นบุคคลจริง. ยาโกโบผู้เขียนคริสเตียนชี้ถึงโยบว่าเป็นตัวอย่างแห่งความอดทน. (ยโก. 5:11) เฉพาะตัวอย่างจากชีวิตจริงเท่านั้น ไม่ใช่นิยาย จึงจะมีน้ำหนักทำให้ผู้นมัสการพระเจ้ามั่นใจว่าจะรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงไว้ได้ภายใต้ทุกสภาพการณ์. นอกจากนั้น ความหนักแน่นและความรู้สึกในคำพูดต่าง ๆ ที่บันทึกในพระธรรมโยบยืนยันความเป็นจริงของสภาพการณ์นั้น.
3. หลักฐานอะไรยืนยันว่าพระธรรมโยบมีขึ้นโดยการดลใจ?
3 ที่ว่าพระธรรมโยบเชื่อถือได้และมีขึ้นโดยการดลใจยังมีการพิสูจน์ให้เห็นด้วยในข้อที่ ชาวฮีบรูโบราณได้รวมพระธรรมนี้ไว้ในสารบบคัมภีร์ไบเบิลของเขาเสมอ ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่น่าสังเกตคือว่า โยบไม่ใช่ชาวยิศราเอล. นอกจากมีการอ้างอิงถึงโยบโดยยะเอศเคลและยาโกโบแล้ว อัครสาวกเปาโลยังยกข้อความจากพระธรรมนี้ไปกล่าวด้วย. (โยบ 5:13; 1 โก. 3:19) ข้อพิสูจน์ที่หนักแน่นเรื่องการที่พระธรรมนี้มีขึ้นโดยการดลใจมีอยู่ในความสอดคล้องอย่างน่าทึ่งกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์แล้ว. เป็นที่ทราบได้อย่างไรว่า พระยะโฮวา “ทรงแขวนแผ่นดินโลกไว้บนความว่างเปล่า” ในเมื่อคนสมัยโบราณมีแนวคิดพิสดารอย่างยิ่งในเรื่องวิธีที่แผ่นดินโลกถูกหนุนไว้? (โยบ 26:7, ล.ม.) ทัศนะอย่างหนึ่งที่ยึดถือกันในสมัยโบราณคือว่า พวกช้างที่ยืนอยู่บนเต่าทะเลใหญ่ตัวหนึ่งหนุนโลกไว้. เหตุใดพระธรรมโยบไม่แสดงถึงเรื่องไร้สาระเช่นนั้น? ปรากฏชัดว่าเพราะพระยะโฮวาผู้สร้างทรงประทานความจริงโดยการดลใจ. คำอธิบายอื่น ๆ อีกมากมายเกี่ยวกับแผ่นดินโลกและสิ่งมหัศจรรย์บนโลก อีกทั้งพวกสัตว์ป่าและนกในที่อยู่ตามธรรมชาติของมันก็ถูกต้องแม่นยำอย่างยิ่งจนเฉพาะแต่พระยะโฮวาพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นผู้ประพันธ์และดลใจให้มีพระธรรมโยบได้.a
4. เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ไหนและเมื่อไร และการเขียนพระธรรมโยบเสร็จสิ้นเมื่อไร?
4 โยบอาศัยในเมืองอูศ ตามที่นักภูมิศาสตร์บางคนบอก เมืองนี้ตั้งอยู่บนคาบสมุทรอาหรับทางภาคเหนือ ใกล้ดินแดนที่พวกอะโดมครอบครองและอยู่ทางตะวันออกของแผ่นดินที่ทรงสัญญาไว้กับลูกหลานของอับราฮาม. ชาวซะบาอยู่ทางใต้ ชาวแคลเดีย (เคเซธ) อยู่ทางตะวันออก. (1:1, 3, 15, 17) เวลาที่มีการทดลองโยบอยู่หลังสมัยอับราฮามนานทีเดียว. เป็นเวลาที่ “ไม่มีใครในโลกดีเหมือนเขา [โยบ]; เป็นคนดีรอบคอบและชอบธรรม.” (1:8) ปรากฏว่านี่เป็นช่วงเวลาระหว่างการตายของโยเซฟ (ปี 1657 ก.ส.ศ.) ชายผู้มีความเชื่อโดดเด่น กับเวลาที่โมเซเริ่มต้นแนวทางแห่งความซื่อสัตย์มั่นคงของท่าน. โยบเป็นผู้ดีเยี่ยมในการนมัสการบริสุทธิ์ในช่วงเวลานี้ซึ่งชาวยิศราเอลแปดเปื้อนด้วยการนมัสการผีปิศาจของอียิปต์. ยิ่งกว่านั้น กิจปฏิบัติที่มีกล่าวถึงในบทแรกของพระธรรมโยบรวมทั้งการที่พระเจ้ายอมรับโยบเป็นผู้นมัสการแท้คนหนึ่ง ต่างชี้ถึงยุคของบุรุษต้นตระกูล ไม่ใช่ยุคหลังจากนั้น ตั้งแต่ปี 1513 ก.ส.ศ. เป็นต้นไป เมื่อพระเจ้าทรงปฏิบัติกับชาติยิศราเอลเท่านั้นซึ่งอยู่ใต้พระบัญญัติ. (อาโมศ 3:2; เอเฟ. 2:12) ดังนั้น เมื่อคำนึงถึงชีวิตอันยืนยาวของโยบด้วย จึงปรากฏว่าพระธรรมนี้ครอบคลุมระยะเวลาระหว่างปี 1657 ก.ส.ศ. ถึงปี 1473 ก.ส.ศ. ปีที่โมเซสิ้นชีวิต; โมเซเขียนพระธรรมนี้เสร็จในช่วงใดช่วงหนึ่งหลังจากโยบตายและขณะที่ชาวยิศราเอลอยู่ในถิ่นทุรกันดาร.—โยบ 1:8; 42:16, 17.
5. อะไรแสดงว่าโมเซเป็นผู้เขียนพระธรรมโยบ?
5 ทำไมเราจึงบอกว่าโมเซเป็นผู้เขียน? เรื่องนี้เป็นไปตามคำสอนสืบปากเก่าแก่ที่สุดท่ามกลางผู้คงแก่เรียนชาวยิวและคริสเตียนรุ่นแรก. ลักษณะแท้ ๆ ที่มีชีวิตชีวาของร้อยกรองภาษาฮีบรูที่ใช้ในพระธรรมโยบทำให้เห็นได้ชัดว่าแต่เดิมได้มีการเรียบเรียงเป็นภาษาฮีบรู ภาษาที่โมเซใช้. พระธรรมนี้ไม่อาจมีการแปลจากภาษาอื่นได้ เช่น ภาษาอาหรับ. นอกจากนั้น ส่วนต่าง ๆ ที่เขียนเป็นร้อยแก้วมีความคล้ายคลึงกับเพนทาทุกมากกว่าพระธรรมเล่มอื่นใดในคัมภีร์ไบเบิล. ผู้เขียนจึงต้องเป็นชาวยิศราเอลอย่างที่โมเซเป็น เพราะชาติยิว “เป็นผู้รับมอบพระคัมภีร์โอวาทของพระเจ้าให้รักษา.” (โรม 3:1, 2) หลังจากเป็นผู้ใหญ่ โมเซใช้เวลา 40 ปีในมิดยาน ไม่ไกลจากเมืองอูศ ที่ที่ท่านสามารถได้รับข้อมูลโดยละเอียดซึ่งบันทึกไว้ในพระธรรมโยบ. ต่อมา เมื่อท่านผ่านมาใกล้บ้านเกิดของโยบ ระหว่างการเดินทางของชาวยิศราเอลในถิ่นทุรกันดาร 40 ปี โมเซก็ได้มาทราบและบันทึกรายละเอียดส่วนสุดท้ายในพระธรรมนี้.
