ครอบครัวคริสเตียนทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยกัน
“พี่น้องทั้งหลาย . . . ให้ท่านสามัคคีกันมีน้ำใจอย่างเดียวกัน และมีความคิดในแนวเดียวกัน.”—1 โกรินโธ 1:10, ล.ม.
1. สภาพการณ์ในหลาย ๆ ครอบครัวเกี่ยวกับเอกภาพนั้นเป็นอย่างไร?
ครอบครัวของคุณเป็นครอบครัวที่ปรองดองกันไหม? หรือว่าต่างคนต่างไปคนละทาง? คุณทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยกันไหม? หรือพวกคุณแทบไม่ค่อยได้อยู่พร้อมหน้ากันเช่นนั้นไหม? คำ “ครอบครัว” แสดงนัยว่าผู้ร่วมครัวเรือนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.a กระนั้น ไม่ใช่ทุกครอบครัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน. ปาฐกชาวอังกฤษคนหนึ่งถึงกับกล่าวว่า “แทนที่จะเป็นหลักของสังคมที่ดี ครอบครัว . . . กลายเป็นแหล่งที่ทำให้พวกเราเกิดความไม่พอใจ.” เป็นอย่างนั้นกับครอบครัวของคุณไหม? ถ้าใช่ จำต้องเป็นอย่างนั้นไหม?
2. บุคคลไหนบ้างในพระคัมภีร์ให้หลักฐานว่ามาจากครอบครัวที่ดี?
2 ความสามัคคีหรือการขาดความสามัคคีของครอบครัว ปกติแล้วขึ้นอยู่กับการเป็นผู้นำของครอบครัว ไม่ว่าจากบิดามารดาทั้งคู่ หรือที่ไร้คู่. ในสมัยพระคัมภีร์ ครอบครัวที่เป็นหนึ่งเดียวซึ่งร่วมนมัสการด้วยกันได้รับพระพรจากพระยะโฮวา. ข้อนี้เป็นความจริงในชาติยิศราเอลโบราณ ซึ่งลูกสาวยิพธา, ซิมโซน, และซามูเอล ต่างก็ให้หลักฐานในแนวทางต่างกันว่ามาจากครอบครัวที่เลื่อมใสในพระเจ้า. (วินิจฉัย 11:30-40; 13:2-25; 1 ซามูเอล 1:21-23; 2:18-21) ในยุคคริสเตียนเริ่มแรก ติโมเธียวสหายผู้ซื่อสัตย์ของเปาโลซึ่งร่วมเดินทางไปเผยแพร่ด้วยกันกับเปาโลนั้นได้รับการเลี้ยงดูให้มีความรู้ด้านคัมภีร์ภาษาฮีบรูโดยนางโลอีผู้เป็นยาย และมารดาชื่อยูนิเก. ท่านจึงกลายมาเป็นสาวกและผู้เดินทางเผยแพร่ที่เด่นสักเพียงไร!—กิจการ 16:1, 2; 2 ติโมเธียว 1:5; 3:14, 15; ดูที่กิจการ 21:8, 9 ด้วย.
ทำไมจึงทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยกัน?
3, 4. (ก) คุณลักษณะเช่นไรควรปรากฏอยู่ในครอบครัวที่เป็นเอกภาพ? (ข) โดยวิธีใดบ้านอาจจะไม่เป็นเพียงแหล่งที่พักอาศัยเท่านั้น?
3 ทำไมจึงเป็นคุณประโยชน์สำหรับครอบครัวเมื่อทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยกัน? เพราะเป็นการสร้างความเข้าใจระหว่างกันและความนับถือต่อกัน. แทนที่ต่างคนต่างปลีกตัวจากกัน เราจะใกล้ชิดกันและสนับสนุนซึ่งกันและกัน. บทความเรื่องหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ในนิตยสารความสัมพันธ์ของครอบครัว พรรณนาดังนี้: “ภาพซึ่งค่อนข้างชัดเจนปรากฏขึ้นมาพรรณนาลักษณะเฉพาะของ ‘ครอบครัวที่เป็นปึกแผ่น.’ คุณลักษณะเหล่านั้นรวมเอาข้อผูกมัดระหว่างกันและความหยั่งรู้ค่าที่มีต่อกัน, การอยู่ร่วมกันด้วยความรู้สึกอันอบอุ่นสนิทสนมกัน, การสื่อความที่ดี, ความสามารถในการแก้ปัญหา, และสภาพฝ่ายวิญญาณเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิต.”
