การรับใช้ด้วยสำนึกถึงความเร่งด่วน
เล่าโดย ฮันส์ ฟาน เฟือเรอ
เช้าวันหนึ่งในปี 1962 พอล คุชเนียร์ ผู้ดูแลสาขาของสมาคมว็อชเทาเวอร์ในเนเธอร์แลนด์ มาพบผมในบริเวณท่าเรือของเมืองร็อตเตอร์ดัม. เมื่อมองมาที่ผมซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะในร้านอาหารที่สลัว ๆ เขาบอกว่า “ฮันส์ คุณเข้าใจดีใช่ไหมว่า หากคุณรับงานมอบหมายนี้ คุณและภรรยาจะได้รับตั๋วขาไปเพียงเที่ยวเดียว?”
“ครับ และผมแน่ใจทีเดียวว่า ซูซีจะตอบตกลงด้วยเช่นกัน.”
“เอาละ ลองปรึกษากับซูซีดู. บอกให้ผมรู้การตัดสินใจของคุณได้เร็วเท่าไรยิ่งดี.”
เช้าวันรุ่งขึ้น เขาได้รับคำตอบจากเราว่า “เราจะไป.” ดังนั้น ในวันที่ 26 ธันวาคม 1962 เราสวมกอดญาติพี่น้องและเพื่อน ๆ ที่สนามบินสกีพอลซึ่งปกคลุมด้วยหิมะของเมืองอัมสเตอร์ดัม และเราก็บินไปยังเขตที่ยังไม่เคยมีมิชชันนารีไปเลย นั่นคือเนเธอร์แลนด์นิวกินี (ปัจจุบันคืออิเรียนตะวันตก ประเทศอินโดนีเซีย)—ดินแดนของชาวปาปัว.
เรามีความแคลงใจเกี่ยวกับการยอมรับงานมอบหมายที่ท้าทายนี้ไหม? ไม่เลย. เราได้อุทิศชีวิตของเราอย่างสิ้นสุดหัวใจเพื่อทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า และเราวางใจว่าพระองค์จะหนุนหลังเรา. เมื่อมองย้อนกลับไปดูชีวิตของเรา เห็นได้ว่าการที่เราวางใจในพระยะโฮวาไม่เคยเป็นการวางใจที่ผิด. ทว่าก่อนที่จะเล่าว่าได้เกิดอะไรขึ้นในอินโดนีเซีย ขอให้เราบอกคุณเกี่ยวกับช่วงต้น ๆ ในชีวิตของเรา.
รับการฝึกอบรมช่วงสงคราม
ตอนที่อาร์ทัวร์ วิงเคลอร์พยานผู้กล้าหาญมาเยี่ยมครอบครัวของผมเป็นครั้งแรก ในปี 1940 นั้น ผมอายุได้เพียงสิบขวบ. คุณพ่อคุณแม่ของผมตกตะลึงเมื่อท่านพบสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอกไว้เกี่ยวกับคำสอนเท็จของคริสต์ศาสนจักร. เนื่องจากเนเธอร์แลนด์ในเวลานั้นถูกนาซีเยอรมนียึดครองอยู่และพยานพระยะโฮวากำลังถูกตามล่า คุณพ่อคุณแม่จึงต้องตัดสินใจว่าจะสมทบกับองค์การที่ถูกสั่งห้ามหรือไม่. ท่านตกลงใจที่จะทำเช่นนั้น.
หลังจากนั้น ความกล้าหาญของคุณแม่และความเต็มใจที่จะเสี่ยงกับการสูญเสียเสรีภาพและแม้กระทั่งชีวิตนั้นประทับใจผม. ครั้งหนึ่งท่านขี่จักรยานไป 11 กิโลเมตรและคอยอยู่ในความมืดพร้อมด้วยกระเป๋าใบหนึ่งซึ่งอัดแน่นไปด้วยแผ่นพับเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล. เมื่อเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการรณรงค์พิเศษเริ่มขึ้น ท่านปั่นจักรยานให้เร็วเท่าที่จะทำได้ ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเป็นระยะ ๆ แล้วโปรยแผ่นพับไปตามถนน. มีคนหนึ่งซึ่งขี่จักรยานตามหลังมาแซงขึ้นไปในที่สุด และตะโกนอย่างกระหืดกระหอบว่า “คุณผู้หญิง คุณผู้หญิง คุณทำของหล่นครับ!” เราหยุดหัวเราะไม่ได้ตอนที่คุณแม่เล่าเรื่องนี้.
