หมกมุ่นในการงานที่ตายแล้วหรือในงานรับใช้พระยะโฮวา
“ขอโทษนะ ฉันกำลังมีธุระยุ่ง.” นี่คือข้อคัดค้านอย่างหนึ่งที่พยานพระยะโฮวาพบเมื่อพวกเขาประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรอย่างเปิดเผย. (มัดธาย 24:14) และแม้ข้ออ้างที่ว่า “ฉันกำลังมีธุระยุ่ง” นั้นบางครั้งเป็นเพียงข้อแก้ตัวง่าย ๆ ความจริงก็คือว่าผู้คนส่วนมาก มี ธุระยุ่ง. ที่จริงแล้ว พวกเขาถูก “ความปรารมภ์เกี่ยวด้วยระบบแห่งสิ่งต่าง ๆ นี้” กลืนเอาไว้—คือความกดดันของการดำเนินชีวิต, การชำระค่าสิ่งของ, การไปทำงานและกลับบ้าน, การเลี้ยงดูบุตร, การดูแลบ้าน, รถยนต์, และทรัพย์สินอื่น ๆ.—มัดธาย 13:22.
อย่างไรก็ตาม แม้ผู้คนอาจมีธุระยุ่งจริง ๆ มีน้อยคนที่เข้าร่วมในการงานซึ่งบังเกิดผลอย่างแท้จริง. เป็นดังที่ซะโลโมบุรุษผู้เฉลียวฉลาดได้เขียนไว้ว่า “เพราะว่าเขาได้อะไรเล่าจากบรรดาการงานของเขาที่เขาต้องทำอย่างคร่ำเครียดภายใต้ดวงอาทิตย์? ด้วยว่าวันเวลาทั้งหลายของเขามีแต่ความโศกเศร้า และกิจธุระของเขาก่อความสลดใจ พอตกกลางคืนจิตใจของเขาไม่สงบสุข นี่ก็อีกด้วยเป็นอนิจจัง.”—ท่านผู้ประกาศ 2:22, 23.
คัมภีร์ไบเบิลเรียกกิจกรรมที่ไร้ประโยชน์เช่นนั้นว่า “การงานที่ตายแล้ว” ด้วย. (เฮ็บราย 9:14, ล.ม.) การงานเช่นนั้นควบคุมชีวิตของเราไหม? นี่ควรเป็นเรื่องที่คุณซึ่งอยู่ในฐานะคริสเตียนควรเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะว่าพระเจ้าจะทรง “สนองมนุษย์ตามการงานของเขา.” (บทเพลงสรรเสริญ 62:12, ฉบับแปลใหม่) และเนื่องจาก “เวลานั้นก็ใกล้เข้ามาแล้ว” เราควรห่วงใยเป็นพิเศษที่จะไม่เสียเวลาไปกับการงานที่ตายแล้ว. (1 โกรินโธ 7:29) แต่การงานที่ตายแล้วคืออะไร? เราควรมีทัศนะเช่นไรต่อการงานเหล่านั้น? และเราจะสามารถแน่ใจได้อย่างไรว่าเรากำลังหมกมุ่นอยู่กับการงานที่มีคุณค่าจริง ๆ?
การระบุการงานที่ตายแล้ว
เปาโลเขียนไว้ที่เฮ็บราย 6:1, 2 ว่า “เหตุฉะนั้น ให้เราละประถมโอวาทของพระคริสต์ไว้ และให้เราก้าวหน้าไปถึงความบริบูรณ์ (ความเป็นผู้ใหญ่, ฉบับแปลใหม่) อย่าเอาสิ่งเหล่านี้มาวางเป็นรากอีกเลย คือการกลับใจเสียใหม่จากการประพฤติที่ตายแล้ว, และความเชื่อในพระเจ้า, และคำสอนว่าด้วยบัพติสมา, และการวางมือ, และการเป็นขึ้นมาจากตาย, การพิพากษาปรับโทษเป็นนิตย์นั้น.” สังเกตเห็นว่า “ประถมโอวาท” นั้นรวมถึง “การกลับใจเสียใหม่จากการประพฤติที่ตายแล้ว” ด้วย. ในฐานะคริสเตียน เหล่าผู้อ่านถ้อยคำของเปาโลต่างก็ได้กลับใจจากการงานที่ตายแล้วเช่นนั้นอยู่แล้ว. เป็นไปเช่นนั้นอย่างไร?