4 เมื่อคุณลักษณะต่าง ๆ ดังกล่าวมีอยู่ในครอบครัว บ้านก็ไม่เป็นเหมือนปั๊มน้ำมันอีกต่อไป คือสถานที่จะหยุดเติมเชื้อเพลิง. บ้านจะไม่เป็นเพียงร่มไม้ชายคาเท่านั้น แต่เป็นสถานที่ดึงดูดใจสมาชิกครอบครัว. เป็นสถานที่ให้ความอบอุ่นและความรักชอบ, ความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจ. (สุภาษิต 4:3, 4) เป็นที่ซึ่งครอบครัวมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่ใช่ที่หลบซ่อนของแมงป่องซึ่งมีแต่หมางใจกันและการแตกแยก. แต่จะบรรลุถึงสภาพนี้อย่างไร?
การอยู่ด้วยกันในการศึกษาประจำครอบครัว
5. พวกเราใช้อะไรเพื่อที่จะเรียนรู้การนมัสการแท้?
5 เราเรียนรู้การนมัสการพระยะโฮวาอย่างถูกต้องโดยการใช้ “ความสามารถในการหาเหตุผล.” (โรม 12:1, ล.ม.) การประพฤติของเราไม่ควรถูกครอบงำโดยอารมณ์ที่เกิดขึ้นชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเหมือนอารมณ์ที่ถูกชักจูงโดยคารมเชิงโวหารของนักเทศน์นักบวชที่เผยแพร่หลักข้อเชื่อของเขาทางโทรทัศน์. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเราได้รับแรงกระตุ้นโดยการศึกษาอย่างสม่ำเสมอพร้อมกับการไตร่ตรองหลักคำสอนของพระคัมภีร์และหนังสือคู่มือศึกษาคัมภีร์ไบเบิลซึ่ง “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” จัดเตรียมไว้ให้. (มัดธาย 24:45, ล.ม.) การกระทำของเราเยี่ยงคริสเตียนนั้นสืบเนื่องจากการรับเอาพระทัยของพระคริสต์ไม่ว่าเกี่ยวกับสภาพการณ์หรือการทดลองใด ๆ. ในเรื่องนี้ พระยะโฮวาทรงเป็นผู้ประสาทความรู้องค์ใหญ่ยิ่งของเรา.—บทเพลงสรรเสริญ 25:9; ยะซายา 54:13; 1 โกรินโธ 2:16.
6. เรามีตัวอย่างอะไรทั่วโลกเกี่ยวกับการศึกษาประจำครอบครัว?
