บทแปด
พระผู้สร้างทรงเปิดเผยพระองค์เอง—เพื่อประโยชน์ของเรา!
ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องฟ้าแลบ ผู้คนประมาณสามล้านคนยืนอยู่ตรงหน้าภูเขาสูงตระหง่านบนคาบสมุทรซีนาย. เมฆปกคลุมภูเขาซีนาย และพื้นดินสั่นสะเทือน. ภายใต้สภาพการณ์ที่ไม่มีวันลืมเช่นนั้นแหละ โมเซได้นำชาติยิศราเอลโบราณเข้าสู่สัมพันธภาพอย่างเป็นทางการกับพระผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก.—เอ็กโซโดบท 19; ยะซายา 45:18.
แต่ทำไมพระผู้สร้างเอกภพจึงเปิดเผยพระองค์เองในวิธีพิเศษแก่ชาติเดียว ซึ่งเป็นชาติที่ค่อนข้างเล็ก? โมเซให้ความกระจ่างดังนี้: “เพราะพระยะโฮวาได้ทรงรักเจ้าทั้งหลาย, และเพราะพระองค์จะทรงรักษาคำปฏิญาณซึ่งพระองค์ได้ทรงปฏิญาณไว้กับปู่ย่าตายายของเจ้าทั้งหลาย.”—พระบัญญัติ 7:6-8.
ถ้อยคำดังกล่าวเผยให้เห็นว่า คัมภีร์ไบเบิลไม่เพียงแต่ให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเอกภพและชีวิตบนแผ่นดินโลกเท่านั้นแต่มีข้อมูลอื่น ๆ สำหรับเราอีกมาก. คัมภีร์ไบเบิลมีเรื่องมากมายที่กล่าวถึงการปฏิบัติของพระผู้สร้างกับมนุษย์—ทั้งในอดีต, ปัจจุบัน, และอนาคต. คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่มีคนศึกษามากที่สุดในโลกและมีการพิมพ์จำหน่ายอย่างกว้างขวางที่สุด ดังนั้น ทุกคนที่เห็นคุณค่าของการศึกษาก็น่าจะทำความคุ้นเคยกับเนื้อหาของคัมภีร์ไบเบิล. ขอให้เราพิจารณาสิ่งที่อาจพบได้ในคัมภีร์ไบเบิลนั้นโดยสังเขป ทีแรกเพ่งเล็งในส่วนที่มักเรียกกันว่าพระคริสตธรรมเดิม. เมื่อทำเช่นนั้น เราจะได้รับความหยั่งเห็นเข้าใจอันล้ำค่าในบุคลิกภาพของพระผู้สร้างเอกภพและผู้ประพันธ์คัมภีร์ไบเบิลด้วย.
ในบท 6 ที่มีชื่อว่า “บันทึกเก่าแก่เรื่องการทรงสร้าง—คุณไว้ใจได้ไหม?” เราพบว่าเฉพาะแต่เรื่องราวการทรงสร้างในคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้นที่มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบรรพบุรุษแรกสุดของเรา—ต้นกำเนิดของเรา. พระธรรมเล่มแรกของคัมภีร์ไบเบิลนี้มีเรื่องราวมากกว่านั้นอีก. เช่นเรื่องอะไร?
เทพนิยายของกรีกและของชนชาติอื่นพรรณนาถึงสมัยที่เทพเจ้าองค์ต่าง ๆ และผู้ที่เป็นกึ่งเทพเจ้ากึ่งมนุษย์ได้ติดต่อเกี่ยวข้องกับมนุษย์. นอกจากนี้ นักมานุษยวิทยารายงานว่าทั่วโลกมีตำนานเรื่องน้ำท่วมในสมัยโบราณที่กวาดล้างมนุษยชาติแทบทั้งสิ้น. คุณอาจมีเหตุผลในการบอกปัดเทพนิยายดังกล่าว. กระนั้น คุณทราบไหมว่ามีเพียงพระธรรมเยเนซิศเท่านั้นที่เผยให้เราเห็นข้อเท็จจริงอันเป็นพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ซึ่งภายหลังมีการสะท้อนให้เห็นในเทพนิยายและตำนานดังกล่าว?—เยเนซิศบท 6, 7.a
นอกจากนั้น ในพระธรรมเยเนซิศ คุณจะได้อ่านเรื่องราวของชายและหญิงหลายคน ซึ่งเป็นบุคคลจริงที่เราสามารถเข้าใจความคิดและความรู้สึกของเขาได้ ผู้ซึ่งรู้ว่าพระผู้สร้างทรงดำรงอยู่และคำนึงถึงพระทัยประสงค์ของพระองค์ในชีวิตของพวกเขา. เราจะพบว่าคุ้มค่าที่จะได้รู้จักบุรุษอย่างเช่น อับราฮาม, ยิศฮาค, และยาโคบ ซึ่งอยู่ในบรรดา “บรรพบุรุษ” ที่โมเซกล่าวถึงนั้น. พระผู้สร้างได้มารู้จักอับราฮามและเรียกท่านว่า “มิตรสหายของเรา.” (ยะซายา 41:8; เยเนซิศ 18:18, 19) เพราะเหตุใด? พระยะโฮวาทรงสังเกตและมีความเชื่อมั่นในอับราฮามฐานะบุรุษที่มีความเชื่อ. (เฮ็บราย 11:8-10, 17-19; ยาโกโบ 2:23) ประสบการณ์ของอับราฮามแสดงว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่เราสามารถเข้าถึงได้. อำนาจและพระปรีชาสามารถของพระองค์เป็นที่น่าเกรงขาม กระนั้น พระองค์ก็มิใช่เป็นเพียงพลังหรือต้นเหตุที่ไม่มีตัวตน. พระองค์ทรงเป็นบุคคลจริงซึ่งมนุษย์อย่างเราสามารถปลูกฝังสัมพันธภาพที่เปี่ยมด้วยความนับถือได้—เพื่อผลประโยชน์ถาวรของเรา.
พระยะโฮวาทรงสัญญากับอับราฮามว่า “โดยทางพงศ์พันธุ์ของเจ้า ทุกชาติแห่งแผ่นดินโลกจะทำให้ตนเองได้พระพรเป็นแน่.” (เยเนซิศ 22:18, ล.ม.) นั่นอาศัยหรือขยายคำสัญญาที่ทรงทำในสมัยของอาดามเกี่ยวกับ “พงศ์พันธุ์” ที่จะมานั้น. (เยเนซิศ 3:15, ล.ม.) ถูกแล้ว สิ่งที่พระยะโฮวาตรัสแก่อับราฮามยืนยันความหวังที่ว่าใครคนหนึ่ง คือพงศ์พันธุ์นั้น จะปรากฏตัวในที่สุดและทำให้ชนชาติทั้งสิ้นสามารถได้รับพระพร. คุณจะพบว่าเรื่องนี้เป็นอรรถบทสำคัญที่ปรากฏตลอดคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่ม เป็นการตอกย้ำว่าหนังสือนี้ไม่ใช่การรวบรวมข้อเขียนที่หลากหลายของมนุษย์. และการที่คุณทราบอรรถบทของคัมภีร์ไบเบิลจะช่วยให้คุณตระหนักว่า พระเจ้าทรงใช้ชาติโบราณชาติหนึ่ง—โดยมีเป้าประสงค์ในการอวยพรชนทุกชาติ.—บทเพลงสรรเสริญ 147:19, 20.
ข้อเท็จจริงที่ว่าพระยะโฮวาทรงมีเป้าหมายเช่นนี้ในการติดต่อเกี่ยวข้องกับชาติยิศราเอลบ่งชี้ว่า ‘พระองค์ไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด.’ (กิจการ 10:34; ฆะลาเตีย 3:14) ยิ่งกว่านั้น แม้แต่ระหว่างที่พระเจ้าทรงติดต่อเกี่ยวข้องกับลูกหลานของอับราฮามเป็นอันดับแรก ผู้คนจากชาติอื่นก็ได้รับการต้อนรับให้มาและรับใช้พระยะโฮวาด้วย. (1 กษัตริย์ 8:41-43) และดังที่เราจะได้เห็นภายหลัง ความไม่ลำเอียงของพระเจ้าเป็นอย่างที่ในสมัยนี้เราทุกคน—ไม่ว่าจะมีภูมิหลังทางเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ใดก็ตาม—สามารถรู้จักและทำให้พระองค์พอพระทัยได้.
เราสามารถเรียนรู้มากมายจากประวัติศาสตร์ของชาติที่พระผู้สร้างทรงติดต่อเกี่ยวข้องด้วยเป็นเวลาหลายศตวรรษ. ให้เราแบ่งประวัติศาสตร์ของชาตินี้เป็นสามตอน. ในการพิจารณาตอนเหล่านี้ โปรดสังเกตวิธีที่พระยะโฮวาทรงปฏิบัติสอดคล้องกับความหมายแห่งพระนามของพระองค์ คือ “พระองค์ทรงบันดาลให้เป็น” และวิธีที่บุคลิกลักษณะของพระองค์ปรากฏในการติดต่อเกี่ยวข้องกับผู้คนจริง ๆ.
