คริสต์จักรสมัยแรกสอนว่าพระเจ้าคือตรีเอกานุภาพไหม?
ตอน 1—พระเยซูและสาวกของพระองค์สอนเรื่องตรีเอกานุภาพไหม?
พระเยซูกับเหล่าสาวกของพระองค์สอนเรื่องตรีเอกานุภาพไหม? พวกผู้นำคริสต์จักรในอีกหลายร้อยปีต่อมาสอนหลักคำสอนนี้ไหม? หลักคำสอนนี้เริ่มต้นมาอย่างไร? และเพราะเหตุใดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะรู้ความจริงเกี่ยวกับการเชื่อถือนี้? โดยเริ่มต้นด้วยตอน 1 ในฉบับนี้ วารสารหอสังเกตการณ์ จะพิจารณาคำถามเหล่านี้ในบทความซึ่งจะลงต่อเนื่องเป็นชุด. บทความอื่น ๆ ในบทความชุดนี้จะมีลงเป็นระยะ ๆ.
คนทั้งหลายซึ่งยอมรับว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นพระคำของพระเจ้ายอมรับว่าพวกเขามีความรับผิดชอบที่จะสอนคนอื่น ๆ เกี่ยวกับพระผู้สร้าง. พวกเขายังตระหนักด้วยว่าเนื้อหาของสิ่งที่เขาสอนเกี่ยวกับพระเจ้านั้นต้องเป็นความจริง.
พระเจ้าทรงตำหนิพวกที่มา “ปลอบประโลม” โยบ เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น. “พระยะโฮวา . . . ได้ตรัสต่อไปแก่อะลีฟาศชาวเธมานว่า: ‘โทโสของเราได้พลุ่งขึ้นต่อเจ้าแล้ว และต่อมิตรสหายของเจ้าด้วย เพราะเจ้าได้พูดอะไร ๆ ถึงเรานั้นไม่เป็นความจริง ดังโยบผู้ทาสของเราได้กล่าวแล้ว.’”—โยบ 42:7.
ในคราวที่อธิบายเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายนั้น อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า เราจะ “ปรากฏอีกเช่นกันว่าเป็นพยานเท็จของพระเจ้า” หากเราจะสอนบางสิ่งเกี่ยวกับพระราชกิจต่าง ๆ ของพระเจ้าซึ่งปรากฏว่าไม่เป็นความจริง. (1 โก. 15:15, ล.ม.) ถ้าเป็นเช่นนั้นกับการสอนเรื่องการเป็นขึ้นจากตาย เราพึงระมัดระวังเพียงไรเมื่อเราสอนเรื่องพระเจ้าเป็นผู้ใด!
หลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ
คริสต์จักรเกือบทุกแห่งของคริสต์ศาสนจักรสอนว่าพระเจ้าคือตรีเอกานุภาพ. เดอะ คาทอลิก เอ็นไซโคลพีเดีย เรียกคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพว่าเป็น “คำสอนหลักของศาสนาคริสเตียน” โดยให้คำจำกัดความดังนี้:
“ในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นมีสามบุคคล คือ พระบิดา, พระบุตร, และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งสามบุคคลนี้ที่จริงแล้วเป็นอยู่ต่างหากกัน. ด้วยเหตุนั้น ตามข้อความของหลักข้อเชื่อของอะธาเนเชียน: “พระบิดาเป็นพระเจ้า, พระบุตรเป็นพระเจ้า, และพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพระเจ้า แต่กระนั้นไม่ใช่มีพระเจ้าสามองค์ แต่มีพระเจ้าองค์เดียว . . . ทั้งสามบุคคลอยู่ยั่งยืนด้วยกันและเท่าเทียมกัน: ทั้งสามบุคคลไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาและทรงมหิทธิฤทธิ์เหมือน ๆ กัน.”1
เดอะ แบ็พติสท์ เอ็นไซโคลพีเดีย ก็ให้คำจำกัดความที่คล้าย ๆ กัน. กล่าวว่า:
“[พระเยซู] คือ . . . พระยะโฮวาผู้ทรงเป็นนิรันดร์ . . . พระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระยะโฮวา . . . พระบุตรและพระวิญญาณอยู่ในตำแหน่งที่เท่าเทียมกันกับพระบิดา. หากพระบิดาคือพระยะโฮวา พระองค์เหล่านั้นก็เป็นเช่นกัน.”2