6 การศึกษาพระคัมภีร์ประจำครอบครัวมีบทบาทสำคัญสำหรับสภาพฝ่ายวิญญาณของครอบครัวคริสเตียนทุกครอบครัว. คุณจัดการศึกษาพระคัมภีร์ประจำครอบครัวเวลาไหน? หากคุณไม่วางแผนหรือไม่ได้มีการเตรียมตัวก่อน ก็คงจะไม่ได้ศึกษากันบ่อยครั้ง. การทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยกันในการศึกษาพระคัมภีร์ประจำครอบครัวจำต้องมีตารางเวลาที่กำหนดไว้เป็นประจำ. ครั้นแล้วทุกคนย่อมรู้วันและเวลาที่คาดกันว่าตนจะอยู่ เพื่อครอบครัวจะชื่นชมกับการทำสิ่งต่าง ๆ ฝ่ายวิญญาณด้วยกัน. สมาชิกครอบครัวเบเธลทั่วโลกกว่า 12,000 คนทราบดีว่าการศึกษาประจำครอบครัวจัดขึ้นในตอนเย็นวันจันทร์. ผู้อาสาสมัครเหล่านี้ที่สำนักเบเธลจะรู้สึกประทับใจเพียงไรเมื่อระลึกว่าพวกเขาทุกคนกำลังมีส่วนร่วมศึกษาเรื่องเดียวกันขณะวันนั้นสิ้นสุดลง ที่หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกและนิวซีแลนด์, แล้วจากนั้นก็ที่ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, ฮ่องกง, ต่อจากนั้นก็ข้ามผ่านทวีปเอเชีย, แอฟริกาและยุโรป, ในที่สุดที่อเมริกาทั้งสองทวีป. แม้ถูกกั้นด้วยระยะทางนับพัน ๆ กิโลเมตรและหลายภาษา กระนั้น การศึกษาประจำครอบครัวแบบนี้เป็นแรงบันดาลใจสมาชิกครอบครัวเบเธลให้เกิดความรู้สึกว่าได้ร่วมกันใกล้ชิด. ในส่วนสัดที่ย่อมกว่า คุณสามารถเพาะความรู้สึกอย่างเดียวกันนี้ได้โดยการศึกษาประจำครอบครัวของคุณ.—1 เปโตร 2:17; 5:9.
7. ตามคำกล่าวของเปโตร พวกเราน่าจะมีทัศนะเช่นไรต่อคำแห่งความจริง?
7 อัครสาวกเปโตรแนะนำพวกเราดังนี้: “ดุจดังทารกที่พึ่งคลอด จงปลูกฝังความปรารถนาจะได้น้ำนมอันไม่มีอะไรเจือปนที่เป็นของพระคำ เพื่อโดยน้ำนมนั้น ท่านทั้งหลายจะเติบโตถึงความรอด. หากว่าท่านทั้งหลายได้ชิมดูรู้แล้วว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าประกอบด้วยพระกรุณา.” (1 เปโตร 2:2, 3, ล.ม.) ด้วยถ้อยคำดังกล่าว เปโตรปลุกใจให้เกิดภาพพจน์ที่งดงามอะไรเช่นนั้น! ท่านได้ใช้คำภาษากรีก เอพีโพเทʹซาเท ซึ่งตามหนังสือข้อไขทางภาษาสำหรับคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ว่ามาจากคำที่หมายถึง “ใคร่จะ, ปรารถนา, กระหาย.” คำนี้หมายถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้า. คุณเคยสังเกตดูลูกสัตว์เกิดใหม่ที่หิวและดุนหาหัวนมแม่ของมันไหม และทารกมีความพึงพอใจสักเพียงไรเมื่อดูดนมมารดา? เราก็น่าจะมีความปรารถนาอยากรู้คำแห่งความจริงเช่นเดียวกัน. วิลเลียม บาร์กเลย์ ผู้เชี่ยวชาญภาษากรีกกล่าวว่า “สำหรับคริสเตียนที่สุจริตใจ การศึกษาพระวจนะของพระเจ้าหาใช่งานหนักไม่ แต่เป็นงานที่น่าชื่นใจ เพราะเขารู้ว่าหัวใจของเขาจะได้รับอาหารบำรุงสมตามที่ใจปรารถนา.”
8. ประมุขครอบครัวเผชิญข้อท้าทายอะไรในการนำการศึกษาประจำครอบครัว?