ผมยังเด็กมาก แต่ผมรู้ว่าผมต้องการจะทำอะไรกับชีวิตของผม. ในระหว่างการประชุมคราวหนึ่งกลางปี 1942 เมื่อผู้นำถามว่า “ใครต้องการรับบัพติสมาในคราวหน้า?” ผมรีบยกมือ. คุณพ่อคุณแม่ชำเลืองมองกันด้วยความกังวล สงสัยว่าผมเข้าใจหรือไม่ถึงความสำคัญของการตัดสินใจเช่นนั้น. แม้ว่าผมอายุเพียง 12 ปี ผมก็เข้าใจว่าการอุทิศตัวแด่พระเจ้านั้นหมายความอย่างไร.
การประกาศตามบ้านโดยมีพวกนาซีคอยติดตามอยู่เรียกร้องความระมัดระวัง. เพื่อหลีกเลี่ยงการเยี่ยมบ้านที่อาจรายงานเราให้พวกนาซีรู้ ในวันที่ผู้สนับสนุนนาซีติดโปสเตอร์ที่หน้าต่างบ้านของตน ผมขี่จักรยานไปรอบ ๆ แล้วจดที่อยู่ของพวกนั้นไว้. คราวหนึ่ง ชายคนหนึ่งสังเกตเห็นผมและตะโกนว่า “ดีมาก เจ้าหนู. จดเอาไว้—ทั้งหมดเลย!” ผมก็อยากจะทำเช่นนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ระมัดระวังพอ! ในตอนสิ้นสุดของสงครามในปี 1945 เราปีติยินดีที่จะมีโอกาสได้เสรีภาพมากขึ้นในการประกาศ.
การเริ่มงานประจำชีพ
วันที่ 1 พฤศจิกายน 1948 หลังจากที่เรียนจบ ผมได้รับงานมอบหมายในการประกาศเต็มเวลาเป็นครั้งแรกในฐานะไพโอเนียร์. หนึ่งเดือนต่อมา บราเดอร์วิงเคลอร์มาเยี่ยมครอบครัวที่ผมอาศัยอยู่ด้วย. เขาคงต้องมาดูว่าผมเป็นอย่างไร เพราะไม่นานหลังจากนั้นผมได้รับเชิญให้ไปทำงานที่สำนักงานสาขาของสมาคมในอัมสเตอร์ดัม.
ต่อมา ผมได้รับเชิญให้เยี่ยมประชาคมต่าง ๆ ของพยานพระยะโฮวาในฐานะผู้ดูแลหมวด. ต่อมาในฤดูใบไม้ร่วงของปี 1952 ผมได้รับเชิญให้เข้าร่วมชั้นเรียนที่ 21 ของโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียดในนิวยอร์กเพื่อรับการอบรมเป็นมิชชันนารี. ดังนั้น ในตอนปลายปี 1952 พวกเราแปดคนจากเนเธอร์แลนด์จึงลงเรือเดินสมุทร นิว อัมสเตอร์ดัม และแล่นสู่อเมริกา.
ในตอนใกล้จะจบหลักสูตรของโรงเรียน แม็กซ์เวลล์ เฟร็นด์ผู้สอนคนหนึ่งบอกว่า “พวกคุณจะลืมสิ่งที่ได้เรียนจากที่นี่เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เราหวังว่าสามสิ่งจะยังคงอยู่กับพวกคุณ นั่นคือ ความเชื่อ, ความหวัง, และความรัก.” อีกสิ่งที่อยู่ในจิตใจและหัวใจของผมคือความทรงจำอันล้ำค่าขององค์การของพระยะโฮวา ซึ่งทำงานด้วยสำนึกถึงความเร่งด่วน.