คำแถลงการณ์สาปแช่งผู้ต่อต้าน
ในปีสากลศักราช 325 สภาบิชอพแห่งไนเซียในเอเชียไมเนอร์ ได้กำหนดหลักคำสอนซึ่งแถลงว่าพระบุตรของพระเจ้าเป็น “พระเจ้าองค์เที่ยงแท้” เช่นเดียวกับที่พระบิดาทรงเป็น “พระเจ้าองค์เที่ยงแท้.” หลักคำสอนนั้นส่วนหนึ่งมีกล่าวดังนี้:
“แต่สำหรับคนเหล่านั้นซึ่งกล่าวว่า มี [เวลาหนึ่ง] คราวเมื่อ [พระบุตร] มิได้เป็นอยู่ และก่อนที่ได้กำเนิดขึ้นนั้นพระองค์มิได้เป็นอยู่ และว่าพระองค์ได้มาเป็นอยู่จากที่มิได้มีอยู่เลย หรือผู้ซึ่งยืนยันว่าพระบุตรของพระเจ้าเป็นกายวิญญาณที่เป็นอยู่ต่างหากจากพระบิดา หรือถูกสร้างขึ้น หรือได้รับการเปลี่ยนแปลง—คริสต์จักรคาทอลิกสาปแช่งคนเหล่านี้.”3
ดังนั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่เชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้าไม่ได้ดำรงตลอดกาลด้วยกันกับพระบิดา หรือเชื่อว่าพระบุตรถูกสร้างขึ้นมา ได้ถูกแช่งสาปตลอดกาล. คนเราสามารถจินตนาการได้ถึงความกดดันให้ยอมเห็นด้วยที่หลักคำสอนนี้มีต่อผู้เชื่อถือจำนวนมากซึ่งเป็นสามัญชน.
ในปีสากลศักราช 381 มีอีกสภาหนึ่งประชุมกันในเมืองคอนสแตนติโนเปิลและแถลงว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ควรได้รับการนมัสการและการสรรเสริญเช่นเดียวกับพระบิดาและพระบุตรได้รับ. อีกหนึ่งปีต่อมา ในปีสากลศักราช 382 มีการประชุมอีกครั้งหนึ่งในคอนสแตนติโนเปิลและได้มีการยืนยันถึงความเป็นพระเจ้าเต็มที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์.4 ในปีเดียวกันนั้น ต่อหน้าการประชุมสภาในกรุงโรม สันตะปาปา ดามาซุสได้เสนอรายการของหลักคำสอนที่จะถูกประณามโดยคริสต์จักร. เอกสารนั้นซึ่งเรียกว่าหนังสือของดามาซุส มีถ้อยแถลงต่อไปนี้รวมไว้ด้วย:
“หากผู้ใดปฏิเสธว่าพระบิดาทรงเป็นนิรันดร์, พระบุตรทรงเป็นนิรันดร์, และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นนิรันดร์: ผู้นั้นเป็นคนนอกรีต.”
“หากผู้ใดปฏิเสธว่าพระบุตรของพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ เช่นเดียวกับพระบิดาทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ ทรงฤทธานุภาพทุกประการ, ทรงทราบทุกสิ่ง, และเท่าเทียมกับพระบิดา: ผู้นั้นเป็นคนนอกรีต.”
“หากผู้ใดปฏิเสธว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ . . . ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ . . . ทรงฤทธานุภาพทุกประการและทรงทราบทุกสิ่ง . . . ผู้นั้นเป็นคนนอกรีต.”
หากผู้ใดปฏิเสธว่าทั้งสามพระองค์นั้น คือพระบิดา, พระบุตร, และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นบุคคลจริง ๆ, เท่าเทียมกัน, เป็นนิรันดร์, ประกอบด้วยทุกสิ่งทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น พระองค์ทั้งสามทรงฤทธานุภาพทุกประการ . . . ผู้นั้นเป็นคนนอกรีต.”
หากผู้ใดกล่าวว่าพระบุตรผู้ซึ่งถูกสร้างเป็นเนื้อหนังนั้นไม่ได้อยู่ในสวรรค์กับพระบิดาในขณะที่พระองค์ทรงอยู่บนแผ่นดินโลก: ผู้นั้นเป็นคนนอกรีต.”