ก่อนรับรองเอาพระคริสต์ บางคนในศตวรรษแรกได้เข้าส่วนใน “การของเนื้อหนัง” ที่ตายแล้ว เช่น “การล่วงประเวณี, การโสโครก, การอุลามก, การไหว้รูปเคารพ, การดูดวงชะตาราศี” และการชั่วช้าอื่น ๆ. (ฆะลาเตีย 5:19-21) เมื่อไม่มีการยับยั้ง การประพฤติเช่นนั้นก็คงได้นำพวกเขาสู่ความตายฝ่ายวิญญาณ. แต่ด้วยพระเมตตา คริสเตียนเหล่านั้นได้หันหนีจากแนวทางที่เป็นภัยนั้น กลับใจ และถูก “ชำระ.” ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงได้ชื่นชมกับฐานะที่สะอาดกับพระยะโฮวา.—1 โกรินโธ 6:9-11.
กระนั้น ไม่ใช่คริสเตียนทุกคนจำเป็นต้องกลับใจจากการงานที่ชั่วหรือผิดศีลธรรม. จดหมายของเปาโลนั้นเขียนถึงผู้เชื่อถือชาวยิวเป็นอันดับแรก ซึ่งไม่มีข้อสงสัยว่าพวกเขาส่วนใหญ่ได้ยึดมั่นอย่างเคร่งครัดกับพระบัญญัติของโมเซก่อนจะมารับรองเอาพระคริสต์. ถ้าเช่นนั้น พวกเขาได้กลับใจจากการงานที่ตายแล้วชนิดใด? เป็นที่แน่ใจได้ว่าการที่พวกเขาได้ปฏิบัติตามแบบแผนพิธีกรรมต่าง ๆ และข้อเรียกร้องต่าง ๆ ในเรื่องอาหารในบัญญัตินั้นไม่มีอะไรผิด. พระบัญญัตินั้น “บริสุทธิ์ยุติธรรมและดี” มิใช่หรือ? (โรม 7:12) ถูกแล้ว แต่ที่โรม 10:2, 3 เปาโลกล่าวเกี่ยวกับชาวยิวว่า “ข้าพเจ้าเป็นพยานฝ่ายเขาว่า เขามีใจร้อนรนในการปฏิบัติพระเจ้า แต่หาได้เป็นไปตามปัญญาไม่. ด้วยว่าเขาไม่ได้รู้จักความชอบธรรมของพระเจ้า แต่ได้อุตส่าห์ที่จะตั้งความชอบธรรมของตัวเองขึ้น เขาจึงมิได้ยอมตัวอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้า.”
ถูกแล้ว ชาวยิวเชื่ออย่างผิด ๆ ว่าโดยการปฏิบัติตามพระบัญญัติอย่างเคร่งครัด พวกเขาจะสามารถได้มาซึ่งความรอด. แต่เปาโลอธิบายว่า “ไม่มีมนุษย์ผู้ใดจะเป็นคนชอบธรรมได้โดยการประพฤติตามพระบัญญัติ แต่โดยศรัทธาในพระเยซูคริสต์เท่านั้น.” (ฆะลาเตีย 2:16) หลังจากได้มีการจัดเตรียมค่าไถ่ของพระคริสต์แล้ว การประพฤติตามพระบัญญัติ—ไม่ว่าจะด้วยความเลื่อมใสหรือทำอย่างดีเพียงไร—ก็เป็นการงานที่ตายแล้วและไม่มีคุณค่าอะไรเลยในการจะได้รับความรอด. ดังนั้น ชาวยิวที่มีใจชอบธรรมจึงแสวงหาความโปรดปรานจากพระเจ้าโดยการกลับใจจากการงานที่ตายแล้วเหล่านั้นและรับบัพติสมาเป็นเครื่องหมายแห่งการกลับใจเสียใหม่ของพวกเขา.—กิจการ 2:38.
เราเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้? การงานที่ตายแล้วนั้นอาจหมายรวมถึงยิ่งกว่ากิจที่ชั่วหรือผิดศีลธรรม การงานเหล่านั้นครอบคลุมถึงไม่ว่าการงานใด ๆ ที่เป็นการงานที่ตายฝ่ายวิญญาณ, เสียเปล่า, หรือไม่เกิดผล. แต่ชนคริสเตียนทั้งปวงกลับใจจากการงานที่ตายแล้วเช่นนั้นก่อนที่พวกเขารับบัพติสมามิใช่หรือ? จริง แต่คริสเตียนบางคนในศตวรรษแรกได้ถลำเข้าสู่การประพฤติผิดศีลธรรมในเวลาต่อมา. (1 โกรินโธ 5:1) และในท่ามกลางคริสเตียนชาวยิว ก็มีแนวโน้มที่จะย้อนกลับไปสู่การปฏิบัติการงานที่ตายแล้วตามพระบัญญัติของโมเซอีก. เปาโลจึงต้องเตือนคนเหล่านั้นไม่ให้กลับไปสู่การงานที่ตายแล้ว.—ฆะลาเตีย 4:21; 5:1.
การระวังป้องกันการงานที่ตายแล้ว
เหตุฉะนั้น ไพร่พลของพระยะโฮวาในทุกวันนี้ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ถลำเข้าสู่กับดักของการงานที่ตายแล้ว. เราถูกโจมตีจากทุกทิศทางโดยความกดดันต่าง ๆ ให้อะลุ้มอล่วยทางศีลธรรม, ให้เป็นคนไม่ซื่อสัตย์, และเพื่อให้เข้าร่วมในการประพฤติผิดทางเพศ. น่าเสียดายที่จะกล่าวว่า แต่ละปีมีคริสเตียนหลายพันคนยอมแพ้ต่อความกดดันเช่นนั้น และถ้าไม่กลับใจ จึงถูกขับออกไปจากประชาคมคริสเตียน. ฉะนั้น คริสเตียนจึงต้องเอาใจใส่ยิ่งกว่าแต่ก่อนในคำแนะนำของเปาโลที่เอเฟโซ 4:22-24 (ล.ม.) ที่ว่า “ท่านทั้งหลายควรละทิ้งบุคลิกลักษณะเก่าซึ่งเป็นไปตามแนวทางการประพฤติเดิมของท่าน และซึ่งถูกทำให้เสื่อมเสียตามความปรารถนาอันหลอกลวงของเขา; แต่ว่าท่านทั้งหลายควรถูกเปลี่ยนใหม่ในพลังที่กระตุ้นจิตใจของท่าน และควรสวมใส่บุคลิกลักษณะใหม่ซึ่งได้ถูกสร้างขึ้นตามพระประสงค์ของพระเจ้าในความชอบธรรม และความจงรักภักดีที่แท้จริง.”
แน่นอน ชาวเอเฟโซที่เปาโลเขียนถึงนั้นได้สวมใส่บุคลิกลักษณะใหม่อยู่แล้วอย่างขนานใหญ่. แต่เปาโลช่วยพวกเขาให้ตระหนักว่าการทำเช่นนั้นเป็นกระบวนการแบบต่อเนื่อง! ถ้าไม่มีการพยายามอย่างไม่ละลด คริสเตียนอาจถูกชักนำกลับไปสู่การงานที่ตายแล้วโดยความปรารถนาอันหลอกลวงซึ่งยังคงมีอยู่อันเป็นแรงชักจูงในทางเสื่อมเสีย. เป็นจริงเช่นนั้นกับเราในทุกวันนี้ด้วย. เราต้องพยายามอยู่เรื่อยไปเพื่อสวมบุคลิกลักษณะใหม่ ไม่ยอมให้บุคลิกใหม่นี้ถูกทำให้เสื่อมเสียไปโดยนิสัยต่าง ๆ ที่ได้รับมาในวิถีชีวิตแบบเก่า ๆ ของเรา. เราต้องหลีกเว้น—ต้องเกลียดชัง—ทุกรูปแบบของการงานอันชั่วช้าของเนื้อหนัง. ท่านผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญเตือนว่า “ท่านทั้งหลายที่รักพระยะโฮวา จงเกลียดการชั่ว.”—บทเพลงสรรเสริญ 97:10.
