คริสต์จักรสมัยแรกสอนว่าพระเจ้าคือตรีเอกานุภาพไหม?
ตอน 4—หลักคำสอนตรีเอกานุภาพพัฒนาขึ้นเมื่อไรและอย่างไร?
บทความชุดนี้สามตอนแรกชี้ให้เห็นว่าพระเยซูกับเหล่าสาวกของพระองค์และผู้เขียนคริสเตียนรุ่นแรก ๆ ไม่ได้สอนหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ. (หอสังเกตการณ์ ฉบับวันที่ 1 พฤศจิกายน 1991; 1 กุมภาพันธ์ 1992; และ 1 เมษายน 1992) บทความตอนสุดท้ายนี้จะอธิบายว่าคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพได้พัฒนาขึ้นมาอย่างไรและสภาแห่งนีเซียมีบทบาทอย่างไรในปีสากลศักราช 325.
ในปี 325 ส. ศ. จักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งโรมได้เรียกประชุมสภาบิชอปในเมืองนีเซียในเอเชียไมเนอร์. วัตถุประสงค์ของเขาคือเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งทางศาสนาที่ดำเนินอยู่ในเรื่องความสัมพันธ์ของพระบุตรของพระเจ้ากับพระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการ. เกี่ยวกับผลของการประชุมสภานั้น สารานุกรมบริแทนนิกา กล่าวดังนี้:
“ตัวคอนสแตนตินเองเป็นประธานการประชุม โดยชี้นำการประชุมอย่างแข็งขันและเสนอข้อคิดเห็นเป็นส่วนตัว . . . สูตรสำคัญที่แสดงความสัมพันธ์ของพระคริสต์กับพระเจ้าในหลักข้อชื่อที่ออกโดยสภานี้คือ ‘เป็นสาระเดียว [โฮโมอูʹซิออส] กับพระบิดา.’ . . . โดยเกรงกลัวจักรพรรดิ พวกบิชอปยกเว้นเพียงสองคน ได้ลงนามในหลักข้อเชื่อนั้น บิชอปหลายคนทำเช่นนั้นอย่างไม่เต็มใจ.”1
ผู้ปกครองนอกรีตคนนี้เข้ามาแทรกแซงเพราะความเชื่อมั่นที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักไหม? เปล่าเลย. ประวัติศาสตร์โดยย่อของหลักคำสอนคริสเตียน (ภาษาอังกฤษ) แถลงว่า “คอนสแตนตินไม่มีความเข้าใจขั้นพื้นฐานอะไรเลยไม่ว่าปัญหาใด ๆ ที่มีการถามกันในทางเทววิทยาของกรีก.”2 สิ่งที่เขาเข้าใจจริง ๆ ก็คือการขัดแย้งทางศาสนาคุกคามต่อเอกภาพแห่งจักรวรรดิของเขา และเขาต้องการให้มีการแก้ไขข้อขัดแย้งเหล่านั้น.
สภานี้ได้ตั้งหลักคำสอนตรีเอกานุภาพขึ้นไหม?
สภาแห่งนีเซียได้กำหนดหรือยืนยันว่าตรีเอกานุภาพเป็นหลักคำสอนของคริสต์ศาสนจักรไหม? หลายคนสันนิษฐานว่าเป็นเช่นนั้น. แต่ข้อเท็จจริงแสดงอีกอย่างหนึ่ง.