8 การศึกษาประจำครอบครัวกำหนดความรับผิดชอบสำคัญไว้กับประมุขครอบครัว. เขาต้องทำให้แน่ใจว่าการศึกษาเป็นเรื่องน่าสนใจแก่ทุกคนและทุกคนสามารถเข้าส่วนได้. เด็กไม่ควรรู้สึกว่าการศึกษานั้นจริง ๆ แล้วจัดไว้เฉพาะสำหรับผู้ใหญ่เท่านั้น. คุณภาพของการศึกษาสำคัญยิ่งกว่าปริมาณเนื้อหาที่ครอบคลุม. จงทำให้เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลมีชีวิตชีวา. เมื่อเห็นสมควร จงช่วยบุตรของคุณนึกภาพพื้นที่และลักษณะเด่นในดินแดนปาเลสไตน์ซึ่งเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่กำลังพิจารณากันได้เกิดขึ้น. ควรสนับสนุนทุกคนให้ศึกษาค้นคว้าเป็นส่วนตัว แล้วชี้แจงสิ่งที่เขาได้พบแก่ครอบครัว. โดยวิธีนี้ เด็กจะ ‘เติบโตขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระยะโฮวา’ เช่นกัน.—1 ซามูเอล 2:20, 21.
การอยู่ด้วยกันในงานเผยแพร่กิตติคุณ
9. จะทำให้งานประกาศตามบ้านเป็นประสบการณ์ที่ยังความยินดีแก่ครอบครัวได้อย่างไร?
9 พระเยซูตรัสว่า “กิตติคุณจะต้องประกาศทั่วประเทศทั้งปวงก่อน.” (มาระโก 13:10) ถ้อยคำเหล่านี้ให้งานมอบหมายแก่คริสเตียนทุกคนที่สำนึกในหน้าที่—ให้เผยแพร่กิตติคุณ บอกข่าวดีเกี่ยวกับการปกครองแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าแก่คนอื่น. การทำงานนี้ร่วมกันในฐานะที่เป็นครอบครัวย่อมเป็นประสบการณ์ที่หนุนกำลังใจและน่าชื่นชม. บิดามารดาคงรู้สึกภูมิใจเมื่อบุตรของตนเสนอข่าวดี. สามีภรรยาคู่หนึ่งที่มีลูกชายสามคนอยู่ในวัยระหว่าง 15 ถึง 21 ปีเล่าว่า เขามักจะออกไปประกาศตามบ้านเรือนกับลูกทุกวันพุธหลังเลิกเรียน และทุกเช้าวันเสาร์. บิดากล่าวว่า “เราสอนบางอย่างให้ลูกทุกครั้ง. และเราทำให้แน่ใจว่างานนี้ยังความชื่นชมยินดีและเป็นประสบการณ์ที่หนุนกำลังใจ.”
10. บิดามารดาสามารถเอื้อประโยชน์แก่บุตรในงานประกาศโดยวิธีใด?
10 การออกไปประกาศด้วยกันในฐานะเป็นครอบครัวอาจบังเกิดผลมาก. บางครั้งผู้คนตอบรับในทางบวกมากกว่าจากวิธีการเสนอง่าย ๆ แต่จริงใจของเด็ก. และก็มีคุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วยพร้อมจะช่วยหากจำเป็น. บิดามารดาควรทำให้แน่ใจว่าบุตรของตนได้รับการฝึกสอนตามลำดับขั้น และด้วยเหตุนี้จึงมาเป็น “คนงานที่ไม่มีอะไรต้องอาย ใช้คำแห่งความจริงอย่างถูกต้อง.” การประกาศด้วยกันวิธีนี้ทำให้บิดามารดาสังเกตท่าทีของบุตรได้ ทั้งประสิทธิภาพ และกิริยามารยาทขณะออกประกาศ. โดยมีหมายกำหนดการประจำ พวกเขาจะเห็นความก้าวหน้าของเด็กและสามารถให้การฝึกอบรมและการหนุนใจอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมความเชื่อของบุตรชายหญิงให้มั่นคง. ในเวลาเดียวกัน บุตรก็สามารถมองเห็นบิดามารดาเป็นตัวอย่างที่ดีในการประกาศสั่งสอน. ในสมัยวิกฤติและเต็มไปด้วยความรุนแรงเช่นนี้ การทำงานด้วยกันในฐานะเป็นครอบครัวที่มีเอกภาพและเอาใจใส่ซึ่งกันและกันยิ่งเป็นส่วนช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้ในละแวกที่มีอาชญากรรมสูง.—2 ติโมเธียว 2:15; ฟิลิปปอย 3:16.