หลังจากนั้นผมได้รับความผิดหวังครั้งใหญ่. ครึ่งหนึ่งของกลุ่มชาวดัตช์—รวมทั้งผมด้วย—ได้รับมอบหมายให้กลับไปยังเนเธอร์แลนด์. แม้ว่าจะผิดหวัง แต่ผมไม่ได้เป็นทุกข์. ผมเพียงแต่หวังว่าผมจะไม่ต้องเป็นเหมือนอย่างโมเซสมัยโบราณที่ต้องคอย 40 ปีก่อนได้รับงานมอบหมายในต่างแดน.—กิจการ 7:23-30.
คู่ชีวิตที่ล้ำค่า
เมื่อฟริตซ์ ฮาร์ตสตาง เพื่อนที่เป็นเสมือนพ่อ ทราบถึงแผนการที่ผมจะแต่งงาน เขาบอกว่า “ผมแทบจะคิดไม่ออกว่าจะมีใครที่ดีไปกว่านี้.” คุณพ่อของซูซี เคซี สตูเฟ เป็นนักต่อสู้ที่นำหน้าในองค์การลับต่อต้านนาซีในช่วงสงครามโลกที่สอง. แต่เมื่อรู้ความจริงจากพวกพยานฯในปี 1946 เขายอมรับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลทันที. ไม่ช้าเขาและลูกสามคนจากทั้งหมดหกคน—ซูซี, แมรีแอน, และเค็นเนธ—รับบัพติสมา. วันที่ 1 พฤษภาคม 1947 ลูก ๆ ทุกคนเริ่มงานรับใช้เต็มเวลาในฐานะไพโอเนียร์. ในปี 1948 เคซีขายธุรกิจของเขาและเขาเช่นกันเริ่มเป็นไพโอเนียร์. ต่อมาเขากล่าวว่า “ช่วงปีเหล่านั้นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิต!”
ผมได้มารู้จักมักคุ้นกับซูซีในปี 1949 เมื่อเธอได้รับเชิญให้ทำงานที่สำนักงานสาขาอัมสเตอร์ดัม. แต่ในปีถัดมาเธอกับแมรีแอนน้องสาวก็จากไปเพื่อเข้าชั้นเรียนที่ 16 ของโรงเรียนกิเลียดและลงเรือไปยังเขตมอบหมายสำหรับมิชชันนารีของตน นั่นคืออินโดนีเซีย. ในเดือนกุมภาพันธ์ 1957 หลังจากห้าปีในงานรับใช้เป็นมิชชันนารีที่นั่น ซูซีกลับมาที่เนเธอร์แลนด์เพื่อแต่งงานกับผม. ในเวลานั้น ผมกำลังรับใช้เป็นผู้ดูแลหมวด และตลอดเวลาในชีวิตสมรสของเรา บ่อยครั้งเธอได้แสดงความเต็มใจที่จะเสียสละเป็นส่วนตัวเพื่อผลประโยชน์แห่งงานรับใช้ราชอาณาจักร.
หลังจากงานสมรสของเรา เราเยี่ยมประชาคมในส่วนต่าง ๆ ของเนเธอร์แลนด์ต่อ. หลายปีที่ซูซีทำงานเป็นมิชชันนารีในงานมอบหมายที่ยากลำบากได้เตรียมเธอไว้เป็นอย่างดีสำหรับการเดินทางโดยจักรยานจากประชาคมหนึ่งไปยังอีกประชาคมหนึ่ง. ขณะที่เราอยู่ในงานเดินหมวดในปี 1962 นี่เองที่บราเดอร์คุชเนียร์มาเยี่ยมผมในร็อตเตอร์ดัม และเชิญเราให้ย้ายไปที่อิเรียนตะวันตก, อินโดนีเซีย.
งานรับใช้เป็นมิชชันนารีในอินโดนีเซีย
เรามาถึงเมืองมาโนกวารี—โลกที่ต่างไปโดยสิ้นเชิง! มีเสียงประหลาดในตอนกลางคืนของเขตร้อน และทั้งร้อนและมีฝุ่น. และยังมีชาวปาปัวจากใจกลางเกาะซึ่งนุ่งแต่ผ้าขาวม้า, ถือมีดเล่มโต, และชอบเดินตามหลังเราแล้วพยายามเอามือแตะผิวสีขาวของเรา—ซึ่งไม่ง่ายที่จะปรับตัวให้ชินกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด.