หลักข้อเชื่อที่สภานี้ประกาศใช้นั้นยืนยันสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับพระบุตรของพระเจ้าซึ่งคงจะเปิดโอกาสให้นักเทศน์นักบวชต่าง ๆ มองดูพระองค์ว่าเท่าเทียมกับพระเจ้าพระบิดาในบางแง่. กระนั้น คงน่าสนใจที่จะดูสิ่งที่หลักข้อเชื่อแห่งสภานีเซียไม่ได้กล่าวถึง. ดังที่ได้แถลงทีแรก หลักข้อเชื่อนั้นทั้งหมดแถลงดังนี้:
“เราเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว พระบิดาองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการ พระผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งที่ประจักษ์และไม่ประจักษ์;
“และเชื่อในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว, พระบุตรของพระเจ้า, ซึ่งกำเนิดจากพระบิดา, ผู้ได้รับการกำเนิดองค์เดียว, นั่นคือ จากสาระของพระบิดา, พระเจ้าจากพระเจ้า, แสงสว่างจากแสงสว่าง, พระเจ้าองค์เที่ยงแท้จากพระเจ้าองค์เที่ยงแท้, ได้รับกำเนิดไม่ใช่ถูกสร้าง, เป็นสาระเดียวกับพระบิดา, โดยทางพระองค์นั้นสรรพสิ่งจึงมีอยู่, คือสิ่งต่าง ๆ ในสวรรค์และสิ่งต่าง ๆ บนแผ่นดินโลก, ผู้ซึ่งเนื่องจากพวกเรามนุษย์ทั้งหลายและเนื่องจากความรอดของเรา จึงได้ลงมาและได้จุติ, กลายเป็นมนุษย์, ทนทุกข์ลำบากและเป็นขึ้นมาอีกในวันที่สาม, เสด็จขึ้นสู่สวรรค์, และจะมาเพื่อพิพากษาผู้ที่เป็นอยู่และผู้ที่ตายแล้ว;
“และในพระวิญญาณบริสุทธิ์.”3
หลักข้อเชื่อนี้มีกล่าวไหมว่าพระบิดา, พระบุตร, และพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นสามบุคคลในพระเจ้าองค์เดียว? มีกล่าวไหมว่าสามพระองค์นั้นเท่าเทียมกันในความเป็นนิรันดร์, ฤทธิ์อำนาจ, ตำแหน่ง, และสติปัญญา? เปล่า หลักข้อเชื่อนี้ไม่ได้กล่าวเช่นนั้น. ไม่มีสูตรสามบุคคลในบุคคลเดียวไม่ว่าที่ใด. หลักข้อเชื่อแรกเดิมของสภานีเซียไม่ได้กำหนดหรือยืนยันตรีเอกานุภาพ.
หลักข้อเชื่อนั้น อย่างมากที่สุดก็แสดงว่าพระบุตรเท่าเทียมกับพระบิดาในความเป็น “สาระเดียว.” แต่หลักข้อเชื่อนั้นไม่ได้กล่าวถึงสิ่งใด ๆ เช่นนั้นกับพระวิญญาณบริสุทธิ์. ทั้งหมดที่มีกล่าวก็คือว่า “เราเชื่อ . . . ในพระวิญญาณบริสุทธิ์.” นั่นไม่ใช่หลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพของคริสต์ศาสนจักร.
แม้กระทั่งวลีสำคัญ “จากสาระเดียวกัน” (โฮโมอูʹซิออส) ก็ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าสภานี้เชื่อในความเท่าเทียมกันด้านจำนวนของพระบิดาและพระบุตร. สารานุกรมนิวคาทอลิก กล่าวดังนี้:
“สภานั้นมุ่งหมายจะยืนยันเอกลักษณ์ในด้านจำนวนของสาระของพระบิดาและพระบุตรหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่น่าสงสัย.”4
หากสภานั้นได้แสดงว่าพระบุตรและพระบิดาเป็นองค์เดียว นั่นก็ยังคงไม่ใช่ตรีเอกานุภาพ. เป็นเพียงพระเจ้าที่มีสองบุคคลในองค์เดียว ไม่ใช่สามบุคคลในองค์เดียวดังที่หลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพต้องการ.
“ข้อคิดเห็นของคนส่วนน้อย”
ณ สภานีเซีย บิชอปโดยทั่วไปเชื่อว่าพระบุตรทรงเท่าเทียมกับพระบิดาไหม? ไม่ใช่เช่นนั้น มีแง่คิดต่าง ๆ ที่ค้านกัน. ตัวอย่างเช่น แง่คิดหนึ่งถูกเสนอโดยแอริอุสซึ่งสอนว่าพระบุตรมีเวลาเริ่มต้นที่แน่นอน และฉะนั้น จึงไม่เท่าเทียมกับพระเจ้าแต่เป็นรองในทุกด้าน. อีกฝ่ายหนึ่ง อะธานาซิอุสเชื่อว่าพระบุตรเท่าเทียมกับพระเจ้าในบางแง่. และยังมีแง่คิดอื่น ๆ อีก.