11. อะไรอาจเป็นเหตุทำให้บุตรย่อหย่อนความกระตือรือร้นในงานประกาศ?
11 เด็กสังเกตได้ง่ายเมื่อผู้ใหญ่ตีสองหน้า. ถ้าบิดามารดาไม่แสดงความรักแท้เพื่อความจริงและงานประกาศตามบ้านก็คงคาดหมายได้ยากที่บุตรจะเป็นคนกระตือรือร้น. ดังนั้น บิดาหรือมารดาที่มีสุขภาพดีซึ่งหากจะเพียงถือว่าการศึกษาพระคัมภีร์กับบุตรสัปดาห์ละครั้งเป็นงานรับใช้ทั้งหมดของเขาก็อาจประสบผลลัพธ์ที่ไม่น่ายินดีเมื่อบุตรของเขาโตขึ้น.—สุภาษิต 22:6; เอเฟโซ 6:4.
12. บางครอบครัวสามารถรับพระพรพิเศษจากพระยะโฮวาโดยวิธีใด?
12 ข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งของการที่ “มีใจคิดอย่างเดียวกัน” คือว่าบางทีครอบครัวสามารถร่วมมือกันเพื่อจะมีอย่างน้อยหนึ่งคนรับใช้ในฐานะไพโอเนียร์ผู้รับใช้ประเภทเต็มเวลาในประชาคม. หลายครอบครัวทั่วโลกทำอย่างนี้ และประสบการณ์ต่าง ๆ และประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของสมาชิกที่เป็นไพโอเนียร์ได้นำมาซึ่งพระพรสำหรับครอบครัวเหล่านั้นทุกครอบครัว.—2 โกรินโธ 13:11; ฟิลิปปอย 2:1-4.
การจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ด้วยกัน
13, 14. (ก) ภาวะการณ์อะไรบ้างอาจจะกระทบกระเทือนความปรองดองกันภายในครอบครัว? (ข) ปัญหาของครอบครัวหลายปัญหาอาจป้องกันได้อย่างไร?
13 ในสมัยวิกฤตกาลที่เต็มไปด้วย “ความตึงเครียด” และ “อันตราย” เช่นนี้ พวกเราทุกคนประสบความกดดัน. (2 ติโมเธียว 3:1, คัมภีร์ฉบับแปล รีไวส์สแตนดาร์ด; ฟิลลิปส์) มีปัญหาที่ทำงาน, ที่โรงเรียน, ตามถนนหนทาง, กระทั่งภายในบ้านด้วยซ้ำ. บางคนทนทุกข์เนื่องจากสุขภาพไม่ดีหรือปัญหาทางด้านอารมณ์ที่ยืดเยื้อแก้ไม่ตก ซึ่งบางครั้งทำให้เกิดความตึงเครียดและความเข้าใจผิดกันในครอบครัว. จะจัดการกับสภาพการณ์ดังกล่าวได้โดยวิธีใด? โดยที่ทุกคนหดหัวอยู่ในกระดองเช่นนั้นหรือ? โดยต่างคนต่างแยกตัวอยู่ต่างหากถึงแม้อาศัยในเรือนเดียวกันหรือ? เปล่า. แทนที่จะทำเช่นนั้น เราจำเป็นที่จะสื่อความให้รู้ความกังวลใจของกันและกันและขอความช่วยเหลือ. และสำหรับเรื่องนี้จะมีที่ไหนดีไปกว่าในวงครอบครัวซึ่งเปี่ยมด้วยความรัก?—1 โกรินโธ 16:14; 1 เปโตร 4:8.