ภายในไม่กี่สัปดาห์ที่เราไปถึง นักเทศน์นักบวชอ่านจดหมายฉบับหนึ่งจากธรรมาสน์ในโบสถ์ เตือนให้ระวังพวกพยานพระยะโฮวา และพวกเขาแจกสำเนาจดหมายให้ทุกคนที่มาโบสถ์. สถานีวิทยุท้องถิ่นถึงกับนำจดหมายฉบับนั้นออกอากาศ. จากนั้น นักเทศน์นักบวชสามคนมาหาเราและต้องการให้เราย้ายเข้าไปในใจกลางเกาะ เพื่อทำงานท่ามกลางพวกที่พวกเขาเรียกว่า “คนนอกรีต.” เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงชาวปาปัวคนหนึ่งก็เร่งเร้าให้เราไปเช่นกัน และสมาชิกคนหนึ่งของตำรวจลับบอกเราว่ากำลังมีการวางแผนฆ่าเรา.
ถึงกระนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่ต่อต้านเรา. ที่ปรึกษาทางการเมืองคนหนึ่งของชาวปาปัว ซึ่งเป็นชาวดัตช์ที่กำลังจะไปเนเธอร์แลนด์ แนะนำให้เรารู้จักหัวหน้าเผ่าชาวปาปัวหลายคน. “พยานพระยะโฮวาจะนำศาสนาคริสต์ชนิดที่ดีกว่าที่พวกคุณรู้จักมาให้” เขาบอกชาวปาปัว. “ฉะนั้น พวกคุณควรต้อนรับพวกเขา.”
ต่อมา เจ้าหน้าที่รัฐบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ซูซีขณะอยู่บนถนนและกระซิบว่า “มีรายงานมาถึงเราว่าคุณได้เริ่มงานใหม่ที่นี่ และด้วยเหตุนี้ เราไม่อาจให้คุณอยู่ได้. แต่เออ . . . ถ้าคุณมีโบสถ์ก็จะดี.” เป็นการบอกใบ้นี่! ด้วยความรวดเร็วเรารื้อผนังในบ้านของเรา, เอาม้านั่งมาเรียงเป็นแถว, ตั้งแท่นสำหรับผู้บรรยาย, และติดป้ายทางด้านหน้าว่า “หอประชุมราชอาณาจักร.” จากนั้นเราก็เชิญเจ้าหน้าที่คนนั้นให้มาเยี่ยมเรา. เขาพยักหน้า, ยิ้ม, และเอานิ้วชี้เคาะที่ขมับ ราวกับจะพูดว่า ‘ฉลาด, ฉลาด.’
วันที่ 26 มิถุนายน 1964 หนึ่งปีครึ่งหลังจากที่เรามาถึง นักศึกษาพระคัมภีร์ชาวปาปัว 12 คนแรกของเรารับบัพติสมา. ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีอีก 10 คนตามมา, และมีผู้เข้าร่วมประชุมเฉลี่ย 40 คน. ไพโอเนียร์ชาวอินโดนีเซียสองคนถูกส่งมาช่วยเรา. เมื่อประชาคมได้รับการก่อตั้งเป็นอย่างดีในมาโนกวารี สาขาอินโดนีเซียของสมาคมให้งานมอบหมายอีกแห่งหนึ่งในการประกาศแก่เราในเดือนธันวาคม 1964.
ก่อนเราจากไป อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลเรียกเราไปพูดเป็นการส่วนตัวและบอกว่า “ผมเสียดายที่คุณต้องไป. ทุกสัปดาห์ พวกนักเทศน์มาขอร้องให้ผมส่งคุณไปเสียเพราะพวกเขาบอกว่าคุณกำลังเก็บเอาผลของพวกเขาไป. แต่ผมบอกพวกเขาว่า ‘ไม่ใช่ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากำลังใส่ปุ๋ยให้ต้นไม้ของพวกคุณต่างหาก.’” เขาเสริมว่า “ไม่ว่าคุณไปที่ไหน ขอให้สู้ต่อไป. คุณจะชนะ!”