ตอนที่หนึ่ง—ชาติหนึ่งที่ปกครองโดยพระผู้สร้าง
ลูกหลานของอับราฮามกลายเป็นทาสในอียิปต์. ในที่สุดพระเจ้าทรงตั้งโมเซ ผู้ซึ่งนำพวกเขาไปสู่เสรีภาพในปี 1513 ก.ส.ศ. เมื่อพวกยิศราเอลกลายเป็นชาติหนึ่ง พระเจ้าทรงเป็นผู้ปกครองชาตินั้น. แต่ในปี 1117 ก.ส.ศ. ประชาชนร้องขอกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์.
ลำดับเหตุการณ์เป็นอย่างไรที่นำไปสู่การที่ชนยิศราเอลมาอยู่ด้วยกันกับโมเซ ณ ภูเขาซีนาย? พระธรรมเยเนซิศเล่าถึงภูมิหลัง. ก่อนหน้านั้น ตอนที่ยาโคบ (มีชื่อว่ายิศราเอลด้วย) อยู่นอกเขตแดนอียิปต์ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ได้เกิดการกันดารอาหารขึ้นทั่วโลกตามที่รู้จักกันในตอนนั้น. ความห่วงใยต่อครอบครัวทำให้ยาโคบไปขออาหารจากอียิปต์ ที่นั่นมีข้าวเป็นเสบียงสะสมไว้มากทีเดียว. ท่านได้พบว่าผู้อำนวยการด้านอาหารนั้นที่แท้แล้วคือโยเซฟบุตรชายของท่าน ซึ่งยาโคบเข้าใจว่าตายไปเมื่อหลายปีก่อน. ยาโคบกับครอบครัวย้ายไปอียิปต์และได้รับการเชิญให้อยู่ที่นั่นต่อไป. (เยเนซิศ 45:25–46:5; 47:5-12) อย่างไรก็ตาม ภายหลังการตายของโยเซฟ ฟาโรห์องค์ใหม่ได้เกณฑ์ลูกหลานของยาโคบให้ทำงานเยี่ยงทาสและ “ได้กระทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตของตนเพราะการหนักที่เขาทำ, เช่น ทำปูน ทำอิฐ.” (เอ็กโซโด 1:8-14) คุณสามารถอ่านเรื่องราวที่ชัดราวกับตาเห็นนี้ได้รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ อีกมากในพระธรรมเล่มที่สองของคัมภีร์ไบเบิล คือ เอ็กโซโด.
ชนยิศราเอลทนรับการปฏิบัติอย่างโหดร้ายเป็นเวลาหลายสิบปี และ “เขาจึงร้องไห้คร่ำครวญจนเสียงนั้นได้ขึ้นไปถึงพระเจ้า.” การหันไปหาพระยะโฮวาเป็นแนวทางที่ฉลาด. พระองค์ใฝ่พระทัยในลูกหลานของอับราฮามและตั้งพระทัยจะทำให้พระประสงค์ของพระองค์เกี่ยวด้วยการจัดเตรียมพระพรในอนาคตสำหรับชนทั้งปวงนั้นบรรลุผลสำเร็จ. พระยะโฮวา ‘สดับฟังเสียงคร่ำครวญของชาติยิศราเอลและทรงทราบถึงความเป็นไปของเขา’ ซึ่งแสดงให้เราเห็นว่าพระผู้สร้างทรงเห็นอกเห็นใจคนที่ถูกเหยียบย่ำและได้รับความทุกข์ยาก. (เอ็กโซโด 2:23-25) พระองค์ทรงเลือกโมเซเพื่อนำชนยิศราเอลออกจากการเป็นทาส. แต่เมื่อโมเซกับอาโรนพี่ชายของท่านมาขอฟาโรห์แห่งอียิปต์ให้ปล่อยชนที่เป็นทาสนี้ไป เขาได้ตอบอย่างท้าทายว่า “พระยะโฮวานั้นเป็นผู้ใดเล่า, ที่เราจะต้องฟังคำของท่าน, และปล่อยชนชาติยิศราเอลไป.”—เอ็กโซโด 5:2.
คุณคิดว่าพระผู้สร้างเอกภพจะทรงขยาดกลัวคำท้าทายดังกล่าวไหม ถึงแม้มาจากผู้ปกครองของมหาอำนาจทางทหารใหญ่ยิ่งที่สุดที่มีอยู่นั้น? พระเจ้าทรงโจมตีฟาโรห์และชาวอียิปต์ด้วยภัยพิบัติต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง. ในที่สุด หลังจากภัยพิบัติที่สิบ ฟาโรห์ยอมปล่อยชนยิศราเอล. (เอ็กโซโด 12:29-32) ดังนั้น ลูกหลานของอับราฮามจึงได้มารู้จักพระยะโฮวาฐานะบุคคลจริง ๆ—ผู้ทรงให้เสรีภาพในเวลากำหนดของพระองค์. ถูกแล้ว ดังที่พระนามของพระองค์หมายถึง พระยะโฮวาทรงกลายเป็นผู้ทรงทำให้คำสัญญาของพระองค์สำเร็จเป็นจริงในวิธีที่น่าทึ่ง. (เอ็กโซโด 6:3) แต่ทั้งฟาโรห์กับชนยิศราเอลยังจะต้องเรียนรู้อีกมากเกี่ยวกับพระนามนั้น.
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะไม่ช้าฟาโรห์ได้เปลี่ยนใจ. เขานำกองทัพไล่ตามทาสที่จากไปนั้นอย่างรุ่มร้อน ตามทันพวกเขาใกล้ทะเลแดง. ชนยิศราเอลติดอยู่ระหว่างทะเลกับกองทัพอียิปต์. ครั้นแล้วพระยะโฮวาทรงเข้าแทรกแซงโดยเปิดช่องทางผ่านทะเลแดง. ฟาโรห์น่าจะตระหนักว่านี่เป็นการสำแดงอำนาจที่ไม่มีใครเอาชนะได้ของพระเจ้า. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาผลีผลามนำกองทัพตามชนยิศราเอลไป—แต่แล้วก็จมน้ำพร้อมกับกองทัพของเขาเมื่อพระเจ้าทรงปล่อยให้ทะเลกลับสู่สภาพปกติ. เรื่องราวในพระธรรมเอ็กโซโดมิได้บอกอย่างชัดแจ้งว่าพระเจ้าทรงกระทำกิจเหล่านี้โดยวิธีใด. เราอาจเรียกเหตุการณ์นั้นอย่างเหมาะสมว่าการอัศจรรย์ เพราะการกระทำนั้นและจังหวะเวลาอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์. แน่นอน กิจการดังกล่าวคงจะไม่อยู่เหนือการควบคุมของพระองค์ผู้ทรงสร้างทั้งเอกภพและกฎทั้งมวลของเอกภพนั้น.—เอ็กโซโด 14:1-31.
เหตุการณ์นี้พิสูจน์ให้ชนยิศราเอลเห็น—และเราน่าจะเห็นเด่นชัดด้วยเช่นกัน—ว่าพระยะโฮวาทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดซึ่งปฏิบัติสอดคล้องกับพระนามของพระองค์. อย่างไรก็ตาม เรื่องราวนี้ควรทำให้เราเข้าใจแนวทางต่าง ๆ ของพระเจ้ามากยิ่งขึ้นอีก. ตัวอย่างเช่น พระองค์ทรงสนองโทษตามความยุติธรรม ต่อชาติที่กดขี่นั้น ขณะที่แสดงความรักกรุณา ต่อไพร่พลของพระองค์ซึ่งพงศ์พันธุ์จะมาทางพวกเขา. เกี่ยวกับส่วนหลังนี้ เห็นได้ชัดทีเดียวว่าสิ่งที่เราอ่านในเอ็กโซโดไม่ใช่เป็นเพียงประวัติศาสตร์โบราณ; แต่เป็นบันทึกที่เกี่ยวข้องกับพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะทำให้พระพรมีไว้พร้อมสำหรับทุกคน.
เดินทางสู่แผ่นดินแห่งคำสัญญา
ภายหลังออกจากอียิปต์แล้ว โมเซกับไพร่พลเดินขบวนผ่านทะเลทรายไปยังภูเขาซีนาย. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นั่นกำหนดรูปแบบการติดต่อสัมพันธ์ของพระเจ้ากับชาตินั้นในหลายร้อยปีข้างหน้า. พระองค์ทรงจัดเตรียมกฎหมาย. แน่นอน เป็นเวลานานแสนนานก่อนเหตุการณ์นี้ พระผู้สร้างทรงตั้งกฎควบคุมสสารในเอกภพของเราอยู่แล้ว ซึ่งกฎเหล่านั้นยังคงมีผลบังคับใช้อยู่. แต่ ณ ภูเขาซีนาย พระองค์ทรงใช้โมเซให้จัดเตรียมกฎหมายประจำชาติ. เราสามารถอ่านทั้งสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำและประมวลกฎหมายที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ในพระธรรมเอ็กโซโดและพระธรรมอีกสามเล่มต่อจากนั้น คือ เลวีติโก, อาฤธโม, และพระบัญญัติ. ผู้คงแก่เรียนเชื่อว่าโมเซเขียนพระธรรมโยบด้วย. เราจะพิจารณาเนื้อหาที่สำคัญบางส่วนของพระธรรมนี้ในบท 10.