14 แพทย์ทุกคนรู้ดีว่าการป้องกันดีกว่าการรักษา. ข้อนี้เป็นความจริงในเรื่องปัญหาครอบครัว. บ่อยครั้ง การพิจารณาปัญหาอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาจะป้องกันมิให้กลายเป็นเรื่องร้ายแรง. ถึงแม้จะเกิดปัญหาร้ายแรง ก็ยังอาจรับมือและถึงกับแก้ไขได้หากครอบครัวร่วมพิจารณาด้วยกันในหลักการต่าง ๆ ของพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง. บ่อยครั้งการขัดแย้งกันจะกลับกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ราบรื่นโดยการปฏิบัติตามคำแนะนำของเปาโลที่โกโลซาย 3:12-14, (ล.ม.) ที่ว่า “จงสวมตัวท่านด้วยความเอ็นดูอย่างลึกซึ้ง, ความกรุณา, ใจถ่อม, ความอ่อนโยน และความอดกลั้นไว้นาน. จงทนต่อกันและกันอยู่เรื่อยไปและจงอภัยให้กันและกันอย่างใจกว้างถ้าแม้นผู้ใดมีสาเหตุจะบ่นว่าคนอื่น . . . . จงสวมตัวท่านด้วยความรัก เพราะความรักเป็นเครื่องเชื่อมสามัคคีที่ดีพร้อม.”
การพักผ่อนหย่อนใจด้วยกัน
15, 16. (ก) คุณลักษณะประการใดน่าจะจำแนกครอบครัวคริสเตียนให้ดูต่างออกไป? (ข) บางศาสนาผลิตคนประเภทไหนขึ้นมา และเพราะเหตุใด?
15 พระยะโฮวาทรงเป็นพระเจ้าที่มีความสุข และความจริงเป็นข่าวที่ให้เกิดความสุข—เป็นข่าวเรื่องความหวังสำหรับมนุษยชาติ. ยิ่งกว่านั้น ผลอย่างหนึ่งของพระวิญญาณได้แก่ความยินดี. ความยินดีนี้ต่างกันลิบกับความปีติยินดีชั่วครู่ชั่วยามของนักกีฬาที่ชนะการแข่งขันบางประเภท. ความยินดีนี้เป็นความรู้สึกอิ่มใจพอใจอันล้ำลึกที่รินหลั่งอยู่ในหัวใจอันเป็นผลจากการปลูกฝังสัมพันธภาพเป็นส่วนตัวกับพระยะโฮวา. เป็นความยินดีที่ถือค่านิยมฝ่ายวิญญาณและสัมพันธภาพที่เสริมสร้างเป็นหลัก.—ฆะลาเตีย 5:22; 1 ติโมเธียว 1:11.
16 ด้วยเหตุนี้ ในฐานะที่เป็นคริสเตียนพยานพระยะโฮวา เราจึงไม่มีเหตุผลจะทำหน้าเศร้าหมองหรือขาดอารมณ์ขัน. บางศาสนาผลิตคนประเภทนี้ขึ้นมาเพราะความเชื่อศรัทธาของเขาเน้นปัจจัยต่าง ๆ ในทางลบ. หลักคำสอนของเขายังผลให้การนมัสการเป็นแบบเคร่งขรึมขาดความชื่นชม ซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักคัมภีร์และขาดความสมดุล. ศาสนาดังกล่าวไม่ได้ผลิตครอบครัวที่มีความสุขในงานรับใช้พระเจ้า. พระเยซูทรงเห็นถึงความจำเป็นของการพักผ่อนและการผ่อนคลาย. อย่างเช่น ณ โอกาสหนึ่งพระองค์ได้ชวนสาวกของพระองค์ไป “หาที่สงัดหยุดพักหายเหนื่อยสักหน่อยหนึ่ง.”—มาระโก 6:30-32; บทเพลงสรรเสริญ 126:1-3; ยิระมะยา 30:18, 19.
17, 18. ในแนวทางอันเหมาะสมอะไรบ้างซึ่งครอบครัวคริสเตียนอาจจะพักผ่อนหาความเพลิดเพลินได้?