ท่ามกลางรัฐประหาร
คืนหนึ่งในเดือนกันยายน 1965 ขณะที่เรากำลังรับใช้ในเมืองหลวงจาการ์ตา พวกกบฏคอมมิวนิสต์สังหารผู้นำทางทหารหลายนาย, วางเพลิงเมืองจาการ์ตา, และเริ่มมีการต่อสู้ไปทั่วประเทศซึ่งในที่สุดโค่นล้มประธานาธิบดีซูการ์โนของประเทศ. ประมาณ 400,000 คนเสียชีวิต!
คราวหนึ่งเรากำลังประกาศขณะที่ในถนนสายถัดไปกำลังยิงกันและวางเพลิงกันอยู่. วันถัดมา เมื่อเราได้ยินว่าพวกทหารจะทำลายอาคารของคอมมิวนิสต์ที่อยู่ใกล้เคียง เจ้าของบ้านดูตื่นตระหนกเมื่อเราเข้าไปใกล้พวกเขา แต่เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวสารจากคัมภีร์ไบเบิล พวกเขาโล่งอกและเชิญเราเข้าบ้าน. พวกเขารู้สึกปลอดภัยเมื่อมีเราอยู่กับพวกเขา. ช่วงเวลานั้นสอนเราทุกคนให้วางใจในพระยะโฮวาและรักษาสติไว้ภายใต้สภาพการณ์ที่ไม่อำนวย.
เอาชนะการต่อต้านซึ่งมีมาอีก
ปลายปี 1966 เราย้ายไปยังเมืองแอมบอนบนหมู่เกาะโมลุกกะทางตอนใต้ที่สวยงาม. ที่นั่นท่ามกลางประชากรที่เป็นมิตร มีอุปนิสัยที่เปิดเผย เราพบผู้คนสนใจในสิ่งฝ่ายวิญญาณมาก. ประชาคมเล็ก ๆ ของเราเติบโตอย่างรวดเร็วและผู้เข้าร่วมประชุมมีเกือบร้อยคน. ดังนั้น เจ้าหน้าที่โบสถ์ของคริสต์ศาสนจักรจึงไปที่กรมการศาสนาเพื่อใช้อิทธิพลกับอธิบดีให้บีบเราออกจากแอมบอน. แต่บนโต๊ะของอธิบดี พวกเขาเห็นหนังสือต่าง ๆ ของสมาคมว็อชเทาเวอร์วางเด่นอยู่! เมื่อเห็นว่าป่วยการที่จะโน้มน้าวความคิดของอธิบดี พวกเขาจึงติดต่อเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ในกระทรวงการศาสนาในจาการ์ตา พยายามหาทางให้เราถูกขับไล่ไม่เพียงแต่จากแอมบอนแต่ออกจากอินโดนีเซียเลยทีเดียว.
คราวนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จ เนื่องจากวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1968 ถูกกำหนดไว้เป็นวันที่เราต้องออกจากประเทศ. อย่างไรก็ตาม พี่น้องคริสเตียนของเราในจาการ์ตาติดต่อเจ้าหน้าที่ชั้นสูงชาวมุสลิมคนหนึ่งในกระทรวงการศาสนา และเขาช่วยกลับคำตัดสิน. นอกเหนือจากนี้ มีการเปลี่ยนนโยบายเดิม และอนุญาตให้มิชชันนารีใหม่เข้าประเทศได้.
ดังนั้น ในช่วงสิบปีต่อมา ในสภาพแวดล้อมที่เป็นภูเขา, ป่าไม้, และทะเลสาบอันงดงามในเกาะสุมาตราทางตอนเหนือ เราทำงานร่วมกับมิชชันนารีจากออสเตรเลีย, ออสเตรีย, เยอรมนี, ฟิลิปปินส์, สวีเดน, และสหรัฐ. งานประกาศก้าวหน้าดีโดยเฉพาะท่ามกลางกลุ่มชาติพรรณหลักของแถบนั้น คือพวกบาตาก.
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดพวกนักศาสนาที่วางแผนร้ายก็ทำให้งานประกาศของเราถูกห้ามจนได้ในเดือนธันวาคม 1976 และในปีถัดไปมิชชันนารีส่วนใหญ่ออกจากประเทศเพื่อรับงานมอบหมายในประเทศอื่น. ในที่สุดในปี 1979 เราก็ต้องไปเช่นกัน.