แม้กระทั่งทุกวันนี้ ผู้คนนับล้านทั่วโลกทราบเกี่ยวกับบัญญัติสิบประการและพยายามจะปฏิบัติตามบัญญัตินั้น ซึ่งเป็นข้อชี้แนะที่สำคัญด้านศีลธรรมของประมวลกฎหมายที่ครบถ้วนดังกล่าว. อย่างไรก็ดี ประมวลกฎหมายนั้นมีข้อชี้แนะอื่น ๆ มากมายที่น่ายกย่องเพราะความดีเลิศ. เข้าใจได้ว่า ข้อกำหนดหลายข้อมีจุดรวมอยู่ที่ชีวิตของชนยิศราเอลในสมัยนั้น เช่น กฎเกี่ยวกับสุขอนามัย, การสุขาภิบาล, และโรคต่าง ๆ. ถึงแม้ในตอนแรกมุ่งหมายไว้สำหรับชนโบราณกลุ่มหนึ่งก็ตาม กฎหมายดังกล่าวสะท้อนให้เห็นความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ซึ่งผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ได้ค้นพบในราวศตวรรษที่แล้วนี้เอง. (เลวีติโก 13:46, 52; 15:4-13; อาฤธโม 19:11-20; พระบัญญัติ 23:12, 13) คนเราอาจถามก็ได้ว่า เป็นไปได้อย่างไรที่กฎหมายสำหรับชาติยิศราเอลโบราณสะท้อนให้เห็นความรู้และสติปัญญาที่เหนือกว่าสิ่งที่ชาติต่าง ๆ ซึ่งอยู่ร่วมสมัยรู้กัน? คำตอบที่มีเหตุผลคือ กฎหมายเหล่านั้นมาจากพระผู้สร้าง.
กฎหมายเหล่านั้นยังช่วยรักษาเชื้อสายของครอบครัวไว้ด้วยและกำหนดหน้าที่ต่าง ๆ ด้านศาสนาเพื่อชนยิศราเอลจะปฏิบัติตามจนกว่าพงศ์พันธุ์จะมาปรากฏ. โดยยินยอมทำทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้อง พวกเขาจะต้องรับผิดชอบต่อการดำเนินชีวิตตามพระบัญญัตินั้น. (พระบัญญัติ 27:26; 30:17-20) เป็นที่ยอมรับว่า พวกเขาไม่สามารถรักษาพระบัญญัติได้อย่างครบถ้วน. กระนั้น แม้แต่ข้อเท็จจริงนี้ก็ยังก่อผลดี. ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคนหนึ่งได้อธิบายในภายหลังว่า พระบัญญัติ “ทำให้การล่วงละเมิดปรากฏชัด จนกว่าพงศ์พันธุ์ที่ได้รับคำสัญญานั้นจะมา.” (ฆะลาเตีย 3:19, 24, ล.ม.) ดังนั้น ประมวลกฎหมายนั้นทำให้พวกเขาเป็นชนที่แยกต่างหาก, เตือนพวกเขาให้ระลึกถึงความจำเป็นเรื่องพงศ์พันธุ์หรือพระมาซีฮา, และเตรียมพวกเขาไว้เพื่อต้อนรับพระองค์.
ชนยิศราเอลที่ชุมนุมกัน ณ ภูเขาซีนายได้ตกลงจะปฏิบัติตามประมวลกฎหมายของพระเจ้า. โดยวิธีนี้ พวกเขาจึงมาอยู่ภายใต้สิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกว่า สัญญาไมตรี หรือข้อตกลง. เป็นสัญญาไมตรีระหว่างชาตินั้นกับพระเจ้า. ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเต็มใจเข้าสู่สัญญาไมตรีนี้ก็ตาม พวกเขาได้แสดงตัวเป็นคนดื้อดึง. ตัวอย่างเช่น พวกเขาทำรูปโคทองคำแทนพระเจ้า. การที่พวกเขาทำเช่นนั้นเป็นบาปเพราะการนมัสการรูปเคารพเป็นการละเมิดบัญญัติสิบประการโดยตรง. (เอ็กโซโด 20:4-6) ยิ่งกว่านั้น พวกเขาได้บ่นเรื่องอาหาร, ขืนอำนาจผู้นำที่พระเจ้าทรงแต่งตั้ง (โมเซ), และปล่อยตัวให้มีความสัมพันธ์ที่ผิดศีลธรรมกับหญิงต่างชาติซึ่งนมัสการรูปเคารพ. แต่ทำไมเราซึ่งมีชีวิตอยู่ห่างไกลจากสมัยของโมเซมากควรสนใจเรื่องนี้?
อีกครั้งหนึ่ง เรื่องนี้มิใช่เป็นเพียงประวัติศาสตร์โบราณ. เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับการกระทำของชาติยิศราเอลที่ไม่สำนึกบุญคุณและการตอบสนองของพระเจ้านั้นแสดงว่าพระองค์ใฝ่พระทัยอย่างแท้จริง. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า ชนยิศราเอลได้ทดลองพระยะโฮวาอยู่ “เนือง ๆ” ทำให้พระองค์ “เศร้าพระทัย” และ “ขัดพระทัย.” (บทเพลงสรรเสริญ 78:40, 41) ฉะนั้น เรามั่นใจได้ว่าพระผู้สร้างทรงมีความรู้สึก และพระองค์ใฝ่พระทัย สิ่งที่มนุษย์ทำ.
จากทัศนะของมนุษย์ คนเราอาจคิดว่าการกระทำผิดของชาติยิศราเอลจะยังผลด้วยการที่พระเจ้าล้มเลิกสัญญาไมตรีของพระองค์และบางทีอาจเลือกอีกชาติหนึ่งเพื่อทำให้คำสัญญาของพระองค์สำเร็จ. แต่พระองค์มิได้ทำเช่นนั้น. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ลงโทษผู้กระทำผิดอย่างโจ่งแจ้ง แต่ทรงแผ่ความเมตตาไปยังชาติที่ดื้อรั้นนี้เป็นส่วนรวม. ถูกแล้ว พระเจ้าทรงภักดี ต่อคำสัญญาที่ทรงทำกับอับราฮามสหายผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ต่อไป.
ไม่นานนัก ชาติยิศราเอลก็เข้ามาใกล้คะนาอัน ซึ่งเป็นชื่อที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกแผ่นดินแห่งคำสัญญา. ผู้คนที่มีกำลังมากซึ่งจมปลักอยู่ในกิจปฏิบัติที่เสื่อมทรามด้านศีลธรรมอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น. พระผู้สร้างได้ปล่อยให้เวลา 400 ปีผ่านไปโดยมิได้แทรกแซงพวกเขา แต่ตอนนี้พระองค์ทรงเลือกอย่างเที่ยงธรรมที่จะมอบแผ่นดินนั้นให้ชาติยิศราเอลโบราณ. (เยเนซิศ 15:16; โปรดดูหัวเรื่อง “พระเจ้าผู้ทรงหวงแหน—ในแง่ใด?” หน้า 132-133 ด้วย.) ในการเตรียมตัว โมเซได้ส่งคนสอดแนม 12 คนเข้าไปในแผ่นดินนั้น. สิบคนในพวกเขาแสดงการขาดความเชื่อในอำนาจที่จะช่วยให้รอดของพระยะโฮวา. รายงานของพวกเขากระตุ้นไพร่พลให้บ่นว่าพระเจ้าและคบคิดกันที่จะกลับไปอียิปต์. ผลก็คือ พระเจ้าทรงพิพากษาลงโทษไพร่พลให้รอนแรมอยู่ในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 ปี.—อาฤธโม 14:1-4, 26-34.
