“พระหัตถ์ของยะโฮวา” ในชีวิตของผม
เล่าโดย ลอเรนซ์ ทอมป์สัน
คืนวันหนึ่งในปี 1946 คุณพ่อกับผมนั่งอยู่ในรถยนต์เฝ้าดูแสงเหนือแพรวระยับทอดข้ามท้องฟ้า. เราพูดถึงความยิ่งใหญ่โอฬาริกของพระยะโฮวาและความกระจ้อยร่อยของเรา. เราหวนคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ในช่วงหลายปีที่มีการสั่งห้ามกิจการของพยานพระยะโฮวาในประเทศแคนาดา. คุณพ่อพูดให้ผมประทับใจมากถึงแนวทางที่พระยะโฮวาได้ค้ำจุนและทรงนำไพร่พลของพระองค์ตลอดหลายปีเหล่านั้น.
ถึงแม้ว่าขณะนั้นผมเพิ่งมีอายุเพียง 13 ปี ผมสามารถหยั่งรู้ค่าความจริงที่คุณพ่อได้บอกผม. นอกจากนั้น ท่านยังได้ฝากความประทับใจไว้กับผมเกี่ยวกับความเร่งด่วนและความกว้างไกลแห่งงานประกาศที่ต้องทำให้แล้วเสร็จ. คุณพ่ออ้างถึงพระธรรมอาฤธโม 11:23 และกล่าวย้ำกับผมว่า จริง ๆ แล้วพระหัตถ์พระยะโฮวาไม่สั้น. เพียงเพราะเราขาดความเชื่อและขาดการวางใจในพระองค์ต่างหากที่ได้จำกัดสิ่งต่าง ๆ ซึ่งพระองค์จะทรงกระทำเพื่อเรา. การสนทนาระหว่างพ่อลูกครั้งนั้นมีค่ายิ่งซึ่งผมไม่เคยลืม.
การศึกษาสรรพหนังสือของว็อชเทาเวอร์ โดยเฉพาะหนังสือ ความรอด (ภาษาอังกฤษ) ซึ่งพิมพ์ออกในปี 1939 เป็นแรงจูงใจผมในวัยเด็กอีกด้วย. ผมไม่เคยลืมภาพประกอบอันน่าทึ่งที่หน้าแรกของหนังสือนั้น: “ขบวนรถด่วนเนืองแน่นไปด้วยผู้โดยสารแล่นด้วยความเร็วร้อยหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง. รถต้องแล่นข้ามแม่น้ำบนสะพานที่เป็นทางโค้งเกือบครึ่งวงกลมทีเดียว จนคนที่อยู่ตู้โดยสารคันหลังสุดสามารถมองเห็นหัวรถจักรได้ . . . ชายสองคนยืนอยู่ตรงชานด้านหลังของตู้สุดท้าย . . . แลเห็นช่วงสะพานสุดทางโค้งกำลังไหม้และพังลงในแม่น้ำ. คนทั้งสองตระหนักว่าตนกำลังเผชิญอันตรายร้ายแรง. มันเป็นเหตุฉุกเฉินจริง ๆ. จะยั้งรถไฟให้หยุดทันได้ไหมเพื่อช่วยชีวิตผู้โดยสารหลายคนที่อยู่ในขบวนนั้น?”
โดยการใช้ภาพประกอบ หนังสือนั้นสรุปว่า “ทำนองเดียวกันในเวลานี้ ประเทศและประชาชาติทั้งสิ้นบนแผ่นดินโลกกำลังเผชิญกับภาวะฉุกเฉินครั้งใหญ่สุด. ชาวประเทศทั้งปวงได้รับการเตือนอยู่แล้วตามที่พระเจ้าทรงบัญชาว่า ความหายนะจากอาร์มาเก็ดดอนใกล้เข้ามามาก. . . . .เมื่อเขาได้รับการเตือน แต่ละคนต้องเลือกเสียเดี๋ยวนี้ว่าตนจะยึดแนวทางใด.”
รถไฟที่แล่นด้วยความเร็วสูง, สะพานที่กำลังโหมไหม้, และความเร่งด่วนแห่งงานประกาศเผยแพร่ยังคงตราตรึงอยู่ในจิตใจของผมอย่างไม่อาจจะลืมเลือนได้.
กิจกรรมงานเผยแพร่ในตอนแรก
ผมได้เริ่มเข้าส่วนร่วมงานเผยแพร่ในปี 1938 ขณะมีอายุห้าขวบ. เฮนรีกับอลิส ทวีด ทั้งสองเป็นไพโอเนียร์ (ผู้เผยแพร่เต็มเวลา) ได้พาผมไปด้วย และเราจะออกไปพบปะสนทนากับประชาชนในวันหนึ่ง ๆ ประมาณ 10 ถึง 12 ชั่วโมง. ผมชื่นชมกับงานที่ได้รับใช้พระยะโฮวาตลอดทั้งวันในช่วงนั้น. ดังนั้น ปีถัดไปผมจึงรู้สึกซาบซึ้งเหลือเกินเมื่อคุณพ่อคุณแม่อนุญาตให้ผมเป็นผู้ประกาศ และถึงกับส่งรายงานได้.