หากผู้ใด ขณะที่กล่าวว่าพระบิดาทรงเป็นพระเจ้าและพระบุตรทรงเป็นพระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระเจ้านั้น . . . ไม่ได้กล่าวว่าพระองค์ทั้งสามทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียว . . . ผู้นั้นเป็นคนนอกรีต.”5
นักศาสนาคณะเยซูอิทผู้ซึ่งแปลข้อความก่อนหน้านี้จากภาษาลาติน ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมไว้ดังนี้: “ดูเหมือนว่าสันตะปาปา เซนต์ เซเลสตีน ที่หนึ่ง (422–432) ได้ถือว่าถ้อยแถลงเหล่านี้เป็นกฎหมาย ถือได้ว่าเป็นการกำหนดความเชื่อ.”6 และนักศาสนา เอ็ดมันด์ เจ. ฟอร์ดมัน ยืนยันว่าหนังสือนั้นแสดงถึง “หลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพซึ่งหนักแน่น.”7
หากคุณเป็นสมาชิกของคริสต์จักรซึ่งยอมรับคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพละก็ ถ้อยแถลงเหล่านี้กำหนดความเชื่อของคุณไหม? และคุณตระหนักไหมว่าการเชื่อในหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพดังที่มีการสอนโดยคริสต์จักรต่าง ๆ นั้นเรียกร้องคุณให้เชื่อว่าพระเยซูทรงอยู่ในสวรรค์ในขณะที่พระองค์ทรงอยู่บนแผ่นดินโลก? คำสอนนี้คล้ายกันกับสิ่งที่ อะธานาซิอุส นักศาสนาในศตวรรษที่สี่ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขาชื่อเรื่องการจำแลงพระกาย ที่ว่า:
“พระวาทะ [พระเยซู] ไม่ได้ถูกจำกัดโดยพระกายของพระองค์ หรือการดำรงอยู่ในพระกายของพระองค์ก็ไม่ได้กันพระองค์ไว้จากการประทับในที่ใด ๆ เช่นกัน. เมื่อพระองค์ทรงย้ายพระกายของพระองค์ พระองค์ก็ไม่ได้ทรงยุติการควบคุมเอกภพโดยพระสติและฤทธิ์อำนาจของพระองค์ไปด้วย. . . . พระองค์ยังคงเป็นแหล่งแห่งชีวิตแก่สรรพสิ่งในเอกภพ ทรงดำรงอยู่ในทุกส่วนของเอกภพ แต่ก็อยู่ภายนอกของทั้งหมด.”8
สิ่งที่หลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพหมายถึง
บางคนลงความเห็นว่าทั้งหมดที่หลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพหมายถึงก็คือการที่เพียงแต่ทึกทักเอาว่าพระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือเป็นพระเจ้าเท่านั้นเอง. สำหรับคนอื่น ๆ การเชื่อในตรีเอกานุภาพก็หมายความเพียงแต่เชื่อในพระบิดา, พระบุตร, และพระวิญญาณบริสุทธิ์.
แต่การตรวจสอบหลักคำสอนต่าง ๆ ของคริสต์ศาสนจักรเผยให้เห็นว่าความคิดเช่นนั้นไม่พออย่างน่าสังเวชสักเพียงไรเกี่ยวกับหลักคำสอนทางการ. การให้คำจำกัดความอย่างเป็นทางการทำให้เป็นที่ชัดเจนว่าหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพไม่ใช่แนวความคิดแบบง่าย ๆ. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น หลักคำสอนนี้เป็นชุดที่ซับซ้อนของแนวความคิดต่าง ๆ ที่แยกต่างหากกันซึ่งถูกนำมารวมกันเป็นเวลาอันยาวนานและเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน.
จากคำพรรณนาถึงหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพที่ปรากฏให้เห็นหลังจากการประชุมสภาแห่งคอนสแตนติโนเปิลในปีสากลศักราช 381, จากหนังสือของดามาซุสในปีสากลศักราช 382, จากหลักคำสอนอะธาเนเชียนซึ่งมีขึ้นหลังจากนั้นช่วงหนึ่ง และจากเอกสารอื่น ๆ อีก เราจึงสามารถทราบได้ว่าคริสต์ศาสนจักรหมายความอย่างไรเกี่ยวกับหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ. หลักคำสอนนี้รวมไว้ซึ่งแนวความคิดดังต่อไปนี้:
1. มีกล่าวกันว่ามีสามบุคคล—พระบิดา, พระบุตร, และพระวิญญาณบริสุทธิ์—ในพระเจ้า.
2. มีกล่าวกันว่าแต่ละบุคคลเหล่านี้เป็นนิรันดร์ ไม่มีผู้ใดอยู่ก่อนหรือหลังในเรื่องลำดับเวลา.
3. มีกล่าวกันว่าทุกพระองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการ ไม่มีองค์ใดยิ่งใหญ่กว่าหรือด้อยกว่าองค์อื่น.
4. มีกล่าวกันว่าทุกพระองค์ทรงสัพพัญญู ทรงทราบสารพัดสิ่ง.
5. มีกล่าวกันว่าทุกพระองค์เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้.
6. แต่ก็มีกล่าวกันว่าไม่ใช่มีพระเจ้าสามพระองค์ แต่มีเพียงพระองค์เดียว.
เห็นได้ชัดว่าหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพเป็นชุดหลักคำสอนที่ซับซ้อนซึ่งอย่างน้อยที่สุดก็รวมเอาส่วนสำคัญต่าง ๆ ดังข้างบนนั้นไว้และเกี่ยวพันมากกว่านั้นอีก ดังที่มีการเปิดเผยออกมาเมื่อมีการตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ. แต่หากเราพิจารณาเฉพาะแนวความคิดพื้นฐานข้างบน ก็จะปรากฏชัดว่า หากมีการตัดข้อใดข้อหนึ่งออก ข้อที่เหลืออยู่ก็จะไม่เป็นหลักตรีเอกานุภาพแห่งคริสต์ศาสนจักรอีกต่อไป. เพื่อจะมีภาพอันครบถ้วน ทุกส่วนต้องอยู่.
ด้วยความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับคำ “ตรีเอกานุภาพ” ตอนนี้เราสามารถถามได้ว่า “นี่เป็นคำสอนของพระเยซูกับเหล่าสาวกของพระองค์ไหม? ถ้าเป็น คำสอนนี้ก็น่าจะได้ปรากฏให้เห็นว่ามีการจัดตั้งขึ้นอย่างครบถ้วนในศตวรรษแรกแห่งสากลศักราชนี้. แต่เนื่องจากสิ่งที่พระเยซูกับเหล่าสาวกของพระองค์สอนมีบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล ดังนั้นหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพก็เป็นคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลหรือไม่ก็ไม่ใช่เลย. หากเป็น หลักคำสอนนี้น่าจะมีการสอนอย่างชัดเจนในคัมภีร์ไบเบิล.
ไม่มีเหตุผลที่จะคิดว่าพระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์จะสอนประชาชนเกี่ยวกับพระเจ้าแต่แล้วก็ไม่บอกพวกเขาว่าพระเจ้าเป็นใคร โดยเฉพาะเมื่อผู้เชื่อถือบางคนจะต้องสละแม้กระทั่งชีวิตเพื่อพระเจ้า. ฉะนั้น พระเยซูและสาวกของพระองค์ก็น่าจะถือว่าการสั่งสอนคนอื่น ๆ เกี่ยวกับคำสอนอันสำคัญยิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง.
จงตรวจสอบพระคัมภีร์
ที่พระธรรมกิจการบท 17 ข้อ 11 (ล.ม.) มีการเรียกประชาชนว่า “มีจิตใจสูง” เพราะว่าพวกเขา “ตรวจค้นดูพระคัมภีร์อย่างรอบคอบทุก ๆ วัน เพื่อดูว่าข้อความนั้นจะจริงดังกล่าวหรือไม่” นั่นคือสิ่งที่อัครสาวกเปาโลสอน. พวกเขาได้รับการสนับสนุนให้ใช้พระคัมภีร์เพื่อยืนยันหลักคำสอนต่าง ๆ นั้นแม้กระทั่งของอัครสาวก. คุณควรทำเช่นเดียวกัน.