น่าชมเชยที่ไพร่พลของพระยะโฮวาส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ได้เอาใจใส่คำแนะนำนี้และคงไว้ซึ่งความสะอาดทางศีลธรรม. กระนั้น บางคนก็ได้เขวไปโดยการงานที่ไม่ผิดในตัวมันเองแต่เป็นการงานซึ่งในที่สุดก็เสียเปล่าและไร้ผล. ตัวอย่างเช่น บางคนได้เข้าไปเกี่ยวข้องเต็มที่ในโครงการที่ทำเงินหรือในการได้มาซึ่งสิ่งของฝ่ายวัตถุต่าง ๆ. แต่คัมภีร์ไบเบิลเตือนว่า “คนเหล่านั้นที่ตั้งใจจะเป็นคนมั่งมีก็ตกเข้าสู่การล่อใจและบ่วงแร้ว และความปรารถนาที่ไร้สาระ และที่ก่อความเสียหายมากมายซึ่งทำให้คนตกเข้าสู่ความพินาศและความหายนะ.” (1 ติโมเธียว 6:9) สำหรับคนอื่น ๆ การศึกษาฝ่ายโลกก็เป็นกับดักอย่างหนึ่ง. จริงอยู่ ระดับการศึกษาฝ่ายโลกบางอย่างอาจจำเป็นเพื่อจะมีงานทำ. แต่ในการแสวงหาการศึกษาฝ่ายโลกที่ก้าวหน้าที่ต้องใช้เวลามาก บางคนได้ทำความเสียหายฝ่ายวิญญาณแก่ตนเอง.
ถูกแล้ว การงานหลายอย่างอาจไม่เป็นการผิดทางศีลธรรมในตัวเอง. แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นการงานที่ตายแล้วหากการงานนั้นไม่ส่งเสริมชีวิตเราในปัจจุบันหรือไม่ได้ทำให้เราได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้ายะโฮวา. การงานเช่นนั้นสิ้นเปลืองเวลาและพลังงานแต่ไม่บังเกิดผลประโยชน์ฝ่ายวิญญาณ ไม่บังเกิดความสดชื่นใด ๆ อย่างทนทาน.—เทียบท่านผู้ประกาศ 2:11.
ไม่ต้องสงสัย คุณกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อหมกมุ่นในกิจกรรมฝ่ายวิญญาณอันคุ้มค่า. กระนั้น จะเป็นประโยชน์ให้ตรวจสอบตัวเองเป็นประจำ. เป็นครั้งคราว คุณอาจถามตัวเองด้วยคำถามที่ว่า ‘การออกไปประกาศและการเข้าร่วมประชุมของฉันลดน้อยลงไหมเพราะฉันรับเอางานฝ่ายโลกที่ไม่จำเป็น?’ หรือ ‘ฉันมีเวลาสำหรับนันทนาการแต่ใช้เวลานิดเดียวสำหรับการศึกษาส่วนตัวและการศึกษาประจำครอบครัวไหม?’ ‘ฉันใช้เวลาและพลังงานอย่างมากเพื่อเอาใจใส่เรื่องทรัพย์สิ่งของแต่ไม่ได้เอาใจใส่คนขัดสนในประชาคมหรือเปล่า อย่างเช่น คนที่เจ็บป่วยหรือคนสูงอายุ?’ คำตอบต่อคำถามเหล่านี้คงจะเผยให้เห็นความจำเป็นที่คุณจะให้ความสำคัญต่อการงานฝ่ายวิญญาณเป็นอันดับแรกมากขึ้น.