สมัยนั้น พวกเราจะเดินเรียงแถวกันไปตามถนนสายสำคัญของเมืองต่าง ๆ และมีป้ายกระดาษแข็งแขวนทั้งด้านหน้าด้านหลังคนสวมขณะเดินไปตามถนน พร้อมคำเขียนที่เปิดโปงศาสนาเท็จและโฆษณาราชอาณาจักรของพระเจ้า. นอกจากนั้น เรายังใช้หีบเสียงแบบกระเป๋าหิ้ว และจะเปิดให้เจ้าของบ้านได้ฟังข่าวสารที่ยึดพระคัมภีร์เป็นหลัก ณ ประตูบ้านนั้นเลย. เราจะเปิดคำบรรยายของบราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ด นายกสมาคมว็อชเทาเวอร์ ซึ่งบางเรื่องผมจำขึ้นใจทีเดียว. ผมยังคงจำได้อย่างแม่นยำที่ท่านกล่าวว่า “มีการพูดกันบ่อยว่า ศาสนาเป็นบ่วงและเป็นกลลวง!”
กิจการของเราถูกสั่งห้ามในแคนาดา
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง งานของพยานพระยะโฮวาถูกสั่งห้ามในแคนาดา เหมือนที่เกิดขึ้นในประเทศเยอรมนียุคนาซีและในประเทศอื่น ๆ. ดังนั้น เราจึงใช้คัมภีร์ไบเบิลอย่างเดียว แต่ก็คงปฏิบัติหน้าที่ของเราไม่ละลดตามที่พระเจ้าทรงมอบหมายด้วยการเชื่อฟังคำแนะนำต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิล. (มัดธาย 28:19, 20; กิจการ 5:29) พวกเราได้เรียนรู้วิธีรับมือกับการจู่โจมของตำรวจ ไม่ว่าที่การประชุมหรือที่บ้านของเรา. อนึ่ง เรากลายเป็นคนจัดเจนเมื่อให้การต่อหน้าผู้พิพากษา หรือเมื่อตอบการถามค้าน.
จิมซึ่งเป็นพี่ชายและผมกลายมาเป็นผู้ชำนาญในการเหวี่ยงหนังสือเล่มเล็กขณะรถกำลังวิ่งให้ไปตกที่บันไดหน้าบ้านและที่ระเบียงบ้าน. นอกจากนี้ เราทำหน้าที่เป็นคนส่งหนังสือ และหลายครั้ง เป็นยามคอยช่วยเหลือพวกที่ข้ามพรมแดนไปร่วมประชุมใหญ่ที่ประเทศสหรัฐ.
เรามีบ้านอยู่ชานเมืองพอร์ท อาเธอร์ (เดี๋ยวนี้เรียกว่า ธันเดอร์ เบย์) ออนตาริโอ บนเนื้อที่ 5 ไร่ มีไม้ต้นและไม้พุ่มอยู่รายรอบ. เรามีแม่วัว, ลูกวัว, หมู, และไก่—ซึ่งทุกอย่างถูกใช้เป็นเครื่องพรางตาที่เหมาะสมสำหรับงานของเราในด้านการช่วยเหลือเพื่อนคริสเตียนหนุ่ม ๆ ในยามถูกล่าตัวจับเข้าคุกเพราะการประกาศราชอาณาจักรของพระเจ้า.
ยามค่ำ รถยนต์, รถบรรทุก, และรถพ่วงลำเลียงคริสเตียนหนุ่ม ๆ เข้าและออกจากลานบ้านที่ลับตา. เราจะให้คนหนุ่มเหล่านี้พักอยู่กับเรา, ซ่อนตัว, ปลอมตัว, และเลี้ยงอาหารเขา แล้วจากนั้นก็ส่งเขาไปตามเส้นทางที่จะไปต่อ. คุณพ่อกับคุณแม่พร้อมด้วยผู้ทำงานรุ่นแรกเป็นผู้รับใช้ที่ทำงานอย่างสุดชีวิต ซึ่งเป็นแรงชักนำหัวใจของผมให้รักและรับใช้พระเจ้ายะโฮวา.
เดือนสิงหาคม 1941 ผมได้อุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวาและรับบัพติสมาที่ทะเลสาบเล็ก ๆ ลึกเข้าไปในป่า. พวกเราหลายคนได้ชุมนุมกัน ณ เหตุการณ์ครั้งนั้นยามดึกใต้แสงตะเกียงภายในกระท่อม. ดูเหมือนมีเหตุน่าสงสัย ตำรวจได้ออกลาดตระเวนส่องไฟฉายรอบทะเลสาบสักพักหนึ่ง แต่หาพวกเราไม่พบ.