จงระลึกเสมอว่าพระคัมภีร์ “ได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้า” และควรใช้สำหรับ “จัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย เพื่อตีสอนด้วยความชอบธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เตรียมพร้อม สำหรับการดีทุกอย่าง.” (2 ติโม. 3:16, 17, ล.ม.) ดังนั้น พระคัมภีร์จึงครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยหลักคำสอนต่าง ๆ. หากหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพเป็นความจริง ก็น่าจะมีอยู่ที่นั่น (ในคัมภีร์ไบเบิล).
เราขอเชิญคุณให้ค้นดูในคัมภีร์ไบเบิล โดยเฉพาะในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกทั้ง 27 เล่ม เพื่อจะเห็นด้วยตัวคุณเองว่าพระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์ได้สอนเรื่องตรีเอกานุภาพหรือไม่. ขณะที่คุณค้นดู ขอให้ถามตัวคุณเองดังนี้:
1. ฉันสามารถพบข้อพระคัมภีร์สักข้อหนึ่งไหมที่กล่าวถึงคำ “ตรีเอกานุภาพ”?
2. ฉันสามารถพบข้อพระคัมภีร์สักข้อหนึ่งไหมที่กล่าวว่าพระเจ้าทรงประกอบด้วยสามบุคคลต่างหากกัน คือ พระบิดา, พระบุตร, และพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ว่าทั้งสามบุคคลนั้นเป็นพระเจ้าองค์เดียว?
3. ฉันสามารถพบข้อพระคัมภีร์สักข้อหนึ่งไหมที่กล่าวว่า พระบิดา, พระบุตร, และพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีความเท่าเทียมกันในทุกด้าน เช่นในด้านความเป็นนิรันดร์, ฤทธิ์อำนาจ, ตำแหน่ง, และ สติปัญญา?
จงค้นดูให้ถี่ถ้วนเท่าที่คุณจะค้นได้ คุณจะไม่พบข้อพระคัมภีร์เลยสักข้อเดียวที่ใช้คำว่าตรีเอกานุภาพ หรือคุณจะไม่พบสักข้อที่บอกว่าพระบิดา, พระบุตร, และพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่าเทียมกันในทุกประการ เช่นในด้านความเป็นนิรันดร์, ฤทธิ์อำนาจ, ตำแหน่ง, และสติปัญญา. ไม่มีแม้แต่ข้อเดียวกล่าวว่าพระบุตรเท่าเทียมกับพระบิดาในประการต่าง ๆ เหล่านั้น—และหากมีข้อพระคัมภีร์ที่บอกเช่นนั้นแม้สักข้อ ข้อนั้นก็จะไม่บ่งถึงตรีเอกานุภาพ แต่อย่างมากก็เพียง “ทวิภาค.” ไม่มีที่ใดเลยที่พระคัมภีร์บอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่าเทียมกับพระบิดา.
สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าว
ผู้เชี่ยวชาญหลายคน รวมทั้งพวกที่เชื่อในตรีเอกานุภาพด้วย ยอมรับว่าคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้มีหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพบรรจุไว้เลย. ตัวอย่างเช่น ดิ เอ็นไซโคลพีเดีย อ็อฟ รีลิจัน กล่าวว่า:
“ผู้เชี่ยวชาญการแปลความและผู้เชี่ยวชาญเทววิทยาสมัยนี้เห็นพ้องกันว่า พระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูไม่มีหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพอยู่เลย . . . ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูพรรณนาถึงพระเจ้าว่าเป็นพระบิดาแห่งชนยิศราเอลและใช้คำพรรณนาที่ทำให้เป็นลักษณะบุคคล เช่น พระคำ (ดาวาร์), พระวิญญาณ (รูอาห์), พระสติปัญญา (โฮก์มาห์), และการประทับ (เชคินาห์) คงจะเป็นการการกระทำที่เหนือความมุ่งหมายและเจตนารมณ์ของพระคัมภีร์เดิม ถ้าจะเชื่อมแนวความคิดเหล่านี้เข้ากับหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพในเวลาต่อมา.