6. ในแง่ไหนบ้างที่พระธรรมโยบเป็นยิ่งกว่าวรรณกรรมชิ้นเอกมากนัก?
6 ตามที่บอกในสารานุกรมบริแทนนิกา ฉบับใหม่ พระธรรมโยบมักถูก “นับอยู่ในบรรดาวรรณกรรมชิ้นเอกของโลก.”b แต่พระธรรมนี้เป็นยิ่งกว่าวรรณกรรมชิ้นเอก. พระธรรมโยบโดดเด่นท่ามกลางพระธรรมต่าง ๆ ของคัมภีร์ไบเบิลในด้านการเชิดชูฤทธิ์อำนาจ, ความยุติธรรม, สติปัญญา, และความรักของพระยะโฮวา. พระธรรมโยบเผยให้เห็นชัดเจนอย่างยิ่งในเรื่องประเด็นสำคัญที่สุดในเอกภพ. พระธรรมโยบให้ความกระจ่างแก่หลายสิ่งที่มีกล่าวไว้ในพระธรรมอื่น ๆ ของคัมภีร์ไบเบิล โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระธรรมเยเนซิศ, เอ็กโซโด, ท่านผู้ประกาศ, ลูกา, โรม, และวิวรณ์. (เทียบโยบ 1:6-12; 2:1-7 กับเยเนซิศ 3:15; เอ็กโซโด 9:16; ลูกา 22:31, 32; โรม 9:16-19 และวิวรณ์ 12:9; และโยบ 1:21; 24:15; 21:23-26; 28:28 ตามลำดับ กับท่านผู้ประกาศ 5:15; 8:11; 9:2, 3; 12:13.) พระธรรมโยบตอบปัญหาชีวิตหลายข้อ. เป็นที่แน่นอนว่าพระธรรมโยบเป็นส่วนที่แยกออกไม่ได้ของพระคำของพระเจ้าซึ่งมีขึ้นโดยการดลใจ ซึ่งพระธรรมโยบมีส่วนสนับสนุนอย่างมากด้วยการให้ความเข้าใจที่เป็นประโยชน์.
เนื้อเรื่องในโยบ
7. โยบมีสถานะเช่นไรในตอนเริ่มต้นของพระธรรมนี้?
7 อารัมภบทของพระธรรมโยบ (1:1-5). ส่วนนี้แนะนำเราให้รู้จักโยบ ชายผู้ “ดีรอบคอบและชอบธรรม, เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหลบหลีกจากความชั่ว.” โยบมีความสุข มีลูกชาย 7 คนและลูกสาว 3 คน. ท่านเป็นเจ้าของที่ดินผู้ร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติมีฝูงแกะและปศุสัตว์มากมาย. ท่านมีคนรับใช้จำนวนมากและเป็น “คนใหญ่คนโตกว่าเพื่อนในฝ่ายทิศตะวันออก.” (1:1, 3) อย่างไรก็ตาม ท่านไม่เป็นนักวัตถุนิยม เพราะท่านไม่ได้ไว้วางใจทรัพย์สมบัติของตน. นอกจากนี้ ท่านมั่งคั่งฝ่ายวิญญาณ, ร่ำรวยด้วยการงานที่ดี, เต็มใจเสมอที่จะช่วยผู้ที่เป็นทุกข์หรือเดือดร้อน, หรือให้เสื้อผ้าแก่ผู้ที่ขัดสน. (29:12-16; 31:19, 20) ทุกคนเคารพท่าน. โยบนมัสการพระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้. ท่านไม่ยอมก้มกราบดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, และดวงดาว อย่างที่ชนชาตินอกรีตทำกัน แต่ท่านซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวา รักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระเจ้าของท่านและมีสัมพันธภาพแน่นแฟ้นกับพระองค์. (29:7, 21-25; 31:26, 27; 29:4) โยบทำหน้าที่เป็นปุโรหิตสำหรับครอบครัวของท่าน ถวายเครื่องบูชาเผาเป็นประจำ ในกรณีที่พวกเขาได้ทำบาป.
8. (ก) ซาตานท้าทายความซื่อสัตย์มั่นคงของโยบอย่างไร? (ข) พระยะโฮวารับคำท้าอย่างไร?
8 ซาตานท้าทายพระเจ้า (1:6–2:13). ม่านแห่งความไม่ประจักษ์แก่ตาถูกเปิดออกอย่างอัศจรรย์เพื่อให้เราเห็นสิ่งต่าง ๆ ในสวรรค์. เราเห็นพระยะโฮวาทรงเป็นประธานการประชุมแห่งเหล่าบุตรของพระเจ้า. ซาตานก็ปรากฏตัวท่ามกลางพวกเขาด้วย. พระยะโฮวาทรงชี้ให้สนใจโยบผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ แต่ซาตานท้าทายความซื่อสัตย์มั่นคงของโยบโดยกล่าวหาว่า โยบรับใช้พระเจ้าเพราะผลประโยชน์ทางวัตถุที่ได้รับ. ถ้าพระเจ้าจะทรงยอมให้ซาตานเอาสิ่งเหล่านี้ไปเสีย โยบจะเลิกซื่อสัตย์มั่นคง. พระยะโฮวารับคำท้าโดยมีข้อห้ามว่าซาตานต้องไม่แตะต้องตัวโยบ.
9. (ก) การทดลองอย่างหนักอะไรบ้างเกิดแก่โยบ? (ข) อะไรพิสูจน์ว่าท่านรักษาไว้ซึ่งความซื่อสัตย์มั่นคง?
9 ภัยพิบัติหลายประการเริ่มเกิดแก่โยบซึ่งไม่คาดคิดเรื่องนั้น. การโจมตีของชาวซะบาและแคลเดียทำให้โยบสูญเสียความมั่งคั่ง. พายุทำให้บุตรชายและบุตรสาวของท่านเสียชีวิต. การทดลองอันหนักหน่วงนี้ไม่อาจทำให้โยบแช่งด่าพระเจ้าหรือหันหนีจากพระองค์. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ท่านกล่าวว่า “จงสรรเสริญพระนามของพระยะโฮวาเถิด.” (1:21) ซาตานซึ่งเป็นฝ่ายแพ้และถูกพิสูจน์ว่าเป็นผู้โกหกในเรื่องนี้มาปรากฏเฉพาะพระพักตร์พระยะโฮวาอีกและกล่าวหาว่า “หนังแทนหนัง จริงละ, คนย่อมสละอะไร ๆ ทุกสิ่งได้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนชีวิตของตนให้คงอยู่.” (2:4) ซาตานอ้างว่า ถ้าได้รับอนุญาตให้แตะต้องตัวโยบละก็ มันจะทำให้โยบแช่งด่าพระเจ้าซึ่งหน้าได้. เมื่อได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งยกเว้นการเอาชีวิตโยบ ซาตานทำให้โยบเกิดโรคร้ายน่ากลัว. เนื้อหนังของท่าน “หุ้มห่อไปด้วยตัวหนอนและผงคลีดิน” ร่างกายและลมหายใจของท่านส่งกลิ่นเหม็นแก่ภรรยาและญาติ ๆ. (7:5; 19:13-20) สิ่งที่แสดงว่าโยบไม่สูญเสียความซื่อสัตย์มั่นคงคือ เมื่อภรรยาท่านยุว่า “ท่านยังจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หรือ? จงแช่งด่าพระเจ้า; ถึงจะตายก็ตายเถิด.” โยบตำหนิเธอและหาได้ “กระทำผิดด้วยริมฝีปากของท่านไม่.”—2:9, 10.