เกี่ยวกับการที่สภานี้ตัดสินใจถือว่าพระบุตรเป็นสาระเดียวกัน (ร่างเดียวกัน) กับพระเจ้า มาร์ติน มาร์ตี กล่าวว่า “ที่จริงแล้วสภานีเซียได้เสนอแง่คิดของคนส่วนน้อย การตัดสินนั้นทำให้หลายคนไม่สบายใจและไม่เป็นที่ยอมรับแก่หลายคนที่ไม่ใช่ผู้มีทัศนะแบบแอริอุส.”5 ในทำนองคล้ายกัน หนังสือคลังหนังสือของผู้เขียนคริสเตียนแห่งยุคสภานีเซียและยุคก่อนสภานีเซียของศาสนาคริสเตียน (ภาษาอังกฤษ) ให้ข้อสังเกตว่า “ฐานะของคำสอนที่มีการกำหนดชัดเจนที่แตกต่างกับคำสอนของแอริอุสนั้นได้เป็นที่ยอมรับโดยผู้คนส่วนน้อย แม้ว่าผู้คนส่วนน้อยนี้ได้ทำให้ประสบผลสำเร็จตามความมุ่งหมายของเขาก็ตาม.”6 และหนังสือประวัติศาสตร์โดยย่อของหลักคำสอนคริสเตียน (ภาษาอังกฤษ) ให้ข้อสังเกตว่า
“สิ่งที่ดูเหมือนก่อให้เกิดการคัดค้านแก่บิชอปและนักเทววิทยาจากทางตะวันออกหลายคนอย่างมากก็คือแนวความคิดที่คอนสแตนตินเองได้ใส่เข้าไว้ในหลักข้อเชื่อนั้น โฮโมอูʹซิออส [“ความเป็นสาระเดียวกัน”] ซึ่งกลายมาเป็นเป้าแห่งการโต้เถียงในการปะทะกันระหว่างพวกออร์โธด็อกซ์กับพวกนอกรีตในภายหลัง.”7
หลังการประชุมสภานั้น การขัดแย้งนั้นยังคงมีอยู่ต่อมาหลายทศวรรษ. คนเหล่านั้นซึ่งนิยมแนวความคิดที่ให้พระบุตรเท่าเทียมกับพระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการกระทั่งได้ขาดความนิยมไปช่วงหนึ่ง. ยกตัวอย่าง มาร์ติน มาร์ตี พูดถึงอะธานาซิอุสว่า “ความนิยมในตัวเขาพุ่งขึ้นและก็ตกต่ำลง และเขาถูกเนรเทศบ่อย ๆ [ในช่วงปีหลังจากสภานีเซีย] จนในที่สุดเขาก็กลายเป็นคนเร่ร่อน.”8 อะธานาซิอุสถูกเนรเทศอยู่หลายปีเนื่องจากเจ้าหน้าที่ทางการเมืองและของคริสต์จักรต่อต้านความคิดเห็นของเขาที่ให้พระบุตรเท่าเทียมกับพระเจ้า.
ดังนั้น ที่จะยืนยันว่าสภาแห่งนีเซียในปีสากลศักราช 325 ได้ก่อตั้งหรือยืนยันหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพนั้นไม่เป็นความจริง. ในเวลานั้น ไม่มีคำสอนที่ต่อมาได้กลายเป็นคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ. แนวความคิดที่ว่าพระบิดา, พระบุตร, และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ต่างก็เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ทุกองค์และเท่าเทียมกันในความเป็นนิรันดร์, ฤทธิ์อำนาจ, ฐานะ, และสติปัญญา แต่ก็เป็นพระเจ้าองค์เดียว—คือเป็นพระเจ้าสามองค์ในองค์เดียวนั้น—ไม่ได้พัฒนาขึ้นโดยสภานั้นหรือโดยผู้เขียนคริสเตียนในศตวรรษที่สอง. ดังที่หนังสือคริสต์จักรแห่งสามศตวรรษแรก (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า
“หลักคำสอนสมัยใหม่เรื่องตรีเอกานุภาพอันเป็นที่นิยมกันนั้น . . . ไม่ได้รับการสนับสนุนจากคำพูดของจัสติน [มาเทอร์]: และข้อสังเกตนี้อาจแผ่รวมไปถึงผู้เขียนคริสเตียนทั้งสิ้นก่อนสภานีเซีย นั่นคือ ไปถึงผู้เขียนคริสเตียนทุกคนในช่วงสามศตวรรษหลังจากการประสูติของพระเยซู. เป็นความจริง เขาเหล่านั้นได้กล่าวถึงพระบิดา, พระบุตร, และพระวิญญาณที่กล่าวพยากรณ์หรือบริสุทธิ์ แต่ไม่ใช่ในฐานะที่เสมอภาคกัน, ไม่ใช่ในฐานะร่างเดียว, ไม่ใช่สามบุคคลในหนึ่ง, ไม่ว่าในความหมายใด ๆ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยพวกที่เชื่อตรีเอกานุภาพในปัจจุบัน. สิ่งตรงข้ามกันนี้คือความจริง. คำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ ดังที่ผู้เขียนคริสเตียนเหล่านั้นอธิบาย ต่างไปจากคำสอนสมัยใหม่นี้อย่างสิ้นเชิง. เราแถลงเรื่องนี้ในฐานะเป็นข้อเท็จจริงที่สามารถพิสูจน์ได้เช่นเดียวกับข้อเท็จจริงใด ๆ ในประวัติศาสตร์แห่งความคิดเห็นของมนุษย์.”