“ยิ่งกว่านั้น ผู้เชี่ยวชาญการแปลความและผู้เชี่ยวชาญเทววิทยายังเห็นด้วยว่าพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ก็ไม่ได้มีหลักคำสอนที่ชัดแจ้งเรื่องตรีเอกานุภาพบรรจุไว้เช่นกัน. พระเจ้าพระบิดาทรงเป็นบ่อเกิดแห่งสรรพสิ่งที่เป็นอยู่ (พันโทเครเทอร์) และยังทรงเป็นพระบิดาของพระเยซูคริสต์ด้วย คำ ‘พระบิดา’ ไม่ใช่ชื่อเรียกสำหรับบุคคลแรกในตรีเอกานุภาพแต่เป็นคำศัพท์ที่มีความหมายเหมือนกับคำว่าพระเจ้า . . .
“ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ไม่มีแนวความคิดอันมีเหตุมีผลเกี่ยวกับลักษณะความเป็นอยู่อันผิดธรรมดาของพระเจ้า (‘ลักษณะสามบุคคลรวมเป็นหนึ่งอันมีอยู่แต่ดั้งเดิม’) และพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ก็ไม่มีคำศัพท์ทางวิชาการของหลักคำสอนที่มีภายหลังนี้อยู่เลย (ฮูโปสตาสิส, โอวซิอา, สุบสแตนเทีย, สุบซิสเต็นเทีย, โพรโซโพน, เพอร์โซนอา). . . . เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าหลักคำสอนนี้ไม่อาจถูกตั้งขึ้นโดยอาศัยพยานหลักฐานทางพระคัมภีร์อย่างเดียว.”9
เกี่ยวกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ในเรื่องนี้ เดอะ นิว เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา กล่าวว่า:
“ทั้งคำตรีเอกานุภาพและหลักคำสอนที่ชัดแจ้งนั้นไม่มีปรากฏเลยในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ . . .
“หลักคำสอนนี้ค่อย ๆ ขยายตัวออกไปตลอดหลายศตวรรษและผ่านการโต้แย้งคัดค้านมากมาย. . . .
“จนถึงปลายศตวรรษที่สี่ที่ลักษณะเฉพาะของสามพระองค์และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของทั้งสามพระองค์ได้มีการนำเข้ามาไว้ด้วยกันในหลักคำสอนดั้งเดิมเกี่ยวกับแก่นสารเดียวและสามบุคคล.”10
นิว คาทอลิก เอ็นไซโคลพีเดีย กล่าวในทำนองเดียวกันเกี่ยวกับที่มาของตรีเอกานุภาพ:
“พวกผู้เชี่ยวชาญการแปลความและผู้เชี่ยวชาญเทววิทยาด้านคัมภีร์ไบเบิล รวมทั้งพวกโรมันคาทอลิกที่กำลังมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ต่างก็ยอมรับว่าคนเราไม่ควรพูดถึงการเชื่อในตรีเอกานุภาพในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่โดยไม่มีการวางเงื่อนไขที่เด็ดขาด. ยังมีการยอมรับที่คล้ายคลึงกันอย่างยิ่งของประวัติศาสตร์ของคำสอนและผู้เชี่ยวชาญเทววิทยาด้านการจัดหมวดหมู่ว่าเมื่อคนเราพูดถึงการเชื่อในตรีเอกานุภาพที่ไม่มีเงื่อนไข คนนั้นได้ย้ายจากช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นของคริสเตียนไปที่ช่วงยี่สิบห้าปีสุดท้ายของศตวรรษที่สี่. ในเวลานั้น สิ่งที่อาจเรียกว่าเป็นคำสอนอันกำหนดแน่ชัดของตรีเอกานุภาพที่ว่า ‘พระเจ้าองค์เดียวในสามบุคคล’ ได้มีการรับเข้ามาในชีวิตและแนวความคิดของคริสเตียนโดยถ้วนทั่ว . . .
“ตัวคำสอนเองนั้นไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงการสำนึกโดยทันทีถึงช่วงเวลาแห่งตอนเริ่มต้น มันเป็นผลิตผลของสามศตวรรษแห่งการพัฒนาหลักคำสอน.”11
มีการ “บ่งชี้เป็นนัยถึง” อย่างนั้นหรือ?