10. ซาตานจัดให้มีการ “เล้าโลม” ด้วยความเงียบเช่นไร?
10 ตอนนี้ซาตานนำเพื่อนสามคนมา “พูดจาเล้าโลม” โยบ. พวกเขาคืออะลีฟาศ, บิลดัด, และโซฟาร์. เมื่ออยู่ในระยะห่างพวกเขาจำโยบไม่ได้ แต่ต่อมาพวกเขาเปล่งเสียงและร้องไห้และซัดฝุ่นใส่ศีรษะของตน. ถัดจากนั้นพวกเขานั่งบนพื้นดินตรงหน้าโยบโดยไม่พูดจาสักคำ. หลังจาก “เล้าโลม” ด้วยความเงียบแบบนี้เจ็ดวันเจ็ดคืน ในที่สุดโยบทำลายความเงียบโดยเริ่มการถกอย่างยืดยาวกับพวกที่มาทำทีเห็นอกเห็นใจท่าน.—2:11.
11-13. โยบเริ่มการถกอย่างไร อะลีฟาศกล่าวหาเช่นไร และโยบตอบด้วยใจเร่าร้อนอย่างไร?
11 การถก: รอบแรก (3:1–14:22). จากจุดนี้ ฉากเหตุการณ์เริ่มด้วยร้อยกรองภาษาฮีบรูที่ยอดเยี่ยม. โยบแช่งด่าวันคืนที่ท่านเกิดมาและข้องใจว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงให้ท่านมีชีวิตอยู่.
12 อะลีฟาศตอบโดยกล่าวหาโยบว่าขาดความซื่อสัตย์มั่นคง. เขาแถลงว่าคนชอบธรรมไม่เคยพินาศ. อะลีฟาศเล่านิมิตในยามค่ำคืนซึ่งมีเสียงบอกเขาว่า พระเจ้าไม่ไว้วางพระทัยผู้รับใช้ของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นแค่ดิน เป็นผงคลีดิน. เขาชี้ว่าความทุกข์ของโยบเป็นการตีสอนจากพระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการ.
13 โยบตอบอะลีฟาศด้วยใจเร่าร้อน. ท่านร้องเสียงดังอย่างที่สิ่งมีชีวิตซึ่งถูกกดขี่และเป็นทุกข์จะทำ. ความตายคงจะเป็นการปลดเปลื้อง. ท่านต่อว่าเพื่อน ๆ อย่างแรงที่คบคิดกันต่อต้านท่านและท้วงว่า “ข้าฯ ขอให้สอนเท่านั้น, และข้าฯ จะนิ่งฟัง, ขอชี้แจงให้ข้าฯ รู้ว่า, ข้าฯ ได้ทำผิดอะไร.” (6:24) โยบถกเถียงในเรื่องความชอบธรรมของตนจำเพาะพระเจ้า “ผู้เฝ้ามนุษย์.”—7:20, ฉบับแปลใหม่.
14, 15. บิลดัดโต้แย้งเช่นไร และเหตุใดโยบเกรงว่าท่านจะแพ้คดีกับพระเจ้า?
14 ตอนนี้บิลดัดกล่าวโต้แย้ง บอกเป็นนัย ๆ ว่าบุตรชายของโยบได้ทำบาปและโยบเองก็ไม่ซื่อตรง มิฉะนั้น พระเจ้าคงสดับฟังท่าน. เขาแนะนำโยบให้มองไปที่คนชั่วอายุก่อน ๆ และสิ่งที่เหล่าบรรพบุรุษของตนได้สืบค้นมาเป็นเครื่องชี้นำ.
15 โยบตอบโดยยืนยันว่าพระเจ้าไม่ทรงอยุติธรรม. และพระองค์ไม่จำเป็นต้องให้การต่อมนุษย์เพราะ “พระองค์ทรง กระทำการใหญ่ยิ่งเหลือที่จะเข้าใจได้, และการมหัศจรรย์เหลือที่จะคณนาได้.” (9:10) โยบไม่อาจเอาชนะพระยะโฮวาในฐานะคู่ความของพระองค์ได้. ท่านทำได้เพียงทูลอ้อนวอนขอความโปรดปรานจากพระเจ้าเท่านั้น. และกระนั้น มีประโยชน์อะไรบ้างไหมจากการพยายามทำสิ่งที่ถูก? “ถึงจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว, พระองค์ก็ทรงทำลายเสียเหมือนกัน.” (9:22) ไม่มีการพิพากษาที่ยุติธรรมบนแผ่นดินโลก. โยบเกรงว่าท่านจะแพ้คดีแม้กระทั่งกับพระเจ้า. ท่านจำเป็นต้องมีคนกลาง. ท่านถามสาเหตุที่ท่านถูกทดลองและอ้อนวอนพระเจ้าให้ทรงระลึกว่าท่านถูกสร้างจาก “ละอองฝุ่น.” (10:9) ท่านหยั่งรู้ค่าพระกรุณาของพระเจ้าในอดีต แต่ท่านกล่าวว่าพระเจ้าจะยิ่งทรงรำคาญถ้าท่านถกเถียงแม้ว่าท่านเป็นฝ่ายถูก. ท่านจะตายเสียก็ดีกว่า!
16, 17. (ก) โซฟาร์ได้ให้คำแนะนำอะไรด้วยความกระหยิ่ม? (ข) โยบประเมินค่า “ผู้เล้าโลม” อย่างไร และท่านได้แสดงความมั่นใจอย่างแรงกล้าในเรื่องอะไร?
16 ตอนนี้โซฟาร์เข้ามาถกด้วย. เขาพูดในทำนองว่า พวกเราเป็นเด็ก ๆ หรือที่จะฟังคำพูดไร้สาระ? ท่านบอกว่าท่านสะอาดจริง ๆ แต่ถ้าพระเจ้าจะตรัส พระองค์คงเปิดโปงความผิดของท่าน. เขาถามโยบว่า “ท่านจะหยั่งรู้ในสภาพของพระเจ้าได้หรือ?” (11:7) เขาแนะนำโยบให้เลิกกิจปฏิบัติที่ก่อความเสียหาย เพราะพระพรจะมีแก่คนที่ทำเช่นนั้น ขณะที่ “ตาของคนชั่วจะฝ้าฟางไป.”—11:20.