“เราขอท้าใครก็ได้ที่จะหาผู้เขียนคนใดคนหนึ่งที่โดดเด่นในระหว่างสามศตวรรษแรกมาได้ ซึ่งเชื่อหลักคำสอน [เรื่องตรีเอกานุภาพ] นี้ในลักษณะที่เชื่อกันในปัจจุบัน.”9
กระนั้น สภานีเซียก็ได้หัวเลี้ยวอันสำคัญ. มันเปิดโอกาสแก่การยอมรับอย่างเป็นทางการว่าพระบุตรเท่าเทียมกับพระบิดา และนั่นจึงปูทางไว้สำหรับแนวความคิดเรื่องตรีเอกานุภาพในภายหลัง. หนังสือคริสต์จักรออร์โธด็อกซ์แห่งศตวรรษที่สอง (ภาษาอังกฤษ) โดย เจ. เอ. บักลีย์ ให้ข้อสังเกตดังนี้:
“จนกระทั่งปลายศตวรรษที่สองเป็นอย่างน้อย คริสต์จักรทั่ว ๆ ไปยังคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในความหมายพื้นฐานหนึ่งเดียว เขาทั้งสิ้นยอมรับฐานะสูงสุดของพระบิดา. พวกเขาถือว่าพระเจ้า พระบิดาองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการทรงเป็นผู้สูงสุดแต่องค์เดียว, ไม่มีการเปลี่ยนแปลง, สุดจะพรรณนาได้, และไม่มีการเริ่มต้น. . . .
“ด้วยการล่วงลับของเหล่าผู้เขียนและผู้นำคริสเตียนแห่งศตวรรษที่สอง คริสต์จักรก็ได้พบว่าตนเอง . . . กำลังเคลื่อนอย่างช้า ๆ แต่ก็อย่างแน่วแน่เข้าไปหาจุดนั้น . . . ซึ่ง ณ สภาแห่งนีเซียนี่เองที่จุดสุดยอดของการเซาะกร่อนความเชื่อดั้งเดิมได้มีการบรรลุถึงทีละเล็กทีละน้อย. ที่นั่นเอง คนส่วนน้อยที่เร่าร้อนได้เพิ่มหลักนอกรีตเข้าไปให้แก่คนส่วนใหญ่ซึ่งยอมรับโดยปริยาย และด้วยอำนาจทางการเมืองที่หนุนหลัง, ได้บีบบังคับ, หลอกล่อ และขู่เข็ญคนเหล่านั้นซึ่งได้พยายามจะรักษาความบริสุทธิ์แห่งความเชื่อของเขาไว้ไม่ให้แปดเปื้อนมัวหมอง.”10
สภาแห่งคอนสแตนติโนเปิล
ในปี 381 ส. ศ. สภาแห่งคอนสแตนติโนเปิลได้ยืนยันตามหลักข้อเชื่อของสภาแห่งนีเซีย. และสภานี้ได้เพิ่มบางสิ่งบางอย่างเข้าไว้ด้วย. สภานี้เรียกพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” และ “ผู้ประทานชีวิต.” หลักข้อเชื่อแห่งปี 381 ส. ศ. ที่แผ่ขยายออกไปนี้ (ซึ่งก็คือสิ่งที่มีการใช้กันมากมายในคริสต์จักรทุกวันนี้และซึ่งเรียกกันว่า “หลักข้อเชื่อแห่งนีเซีย”) แสดงว่าคริสต์ศาสนจักรเกือบจะบรรลุการกำหนดหลักเกณฑ์ของคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพที่ครบถ้วนเต็มที่. ถึงกระนั้น แม้กระทั่งสภานี้ก็ไม่ทำให้หลักคำสอนนั้นครบถ้วน. สารานุกรมนิวคาทอลิก ยอมรับดังนี้:
“เป็นที่น่าสนใจที่หลังจากสภานีเซียที่ 1 60 ปี สภาแห่งคอนสแตนติโนเปิลที่ 1 [381 ส. ศ.] หลีกเลี่ยงโฮโมอูซิออส ในคำจำกัดความของความเป็นพระเจ้าของพระวิญญาณบริสุทธิ์.”11
“พวกผู้คงแก่เรียนเคยฉงนสนเท่ห์โดยคำกล่าวที่ดูเหมือนอ่อนแอในหลักข้อเชื่อนี้ ตัวอย่างเช่น ที่พวกเขาไม่ได้ใช้คำโฮโมอูซิออสเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในฐานะร่วมอยู่ในร่างเดียวกันกับพระบิดาและพระบุตร.”12
สารานุกรมฉบับเดียวกันยอมรับว่า “โฮโมอูซิออสไม่มีปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์.”13 เปล่าเลย คัมภีร์ไบเบิลไม่ใช้คำนั้นไม่ว่ากับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือกับพระบุตรว่าทรงเป็นร่างเดียวกันกับพระเจ้า. นั่นเป็นคำกล่าวที่ไม่เป็นไปตามคัมภีร์ไบเบิลซึ่งช่วยนำไปถึงหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพซึ่งไม่เป็นไปตามคัมภีร์ไบเบิล อันที่จริง ซึ่งต่อต้านคัมภีร์ไบเบิล.