ผู้ที่เชื่อในตรีเอกานุภาพอาจบอกว่าคัมภีร์ไบเบิล “บ่งชี้เป็นนัยถึง” ตรีเอกานุภาพ. แต่มีการอ้างข้อนี้หลังจากคัมภีร์ไบเบิลถูกจารึกเสร็จแล้วนานทีเดียว. นั่นเป็นการพยายามยัดเยียดสิ่งที่พวกนักเทศน์นักบวชในสมัยต่อมาได้ทำการตัดสินใจโดยพลการว่าควรเป็นหลักคำสอนนั้นเข้าไปในคัมภีร์ไบเบิล.
จงถามตัวเอง: ทำไมคัมภีร์ไบเบิลเพียงแต่ “บ่งชี้เป็นนัยถึง” คำสอนสำคัญที่สุดของคัมภีร์ไบเบิล—พระเจ้าเป็นใคร? คัมภีร์ไบเบิลบอกชัดเจนในคำสอนพื้นฐานอื่น ๆ ทำไมจึงไม่บอกชัดเจนในเรื่องนี้ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุด? พระผู้สร้างแห่งเอกภพจะไม่ทรงประพันธ์หนังสือขึ้นมาหรือ ซึ่งบอกชัดเจนในเรื่องการที่พระองค์ทรงเป็นตรีเอกานุภาพ หากเป็นเช่นนั้นจริง?
สาเหตุที่คัมภีร์ไบเบิลไม่สอนอย่างชัดเจนถึงหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพนั้นเป็นที่ชัดแจ้ง นั่นคือ: ตรีเอกานุภาพไม่ใช่คำสอนในคัมภีร์ไบเบิล. ถ้าพระเจ้าเป็นตรีเอกานุภาพ พระองค์ก็คงทำให้ชัดแจ้งถึงเรื่องนั้นเพื่อพระเยซูกับเหล่าสาวกจะสามารถสอนแก่คนอื่น ๆ ได้. และความรู้อันสำคัญยิ่งนั้นก็คงมีการรวมไว้ในพระวจนะซึ่งได้รับการดลบันดาลของพระเจ้าด้วย. คำสอนนั้นคงไม่ถูกละไว้ให้มนุษย์ไม่สมบูรณ์ต้องลำบากต่อมานานหลายศตวรรษ.
เมื่อเราตรวจสอบข้อพระคัมภีร์ที่พวกที่เชื่อตรีเอกานุภาพเสนอขึ้นมาว่าเป็นหลักฐานว่าคัมภีร์ไบเบิล “บ่งชี้เป็นนัยถึง” ตรีเอกานุภาพนั้น เราพบอะไร? การใช้ดุลยพินิจอย่างซื่อสัตย์เปิดเผยว่าข้อพระคัมภีร์ที่มีการเสนอขึ้นมานั้นไม่ได้กล่าวถึงตรีเอกานุภาพของคริสต์ศาสนจักรเลย. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น นักเทววิทยาพยายามยัดเยียดแนวความคิดเรื่องตรีเอกานุภาพที่พวกเขาคิดไว้ก่อนแล้วนั้นเข้าไปในพระคัมภีร์. แต่แนวความคิดนั้นไม่มีในคัมภีร์ไบเบิล ที่จริง แนวความคิดของพวกที่เชื่อตรีเอกานุภาพเหล่านั้นขัดแย้งกับพยานหลักฐานอันชัดแจ้งของคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่ม.
ตัวอย่างหนึ่งของข้อพระคัมภีร์ที่มีการเสนอนั้นพบได้ที่มัดธาย 28:19, 20. ที่นั่นมีการกล่าวถึงพระบิดา, พระบุตร, และพระวิญญาณบริสุทธิ์ไว้ด้วยกัน. บางคนอ้างว่าข้อนี้บ่งชี้เป็นนัยถึงตรีเอกานุภาพ. แต่ขอให้อ่านข้อนี้ด้วยตัวคุณเอง. มีที่ใดในข้อเหล่านี้ไหมที่บอกว่าทั้งสามนั้นเป็นพระเจ้าที่เท่าเทียมกันในความเป็นนิรันดร์, ฤทธิ์อำนาจ, ตำแหน่ง, และสติปัญญา? ไม่มีเลย. เป็นเช่นเดียวกันกับข้ออื่น ๆ ที่กล่าวถึงทั้งสามไว้ด้วยกัน.