17 โยบร้องออกมาด้วยการประชดประชันอย่างแรง “ไม่ต้องสงสัยละ, ท่านนะเป็นคนเลิศแล้ว; และปัญญาจะตายไปด้วยกันกับท่าน.” (12:2) ท่านอาจถูกหัวเราะเยาะ แต่ท่านก็ไม่ด้อยกว่า. ถ้าเพื่อน ๆ ของท่านจะมองดูสิ่งที่พระเจ้าสร้าง แม้กระทั่งสิ่งเหล่านั้นก็จะสอนบางอย่างแก่พวกเขา. อานุภาพและสติปัญญาที่ใช้ได้ผลจริงเป็นของพระเจ้าผู้ทรงควบคุมทุกสิ่งแม้กระทั่ง “ทำให้ประเทศชาติทั้งหลายขยายตัวออกไป, แล้วทรงทำลายเสีย.” (12:23) โยบยินดีที่ถกกรณีของท่านกับพระเจ้า แต่สำหรับ “ผู้เล้าโลม” สามคนของท่าน—“ท่านเป็นผู้แต่งคำมุสา. ท่านเป็นแพทย์ที่ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น.” (13:4) จะเป็นการสุขุมถ้าพวกเขาจะเงียบ! ท่านสำแดงความมั่นใจในความยุติธรรมในกรณีของท่านและทูลขอพระเจ้าให้ทรงฟังท่าน. ท่านได้หวนคิดถึงเรื่องที่ว่า “อันมนุษย์ซึ่งเกิดจากเพศหญิงย่อมมีแต่วันเวลาน้อยนัก, และประกอบไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก.” (14:1) ในไม่ช้ามนุษย์ล่วงลับไปเหมือนดอกไม้หรือเงา. คนเราไม่อาจสร้างคนสะอาดจากคนไม่สะอาดได้. เมื่ออธิษฐานขอพระเจ้าให้ทรงซ่อนท่านไว้ในเชโอลจนกว่าพระพิโรธของพระองค์ผ่านไป โยบทูลว่า “ถ้ามนุษย์ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาอีกหรือ?” ท่านสำแดงความหวังที่มั่นคงโดยตอบว่า “ข้าฯ สมัครใจคอยตลอดเวลากำหนด, จนกว่าจะทรงปล่อยข้าฯ ออกมา.”—14:13, 14.
18, 19. (ก) อะลีฟาศเริ่มการถกรอบสองด้วยการดูถูกเช่นไร? (ข) โยบคิดอย่างไรเรื่องการ “เล้าโลม” ของเพื่อน ๆ และท่านคอยท่าพระยะโฮวาในเรื่องอะไร?
18 การถก: รอบสอง (15:1–21:34). ในการเปิดการถกรอบสอง อะลีฟาศหยันความรู้ของโยบ โดยบอกว่าท่าน ‘บรรจุลมตะวันออกเข้าไว้ในท้องของท่าน.’ (15:2) อีกครั้งที่อะลีฟาศดูถูกคำอ้างของโยบในเรื่องความซื่อสัตย์มั่นคง บอกว่าไม่มีมนุษย์ที่ต้องตายคนใดหรือผู้บริสุทธิ์ใด ๆ ในสวรรค์จะคงความซื่อสัตย์ไว้ได้ในสายพระเนตรของพระยะโฮวา. เขากล่าวหาโยบทางอ้อมว่าพยายามแสดงตัวเหนือกว่าพระเจ้าและประพฤติตัวออกหาก, ติดสินบน, และหลอกลวง.
19 โยบโต้ตอบว่าเพื่อนทั้งสามเป็น ‘ผู้เล้าโลมที่ร้ายกาจด้วยถ้อยคำลม ๆ แล้ง ๆ.’ (16:2, 3) ถ้าพวกเขาเป็นอย่างท่าน ท่านจะไม่ด่าว่าพวกเขา. ท่านปรารถนาอย่างยิ่งที่จะได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง และท่านคอยท่าพระยะโฮวาผู้ทรงมีบันทึกเกี่ยวกับท่านและจะตัดสินกรณีของท่าน. โยบไม่พบสติปัญญาในพวกเพื่อน ๆ. เขาทั้งสามทำให้ความหวังมลายไปสิ้น. การ “เล้าโลม” ของพวกเขาเป็นเหมือนการบอกว่ากลางคืนเป็นกลางวัน. ความหวังอย่างเดียวเท่านั้นคือ ‘ลงไปสู่เชโอล.’—17:15, 16.
20, 21. บิลดัดแสดงความขมขื่นอะไรออกมา โยบคัดค้านเรื่องอะไร และโยบแสดงว่าท่านไว้วางใจในเรื่องใด?
20 การโต้แย้งเผ็ดร้อนขึ้น. ตอนนี้บิลดัดขมขื่นเพราะรู้สึกว่าโยบเปรียบพวกเพื่อน ๆ เหมือนสัตว์ที่ไม่มีความเข้าใจ. เขาถามโยบว่า “โลกจะต้องร้างไปเพราะเห็นแก่ท่านหรือ?” (18:4) เขาเตือนว่า โยบจะตกเข้าสู่บ่วงแร้วอันน่ากลัวเพื่อเป็นตัวอย่างแก่คนอื่น. โยบจะไม่มีลูกหลานสืบต่อจากท่านเลย.
21 โยบตอบว่า “ท่านทั้งหลายจะยั่วจิตวิญญาณของข้าฯ ให้ขัดใจนานสักเท่าใด? และทำให้ข้าฯ ชอกช้ำเป็นชิ้น ๆ ด้วยถ้อยคำ!” (19:2) ท่านสูญเสียครอบครัวและมิตร ภรรยาและคนในบ้านตีจาก และตัวท่านเองก็รอด “อย่างหวุดหวิด.” (19:20, ฉบับแปลใหม่) ท่านไว้วางใจเรื่องการปรากฏตัวของผู้ไถ่ที่จะจัดการประเด็นนี้เพื่อเห็นแก่ท่าน เพื่อในที่สุดท่านจะ “เห็นพระเจ้า.”—19:25, 26.
22, 23. (ก) เหตุใดโซฟาร์รู้สึกเจ็บใจ และเขาพูดอย่างไรเกี่ยวกับบาปของโยบตามที่กล่าวหากัน? (ข) โยบตอบด้วยการหาเหตุผลหักล้างอย่างไร?
22 โซฟาร์ก็เหมือนบิลดัดที่รู้สึกเจ็บใจที่ได้ยิน “คำติเตียน” ของโยบ. (20:3) เขาพูดซ้ำอีกว่าบาปของโยบตามทันท่านแล้ว. โซฟาร์บอกว่าคนชั่วได้รับการลงโทษจากพระเจ้าเสมอ และพวกเขาไม่มีความสงบแม้ในยามที่เจริญมั่งคั่ง.
23 โยบตอบด้วยการหาเหตุผลหักล้างว่า หากพระเจ้าลงโทษคนชั่วเสมอแล้วละก็ เหตุใดคนชั่วยังมีชีวิตอยู่, ชรา, และมีทรัพย์สินมหาศาล? พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน. วิบัติมีแก่พวกเขาบ่อยแค่ไหน? ท่านชี้ว่าทั้งคนจนและคนรวยต่างก็ตายเหมือนกัน. แท้จริง คนชั่วมักตายอย่าง “ราบรื่นและสุขสงบ” ขณะที่ผู้ชอบธรรมอาจตายด้วย “ความขื่นขมในใจ.”—21:23, 25.