แม้กระทั่งภายหลังสภาคอนสแตนติโนเปิล ก็อีกหลายศตวรรษก่อนที่คำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพเป็นที่ยอมรับกันทั่วคริสต์ศาสนจักร. สารานุกรมนิวคาทอลิก กล่าวว่า “ในทางตะวันตก . . . ดูเหมือนความเงียบโดยทั่วไปได้แผ่ไปทั่วเมื่อเกี่ยวกับสภาคอนสแตติโนเปิลที่ 1 และหลักคำสอนของสภานี้.”14 แหล่งข้อมูลนี้แสดงว่าหลักข้อเชื่อของสภานี้ไม่เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในทางตะวันตกจนกระทั่งศตวรรษที่เจ็ดหรือที่แปด.
ผู้คงแก่เรียนยังยอมรับด้วยว่าหลักข้อเชื่อของอะธาเนซิอุส ซึ่งมักจะมีการอ้างถึงในฐานะเป็นคำนิยามมาตรฐานและสนับสนุนเรื่องตรีเอกานุภาพนั้น ไม่ได้เขียนโดยอะธาเนซิอุส แต่เขียนในภายหลังต่อมาอีกนานโดยนักเขียนคนหนึ่งซึ่งไม่เป็นที่รู้จักกัน. สารานุกรมบริแทนนิกา ให้ความเห็นว่า
“หลักคำสอนนั้นไม่เป็นที่รู้จักแก่คริสต์จักรตะวันออกจนกระทั่งศตวรรษที่ 12. ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 พวกผู้คงแก่เรียนต่างเห็นพ้องกันโดยทั่วไปว่าหลักข้อเชื่อของอะธาเนซิอุสไม่ได้เขียนขึ้นโดยอะธาเนซิอุส (ซึ่งตายในปี 373) แต่คงได้เรียบเรียงในภาคใต้ของฝรั่งเศสในระหว่างศตวรรษที่ 5. . . . หลักข้อเชื่อนี้ดูเหมือนมีอิทธิพลในภาคใต้ของฝรั่งเศสและในสเปนในศตวรรษที่ 6 และที่ 7. มีการใช้หลักข้อเชื่อนี้ในพิธีสวดของคริสต์จักรในเยอรมนีในศตวรรษที่ 9 และต่อมาก็มีการใช้อยู่บ้างในโรม.”15
วิธีที่หลักข้อเชื่อนี้พัฒนาขึ้น
หลักคำสอนตรีเอกานุภาพเริ่มพัฒนาขึ้นช้า ๆ เป็นเวลาหลายศตวรรษ. แนวความคิดเรื่องตรีเอกานุภาพของนักปรัชญาชาวกรีกเช่นพลาโต ซึ่งมีชีวิตอยู่ก่อนพระคริสต์หลายศตวรรษ ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาในคำสอนของคริสต์จักร. ดังที่หนังสือคริสต์จักรแห่งสามศตวรรษแรก (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า
“เราขอยืนยันว่า หลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพเป็นการก่อรูปขึ้นภายหลังแบบค่อยเป็นค่อยไปและค่อนข้างช้าทีเดียว; หลักคำสอนนี้มีจุดเริ่มต้นในแหล่งที่มาซึ่งต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากพระคัมภีร์ของชาวยิวและคริสเตียน; หลักคำสอนนี้เจริญขึ้น และถูกสอดแทรกเพิ่มเข้าในศาสนาคริสเตียน โดยน้ำมือของพวกผู้เขียนคริสเตียนซึ่งเป็นพวกถือตามพลาโต; เราขอยืนยันว่า ในสมัยจัสติน และต่อมาอีกนาน ลักษณะอันโดดเด่นและการที่พระบุตรทรงอยู่ในฐานะต่ำกว่านั้นได้มีการสอนกันโดยทั่วไป; และมีแต่เค้าโครงที่เลือนรางตอนแรก ๆ ของตรีเอกานุภาพเท่านั้นที่ได้ปรากฏขึ้น.”16
ก่อนพลาโต ไทรอัดหรือตรีเอกานุภาพเป็นเรื่องธรรมดาในบาบูโลนและอียิปต์. และการที่พวกบาทหลวงพยายามจะล่อใจผู้ไม่เชื่อในแวดวงชาวโรมันก็ได้นำไปสู่การค่อย ๆ ผสมผสานแนวความคิดเหล่านั้นเข้าในศาสนาคริสเตียน. ในที่สุด การนี้ก็ได้นำไปสู่การยอมรับข้อเชื่อที่ว่าพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่าเทียมกับพระบิดา.a