การพิพากษานั้นทำให้อะไรบรรลุผลสำเร็จ? ก่อนเสียชีวิต โมเซได้ตักเตือนเหล่าบุตรแห่งยิศราเอลให้ระลึกถึงช่วงเวลาหลายปีนั้นที่พระยะโฮวาทรงทำให้พวกเขาถ่อมตัวลง. โมเซกล่าวแก่พวกเขาว่า “เจ้าทั้งหลายจงตรองดูในใจของเจ้าว่า, บิดาตีสั่งสอนบุตรชายของตนฉันใด, พระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าก็ได้ตีสั่งสอนเจ้าทั้งหลายฉันนั้น.” (พระบัญญัติ 8:1-5) ทั้ง ๆ ที่พวกเขาได้ปฏิบัติอย่างดูหมิ่นต่อพระองค์ก็ตาม พระยะโฮวาทรงค้ำจุนพวกเขา แสดงให้เห็นว่าพวกเขาต้องพึ่งอาศัยพระองค์. ตัวอย่างเช่น พวกเขาอยู่รอดเพราะพระองค์ทรงจัดเตรียมมานาให้ชาตินั้น ซึ่งเป็นของที่รับประทานได้มีรสเหมือนขนมปังผสมด้วยน้ำผึ้ง. ปรากฏชัดว่า พวกเขาน่าจะได้เรียนรู้มากมายจากประสบการณ์ในถิ่นทุรกันดาร. นั่นน่าจะพิสูจน์ความสำคัญของการเชื่อฟังพระเจ้าองค์เปี่ยมด้วยความเมตตา ของพวกเขาและการพึ่งอาศัยพระองค์.—เอ็กโซโด 16:13-16, 31; 34:6, 7.
หลังจากที่โมเซตาย พระเจ้าทรงมอบหมายให้ยะโฮซูอะนำชาติยิศราเอล. บุรุษที่กล้าหาญและภักดีผู้นี้นำชาตินั้นเข้าสู่แผ่นดินคะนาอันและเริ่มพิชิตแผ่นดินนั้นอย่างอาจหาญ. ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ ยะโฮซูอะได้เอาชนะกษัตริย์ 31 องค์ และยึดครองส่วนใหญ่ของแผ่นดินแห่งคำสัญญา. คุณอาจพบประวัติที่น่าตื่นเต้นเรื่องนี้ได้ในพระธรรมยะโฮซูอะ.
ปกครองโดยไม่มีกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์
ตลอดการรอนแรมในถิ่นทุรกันดารและระหว่างช่วงต้น ๆ ในแผ่นดินแห่งคำสัญญา ชาตินั้นมีโมเซแล้วก็ยะโฮซูอะเป็นผู้นำ. ชนยิศราเอลไม่ต้องมีกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์ เพราะพระยะโฮวาทรงเป็นองค์บรมมหิศรของพวกเขา. พระองค์ทรงจัดให้มีผู้เฒ่าผู้แก่ที่ได้รับการแต่งตั้งให้พิจารณาคดี ณ ประตูเมือง. พวกเขารักษาความเป็นระเบียบและช่วยเหลือประชาชนด้านวิญญาณ. (พระบัญญัติ 16:18; 21:18-20) พระธรรมประวัตินางรูธเสนอเรื่องราวสั้น ๆ ที่น่าตรึงใจเกี่ยวกับวิธีที่ผู้เฒ่าผู้แก่ดังกล่าวจัดการกับคดีที่อาศัยกฎหมายดังปรากฏในพระบัญญัติ 25:7-9.
ตลอดเวลาหลายปี ชาตินั้นทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัยอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากไม่เชื่อฟังพระองค์หลายครั้งหลายหนและหันไปหาพระของชาวคะนาอัน. กระนั้น เมื่อพวกเขาตกอยู่ในความลำบากแสนสาหัสและร้องขอพระยะโฮวาให้ช่วยเหลือ พระองค์ทรงระลึกถึงพวกเขา. พระองค์ทรงตั้งผู้วินิจฉัยขึ้นเพื่อนำหน้าในการปลดปล่อยชาติยิศราเอล ช่วยพวกเขาให้รอดจากชาติเพื่อนบ้านที่กดขี่. พระธรรมที่มีชื่อว่าวินิจฉัยแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งถึงการกระทำที่องอาจของผู้วินิจฉัย 12 คนจากบรรดาผู้วินิจฉัยที่กล้าหาญเหล่านี้.—วินิจฉัย 2:11-19; นะเฮมยา 9:27.
บันทึกกล่าวว่า “ในสมัยนั้นไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล ต่างก็กระทำตามที่ตนเองเห็นชอบ.” (วินิจฉัย 21:25, ฉบับแปลใหม่) ชาตินั้นมีมาตรฐานที่กำหนดไว้ในพระบัญญัติ ดังนั้น ด้วยความช่วยเหลือจากผู้เฒ่าผู้แก่และคำแนะนำจากปุโรหิต ประชาชนจึงมีพื้นฐานที่จะ “ทำตามที่ตนเองเห็นชอบ” และรู้สึกมั่นคงปลอดภัยในการทำเช่นนี้. นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายได้กำหนดให้มีพลับพลา หรือวิหารที่เคลื่อนย้ายได้ ซึ่งเป็นที่ถวายเครื่องบูชา. ที่นั่นเป็นศูนย์รวมของการนมัสการแท้และช่วยทำให้ชาตินั้นปรองดองกันระหว่างสมัยนั้น.
ตอนที่สอง—ความเจริญรุ่งเรืองภายใต้กษัตริย์
ระหว่างที่ซามูเอลเป็นผู้วินิจฉัยในยิศราเอล ประชาชนร้องขอกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์. กษัตริย์สามองค์แรกคือ ซาอูล, ดาวิด, และซะโลโม ปกครองคนละ 40 ปี ตั้งแต่ปี 1117 ถึง 997 ก.ส.ศ. ชาติยิศราเอลได้บรรลุถึงจุดสุดยอดของความมั่งคั่งและความรุ่งเรือง และพระผู้สร้างทรงดำเนินขั้นตอนที่สำคัญในการเตรียมการเพื่อจะเป็นกษัตริย์ของพงศ์พันธุ์ที่จะเสด็จมานั้น.
ในฐานะผู้วินิจฉัยและผู้พยากรณ์ ซามูเอลเอาใจใส่อย่างดีต่อสวัสดิภาพฝ่ายวิญญาณของชาติยิศราเอล ทว่า บุตรชายของท่านไม่เอาอย่างท่าน. ในที่สุดประชาชนร้องขอต่อซามูเอลว่า “ขอโปรดตั้งกษัตริย์, เพื่อจะได้ทรงพิพากษาพวกข้าพเจ้าทั้งหลายเหมือนชาวนานาประเทศ.” พระยะโฮวาทรงชี้แจงแก่ซามูเอลถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำร้องขอของพวกเขาว่า “จงฟังสิ่ง . . . ซึ่งชนเหล่านั้นได้เรียนต่อท่าน, เพราะเขาไม่ได้ประมาทละทิ้งท่าน, แต่ได้ประมาทละทิ้งเรา, ไม่ยอมให้เราเป็นกษัตริย์ของเขา.” พระยะโฮวาทรงมองเห็นล่วงหน้าถึงผลอันน่าเศร้าของการมีกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์. (1 ซามูเอล 8:1-9) กระนั้น ตรงกับความต้องการของพวกเขา พระองค์ทรงแต่งตั้งบุรุษที่เจียมตัวชื่อ ซาอูล เป็นกษัตริย์เหนือชนยิศราเอล. ทั้ง ๆ ที่มีท่าว่าดีในตอนเริ่มต้นก็ตาม หลังจากขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว ซาอูลได้แสดงแนวโน้มที่เอาแต่ใจตัวเองและละเมิดพระบัญชาของพระเจ้า. ผู้พยากรณ์ของพระเจ้าประกาศว่าตำแหน่งกษัตริย์จะถูกมอบให้บุรุษผู้หนึ่งซึ่งเป็นที่พอพระทัยพระยะโฮวา. เรื่องนี้น่าจะเน้นให้เราเห็นว่าพระผู้สร้างทรงถือว่าการเชื่อฟังจากหัวใจมีคุณค่า สักเพียงไร.—1 ซามูเอล 15:22, 23.
ดาวิดซึ่งเป็นกษัตริย์องค์ถัดมาของยิศราเอลเป็นบุตรชายคนเล็กสุดของครอบครัวหนึ่งในตระกูลยูดา. พระเจ้าตรัสแก่ซามูเอลเกี่ยวกับการเลือกที่คาดไม่ถึงครั้งนี้ว่า “มนุษย์ดูสิ่งที่ปรากฏแก่ตา; แต่พระยะโฮวาทรงทอดพระเนตรดูว่าหัวใจเป็นอย่างไร.” (1 ซามูเอล 16:7, ล.ม.) เป็นเรื่องที่ทำให้มีกำลังใจมิใช่หรือที่พระผู้สร้างทรงมองดูว่าเราเป็นอย่างไรภายใน มิใช่สิ่งที่ปรากฏภายนอก? แต่ซาอูลมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง. ตั้งแต่ตอนที่พระยะโฮวาทรงเลือกดาวิดเป็นกษัตริย์ในอนาคต ซาอูลถูกครอบงำ—ถูกกระตุ้นด้วยความคิดที่จะสังหารดาวิด. พระยะโฮวาไม่ปล่อยให้เรื่องนั้นเกิดขึ้น และในที่สุดซาอูลกับโอรสได้เสียชีวิตในการสู้รบกับผู้คนที่ถูกเรียกว่าพวกฟะลิศตีม.