24, 25. (ก) อะลีฟาศให้ร้ายป้ายสีโยบอย่างไรในแบบที่ถือว่าตนชอบธรรม? (ข) โยบตอบเช่นไรที่ทั้งพิสูจน์หักล้างและท้าทาย?
24 การถก: รอบสาม (22:1–25:6). อะลีฟาศกลับมาโจมตีโยบอีกอย่างร้ายกาจ เยาะเย้ยคำอ้างของโยบที่ว่าปราศจากตำหนิเฉพาะพระพักตร์พระองค์ผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการ. เขาให้ร้ายป้ายสีโยบ อ้างว่าท่านเป็นคนไม่ดี, เอาเปรียบคนยากจน, ไม่ให้ขนมปังแก่ผู้หิวโหย, อีกทั้งรังแกหญิงม่ายและเด็กชายไม่มีพ่อ. อะลีฟาศบอกว่าชีวิตส่วนตัวโยบไม่บริสุทธิ์ดังที่ท่านอ้างและสิ่งนี้อธิบายสภาพเลวร้ายของโยบ. อะลีฟาศพูดลากเสียงว่า “ถ้าท่านหันกลับมายังท่านผู้ทรงฤทธิ์ . . . พระองค์จะทรงสดับฟัง.”—22:23, 27.
25 โยบตอบด้วยการพิสูจน์หักล้างข้อกล่าวหาที่ไร้ยางอายของอะลีฟาศโดยกล่าวว่า ท่านอยากให้มีการพิจารณาคดีเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงทราบดีถึงแนวทางชอบธรรมของท่าน. มีผู้ที่ข่มเหงเด็กกำพร้า, แม่ม่าย, และคนจนกับผู้ที่เป็นฆาตกร, ขโมย, และเล่นชู้. คนเหล่านั้นอาจดูเหมือนเจริญรุ่งเรืองอยู่สักระยะหนึ่ง แต่พวกเขาต้องรับผลตอบแทนของตน. พวกเขาจะถูกทำให้สูญสิ้นทุกอย่าง. โยบท้าว่า “ใครจะมาพิสูจน์ได้ว่าข้าฯ กล่าวเท็จ?”—24:25.
26. บิลดัดและโซฟาร์พูดเช่นไรอีก?
26 บิลดัดตอบโต้คำท้านี้สั้น ๆ โดยย้ำคำโต้แย้งของตนว่า ไม่มีใครสะอาดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า. โซฟาร์ไม่มีส่วนในรอบสามนี้. เขาไม่มีอะไรจะพูด.
27. ตอนนี้โยบยกย่องความยิ่งใหญ่ของพระองค์ผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการอย่างไร?
27 การชักเหตุผลของโยบในตอนท้าย (26:1–31:40). ในการชี้แจงตอนท้าย โยบทำให้พวกเพื่อน ๆ เงียบสนิท. (32:12, 15, 16) โยบพูดอย่างประชดประชันว่า “ท่านได้ช่วยผู้ที่ไม่มีกำลังอย่างมากจริง! . . . ท่านให้คำเตือนสติแก่ผู้อับปัญญาอย่างดีนัก!” (26:2, 3) อย่างไรก็ตาม ไม่มีสิ่งใดแม้แต่เชโอล จะปกปิดสิ่งใด ๆ ไว้ได้จากสายพระเนตรของพระเจ้า. โยบพรรณนาสติปัญญาของพระเจ้าในอวกาศชั้นนอก, แผ่นดินโลก, เมฆ, ทะเล, และลม—ทุก ๆ สิ่งที่มนุษย์ได้สังเกตเห็น. สิ่งเหล่านี้เป็นพียงส่วนเล็กน้อยแห่งพระมรรคาของพระองค์ผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการ. สิ่งเหล่านั้นแทบจะเป็นเพียงเสียงกระซิบถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการ.
28. โยบกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเช่นไรในเรื่องความซื่อสัตย์มั่นคง?
28 ด้วยความมั่นใจว่าตนปราศจากผิด โยบประกาศว่า “ข้าจะไม่ทิ้งความสัตย์จริง [“ความซื่อสัตย์มั่นคง,” ล.ม.] ของข้าจนข้าตาย.” (27:5, ฉบับแปลใหม่) ใช่ โยบไม่ได้ทำสิ่งใดที่ทำให้สมควรได้รับสิ่งที่บังเกิดแก่ท่าน. ตรงข้ามกับข้อกล่าวหาของพวกเขา พระเจ้าจะทรงประทานบำเหน็จแก่ความซื่อสัตย์มั่นคงโดยดูแลให้สิ่งที่คนชั่วผู้มั่งคั่งสะสมไว้ตกเป็นของผู้ชอบธรรม.
29. โยบพรรณนาถึงสติปัญญาอย่างไร?
29 มนุษย์รู้ว่าทรัพย์แห่งแผ่นดินโลก (เงิน, ทอง, ทองแดง) มาจากไหน แต่ “ปัญญามาจากไหนเล่า?” (28:20) ท่านได้ค้นหาสิ่งนี้ท่ามกลางสิ่งที่มีชีวิต; ท่านค้นดูในทะเล; จะใช้ทองหรือเงินซื้อปัญญาไม่ได้. พระเจ้าเป็นผู้เข้าใจสติปัญญา. พระองค์ทอดพระเนตรจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์, ทรงจัดอัตราส่วนลมและน้ำ, อีกทั้งทรงควบคุมฝนและเมฆพายุ. โยบลงท้ายว่า “ดูเถิด, ความยำเกรงพระยะโฮวานั่นแหละคือปัญญา; และการที่ละทิ้งการชั่วนั่นแหละคือความรู้.”—28:28.
30. โยบปรารถนาการฟื้นฟูเช่นไร แต่สถานภาพของท่านในตอนนี้เป็นอย่างไร?
30 ถัดจากนั้นโยบผู้ทนทุกข์จึงเล่าชีวประวัติของตน. ท่านปรารถนาจะได้รับการฟื้นฟูสู่สถานภาพที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าที่ท่านเคยมี เมื่อท่านได้รับความนับถือแม้แต่จากพวกผู้นำในเมือง. ท่านเคยเป็นผู้ช่วยเหลือคนตกยากและเป็นนัยน์ตาให้คนตาบอด. คำแนะนำของท่านใช้ได้ดี และประชาชนต่างคอยฟังคำท่าน. แต่บัดนี้ แทนการมีฐานะอันทรงเกียรติ ท่านกลับถูกหัวเราะเยาะแม้จากผู้ที่อ่อนวัยกว่า ผู้ซึ่งแม้แต่พ่อของพวกเขาก็ยังไม่เหมาะจะอยู่กับฝูงสุนัขของท่าน. พวกเขาถ่มน้ำลายรดท่านและต่อต้านท่าน. บัดนี้ เมื่อท่านเป็นทุกข์อย่างยิ่ง พวกเขาก็ไม่ให้ท่านพักผ่อน.
31. โยบแสดงความมั่นใจในการพิพากษาของใคร และท่านพูดเช่นไรเกี่ยวกับชีวประวัติแท้ ๆ ของท่าน?