แม้แต่คำ “ตรีเอกานุภาพ” ก็เป็นที่ยอมรับกันอย่างช้า ๆ เท่านั้น. เป็นในช่วงห้าสิบปีหลังของศตวรรษที่สองที่ทีโอฟิลุส บิชอปแห่งแอนทิอ็อกในซีเรีย ได้เขียนในภาษากรีกและได้นำเอาคำทรีอัส ซึ่งหมายความถึง “ทรีอัด” หรือ “ตรีเอกานุภาพ” เข้ามาใช้. ต่อมาเทอร์ทุลเลียนในคาร์เทจ แอฟริกาเหนือ ผู้เขียนในภาษาลาติน ได้นำคำทรินิทาส ซึ่งหมายความว่า “ตรีเอกานุภาพ” เข้ามาใช้ในข้อเขียนของเขา.b แต่คำทรีอัส ไม่มีในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกซึ่งได้รับการดลบันดาล และคำทรินิทาส ก็ไม่มีในคัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลภาษาลาตินที่เรียกว่าฉบับลาตินวัลเกต. ทั้งสองคำไม่เป็นไปตามคัมภีร์ไบเบิล. แต่คำ “ตรีเอกานุภาพ” ซึ่งอาศัยแนวความคิดนอกรีต คืบคลานเข้ามาในหนังสือของคริสต์จักรและพอหลังจากศตวรรษที่สี่ก็กลายเป็นส่วนของคำสอนของพวกเขา.
เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่ว่าพวกผู้คงแก่เรียนได้ตรวจดูคัมภีร์ไบเบิลโดยตลอดเพื่อดูว่ามีการสอนหลักคำสอนเช่นนั้นในคัมภีร์ไบเบิลหรือไม่. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น นโยบายของนักการเมือง และของคริสต์จักรได้กำหนดหลักคำสอนนั้นส่วนใหญ่. ในหนังสือประเพณีคริสเตียน (ภาษาอังกฤษ) ยาโรสลาฟ เพลิคัน ผู้ประพันธ์ เรียกร้องให้สนใจใน “ปัจจัยต่าง ๆ ที่ไม่เป็นไปตามหลักเทววิทยาในการอภิปรายครั้งนั้น ซึ่งมีหลายประการที่ดูเหมือนพร้อมจะกำหนดผลที่ออกมาอยู่แล้วหลายครั้งหลายหน เพียงเพื่อจะถูกเพิกถอนโดยอำนาจอื่น ๆ ที่เท่าเทียมกัน. หลักคำสอนที่มักดูเหมือนจะตกเป็นเหยื่อ—หรือผลิตผล—ของนโยบายของคริสต์จักรและของความขัดแย้งส่วนบุคคล.”17 อี. ว็อชเบอร์น ฮอปกินส์ ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเยล กล่าวอย่างนี้: “คำนิยามสุดท้ายของคริสต์จักรออร์โธด็อกซ์เกี่ยวกับตรีเอกานุภาพเป็นเรื่องนโยบายของคริสต์จักรเสียเป็นส่วนใหญ่.”18
คำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพช่างเป็นคำสอนที่ขาดเหตุผลเสียจริง ๆ เมื่อเทียบกับคำสอนที่เรียบง่ายในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์สูงสุดและไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน! ดังที่พระเจ้าตรัส “เจ้าจะเปรียบเราเป็นเหมือนผู้ใด เจ้าจะเทียบเราเสมอกับใคร เจ้าจะเอาเราไปเปรียบว่าเทียมเท่ากับผู้ใด?”—ยะซายา 46:5.
สิ่งที่หลักคำสอนนี้หมายถึง
การที่แนวความคิดเรื่องตรีเอกานุภาพได้ค่อย ๆ เจริญขึ้นนี้หมายถึงอะไร? สิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการถอยห่างไปจากศาสนาคริสเตียนแท้ที่พระเยซูทรงบอกไว้ล่วงหน้า. (มัดธาย 13:24-43) อัครสาวกเปาโลได้บอกล่วงหน้าไว้เช่นกันถึงการออกหากที่จะเกิดขึ้นที่ว่า
“เวลาจะมาเมื่อผู้คนจะไม่ยอมอิ่มใจกับคำสอนที่ดี เขาจะอยากได้สิ่งแปลกใหม่และจะรวบรวมครูไว้ให้ตนเองตามที่เขาชอบ และแล้วเขาจะหันไปหาเทพนิยายแทนที่จะฟังความจริง.”—2 ติโมเธียว 4:3, 4, คาทอลิกเจรูซาเลมไบเบิล.