สำหรับผู้ซึ่งเห็นการบ่งชี้เป็นนัยถึงตรีเอกานุภาพที่มัดธาย 28:19, 20 ในการใช้คำ “พระนาม” ในรูปเอกพจน์สำหรับพระบิดา, พระบุตร, และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอให้เปรียบเทียบการใช้คำ “ชื่อ” กับอับราฮามและยิศฮาคที่เยเนซิศ 48:16.
ผู้ที่เชื่อตรีเอกานุภาพยังชี้ถึง โยฮัน 1:1 ในฉบับแปลบางฉบับด้วย ซึ่งมีการกล่าวถึง “พระวาทะ” ว่า ทรงอยู่ “กับพระเจ้า” และว่า ทรงเป็น “พระเจ้า.” แต่พระคัมภีร์ฉบับแปลอื่นกล่าวว่า พระวาทะทรงเป็น “พระเจ้าองค์หนึ่ง” หรือ “มีลักษณะเยี่ยงพระเจ้า” หมายความว่าไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระเจ้าองค์สูงสุดแต่เป็นผู้ทรงฤทธิ์มากองค์หนึ่ง. ยิ่งกว่านั้น ข้อนั้นในพระคัมภีร์กล่าวว่า “พระวาทะ” ทรงอยู่ “กับพระเจ้า”. นั่นคงแยกพระองค์ออกอย่างสมเหตุผลจากการเป็นพระเจ้าองค์เดียวกันกับพระเจ้า. และไม่ว่าจะมีการลงความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับ “พระวาทะ” ความจริงก็คือว่ามีการกล่าวถึงเพียงสองบุคคลในโยฮัน 1:1 ไม่ใช่สาม. ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่หน ข้อพระคัมภีร์ทุกข้อที่เคยมีการใช้สนับสนุนหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพต่างไม่ได้สนับสนุนหลักคำสอนนั้นเลยเมื่อมีการตรวจสอบอย่างซื่อตรง.a
ปัจจัยอื่นอีกที่จะพิจารณาคือดังนี้: หากหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพได้เคยมีการสอนโดยพระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์ ดังนั้นแล้ว ก็คงเป็นที่แน่นอนว่าพวกศาสนิกชนที่เป็นผู้นำซึ่งมีมาทันทีภายหลังพระเยซูกับเหล่าสาวกก็คงจะสอนเรื่องนี้เช่นเดียวกัน. แต่คนเหล่านั้น ซึ่งปัจจุบันเรียกกันว่าพวกสาวกอาวุโสนั้น ได้สอนเรื่องตรีเอกานุภาพไหม? ปัญหานี้จะมีการพิจารณากันในตอน 2 ของบทความชุดนี้ในหอสังเกตการณ์ ฉบับต่อไป.
หนังสืออ้างอิง
1. The Catholic Encyclopedia, 1912, Volume. XV, page 47.
2. The Baptist Encyclopœdia, edited by William Cathcart, 1883, pages 1168, 1169.
3. A Short History of Christian Doctrine, by Bernhard Lohse, 1980 Edition, page 53.
4. Ibid., pages 64, 65.
5. The Church Teaches, translated and edited by John F. Clarkson, S.J., John H. Edwards, S.J., William J. Kelly, S.J., and John J. Welch. S.J., 1955, pages 125-127.
6. Ibid. , page 125.
7. The Triune God, by Edmund J. Fortman, 1982 Edition, page 126.
8. On The Incarnation, Translated by Penelope Lawson, 1981 Edition, pages 27, 28.
9. The Encyclopedia of Religion, Mircea Eliade, editor in chief, 1987, Volume. 15, page 54.
10. The New Encyclopædia Britanica, 15th Edition, 1985, volume. 11, Micropædia, page 928.
11. New Catholic Encyclopedia, 1967, Volume. XIV, page 295.
[เชิงอรรถ]
a เพื่อจะได้คำอธิบายที่ครบถ้วยยิ่งขึ้นเกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์เหล่านั้น ดูในจุลสารคุณควรเชื่อตรีเอกานุภาพไหม? จัดพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษโดยสมาคมวอชเทาเวอร์ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.
[ที่มาของภาพหน้า 19]
Church at Tagnon, France