ดาวิดปกครองในฐานะกษัตริย์จากเมืองเฮ็บโรน. ครั้นแล้วท่านได้ยึดกรุงยะรูซาเลมและย้ายเมืองหลวงไปที่นั่น. ท่านยังได้ขยายอาณาเขตของชาติยิศราเอลไปถึงสุดเขตแดนของแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญาจะประทานให้ลูกหลานของอับราฮามด้วย. คุณสามารถอ่านเกี่ยวกับช่วงเวลานี้ (และประวัติศาสตร์ของกษัตริย์องค์หลัง ๆ) ในพระธรรมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์หกเล่มของคัมภีร์ไบเบิล.b พระธรรมเหล่านี้เปิดเผยว่าชีวิตของดาวิดใช่ว่าปลอดจากปัญหา. ตัวอย่างเช่น โดยยอมจำนนต่อความปรารถนาแบบมนุษย์ ท่านได้เล่นชู้กับนางบัธเซบะหญิงรูปงามและต่อจากนั้นก็กระทำผิดอย่างอื่นอีกเพื่อปกปิดบาปของตน. ในฐานะพระเจ้าแห่งความยุติธรรม พระยะโฮวาไม่อาจเพียงมองข้ามความผิดของดาวิด. แต่เนื่องจากการกลับใจอย่างจริงใจของดาวิด พระเจ้ามิได้เรียกร้องว่าจะต้องทำการลงโทษตามพระบัญญัติอย่างเข้มงวด; ถึงกระนั้น ดาวิดจะยังคงมีปัญหาครอบครัวหลายประการอันเป็นผลสืบเนื่องจากบาปของท่าน.
ตลอดช่วงวิกฤติทั้งหมดนี้ ดาวิดได้มารู้จักพระเจ้าฐานะเป็นบุคคล—ผู้ซึ่งมีความรู้สึก. ท่านเขียนว่า “พระยะโฮวาทรงสถิตอยู่ใกล้ คนทั้งปวงที่ทูลต่อพระองค์ . . . พระองค์จะทรงสดับฟังคำร้องทุกข์ของเขา.” (บทเพลงสรรเสริญ 145:18-20) ความจริงใจและความเลื่อมใสของดาวิดมีแสดงไว้อย่างชัดแจ้งในบทเพลงอันไพเราะที่ท่านแต่ง ซึ่งประกอบกันเป็นครึ่งหนึ่งของพระธรรมบทเพลงสรรเสริญ. หลายล้านคนได้รับการปลอบโยนและกำลังใจจากบทกวีนี้. ขอพิจารณาความใกล้ชิดที่ดาวิดมีกับพระเจ้า ดังที่แสดงให้เห็นในบทเพลงสรรเสริญ 139:1-4 (ล.ม.) ที่ว่า “ข้าแต่พระยะโฮวา พระองค์ได้ทรงพินิจพิเคราะห์ดูข้าพเจ้า และพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า. พระองค์เองทรงทราบเมื่อข้าพเจ้านั่งลงและลุกขึ้น. พระองค์ได้ทรงพิจารณาดูความคิดของข้าพเจ้าจากที่ห่างไกล. . . . ด้วยว่าไม่มีสักคำบนลิ้นของข้าพเจ้า แต่ดูซิ! ข้าแต่พระยะโฮวา พระองค์ทรงทราบคำนั้นทั้งสิ้นอยู่แล้ว.”
ดาวิดสำนึกถึงโดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจในการช่วยให้รอดของพระเจ้า. (บทเพลงสรรเสริญ 20:6; 28:9; 34:7, 9; 37:39) แต่ละครั้งที่ท่านประสบอำนาจดังกล่าว ความไว้วางใจของท่านในพระยะโฮวาเพิ่มพูนขึ้น. คุณสามารถเห็นหลักฐานในเรื่องนั้นที่บทเพลงสรรเสริญ 30:5; 62:8; และ 103:9. หรืออ่านบทเพลงสรรเสริญ 51 ซึ่งดาวิดแต่งขึ้นหลังจากได้รับการว่ากล่าวเนื่องด้วยทำบาปกับนางบัธเซบะ. ช่างทำให้สดชื่นสักเพียงไรที่ทราบว่า เราสามารถแสดงความรู้สึกของเราต่อพระผู้สร้างได้ทุกเมื่อ โดยมั่นใจว่าพระองค์ไม่หยิ่งยโส ทว่าทรงถ่อมลงเต็มพระทัยที่จะรับฟัง! (บทเพลงสรรเสริญ 18:35; 69:33; 86:1-8) ดาวิดมิได้เกิดมีความหยั่งรู้เข้าใจดังกล่าวเพียงแค่จากประสบการณ์. ท่านเขียนว่า “ข้าพเจ้าภาวนาถึงพระราชกิจทั้งปวงที่พระองค์ทรงกระทำนั้น; ข้าพเจ้ารำพึงถึงพระหัตถกิจการต่าง ๆ ของพระองค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 63:6; 143:5.
พระยะโฮวาทรงทำสัญญาไมตรีพิเศษกับดาวิดในเรื่องราชอาณาจักรชั่วนิรันดร์. ดาวิดอาจจะไม่เข้าใจความหมายของสัญญาไมตรีนั้นอย่างเต็มที่ แต่จากรายละเอียดที่บันทึกในคัมภีร์ไบเบิลในภายหลัง เราเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงบ่งชี้ว่าพงศ์พันธุ์ตามคำสัญญานั้นจะมาทางเชื้อสายของดาวิด.—2 ซามูเอล 7:16.
ซะโลโมกษัตริย์ที่ชาญฉลาดและความหมายของชีวิต
ซะโลโมราชโอรสของดาวิดมีชื่อเสียงโด่งดังในด้านสติปัญญา และเราสามารถได้รับประโยชน์จากสติปัญญานั้นโดยอ่านพระธรรมที่ใช้ได้ผลจริงคือ สุภาษิตและท่านผู้ประกาศ.c (1 กษัตริย์ 10:23-25) พระธรรมเล่มหลังนี้เป็นประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่แสวงหาความหมายของชีวิต เช่นเดียวกับที่กษัตริย์ซะโลโมผู้ชาญฉลาดเคยแสวงหานั้น. ในฐานะกษัตริย์ยิศราเอลองค์แรกที่กำเนิดในราชวงศ์ ซะโลโมมีสิ่งที่สามารถทำได้มากมายอยู่ตรงหน้าท่าน. ท่านดำเนินโครงการก่อสร้างที่ใหญ่โตรโหฐานด้วย, มีอาหารหลากหลายที่น่าประทับใจบนโต๊ะ, และเพลิดเพลินกับดนตรีและการคบหากับมิตรสหายที่สูงศักดิ์. กระนั้น ท่านได้เขียนว่า “แล้วข้าฯ ได้หันมาดูบรรดาการงานที่มือของข้าฯ ได้กระทำนั้น, และบรรดาการที่ข้าฯ ได้ออกแรงทำนั้น; และดูเถอะ, การทั้งหลายเป็นอนิจจัง.” (ท่านผู้ประกาศ 2:3-9, 11) นั่นชี้ถึงอะไร?
ซะโลโมเขียนว่า “บทสรุปของเรื่อง เมื่อได้ฟังทุกสิ่งแล้ว คือ: จงเกรงกลัวพระเจ้าเที่ยงแท้และถือรักษาพระบัญชาของพระองค์. เพราะนี่คือพันธะทั้งสิ้นของมนุษย์. เพราะพระเจ้าเที่ยงแท้จะทรงนำการงานทุกอย่างมาสู่การพิพากษาเกี่ยวพันกับทุกสิ่งที่ซ่อนไว้ เพื่อดูว่าเป็นการดีหรือการชั่ว.” (ท่านผู้ประกาศ 12:13, 14, ล.ม.) ประสานกับข้อนั้น ซะโลโมได้มีส่วนร่วมในโครงการเจ็ดปีของการก่อสร้างพระวิหารอันรุ่งโรจน์ อันเป็นสถานที่ที่ประชาชนจะนมัสการพระเจ้าได้.—1 กษัตริย์บท 6.
ตลอดหลายปี รัชสมัยของซะโลโมเต็มไปด้วยสันติภาพและความอุดมสมบูรณ์. (1 กษัตริย์ 4:20-25) กระนั้น หัวใจของท่านมิได้พิสูจน์ว่าครบถ้วนต่อพระยะโฮวาดังที่ดาวิดได้พิสูจน์นั้น. ซะโลโมได้รับเอาภรรยาชาวต่างชาติหลายคนและยอมให้หญิงเหล่านั้นทำให้หัวใจของท่านเอนเอียงไปหาพระของพวกนาง. ในที่สุดพระยะโฮวาตรัสว่า “เราจะคืนแผ่นดินจากเจ้าเป็นแน่ . . . จะให้ตระกูลหนึ่งแก่บุตรของเจ้าเพราะเห็นแก่ดาวิดผู้ทาสของเรา, และเพราะเห็นแก่กรุงยะรูซาเลม.”—1 กษัตริย์ 11:4, 11-13.