31 โยบพรรณนาถึงตัวเองว่าเป็นคนที่อุทิศตนและขอพระยะโฮวาทรงตัดสินท่าน. “ขอให้พระเจ้าทรงชั่งข้าฯ ด้วยตราชูอันเที่ยงตรง, เพื่อพระองค์จะได้ประจักษ์ความเที่ยงตรงของข้าฯ.” (31:6) โยบแก้ต่างการกระทำของท่านในอดีต. ท่านไม่ใช่คนเล่นชู้ หรือคิดการชั่วต่อคนอื่น. ท่านไม่ละเลยการช่วยผู้ขัดสน. ท่านไม่วางใจในความมั่งคั่งฝ่ายวัตถุแม้ท่านจะร่ำรวย. ท่านไม่นมัสการดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, และดวงดาว เพราะ “อย่างนี้ก็เป็นความผิดด้วยที่จะต้องถูกตุลาการลงโทษ. เพราะด้วยอาการอย่างนั้นเป็นที่แสดงว่าข้าฯ ไม่นับถือพระเจ้าเบื้องบน.” (31:28) โยบเชิญคู่ความให้ยื่นข้อกล่าวหามาต่อสู้ชีวประวัติของท่าน.
32. (ก) ตอนนี้ใครพูด? (ข) เหตุใดอะลีฮูจึงมีโทสะพลุ่งขึ้นต่อโยบและเพื่อน ๆ ของท่าน และอะไรกระตุ้นให้เขาพูด?
32 อะลีฮูพูด (32:1–37:24). ระหว่างช่วงเวลานั้น อะลีฮู ผู้เป็นเชื้อสายของบัศบุตรของนาโฮร และดังนั้นจึงเป็นญาติห่าง ๆ ของอับราฮาม นั่งฟังการถกนั้น. เขาคอยอยู่เพราะคิดว่า คนที่อายุมากกว่าน่าจะมีความรู้มากกว่า. อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่อายุ แต่เป็นพระวิญญาณของพระเจ้าที่ประทานความเข้าใจ. โทสะของอะลีฮูพลุ่งขึ้นเมื่อโยบ “อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายถูกยิ่งกว่าพระเจ้า” แต่ยิ่งมีโทสะต่อเพื่อนสามคนของโยบมากกว่าเนื่องจากพวกเขาขาดสติปัญญาจนน่าเศร้าที่กล่าวว่าพระเจ้าชั่ว. อะลีฮู “มีข้อความเปี่ยมล้นอยู่แล้ว” และพระวิญญาณของพระเจ้ากระตุ้นให้เขาระบายถ้อยคำเหล่านั้นออกมา แต่ก็โดยปราศจากความลำเอียงหรือ “ประจบประแจงคน.”—โยบ 32:2, 3, 18-22; เย. 22:20, 21.
33. โยบผิดในข้อไหน กระนั้น พระเจ้าจะทรงแสดงความกรุณาต่อท่านเช่นไร?
33 อะลีฮูพูดด้วยความจริงใจ ยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างท่าน. เขาชี้แจงว่า โยบเป็นห่วงการพิสูจน์ความถูกต้องของตนเองมากกว่าของพระเจ้า. พระเจ้าไม่จำเป็นต้องตอบถ้อยคำทั้งหมดของโยบราวกับพระองค์ต้องพิสูจน์ว่าการกระทำของพระองค์ถูกต้อง กระนั้น โยบก็ได้โต้แย้งพระเจ้า. อย่างไรก็ตาม ขณะที่จิตวิญญาณของโยบจวนตาย พระเจ้าทรงโปรดให้ผู้ส่งข่าวมาหาท่าน กล่าวว่า “อย่าให้เขาลงไปอยู่ในหลุมนั้นเลย, เรามีค่าไถ่มาให้แล้ว.” เนื้อของเขาก็จะกลับเปล่งปลั่งยิ่งกว่าเนื้อของเด็ก, และความหนุ่มแน่นของเขาก็จะกลับคืนมา.” (โยบ 33:24, 25) ผู้ชอบธรรมจะได้รับการฟื้นฟู!
34. (ก) อะลีฮูว่ากล่าวต่อไปอย่างไร? (ข) แทนที่จะยกย่องความชอบธรรมของตนเอง โยบควรทำอะไร?
34 อะลีฮูขอให้พวกผู้มีปัญญารับฟัง. ท่านว่ากล่าวโยบที่บอกว่า ไม่มีผลกำไรใด ๆ จากการเป็นผู้รักษาความซื่อสัตย์มั่นคง: “พระเจ้าจะทรงกระทำการชั่วนั้นเป็นไปไม่ได้; และท่านผู้ทรงฤทธิ์จะทรงกระทำผิดก็เป็นไปไม่ได้เลย. เพราะว่าพระองค์จะประทานตอบแทนแก่มนุษย์ให้เหมาะสมกับกิจการที่เขากระทำ.” (34:10, 11) พระองค์สามารถทำให้ลมหายใจแห่งชีวิตหมดไป และเนื้อหนังทั้งสิ้นจะตาย. พระเจ้าทรงพิพากษาโดยไม่ลำเอียง. โยบเอาความชอบธรรมของตนขึ้นหน้ามากเกินไป. ท่านหุนหันไปโดยไม่ตั้งใจ แต่เพราะ “ไม่มีความรู้” และพระเจ้าทรงอดกลั้นทนนานกับท่าน. (34:35, ฉบับแปลใหม่) จำเป็นต้องกล่าวถึงการพิสูจน์ความถูกต้องของพระเจ้า มากกว่า. พระเจ้าจะไม่ละพระเนตรจากผู้ชอบธรรม แต่จะทรงว่ากล่าวพวกเขา. “พระองค์ไม่ทรงสงวนชีวิตแห่งคนชั่วไว้, แต่พระองค์ประทานคืนสิทธิ์ให้กับผู้ถูกราวีเบียดเบียน.” (36:6) เนื่องจากพระเจ้าเป็นพระครูองค์สูงสุด โยบจึงควรยกย่องพระราชกิจของพระองค์.
35. (ก) โยบควรเอาใจใส่อะไร? (ข) พระยะโฮวาจะแสดงความพอพระทัยต่อใคร?
35 ในสภาพบรรยากาศน่าสะพรึงกลัวที่พายุกำลังก่อตัว อะลีฮูพูดถึงราชกิจอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงทำรวมทั้งการที่พระองค์ควบคุมพลังในธรรมชาติ. อะลีฮูบอกโยบว่า “ให้ท่านยืนสงบนิ่งอยู่, และตรึกตรองราชกิจอันน่ามหัศจรรย์ของพระเจ้า.” (37:14) จงพิจารณาพระรัศมีสีทองเจิดจ้าและสง่าราศีที่น่าพรั่นพรึงของพระเจ้าซึ่งเกินที่มนุษย์จะค้นพบ. “พระองค์ทรงไว้ซึ่งเดชานุภาพสูงสุด, ประกอบไปด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรมเหลือหลาย. พระองค์ไม่ทรงข่มเหงผู้ใดเลย.” ถูกแล้ว พระยะโฮวาจะทรงเอาใจใส่คนที่เกรงกลัวพระองค์ หาใช่คน “ที่ถือตัวว่ามีปัญญา” ไม่.—37:23, 24.
36. ตอนนี้พระยะโฮวาทรงสอนโยบด้วยบทเรียนที่ชี้เฉพาะอะไรและด้วยชุดคำถามอะไร?