17 ในทำนองเดียวกัน ครอบครัวก็ต้องการเวลาพักผ่อนเพื่อความเพลิดเพลิน. บิดาคนหนึ่งได้พูดเกี่ยวกับบุตรของเขาว่า “พวกเราทำอะไร ๆ สนุกสนานด้วยกันหลายอย่าง เช่น ไปเที่ยวชายหาด, เล่นบอลด้วยกันในสวนสาธารณะ, จัดกลุ่มไปปิกนิกที่ภูเขา. เราจัด ‘วันไพโอเนียร์’ เป็นครั้งคราว วันนั้นเราออกประกาศตามบ้านเต็มวันด้วยกันอย่างไพโอเนียร์ แล้วเราก็เลี้ยงฉลองกันเป็นมื้อพิเศษ และยังแจกของให้กันและกันด้วย.”
18 ข้อเสนอแนะอื่น ๆ ซึ่งบิดามารดาอาจนึกถึงได้คือการเที่ยวชมสวนสัตว์, สวนสนุก, เที่ยวชมพิพิธภัณฑ์, และสถานท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ. การเดินป่า, การเฝ้าดูพฤติกรรมของนก, การทำสวนล้วนแต่เป็นการงานที่ทำร่วมกันได้และรับความเพลิดเพลินด้วยกัน. บิดามารดาอาจสนับสนุนบุตรให้เรียนดนตรีหรือทำงานอดิเรก แน่นอน บิดามารดาที่สมดุลจะจัดเวลาเล่นกับบุตรของตน. ถ้าสมาชิกครอบครัวเล่นด้วยกัน เขาคงจะอยู่ด้วยกันโดยไม่แตกแยก!
19. แนวโน้มเช่นไรในปัจจุบันอาจก่อความเสียหายต่อครอบครัว?
19 แนวโน้มในปัจจุบันสำหรับเด็กหนุ่มสาวคือต้องการจะแยกจากครอบครัวและทำสิ่งต่าง ๆ ตามที่ตัวเองชอบ เมื่อพูดถึงการพักผ่อนหย่อนใจ. ขณะที่ไม่มีความเสียหายการที่เด็กหนุ่มสาวจะมีงานอดิเรกหรืออะไรบางอย่างที่ตนชอบ แต่คงไม่ฉลาดสุขุมที่จะปล่อยให้ความสนใจในสิ่งเช่นนั้นเป็นสาเหตุให้แยกตัวจากครอบครัวเป็นประจำ. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เราต้องการใช้หลักการที่เปาโลกล่าวไว้ว่า “ระวังเอาใจใส่ไม่เพียงแต่ประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น แต่เอาใจใส่ประโยชน์ของคนอื่น ๆ ด้วย.”—ฟิลิปปอย 2:4, ล.ม.
20. การประชุมภาคและการประชุมหมวดเป็นวาระแห่งความชื่นชมได้อย่างไร?
20 ช่างเป็นความปลาบปลื้มอย่างแท้จริงเมื่อพวกเราเห็นบรรดาครอบครัวนั่งด้วยกัน ณ การประชุมภาคและการประชุมหมวด! วิธีนี้ลูกที่โตแล้วบางครั้งสามารถช่วยดูแลน้องได้. การจัดเตรียมดังกล่าวยังช่วยป้องกันความโน้มเอียงของเด็กที่โตแล้วบางคนที่พากันออกไปเป็นกลุ่มอยู่ด้านหลังและไม่ค่อยใส่ใจกับระเบียบวาระการประชุม. แม้แต่การเดินทางไปและกลับจากที่ประชุมก็เป็นความชื่นชมยินดีได้เหมือนกัน เมื่อครอบครัวปรึกษากันว่าจะใช้เส้นทางสายไหน ระหว่างทางจะพบเห็นสถานที่อะไรบ้าง และจะพักที่ไหน. นึกภาพสมัยพระเยซูว่าครอบครัวเหล่านั้นจะตื่นเต้นกันขนาดไหนเมื่อเดินทางไปกรุงยะรูซาเลม!—ลูกา 2:41, 42.