จงหมกมุ่นในการรับใช้พระยะโฮวาอยู่เสมอ
ดังที่ 1 โกรินโธ 15:58 (ล.ม.) กล่าว มี “การงานมากที่จะให้ทำในงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ.” การงานที่สำคัญที่สุดคืองานประกาศราชอาณาจักรและทำคนให้เป็นสาวก. ที่ 2 ติโมเธียว 4:5 เปาโลกล่าวสนับสนุนว่า “จงกระทำให้การประกาศข่าวดีเป็นงานประจำชีวิตของท่าน ด้วยการรับใช้อย่างเต็มที่.” (เจรูซาเลม ไบเบิล) พวกผู้ปกครองและผู้รับใช้มีหลายสิ่งที่ต้องทำเช่นกันในการเอาใจใส่ต่อความจำเป็นของฝูงแกะ. (1 ติโมเธียว 3:1, 5, 13; 1 เปโตร 5:2) หัวหน้าครอบครัว—ซึ่งหลายคนเป็นบิดาหรือมารดาฝ่ายเดียว—ก็มีความรับผิดชอบอันหนักหน่วงในการดูแลครอบครัวของตนและช่วยลูก ๆ ให้เติบโตขึ้นในสัมพันธภาพกับพระเจ้า. การงานเช่นนั้นอาจทำให้เหน็ดเหนื่อย กระทั่งบางครั้งถึงกับมีล้นมือ. แต่การงานนี้ก็ก่อความอิ่มใจพอใจอย่างแท้จริง ต่างกันลิบจากการงานที่ตายแล้ว!
ปัญหาก็คือ: คนเราจะหาเวลาได้อย่างไรเพื่อทำงานอันคุ้มค่าที่จำเป็นเหล่านี้ให้สำเร็จ? การใช้วินัยกับตัวเองและการจัดระเบียบส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญ. ที่ 1 โกรินโธ 9:26, 27 (ล.ม.) เปาโลเขียนว่า “ข้าพเจ้าวิ่งแข่งโดยหวังจะชนะเป็นแน่ ข้าพเจ้าต่อสู้ไม่เหมือนนักมวยที่ชกลม แต่ข้าพเจ้าทุบตีร่างกายของข้าพเจ้า และจูงมันเยี่ยงทาส เพื่อว่าหลังจากข้าพเจ้าได้ประกาศแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะไม่กลายเป็นคนที่ไม่เป็นที่พอพระทัยในทางใดทางหนึ่ง.” วิธีหนึ่งที่จะใช้หลักการในข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ก็คงเป็นการตรวจสอบตารางเวลาส่วนตัวและแบบชีวิตส่วนตัวของคุณเป็นครั้งคราว. แล้วคุณอาจค้นพบว่าคุณสามารถขจัดการสูญเสียเวลาและพลังงานของคุณโดยไม่จำเป็นได้ในหลายทางทีเดียว.
ตัวอย่างเช่น คุณใช้เวลาและกำลังของคุณไปมากไหมกับการดูทีวี, นันทนาการ, การอ่านเรื่องทางโลก, หรืองานอดิเรก? ดังบทความหนึ่งในเดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ โดยเฉลี่ยแล้วผู้ใหญ่ในสหรัฐจมอยู่กับการดูทีวี “กว่า 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์.” แน่นอน อาจใช้เวลาเหล่านั้นให้ดีกว่านี้ได้! ภรรยาของผู้ดูแลเดินทางคนหนึ่งแจ้งว่า “ดิฉันกำจัดตัวทำให้สูญเสียเวลาไปเปล่า ๆ เกือบทั้งหมด เช่นการดูโทรทัศน์.” ผลเป็นอย่างไร? เธอสามารถอ่านสารานุกรมคัมภีร์ไบเบิล อินไซต์ ออน เดอะ สคริพเจอร์ ซึ่งมีสองเล่มได้จนจบ!
อนึ่ง คุณอาจจำเป็นต้องพิจารณาดูว่าคุณสามารถทำให้วิถีชีวิตของคุณเป็นแบบเรียบง่ายได้ถึงขีดไหน. ซะโลโมตรัสว่า “การหลับของกรรมกรก็ผาสุก จะแปลกประหลาดอะไรที่เขากินน้อยหรือกินมาก แต่ความอิ่มท้องของคนมั่งมีก็ไม่ช่วยให้เขาหลับ.” (ท่านผู้ประกาศ 5:12) คุณใช้เวลาและพลังงานของคุณอย่างมากเพื่อเอาใจใส่ต่อทรัพย์สิ่งของที่ไม่จำเป็นไหม? เป็นความจริง ยิ่งเรามีสิ่งของต่าง ๆ มากเท่าใด เราก็ยิ่งมีสิ่งของต่าง ๆ ที่ต้องบำรุงรักษามากเท่านั้น ต้องทำประกัน, ต้องซ่อม, และปกป้อง. จะเป็นประโยชน์แก่คุณไหมถ้าเพียงแต่จะเปลื้องตัวคุณให้พ้นจากทรัพย์สิ่งของบางอย่าง?