36 พระยะโฮวาตรัสตอบโยบ (38:1–42:6). โยบขอให้พระเจ้าตรัสกับท่าน. บัดนี้ พระยะโฮวาตรัสตอบอย่างน่าเกรงขามจากพายุ. พระองค์ตั้งคำถามชุดหนึ่งแก่โยบซึ่งคำถามเหล่านั้นเองเป็นบทเรียนที่ชี้เฉพาะในเรื่องความต่ำต้อยของมนุษย์และความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า. “เจ้านะอยู่ที่ไหนเมื่อเราได้วางรากแห่งพิภพโลก? . . . ใครเป็นผู้ฝังหินหัวมุม, ขณะเมื่อหมู่ดาวประจำรุ่งแซ่ซ้องสรรเสริญ, และเหล่าบุตรของพระเจ้าส่งเสียงแสดงความยินดี?” (38:4, 6, 7) นั่นเป็นเรื่องก่อนสมัยของโยบนานทีเดียว! คำถามแล้วคำถามเล่าถูกยกขึ้นมาซึ่งโยบตอบไม่ได้ ขณะที่พระยะโฮวาชี้ไปยังทะเลแห่งแผ่นดินโลก, เมฆที่ปกคลุม, ยามรุ่งอรุณ, ประตูแห่งความตาย, และความสว่างกับความมืด. “เจ้าคงรู้เพราะเจ้าเกิดมาแล้ว อายุของเจ้าก็มากเหลือหลาย.” (38:21, ฉบับแปลใหม่) และจะว่าอย่างไรกับคลังหิมะและลูกเห็บ, พายุและฝนอีกทั้งน้ำค้าง, น้ำแข็งและหมอกขาว, หมู่ดาวที่ยิ่งใหญ่ในท้องฟ้า, ฟ้าแลบและชั้นเมฆ, รวมทั้งเหล่าสัตว์และนก?
37. คำถามอะไรอีกที่ทำให้โยบถ่อมใจ และท่านจึงต้องยอมรับเรื่องอะไรและต้องทำอะไร?
37 โยบยอมรับอย่างถ่อมใจว่า “นี่แหละพระเจ้าข้า, ข้าฯ มีค่าแต่เพียงเล็กน้อย, ข้าฯ จะไปโต้ตอบกับพระองค์อย่างไรได้? ข้าฯ จำต้องเอามือปิดปากไว้.” (40:4) พระยะโฮวาทรงสั่งให้โยบเผชิญกับประเด็นนั้น. พระองค์ทรงตั้งคำถามที่ท้าทายขึ้นมาอีกชุดหนึ่งซึ่งเชิดชูพระเกียรติ, ความเลอเลิศ, และอานุภาพของพระองค์ดังปรากฏอยู่ในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างในธรรมชาติ. แม้แต่ช้างน้ำและจระเข้ก็มีพละกำลังมากกว่าโยบ! ด้วยความถ่อมใจอย่างที่สุด โยบยอมรับว่าทัศนะของตนผิดและได้พูดไปโดยปราศจากความรู้. บัดนี้เมื่อเห็นพระเจ้า ไม่ใช่โดยคำบอกเล่าแต่ด้วยความเข้าใจ ท่านจึงถอนคำพูดและแสดงการกลับใจ “ด้วยอาการเกลือกลงในฝุ่นและขี้เถ้า.”—42:6.
38. (ก) พระยะโฮวาทรงจัดการกับอะลีฟาศกับเพื่อน ๆ อย่างไร? (ข) พระองค์ทรงประทานความโปรดปรานและพระพรอะไรแก่โยบ?
38 การพิพากษาและพระพรจากพระยะโฮวา (42:7-17). ต่อจากนั้นพระยะโฮวาทรงตำหนิอะลีฟาศกับเพื่อนสองคนที่ไม่ได้พูดความจริงเกี่ยวกับพระองค์. พวกเขาต้องถวายเครื่องบูชาและขอโยบให้อธิษฐานเผื่อพวกเขา. หลังจากนั้น พระยะโฮวาพลิกสภาพย่ำแย่ของโยบ ทรงอวยพรท่านเป็นสองเท่า. พี่น้องชายหญิงและเพื่อนเก่ากลับมาหาท่านพร้อมกับของกำนัล และท่านได้รับพระพรให้มีแกะ, อูฐ, วัว, และลาเป็นสองเท่าของเมื่อก่อน. โยบมีลูก ๆ อีก 10 คน ลูกสาวสามคนของท่านเป็นสตรีงามที่สุดในทั่วแดนนั้น. ชีวิตของท่านยืดออกไปอย่างน่าอัศจรรย์อีก 140 ปี ท่านจึงได้เห็นลูกหลานอีกสี่ชั่วอายุ. ท่านสิ้นชีวิตเมื่อ “มีอายุชราแก่หง่อมเต็มขนาด.”—42:17.
เหตุที่เป็นประโยชน์
39. พระธรรมโยบยกย่องสรรเสริญพระยะโฮวาในด้านต่าง ๆ อะไรบ้าง?
39 พระธรรมโยบยกย่องพระยะโฮวาและยืนยันถึงสติปัญญาและฤทธิ์อำนาจของพระองค์ซึ่งเกินจะหยั่งได้. (12:12, 13; 37:23) ในพระธรรมนี้มีกล่าวถึงพระเจ้าว่าทรงเป็นองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการ 31 ครั้ง ซึ่งมากกว่าในพระธรรมอื่น ๆ ทั้งหมดของพระคัมภีร์. บันทึกนี้ยกย่องความเป็นนิรันดร์และฐานะสูงส่งของพระองค์ (10:5; 36:4, 22, 26; 40:2; 42:2) รวมทั้งความยุติธรรม, ความรักกรุณา, และพระเมตตาของพระองค์ (36:5-7; 10:12; 42:12). พระธรรมโยบเน้นการพิสูจน์ความถูกต้องของพระยะโฮวายิ่งกว่าความรอดของมนุษย์. (33:12; 34:10, 12; 35:2; 36:24; 40:8) มีการแสดงให้เห็นว่าพระยะโฮวาพระเจ้าของพวกยิศราเอลเป็นพระเจ้าของโยบด้วย.
40. (ก) พระธรรมโยบยกย่องและอธิบายงานสร้างสรรค์ของพระเจ้าอย่างไร? (ข) พระธรรมโยบเกริ่นนำและสอดคล้องอย่างไรกับคำสอนต่าง ๆ ในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก?