หนึ่งในเทพนิยายเหล่านั้นคือคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ. เทพนิยายอื่น ๆ บางเรื่องซึ่งฝืนกับศาสนาคริสเตียนที่ค่อย ๆ เกิดขึ้นมาด้วยก็มี: ความเป็นอมตะที่มีอยู่แต่ดั้งเดิมของจิตวิญญาณมนุษย์, สถานชำระบาปโดยการทรมาน, ลิมโบ (สถานที่ระหว่างนรกกับสวรรค์), และการทรมานชั่วนิรันดร์ในไฟนรก.
ฉะนั้น หลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพคืออะไร? แท้จริง นั่นคือหลักคำสอนนอกรีตที่ปลอมเป็นหลักคำสอนคริสเตียน. หลักคำสอนนี้ได้รับการส่งเสริมโดยซาตานเพื่อหลอกลวงผู้คน เพื่อทำให้เรื่องพระเจ้าเป็นเรื่องสับสนและลึกลับสำหรับเขา. เรื่องนี้จึงยังผลให้พวกเขาเต็มใจยิ่งขึ้นที่จะยอมรับเอาแนวความคิดและกิจปฏิบัติทางศาสนาอื่น ๆ ที่ผิด.
“โดยผลของเขา”
ที่มัดธาย 7:15-19 พระเยซูตรัสว่าคุณสามารถแยกแยะศาสนาแท้จากศาสนาเท็จได้ด้วยวิธีนี้:
“ท่านทั้งหลายจงระวังผู้พยากรณ์เท็จที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ แต่ภายในของเขาร้ายกาจดุจสุนัขป่า. ท่านจะรู้จักเขาเพราะผลของเขา. เขาเคยเก็บผลองุ่นจากต้นระกำหรือ? เขาเคยเก็บผลมะเดื่อเทศจากต้นไม้มีหนามหรือ? ดังนั้นแหละต้นไม้ดีทุกต้นก็ย่อมเกิดผลดี แต่ต้นไม้ชั่วก็ย่อมเกิดผลชั่ว . . . ต้นไม้ทุกต้นซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องฟันทิ้งเสียในไฟ.”
ขอให้พิจารณาตัวอย่างหนึ่ง. พระเยซูตรัสไว้ที่โยฮัน 13:35 (ล.ม.) ว่า “โดยเหตุนี้คนทั้งปวงจะรู้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา ถ้าเจ้ามีความรักระหว่างพวกเจ้าเอง.” เช่นเดียวกัน ที่ 1 โยฮัน 4:20 และ 21 พระคำที่พระเจ้าทรงดลบันดาลแถลงว่า
“ถ้าผู้ใดว่า ‘ข้าพเจ้ารักพระเจ้า’ และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตัว. ผู้นั้นเป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่ยังไม่ได้แลเห็นอย่างไรได้? พระบัญญัตินี้แหละเราทั้งหลายได้มาจากพระองค์ คือว่าให้คนที่รักพระเจ้ารักพี่น้องของตนด้วย.”
จงนำหลักการพื้นฐานนี้ที่ว่าคริสเตียนแท้ต้องมีความรักในท่ามกลางพวกเขาไปใช้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในสงครามโลกทั้งสองครั้งในศตวรรษนี้ เช่นเดียวกับในกรณีพิพาทอื่น ๆ. ผู้คนในศาสนาเดียวกันแห่งคริสต์ศาสนจักรประจันหน้ากันในสนามรบและเข่นฆ่ากันเนื่องจากความแตกต่างด้านเชื้อชาติ. แต่ละฝ่ายต่างก็อ้างเป็นคริสเตียน และแต่ละฝ่ายต่างก็ได้รับการสนับสนุนจากพวกนักเทศน์นักบวชของฝ่ายนั้น ซึ่งอ้างว่าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเขา. การเข่นฆ่า “คริสเตียน” โดย “คริสเตียน” เช่นนั้น เป็นผลชั่ว. นั่นเป็นการฝ่าฝืนความรักของคริสเตียน เป็นการปฏิเสธกฎหมายของพระเจ้า.—โปรดดู 1 โยฮัน 3:10-12 ด้วย.