การมีตารางเวลาที่ทำตามได้จริงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่คุณจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์มากขึ้น. ตารางเวลานั้นควรมีการคำนึงถึงการพักผ่อนหรือนันทนาการด้วย. แต่ก็พึงให้ผลประโยชน์ฝ่ายวิญญาณอยู่ในอันดับแรก. ควรจัดเวลาไว้ต่างหากสำหรับการเข้าร่วมการประชุมประจำประชาคมทุกอย่างอย่างสม่ำเสมอ. คุณอาจกำหนดไว้ล่วงหน้าด้วยว่าวันไหนหรือตอนเย็นวันไหนที่สามารถใช้ในงานประกาศเผยแพร่ได้. ด้วยการวางแผนอย่างรอบคอบ คุณก็อาจสามารถเข้าส่วนในงานรับใช้ได้มากขึ้น บางทีอาจรับใช้ในฐานะไพโอเนียร์สมทบได้เป็นครั้งคราว. แต่จงแน่ใจที่จะจัดตารางเวลาสำหรับการศึกษาส่วนตัวและการศึกษาประจำครอบครัว รวมทั้งการเตรียมตัวสำหรับการประชุมต่าง ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วย. โดยการเป็นคนที่เตรียมพร้อม คุณก็จะไม่เพียงแต่ได้รับประโยชน์มากขึ้นเป็นส่วนตัวจากการประชุมเท่านั้น แต่คุณจะอยู่ในฐานะที่ดียิ่งขึ้นที่จะ “เร้าใจให้เกิดความรักและการงานที่ดี” โดยการที่คุณออกความคิดเห็นอย่างดีในการประชุม.—เฮ็บราย 10:24.
การหาเวลาเพื่อการศึกษาอาจเรียกร้องให้เสียสละบางอย่าง. ตัวอย่างเช่น ครอบครัวเบเธลทั่วโลกตื่นขึ้นแต่เช้าทุกวันเพื่อพิจารณาข้อพระคัมภีร์ประจำวัน. จะเป็นไปได้ไหมที่คุณเองจะหาเวลาสักเล็กน้อยทุกเช้าสำหรับการศึกษาส่วนตัว? ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญกล่าวว่า: “ข้าพเจ้าตื่นขึ้นก่อนรุ่งเช้า ก็ร้องทุกข์ทูลพระองค์ ข้าพเจ้าได้หวังใจในพระวจนะของพระองค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 119:147) แน่นอน การตื่นแต่เช้าคงเรียกร้องให้จัดตารางเวลาที่เหมาะเพื่อการเข้านอนเพื่อคุณจะสามารถเริ่มวันต่อไปได้อย่างดีและสบาย.
ผลประโยชน์จากการหมกมุ่นในการรับใช้พระยะโฮวา
การมี “งานมากที่จะทำในการงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า” เรียกร้องให้มีการวางแผน, การมีวินัย, และการเสียสละตัวเอง. แต่คุณจะชื่นชมกับประโยชน์เหลือคณานับอันเป็นผลลัพธ์. ฉะนั้น จงหมกมุ่นในงานรับใช้พระยะโฮวา ไม่ใช่ในการงานที่ตายแล้วหรือสูญเปล่าซึ่งนำมาแต่ความว่างเปล่าและความปวดร้าว. เพราะโดยการงานนี้เท่านั้นที่คุณแสดงให้เห็นถึงความเชื่อของคุณ โดยการงานนี้เท่านั้นที่คุณจะได้รับความพอพระทัยจากพระเจ้า และในที่สุด จะได้รับรางวัลแห่งชีวิตนิรันดร์!
[รูปภาพหน้า 28]
การจัดตารางเวลาที่ทำตามได้จริงช่วยคริสเตียนให้ใช้เวลาของตนอย่างฉลาดสุขุมยิ่งขึ้น