40 บันทึกในโยบยกย่องและอธิบายงานสร้างสรรค์ของพระเจ้า. (38:4–39:30; 40:15, 19; 41:1; 35:10) พระธรรมนี้สอดคล้องกับคำกล่าวในเยเนซิศที่ว่า มนุษย์ถูกสร้างจากผงคลีดินและกลับเป็นผงคลีดินอีก. (โยบ 10:8, 9; เย. 2:7; 3:19) พระธรรมโยบใช้คำว่า “ผู้อุปถัมภ์ [“ผู้ไถ่,” ล.ม.],” “ค่าไถ่,” และ “เป็นขึ้นมาอีก” ดังนั้น จึงเกริ่นนำเรื่องคำสอนสำคัญ ๆ ในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก. (โยบ 19:25; 33:24; 14:13, 14) ผู้พยากรณ์และผู้เขียนคริสเตียนหลายคนได้หยิบยกถ้อยคำหลายตอนจากพระธรรมโยบไปกล่าวหรือไม่ก็ใช้คำที่คล้ายคลึงกัน. ตัวอย่างเช่น จงเปรียบเทียบ โยบ 7:17—บทเพลงสรรเสริญ 8:4; โยบ 9:24—1 โยฮัน 5:19; โยบ 10:8—บทเพลงสรรเสริญ 119:73; โยบ 12:25—พระบัญญัติ 28:29; โยบ 24:23—สุภาษิต 15:3; โยบ 26:8—สุภาษิต 30:4; โยบ 28:12, 13, 15-19—สุภาษิต 3:13-15; โยบ 39:30—มัดธาย 24:28.c
41. (ก) มาตรฐานอะไรบ้างตามระบอบของพระเจ้าที่มีการเน้นในพระธรรมโยบ? (ข) โยบผู้รับใช้ของพระเจ้าเป็นตัวอย่างที่ดีเด่นแก่พวกเราทุกวันนี้ในด้านใด?
41 มาตรฐานอันชอบธรรมของพระยะโฮวาสำหรับการดำเนินชีวิตมีแสดงไว้ในหลายตอน. พระธรรมโยบตำหนิอย่างแรงในเรื่องการนิยมวัตถุ (โยบ 31:24, 25), การไหว้รูปเคารพ (31:26-28), การเล่นชู้ (31:9-12), การสมน้ำหน้า (31:29), ความอยุติธรรมและความลำเอียง (31:13; 32:21), ความเห็นแก่ตัว (31:16-21), การคดโกงและการโกหก (31:5), ซึ่งแสดงว่าคนที่ทำสิ่งดังกล่าวเป็นนิสัยย่อมไม่อาจได้รับความโปรดปรานของพระเจ้าและชีวิตถาวร. อะลีฮูเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องความนับถืออย่างสูงและความเจียมตัว พร้อมทั้งความกล้าหาญไม่หวาดหวั่น และการเชิดชูพระเจ้า. (32:2, 6, 7, 9, 10, 18-20; 33:6, 33) การปฏิบัติหน้าที่ประมุขของโยบเอง, การคำนึงถึงครอบครัว, และน้ำใจต้อนรับ ก็นับเป็นตัวอย่างที่ดีด้วย. (1:5; 2:9, 10; 31:32) อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ที่โยบได้รับการระลึกถึงก็เพราะการรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงและความทรหดอดทน จึงวางตัวอย่างซึ่งเป็นสิ่งเสริมความเชื่อให้เข้มแข็งสำหรับผู้รับใช้ของพระเจ้าตลอดยุคต่าง ๆ และโดยเฉพาะในสมัยนี้ที่เป็นช่วงเวลาแห่งการทดลองความเชื่อ. “ท่านทั้งหลายเคยได้ยินถึงความอดทนของโยบ, และได้เห็นผลที่พระยะโฮวาทรงประทานแล้วว่า พระยะโฮวาทรงเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่อันอ่อนละมุนและเมตตา.”—ยโก. 5:11, ล.ม.
42. ประเด็นสำคัญยิ่งอะไรเรื่องราชอาณาจักรที่มีการทำให้กระจ่างชัดในพระธรรมโยบ และมีการชี้แจงด้านที่น่าสนใจอะไรบ้างของประเด็นนี้?
42 โยบไม่ใช่พงศ์พันธุ์ของอับราฮามซึ่งได้รับคำสัญญาเรื่องราชอาณาจักร กระนั้น บันทึกเกี่ยวกับความซื่อสัตย์มั่นคงของท่านช่วยให้เข้าใจชัดเจนขึ้นมากในเรื่องพระประสงค์แห่งราชอาณาจักรของพระยะโฮวา. พระธรรมนี้เป็นส่วนสำคัญของบันทึกจากพระเจ้า เพราะพระธรรมนี้เผยประเด็นสำคัญพื้นฐานระหว่างพระเจ้ากับซาตาน ซึ่งเกี่ยวพันถึงความซื่อสัตย์มั่นคงที่มนุษย์มีต่อพระยะโฮวาในฐานะองค์บรมมหิศรของตน. พระธรรมโยบแสดงว่าพวกทูตสวรรค์ซึ่งถูกสร้างขึ้นก่อนแผ่นดินโลกและมนุษย์ก็เป็นผู้ที่เฝ้าดูและสนใจมากในแผ่นดินโลกนี้และผลของการโต้แย้งนั้น. (โยบ 1:6-12; 2:1-5; 38:6, 7) พระธรรมนี้บ่งว่าข้อโต้แย้งมีอยู่ก่อนสมัยของโยบและซาตานเป็นบุคคลวิญญาณจริง ๆ. ถ้าโมเซเขียนพระธรรมโยบ คำฮาซ ซาตานʹ ปรากฏที่นี่เป็นครั้งแรกในข้อความภาษาฮีบรูในคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งให้ข้อบ่งชี้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ “งูตัวแรกเดิม.” (โยบ 1:6, ล.ม. เชิงอรรถ; วิ. 12:9, ล.ม.) พระธรรมนี้ยังพิสูจน์ด้วยว่า พระเจ้าไม่ใช่ต้นเหตุแห่งความทุกข์, ความเจ็บป่วย, และความตายของมนุษย์ และพระธรรมนี้อธิบายสาเหตุที่คนชอบธรรมถูกข่มเหง ขณะที่คนชั่วและความชั่วช้าถูกปล่อยให้มีอยู่ต่อไป. พระธรรมนี้เผยให้เห็นว่าพระยะโฮวาสนพระทัยในการผลักดันให้มีการจัดการขั้นสุดท้ายกับประเด็นนั้น.
43. สอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยในพระธรรมโยบ บัดนี้ทุกคนที่แสวงหาพระพรแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าต้องปฏิบัติตามแนวทางเช่นไร?
43 บัดนี้เป็นเวลาที่ทุกคนซึ่งปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ใต้การปกครองแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าจะต้องตอบซาตาน “ผู้กล่าวโทษ” ด้วยแนวทางที่ซื่อสัตย์มั่นคงของตน. (วิ. 12:10, 11, ล.ม.) แม้จะอยู่ท่ามกลาง ‘การทดลองที่น่างงงวย’ ผู้รักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต้องอธิษฐานต่อ ๆ ไปเพื่อพระนามของพระเจ้าจะเป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์และเพื่อราชอาณาจักรของพระองค์จะมาและกำจัดซาตานและพงศ์พันธุ์น่ารังเกียจทั้งสิ้นของมัน. นั่นจะเป็น “เวลารบศึกและสงคราม” ของพระเจ้าซึ่งจะตามมาด้วยการบรรเทาและพระพรต่าง ๆ ที่โยบหวังจะมีส่วนร่วมด้วย.—1 เป. 4:12, ล.ม.; มัด. 6:9, 10; โยบ 38:23; 14:13-15.
[เชิงอรรถ]
a การหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 1 หน้า 280-281 663 668 1166; เล่ม 2 หน้า 562-563.
b 1987 เล่ม 6 หน้า 562.
c การหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 2 หน้า 83.