ตอนที่สาม—อาณาจักรถูกแบ่งแยก
หลังความตายของซะโลโม ในปี 997 ก.ส.ศ. สิบตระกูลทางเหนือได้แยกออกไป. ตระกูลเหล่านี้รวมตัวกันเป็นอาณาจักรยิศราเอลซึ่งชาวอัสซีเรียพิชิตได้ในปี 740 ก.ส.ศ. กษัตริย์ในกรุงยะรูซาเลมปกครองสองตระกูล. อาณาจักรยูดานี้ยืนยงอยู่จนกระทั่งชาวบาบูโลนพิชิตกรุงยะรูซาเลมได้ในปี 607 ก.ส.ศ. และจับชาวเมืองไปเป็นเชลย. แผ่นดินยูดาร้างเปล่าอยู่เป็นเวลา 70 ปี.
เมื่อซะโลโมสิ้นชีวิต ระฮับอามราชโอรสเถลิงอำนาจและกดขี่ประชาชน. นี่นำไปสู่การกบฏ และสิบตระกูลแยกตัวออกไปกลายเป็นอาณาจักรยิศราเอล. (1 กษัตริย์ 12:1-4, 16-20) ตลอดหลายปี อาณาจักรทางเหนือนี้มิได้ยึดมั่นกับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้. ผู้คนมักก้มกราบรูปเคารพที่เป็นรูปโคทองคำหรือหลงเข้าสู่การนมัสการเท็จในรูปแบบอื่นอยู่เนือง ๆ. กษัตริย์บางองค์ถูกลอบสังหารและราชวงศ์ของพวกเขาถูกโค่นล้มโดยผู้ยึดอำนาจ. พระยะโฮวาทรงแสดงความอดกลั้น อย่างมากมาย ทรงส่งผู้พยากรณ์ไปครั้งแล้วครั้งเล่าเตือนชาตินั้นว่าโศกนาฏกรรมมีอยู่ข้างหน้าถ้าพวกเขายังคงออกหากต่อไป. พระธรรมโฮเซอาและอาโมศเขียนโดยผู้พยากรณ์ซึ่งข่าวสารของเขาเพ่งเล็งอยู่ที่อาณาจักรทางเหนือนี้. ในที่สุด ในปี 740 ก.ส.ศ. พวกอัสซีเรียได้นำมาซึ่งโศกนาฏกรรมที่ผู้พยากรณ์ของพระเจ้าได้บอกไว้ล่วงหน้านั้น.
ทางใต้ กษัตริย์จากเชื้อวงศ์ของดาวิดที่สืบต่อมา 19 องค์ปกครองยูดาจนกระทั่งปี 607 ก.ส.ศ. กษัตริย์อาซา, ยะโฮซาฟาด, ฮิศคียา, และโยซียาปกครองเช่นเดียวกับดาวิดบรรพบุรุษ และได้รับความพอพระทัยของพระยะโฮวา. (1 กษัตริย์ 15:9-11; 2 กษัตริย์ 18:1-7; 22:1, 2; 2 โครนิกา 17:1-6) เมื่อกษัตริย์เหล่านี้ปกครอง พระยะโฮวาอวยพระพรชาตินั้น. ดิ อิงลิชแมนส์ คริทิคัล แอนด์ เอกซ์โพซิทอรี ไบเบิล ไซโคลพีเดีย ให้ข้อสังเกตไว้ว่า “ลักษณะอันสง่างามที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ในส่วนของยูดาคือ พระวิหารที่พระเจ้าทรงตั้งไว้, ตำแหน่งปุโรหิต, กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร, และการยอมรับพระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวฐานะเป็นพระมหากษัตริย์แท้ตามระบอบของพระเจ้า. . . . การยึดมั่นกับกฎหมายนี้ . . . ก่อให้เกิดการสืบสันตติวงศ์ของกษัตริย์องค์ต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยราชาที่ชาญฉลาดและดีหลายองค์ . . . ดังนั้น ยูดาจึงอยู่ได้นานกว่าอาณาจักรทางเหนือซึ่งมีประชากรมากกว่า.” กษัตริย์ซึ่งไม่ดำเนินตามแนวทางของดาวิดมีจำนวนมากกว่ากษัตริย์ที่ภักดีเหล่านั้น. กระนั้น พระยะโฮวาทรงชี้นำเรื่องต่าง ๆ เพื่อว่า ‘ดาวิดผู้ทาสของพระองค์จะมีแสงตะเกียงเสมอเฉพาะพระองค์ในกรุงยะรูซาเลม, คือเมืองซึ่งพระเจ้าได้เลือกไว้, เพื่อจะประดิษฐานนามของพระองค์ไว้ที่นั้น.’—1 กษัตริย์ 11:36.
มุ่งสู่ความพินาศ
มะนาเซเป็นกษัตริย์องค์หนึ่งของยูดาซึ่งหันเหจากการนมัสการแท้. “ท่านได้เผาโอรสเป็นเครื่องบูชา, ถือฤกษ์ยาม, ถือเวทมนตร์, ถือแม่มดและคนทรง: ท่านได้ประพฤติชั่วร้ายมากต่อพระเนตรพระยะโฮวา, ให้พระองค์ทรงพระพิโรธ.” (2 กษัตริย์ 21:6, 16) กษัตริย์มะนาเซได้ชักจูงประชาชนให้ “หลงไปประพฤติการชั่วยิ่งกว่าชนชาติอื่น ๆ, ที่พระยะโฮวาทรงล้างผลาญเสียแล้ว.” หลังจากเตือนมะนาเซกับไพร่พลของท่านหลายครั้งแล้ว พระผู้สร้างทรงประกาศว่า “เราจะเช็ดกรุงยะรูซาเลมเหมือนหนึ่งคนได้เช็ดชาม.”—2 โครนิกา 33:9, 10; 2 กษัตริย์ 21:10-13.
ในฐานะเป็นการเปิดฉาก พระยะโฮวาทรงปล่อยให้ชาวอัสซีเรียจับมะนาเซใส่ตรวนทองแดงนำตัวไปเป็นเชลย. (2 โครนิกา 33:11) เมื่อพลัดถิ่น มะนาเซสำนึกตัวและ “อ่อนน้อมถ่อมลงต่อพระเจ้าแห่งเชื้อวงศ์ปู่ย่าตายาย.” พระยะโฮวาทรงมีปฏิกิริยาอย่างไร? “[พระเจ้า] ได้ทรงโปรดสดับฟังคำอ้อนวอน, ทรงบันดาลให้ท่านกลับมายังกรุงยะรูซาเลมยังแผ่นดินของท่าน. มะนาเซจึงทราบว่า, พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่เที่ยงแท้.” กษัตริย์มะนาเซกับกษัตริย์โยซียาราชนัดดา ทั้งสองพระองค์ได้ดำเนินการปฏิรูปที่จำเป็นจนบรรลุผลสำเร็จ. กระนั้น ชาตินั้นมิได้หันกลับอย่างถาวรจากความเสื่อมทรามขนานใหญ่ทางศีลธรรมและทางศาสนานั้น.—2 โครนิกา 33:1-20; 34:1–35:25; 2 กษัตริย์บท 22.
น่าสังเกต พระยะโฮวาทรงใช้ผู้พยากรณ์ที่มีใจแรงกล้าให้แถลงทัศนะของพระองค์ต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น.d ยิระมะยาบรรยายคำตรัสของพระยะโฮวาไว้ว่า “ตั้งแต่วันที่บิดาทั้งหลายของพวกเจ้าออกจากแผ่นดินอายฆุบโตจนถึงทุกวันนี้, เราได้ใช้แต่บรรดาคนใช้คือผู้ทำนายทั้งปวงของเราให้ไปถึงพวกเจ้า, ได้ตื่นขึ้นแต่เช้ามืดทุกวัน.” แต่ผู้คนไม่ยอมฟังพระเจ้า. พวกเขาประพฤติชั่วร้ายยิ่งกว่าบรรพบุรุษของเขาเสียอีก! (ยิระมะยา 7:25, 26) พระองค์ทรงเตือนพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า “เพราะพระองค์ทรงพระเมตตากรุณา ต่อพลไพร่ของพระองค์.” พวกเขายังคงไม่ตอบรับ. ดังนั้น พระองค์ทรงปล่อยให้ชาวบาบูโลนมาทำลายกรุงยะรูซาเลมและทำให้แผ่นดินร้างเปล่าในปี 607 ก.ส.ศ. แผ่นดินนั้นถูกปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลา 70 ปี.—2 โครนิกา 36:15, 16; ยิระมะยา 25:4-11.