พระพรมากมายจากการอยู่ด้วยกัน
21. (ก) เราจะบากบั่นเพื่อประสบความสำเร็จในชีวิตสมรสได้โดยวิธีใด? (ข) ข้อแนะดี ๆ สี่ประการสำหรับชีวิตสมรสที่ยั่งยืนนั้นมีอะไรบ้าง?
21 ไม่ง่ายเลยที่จะมีการสมรสที่ประสบความสำเร็จและครอบครัวที่เป็นเอกภาพ และก็ไม่ได้อุบัติขึ้นโดยบังเอิญ. ดูเหมือนบางคนคิดว่าง่ายกว่าที่จะเลิก จบชีวิตสมรสลงด้วยการหย่า และพยายามจะตั้งต้นอีกที. กระนั้น บ่อยครั้งปัญหาแบบเดิมก็มีขึ้นในชีวิตสมรสครั้งที่สองหรือครั้งที่สาม. คำตอบที่ดีกว่ามาก ๆ ก็คือคำตอบแบบคริสเตียน: จงบากบั่นเพื่อบรรลุความสำเร็จโดยการปฏิบัติตามหลักพระคัมภีร์ว่าด้วยความรักและความนับถือ. ครอบครัวที่เป็นเอกภาพอาศัยน้ำใจที่มีทั้งให้และรับ น้ำใจที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว. ผู้หนึ่งที่ให้คำปรึกษาแก่คู่สมรสแนะให้ใช้สูตรง่าย ๆ ที่จะทำให้การสมรสยั่งยืน. เขาเขียนดังนี้: “ปัจจัยสำคัญสี่ประการที่พบในชีวิตสมรสที่มั่นคงแทบทุกรายได้แก่ความเต็มใจจะฟัง, ความสามารถจะกล่าวคำขอโทษ สมรรถนะให้การเกื้อหนุนทางอารมณ์อย่างไม่ละลด และความปรารถนาจะสัมผัสด้วยความรักชอบ.” ปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าวจะช่วยยืดการสมรสให้ยืนนานได้จริง ๆ เนื่องจากได้ยึดอยู่กับหลักการในคัมภีร์ไบเบิลอีกด้วย.—1 โกรินโธ 13:1-8; เอเฟโซ 5:33; ยาโกโบ 1:19.
22. ผลประโยชน์บางประการจากการมีครอบครัวที่เป็นเอกภาพนั้นมีอะไรบ้าง?
22 หากเราปฏิบัติตามคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล เราจะมีพื้นฐานอันมั่นคงสำหรับครอบครัวที่มีเอกภาพ และครอบครัวที่มีเอกภาพเป็นรากฐานของประชาคมที่เป็นเอกภาพและเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณ. ดังนั้น เราจะได้รับพระพรอย่างล้นเหลือจากพระยะโฮวาขณะที่เราถวายคำสรรเสริญมากยิ่ง ๆ ขึ้นแด่พระองค์อย่างเป็นเอกภาพ.
[เชิงอรรถ]
a “คำ ครอบครัว หมายถึง “ผู้ร่วมครัวเรือนคือสามีภรรยาและบุตรเป็นต้น.”—พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน.
คุณจำได้ไหม?
▫ ทำไมจึงนับว่าเป็นคุณประโยชน์สำหรับครอบครัวที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยกัน?
▫ ทำไมการศึกษาประจำครอบครัวอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ?
▫ ทำไมเป็นสิ่งที่ดีสำหรับบิดามารดาจะออกประกาศตามบ้านด้วยกันกับบุตรของตน?
▫ ทำไมจึงเป็นประโยชน์ที่จะปรึกษาหารือกันภายในวงครอบครัวเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ?
▫ เหตุใดครอบครัวคริสเตียนไม่ควรมีบรรยากาศเคร่งขรึมและขาดความยินดี?
[รูปภาพหน้า 17]
ครอบครัวของคุณรับประทานอาหารด้วยกันอย่างน้อยวันละหนึ่งมื้อไหม?
[รูปภาพหน้า 18]
การท่องเที่ยวของครอบครัวควรผ่อนคลายและน่าเพลิดเพลิน