วันแห่งการคิดบัญชี
ด้วยเหตุนั้นเอง การถอยห่างไปจากศาสนาคริสเตียนแท้ไม่เพียงนำไปสู่ความเชื่อที่ดูหมิ่นพระเจ้า เช่นหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ แต่ยังนำไปสู่กิจปฏิบัติที่ดูหมิ่นพระเจ้าด้วย. กระนั้น วันแห่งการคิดบัญชีจะมีมา เพราะพระเยซูตรัสว่า “ต้นไม้ทุกต้นซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องฟันทิ้งเสียในไฟ.” นั่นคือเหตุที่พระคำของพระเจ้ากระตุ้นดังนี้:
“ดูก่อนพวกพลเมืองของเรา จงออกมาจากเมืองนั้นเถิด [ศาสนาเท็จ] เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่ได้มีส่วนในการบาปของเมืองนั้น และเพื่อท่านทั้งหลายจะไม่ต้องรับภยันตรายที่จะมีแก่พลเมืองนั้น. ด้วยว่าความบาปของเมืองนั้นกองสูงขึ้นจรดสวรรค์ และพระเจ้าได้ทรงจำการทุจริตแห่งเมืองนั้น.”—วิวรณ์ 18:4, 5.
ในไม่ช้าพระเจ้าจะทรง ‘บันดาลใจ’ แห่งผู้มีอำนาจฝ่ายการเมืองให้หันมาต่อสู้ศาสนาเท็จ. พวกเขาจะ “ทำให้เธอไร้มิตรและ . . . จะกินเนื้อของหญิงนั้น และเอาไฟเผาเสีย.” (วิวรณ์ 17:16, 17) ศาสนาเท็จพร้อมด้วยหลักปรัชญานอกรีตเกี่ยวกับพระเจ้าจะถูกทำลายให้พินาศตลอดกาล. อันที่จริง ในวันของพระองค์ พระเจ้าจะทรงตรัสแก่ผู้ที่ปฏิบัติศาสนาเท็จดังที่พระเยซูได้ตรัส ที่ว่า “เรือนของเจ้าก็ถูกปล่อยไว้ให้ร้างตามลำพังเจ้า.”—มัดธาย 23:38.
ศาสนาแท้จะรอดผ่านการพิพากษาของพระเจ้า เพื่อว่าในที่สุด เกียรติยศและสง่าราศีทุกอย่างจะถวายแด่พระองค์ผู้นั้นซึ่งพระเยซูตรัสว่าทรงเป็น “พระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว.” พระองค์ทรงเป็นผู้นั้นที่ท่านผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญร้องทูลว่า “พระองค์ผู้เดียว ผู้ทรงพระนามว่าพระยะโฮวา เป็นพระเจ้าใหญ่ยิ่งทรงครอบครองทั่วแผ่นดินโลก.”—โยฮัน 17:3; บทเพลงสรรเสริญ 83:18.
หนังสืออ้างอิง
1. Encyclopædia Britannica, 1971, Volume 6, page 386.
2. A Short History of Christian Doctrine, by Bernhard Lohse, 1963, page 51.
3. Ibid., pages 52-3.
4. New Catholic Encyclopedia, 1967, Volume VII, page 115.
5. A Short History of Christianity, by Martin E. Marty, 1959, page 91.
6. A Select Library of Nicene and Post-Nicene Fathers of the Christian Church, by Philip Schaff and Henry Wace, 1892, Volume IV, page xvii.
7. A Short History of Christian Doctrine, page 53.
8. A Short History of Christianity, page 91.
9. The Church of the First Three Centuries, by Alvan Lamson, 1869, pages 75-6, 341.
10. Second Century Orthodoxy, by J. A. Buckley, 1978, pages 114-15.
11. New Catholic Encyclopedia, 1967, Volume VII, page 115.
12. Ibid., Volume IV, page 436.
13. Ibid., page 251.
14. Ibid., page 436.
15. The New Encyclopædia Britannica, 1985, 15th Edition, Micropædia, Volume 1, page 665.
16. The Church of the First Three Centuries, page 52.
17. The Christian Tradition, by Jaroslav Pelikan, 1971, page 173.
18. Origin and Evolution of Religion, by E. Washburn Hopkins, 1923, page 339.
[เชิงอรรถ]
a สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดดูจุลสารคุณควรเชื่อในตรีเอกานุภาพไหม? (ภาษาอังกฤษ) พิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.
b ดังแสดงให้เห็นในบทความก่อนของชุดบทความนี้ ถึงแม้ทีโอฟีลุสและเทอร์ทุลเลียนใช้คำเหล่านี้ก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้คิดถึงตรีเอกานุภาพที่คริสต์ศาสนจักรเชื่อกันในทุกวันนี้เลย.
[รูปภาพหน้า 22]
พระเจ้าจะทรงทำให้อำนาจฝ่ายการเมืองหันมาต่อสู้ศาสนาเท็จ
[รูปภาพหน้า 24]
ศาสนาแท้จะรอดผ่านการพิพากษาของพระเจ้า