การทบทวนสั้น ๆ เกี่ยวกับการกระทำของพระเจ้าน่าจะช่วยเราให้สำนึกถึงความใฝ่พระทัย และการปฏิบัติอย่างเที่ยงธรรมของพระยะโฮวากับชาติของพระองค์. พระองค์มิได้อยู่ห่าง ๆ และเพียงแต่คอยดูว่าผู้คนจะทำอะไรกัน ประหนึ่งว่าพระองค์ไม่แยแส. พระองค์ทรงพยายามอย่างแข็งขันที่จะช่วยพวกเขา. คุณอาจเข้าใจเหตุผลที่ยะซายากล่าวว่า “โอ้พระบิดาเจ้าข้า. . . . ข้าพเจ้าทั้งหลายล้วนเป็นหัตถกิจของพระองค์.” (ยะซายา 64:8) ฉะนั้น หลายคนในทุกวันนี้อ้างอิงถึงพระผู้สร้างว่า “พระบิดา” เนื่องจากพระองค์ทรงตอบสนองดุจบิดาที่เป็นมนุษย์ซึ่งมีความรักและความสนใจ. อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงถือว่าเราต้องรับผิดชอบต่อแนวทางของเราเองและผลจากแนวทางนั้น.
หลังจากชาตินั้นผ่านการเป็นเชลยช่วงระยะ 70 ปีในบาบูโลน พระยะโฮวาพระเจ้าทรงทำให้คำพยากรณ์เรื่องการฟื้นฟูกรุงยะรูซาเลมนั้นสำเร็จเป็นจริง. ผู้คนได้รับการปลดปล่อยและได้รับอนุญาตให้กลับไปยังมาตุภูมิเพื่อ ‘ทำการสร้างโบสถ์วิหารของพระยะโฮวา ณ กรุงยะรูซาเลม.’ (เอษรา 1:1-4; ยะซายา 44:24–45:7) พระธรรมหลายเล่มeในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูนี้, การสร้างพระวิหารขึ้นใหม่, หรือเหตุการณ์ที่ติดตามมา. ดานิเอล หนึ่งในพระธรรมเหล่านั้นน่าสนใจเป็นพิเศษเนื่องจากพยากรณ์อย่างแม่นยำถึงเวลาที่พงศ์พันธุ์หรือพระมาซีฮาจะปรากฏ และบอกล่วงหน้าถึงลำดับเหตุการณ์โลกในยุคของเรา.
ในที่สุดพระวิหารก็ถูกสร้างขึ้นใหม่ แต่กรุงยะรูซาเลมอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช. กำแพงและประตูเมืองเป็นซากปรักหักพัง. ดังนั้น พระเจ้าทรงตั้งบุรุษอย่างเช่น นะเฮมยา ให้หนุนกำลังใจและจัดระเบียบชาวยิว. คำอธิษฐานที่เราอ่านได้ในนะเฮมยาบท 9 สรุปอย่างดีถึงการปฏิบัติของพระยะโฮวากับชนยิศราเอล. บทนั้นแสดงว่าพระยะโฮวาทรงเป็น “พระเจ้าแห่งการให้อภัย ทรงกรุณาและเมตตา, ทรงพระพิโรธช้าและเปี่ยมด้วยความรักกรุณา.” (ข้อ 17 ล.ม.) คำอธิษฐานนั้นยังแสดงด้วยว่า พระยะโฮวาทรงปฏิบัติประสานกับมาตรฐานแห่งความยุติธรรมที่สมบูรณ์พร้อมของพระองค์. แม้แต่เมื่อพระองค์มีเหตุผลอันถูกต้องที่จะสำแดงอำนาจ เพื่อดำเนินการพิพากษา พระองค์ก็พร้อมที่จะปรับเพื่อทำให้ความยุติธรรมและความรักสมดุลกัน. การที่พระองค์ทำเช่นนี้ในวิธีที่สมดุลและน่ายกย่องจำเป็นต้องใช้สติปัญญา. ปรากฏชัดว่า การปฏิบัติของพระผู้สร้างกับชาติยิศราเอลน่าจะชักนำเราให้มาหาพระองค์และเป็นแรงจูงใจให้สนใจที่จะทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์.
ขณะที่ส่วนนี้ของคัมภีร์ไบเบิล (พระคริสตธรรมเดิม) จบลง อาณาจักรยูดาพร้อมกับพระวิหารที่กรุงยะรูซาเลมได้รับการฟื้นฟูแล้ว ทว่าอยู่ภายใต้การปกครองของคนนอกรีต. ดังนั้น สัญญาไมตรีของพระเจ้ากับดาวิดเรื่อง “พงศ์พันธุ์” ซึ่งจะปกครอง “เป็นนิตย์” นั้นจะสำเร็จเป็นจริงได้อย่างไร? (บทเพลงสรรเสริญ 89:3, 4; 132:11, 12) ชาวยิวยังคงคอยท่าการมาปรากฏของ “มาซีฮาผู้นำ” ซึ่งจะปลดปล่อยไพร่พลของพระเจ้าและสถาปนาราชอาณาจักรตามระบอบของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก. (ดานิเอล 9:24, 25, ล.ม.) แต่นั่นเป็นพระประสงค์ของพระยะโฮวาไหม? ถ้าไม่ใช่ พระมาซีฮาตามคำสัญญานั้นจะนำมาซึ่งการช่วยให้รอดโดยวิธีใด? และเรื่องนี้มีผลกระทบต่อเราในทุกวันนี้อย่างไร? บทต่อไปจะพิจารณาประเด็นสำคัญเหล่านี้.
[เชิงอรรถ]
a ชื่อของพระธรรมเล่มต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลพิมพ์เป็นตัวหนาเพื่อช่วยในการระบุเนื้อหาของพระธรรมนั้น ๆ.
b พระธรรมเหล่านั้นคือ 1 ซามูเอล, 2 ซามูเอล, 1 กษัตริย์, 2 กษัตริย์, 1 โครนิกา, และ 2 โครนิกา.
c ท่านยังได้เขียนเพลงไพเราะของกษัตริย์ซะโลโมด้วย ซึ่งเป็นบทกวีรักที่เน้นความภักดีของหญิงสาวที่มีต่อคนเลี้ยงแกะผู้ต่ำต้อย.
d พระธรรมหลายเล่มในคัมภีร์ไบเบิลมีข่าวสารเชิงพยากรณ์ที่มีขึ้นโดยการดลใจ. พระธรรมเหล่านั้นประกอบด้วยยะซายา, ยิระมะยา, บทเพลงร้องทุกข์ของยิระมะยา, ยะเอศเคล, โยเอล, มีคา, ฮะบาฆูค, ซะฟันยา. พระธรรมโอบัดยา, โยนา, และนาฮูมได้มุ่งความสนใจไปยังชาติซึ่งอยู่ล้อมรอบซึ่งการปฏิบัติของพวกเขามีผลกระทบต่อไพร่พลของพระเจ้า.
e พระธรรมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และคำพยากรณ์เหล่านี้ประกอบด้วยเอษรา, นะเฮมยา, เอศเธระ, ฮาฆี, ซะคาระยา, และมาลาคี.
[กรอบหน้า 126, 127]
การอัศจรรย์—คุณสามารถเชื่อได้ไหม?
“เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้หลอดไฟฟ้าและวิทยุหรือใช้ประโยชน์จากการค้นพบทางการแพทย์และศัลยกรรมสมัยใหม่ และขณะเดียวกันก็เชื่อเรื่องโลกวิญญาณและการอัศจรรย์ในพระคริสตธรรมใหม่.” ถ้อยคำเหล่านั้นของนักเทววิทยาชาวเยอรมันชื่อ รูดอล์ฟ บุลท์มันน์ สะท้อนให้เห็นสิ่งที่หลายคนในทุกวันนี้รู้สึกเกี่ยวกับการอัศจรรย์. คุณรู้สึกอย่างนั้นไหมเกี่ยวกับการอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล เช่น การที่พระเจ้าทรงแยกทะเลแดง?
เดอะ คอนไซส์ ออกซฟอร์ด ดิกชันนารี ให้คำจำกัดความสำหรับ “การอัศจรรย์” ไว้ว่า “เหตุการณ์แปลกประหลาดที่ถือกันว่ามีต้นเหตุมาจากพลังบางอย่างที่เหนือธรรมชาติ.” เหตุการณ์แปลกประหลาดดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการขัดจังหวะระเบียบตามธรรมชาติซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายคนมีแนวโน้มไม่เชื่อในการอัศจรรย์. อย่างไรก็ดี สิ่งที่ดูเหมือนเป็นการฝืนกฎธรรมชาตินั้นอาจอธิบายได้อย่างง่ายดายโดยคำนึงถึงกฎธรรมชาติอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วย.