ไปอเมริกาใต้
มาถึงตอนนี้เราอายุประมาณ 50 ปีและสงสัยว่าเรายังจะสามารถปรับตัวเข้ากับอีกประเทศหนึ่งหรือไม่. “เราควรรับงานมอบหมายใหม่ หรือตั้งหลักแหล่งที่ไหนสักแห่งเสียที?” ซูซีถาม.
“เอาละ ซูซี” ผมตอบ “ที่ใดก็ตามที่พระยะโฮวาเคยทรงเชิญให้เราไป พระองค์ทรงดูแลเราเสมอมา. ใครจะรู้ว่าพระพรที่อนาคตมีให้อีกจะเป็นอะไร?” ดังนั้น เรามาถึงงานมอบหมายใหม่ของเรา ประเทศซูรินาเมในอเมริกาใต้. ภายในสองเดือน เราอยู่ในงานเดินทางอีกครั้งหนึ่งและไม่ช้าก็รู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้าน.
เมื่อมองย้อนไปกว่า 45 ปีในงานรับใช้เต็มเวลา ซูซีและผมตระหนักว่าการสนับสนุนจากคุณพ่อคุณแม่ของเรานั้นสำคัญเพียงไรที่ช่วยให้เรารุดหน้าในงานมิชชันนารี. ในปี 1969 เมื่อผมเห็นคุณพ่อคุณแม่อีกครั้งหนึ่งหลังจากหกปี คุณพ่อดึงผมไปพูดเป็นการส่วนตัวและบอกว่า “ในกรณีที่แม่เกิดเสียชีวิตก่อน ลูกไม่ต้องกลับมาบ้านหรอก. อยู่ในงานมอบหมายของลูกเถิด. พ่อจะจัดการเอง. แต่ในกรณีกลับกัน ลูกจะต้องถามแม่เอง.” คุณแม่ก็บอกในสิ่งเดียวกัน.
คุณพ่อคุณแม่ของซูซีก็มีเจตคติที่ไม่เห็นแก่ตัวอย่างเดียวกัน. ในช่วงหนึ่งซูซีอยู่ไกลจากท่านเป็นเวลา 17 ปี กระนั้น ท่านไม่เคยเขียนแม้แต่คำเดียวที่ทำให้เธอท้อใจ. แน่นอน หากไม่มีใครช่วยคุณพ่อคุณแม่ เราก็คงต้องกลับบ้าน. จุดสำคัญคือ คุณพ่อคุณแม่ของเราประเมินค่างานมิชชันนารีเช่นเดียวกับเรา และจวบจนกระทั่งเสียชีวิต ท่านได้รับใช้พระยะโฮวาพร้อมด้วยการสำนึกถึงความเร่งด่วนซึ่งท่านได้ปลูกฝังไว้ในหัวใจของเรา.—เทียบกับ 1 ซามูเอล 1:26-28.
เรายังได้รับการหนุนใจจากผู้ที่เขียนจดหมายอย่างสม่ำเสมอ. มีอยู่สองสามคนที่ไม่เคยพลาดเลยสักเดือนเดียวที่จะเขียนจดหมายถึงเราเป็นเวลากว่า 30 ปีที่เราอยู่ในงานรับใช้เป็นมิชชันนารี! แต่ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เราระลึกถึงพระยะโฮวาพระบิดาที่รักในสวรรค์ ซึ่งทรงทราบวิธีที่จะค้ำจุนผู้รับใช้ของพระองค์บนแผ่นดินโลก. ฉะนั้น ขณะที่เราเข้าใกล้จุดสุดยอดของเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเราคอยท่าอยู่ ซูซีและผมปรารถนาที่จะ “คำนึงถึงวันของพระยะโฮวาเสมอ” โดยรับใช้พระยะโฮวาด้วยสำนึกถึงความเร่งด่วน.—2 เปโตร 3:12, ล.ม.
[รูปภาพหน้า 26]
แต่งงานในปี 1957
[รูปภาพหน้า 29]
ช่างน่าตื่นเต้น—หนุ่มสาวหกคนเป็นไพโอเนียร์!