เพื่อเป็นตัวอย่าง วารสารนิว ไซเยนติสต์ รายงานว่า นักฟิสิกส์สองคนที่มหาวิทยาลัยโตเกียวได้ใช้สนามแม่เหล็กแรงสูงแยกน้ำในหลอดที่วางในแนวนอนซึ่งมีน้ำบรรจุอยู่ไม่เต็มหลอด. น้ำแยกไปอยู่ที่ปลายหลอดทั้งสองข้าง ทิ้งช่วงแห้งไว้ตรงกลาง. ปรากฏการณ์ที่มีการค้นพบในปี 1994 นี้เป็นไปได้เนื่องจากน้ำมีคุณสมบัติต้านแม่เหล็กเล็กน้อย จึงถูกแม่เหล็กดัน. ปรากฏการณ์ที่ได้รับการพิสูจน์เกี่ยวกับน้ำซึ่งเคลื่อนจากจุดที่มีสนามแม่เหล็กแรงสูงไปยังที่ซึ่งมีสนามแม่เหล็กแรงต่ำกว่าได้รับการขนานนามว่า ปรากฏการณ์โมเซ. นิว ไซเยนติสต์ ให้ข้อสังเกตไว้ว่า “การดันน้ำไปมาเป็นเรื่องง่าย—หากคุณมีแม่เหล็กขนาดใหญ่พอ. และถ้าคุณมี ก็สามารถทำอะไร ๆ ได้แทบทุกสิ่ง.”
แน่นอน เราไม่อาจพูดเจาะจงลงไปได้ว่าพระเจ้าทรงใช้กระบวนการไหนเมื่อพระองค์แยกทะเลแดงเพื่อชนยิศราเอล. แต่พระผู้สร้างทรงทราบกฎธรรมชาติทั้งสิ้นอย่างละเอียดครบถ้วนที่สุด. พระองค์สามารถควบคุมบางแง่ของกฎหนึ่งได้อย่างง่ายดายโดยใช้กฎอีกอย่างหนึ่งที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น. สำหรับมนุษย์แล้ว ผลที่เกิดขึ้นอาจดูเหมือนเป็นเรื่องอัศจรรย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเขาไม่เข้าใจกฎที่เกี่ยวข้องด้วยนั้นอย่างเต็มที่.
เกี่ยวกับการอัศจรรย์ในคัมภีร์ไบเบิลนั้น อะกีรา ยามาดะ ศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ของมหาวิทยาลัยเกียวโตในญี่ปุ่น กล่าวว่า “ถึงแม้เป็นการถูกต้องที่จะกล่าวว่า [การอัศจรรย์] เป็นเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้ในเวลานี้จากทัศนะของวิทยาศาสตร์ซึ่งคนเรามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย (หรือจากสภาพปัจจุบันของวิทยาศาสตร์) เป็นการผิดที่จะสรุปว่าเหตุการณ์นั้นมิได้เกิดขึ้น เพียงแต่อาศัยวิชาฟิสิกส์สมัยใหม่ที่ก้าวหน้าหรือวิชาว่าด้วยเทววิทยาในคัมภีร์ไบเบิลสมัยปัจจุบันที่ก้าวหน้า. อีกสิบปีนับจากนี้ วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ในทุกวันนี้จะเป็นเรื่องที่ล้าสมัยแล้ว. วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าเร็วเท่าไรก็มีความเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้นที่นักวิทยาศาสตร์ในทุกวันนี้จะตกเป็นเป้าของการหัวเราะเยาะในวันข้างหน้า เช่น ผู้คนจะพูดกันว่า ‘นักวิทยาศาสตร์เมื่อสิบปีมาแล้วเชื่อกันอย่างจริงจังในเรื่องนั้นเรื่องนี้.’”—พระเจ้าในยุควิทยาศาสตร์ (ภาษาญี่ปุ่น).
เนื่องด้วยสามารถทำให้กฎธรรมชาติทั้งสิ้นประสานกัน ในฐานะพระผู้สร้าง พระยะโฮวาทรงสามารถใช้อำนาจของพระองค์เพื่อทำการอัศจรรย์ได้.
[กรอบหน้า 132, 133]
พระเจ้าผู้ทรงหวงแหน—ในแง่ใด?
“พระยะโฮวาผู้ทรงนามว่าหวงแหน, เป็นพระเจ้าผู้หวงแหน.” เราสามารถอ่านข้อความนั้นได้ที่เอ็กโซโด 34:14 แต่ความหมายของข้อนี้คืออะไร?
คำภาษาฮีบรูที่ได้รับการแปลว่า “หวงแหน” อาจหมายถึง “เรียกร้องเอาความเลื่อมใสโดยเฉพาะ, ไม่ยอมให้มีการแข่งขัน.” ในความหมายด้านบวกซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง พระยะโฮวาทรงหวงแหนพระนามและการนมัสการของพระองค์. (ยะเอศเคล 39:25) การที่พระองค์มีพระทัยแรงกล้าที่จะทำให้บรรลุผลตามสิ่งที่พระนามของพระองค์หมายถึงนั้นย่อมหมายความว่าพระองค์จะทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำหรับมนุษยชาตินั้นสำเร็จ.
ขอพิจารณาการพิพากษาของพระองค์ต่อผู้คนที่อาศัยในแผ่นดินคะนาอันเป็นตัวอย่าง. ผู้คงแก่เรียนคนหนึ่งให้คำพรรณนาที่น่าตกตะลึงดังนี้ “การนมัสการพระบาละ, อัศโธเรธ, และพระองค์อื่น ๆ ของคะนาอันมีอยู่ในงานเลี้ยงแบบเลยเถิดที่สุด; วิหารของพระเหล่านั้นเป็นศูนย์รวมความชั่วร้าย. . . . ชาวคะนาอันนมัสการ โดยการปล่อยตัวให้ทำผิดศีลธรรม . . . และต่อจากนั้น โดยการฆ่าลูกหัวปีของตน เป็นเครื่องบูชายัญสำหรับพระพวกเดียวกันนี้.” นักโบราณคดีได้ค้นพบไหที่บรรจุซากศพของเด็กที่ถูกบูชายัญ. ถึงแม้พระเจ้าทรงสังเกตเห็นความผิดของชาวคะนาอันในสมัยของอับราฮามก็ตาม แต่พระองค์ทรงแสดงความอดกลั้นต่อพวกเขาเป็นเวลา 400 ปี ทรงยอมให้พวกเขามีเวลาพอที่จะเปลี่ยนแปลง.—เยเนซิศ 15:16.
ชาวคะนาอันทราบถึงความร้ายแรงแห่งความผิดของตนไหม? พวกเขามีความสามารถด้านสติรู้สึกผิดชอบของมนุษย์ ซึ่งนักกฎหมายยอมรับว่าเป็นพื้นฐานสากลสำหรับศีลธรรมและความยุติธรรม. (โรม 2:12-15) ทั้ง ๆ ที่เป็นเช่นนั้น ชาวคะนาอันยังคงยืนกรานที่จะทำการบูชายัญเด็กอย่างน่าสะอิดสะเอียนและปฏิบัติกิจทางเพศที่ต่ำทรามต่อไป.
ด้วยความยุติธรรมที่ไม่ลำเอียง พระยะโฮวาทรงกำหนดไว้ว่าแผ่นดินนั้นต้องได้รับการกวาดล้าง. นี่ไม่ใช่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์. ชาวคะนาอัน ทั้งเป็นรายบุคคล เช่น ราฮาบ และทั้งเป็นกลุ่ม เช่น ชาวฆิบโอน ซึ่งเต็มใจยอมรับมาตรฐานด้านศีลธรรมอันสูงส่งของพระเจ้าได้รับการไว้ชีวิต. (ยะโฮซูอะ 6:25; 9:3-15) ราฮาบได้กลายมาเป็นตัวเชื่อมในราชวงศ์ที่นำไปถึงพระมาซีฮา และลูกหลานของชาวฆิบโอนมีสิทธิพิเศษที่จะปรนนิบัติ ณ พระวิหารของพระยะโฮวา.—ยะโฮซูอะ 9:27; เอษรา 8:20; มัดธาย 1:1, 5-16.
เพราะฉะนั้น เมื่อคนเราแสวงหาข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้องซึ่งอาศัยข้อเท็จจริงแล้ว ก็ง่ายขึ้นที่จะเข้าใจว่าพระยะโฮวาทรงเป็นพระเจ้าที่น่ายกย่อง, เที่ยงธรรม, ทรงหวงแหนในวิธีที่เหมาะสมซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสิ่งทรงสร้างที่ซื่อสัตย์ของพระองค์.
[รูปภาพหน้า 123]
พระผู้สร้างทรงปลดปล่อยชนที่เป็นทาสและใช้พวกเขาทำให้พระประสงค์ของพระองค์บรรลุผลสำเร็จ
[รูปภาพหน้า 129]
ณ ภูเขาซีนายชาติยิศราเอลโบราณได้เข้าสู่สัมพันธภาพโดยอาศัยสัญญาไมตรีกับพระผู้สร้าง
[รูปภาพหน้า 130]
การรักษากฎหมายที่ไม่มีใดเทียบได้ของพระผู้สร้าง ช่วยไพร่พลของพระองค์ให้ชื่นชมกับชีวิตในแผ่นดินแห่งคำสัญญา
[รูปภาพหน้า 136]
คุณสามารถไปเยือนบริเวณทางใต้ของกำแพงกรุงยะรูซาเลมที่ซึ่งกษัตริย์ดาวิดได้ตั้งเมืองหลวงของท่าน