ลักษณะต่าง ๆ เกี่ยวด้วยงานรับใช้เต็มเวลา
ปี 1951 ผมเรียนจบมัธยมศึกษา และได้เดินทางเกือบ 1,600 กิโลเมตรไปยังเขตมอบหมายทำงานไพโอเนียร์ในเมืองโคเบิร์ก ออนตาริโอ. ประชาคมที่นั่นเล็ก และผมไม่มีเพื่อนร่วมงานที่เป็นไพโอเนียร์. แต่โดยการระลึกว่าพระหัตถ์ของพระยะโฮวาไม่สั้น ผมจึงเช่าห้อง ทำกับข้าวเอง และชื่นใจยินดีที่ได้รับใช้พระยะโฮวา. ปีต่อมา ผมได้รับเชิญให้เข้าไปรับใช้ในสำนักงานสาขาสมาคมว็อชเทาเวอร์ ที่โตรอนโต. ที่นี่ผมได้รับบทเรียนเพียบด้วยคุณค่ามากมายซึ่งขัดเกลาผมเพื่องานรับใช้ราชอาณาจักรในวันข้างหน้า.
หลังจากผมได้รับใช้เป็นไพโอเนียร์ในเมืองโตรอนโตปีเศษ ๆ ผมก็แต่งงานกับลูซี ทรูโด และในฤดูหนาวปี 1954 เราได้รับเขตมอบหมายงานไพโอเนียร์ที่เมือง เลวิส์ รัฐควีเบก. อากาศหนาวจัด, การก่อกวนจากฝูงชนและตำรวจนับว่าเป็นการขู่ขวัญ และการเรียนภาษาฝรั่งเศสก็เป็นสิ่งท้าทาย. ตลอดเหตุการณ์เหล่านั้น พระหัตถ์พระยะโฮวาไม่สั้นเลย ดังนั้น แม้ในยามยากลำบาก เราก็ได้รับพระพรมากมายด้วยเช่นกัน.
ยกตัวอย่าง เราได้รับการขอร้องให้ช่วยสำรวจเรือสองลำ (อโรซา สตาร์ และอโรซา คุล์ม) ซึ่งสมาคมมีโครงการจะใช้ขนส่งคณะตัวแทนไปร่วมการประชุมนานาชาติทางยุโรปปี 1955. ด้วยความกระตือรือร้นจะทำธุรกิจของสมาคมฯ ผู้บริหารบริษัทขนส่งสินค้าแสดงน้ำใจเอื้อเฟื้อพวกเราในบางโอกาส จึงถือเป็นการผ่อนคลายอย่างน่ายินดีจากงานรับใช้ที่เคร่งเครียดในควีเบกสมัยนั้น.
ฤดูใบไม้ร่วงปี 1955 ผมได้รับเชิญให้รับใช้ในฐานะผู้ดูแลเดินทาง และเราใช้ช่วงฤดูหนาวปีนั้นเยี่ยมประชาคมตามที่ห่างไกลทางเหนือของออนตาริโอ ซึ่งภูมิอากาศแถบนั้นหนาวยะเยือก. ปีต่อมา เราได้เข้าโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียดในประเทศสหรัฐ และหลังจากนั้นเราได้รับมอบหมายฐานะเป็นมิชชันนารีไปประจำประเทศบราซิล อเมริกาใต้.
เราเริ่มทำงานด้วยสิ้นสุดหัวใจและสิ้นสุดจิตวิญญาณในเขตใหม่ของเรา และไม่นานนัก เราสามารถประกาศและสอนได้โดยใช้ภาษาโปรตุเกส. ต้นปี 1957 ผมได้รับมอบหมายให้ทำงานฐานะเป็นผู้ดูแลเดินทางอีก. บัดนี้ แทนที่จะเผชิญอากาศหนาวยะเยือกทางเขตขั้วโลกเหนือ เราต้องรับมือกับอากาศที่ร้อนระอุ. หลายครั้งหลายหนเราต้องพัก และสะบัดเอาทรายร้อน ๆ ออกจากรองเท้า หรือไม่ก็ตัดอ้อยมาเคี้ยวกินเพื่อจะได้มีเรี่ยวแรง. แต่เราก็ได้รับพระพรมาก.
ที่เมืองราเชนทิ ฟาซู ผมได้พูดกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่ง และเขาได้สั่งให้ห้างร้านทุกแห่งปิดและให้ทุกคนไปที่จัตุรัสกลางเมือง. ใต้ร่มไม้ใบหนาที่มีดอกสะพรั่ง ผมได้บรรยายเรื่องเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลแก่ประชาชนชาวเมือง. เวลานี้ ประชาคมพยานพระยะโฮวาได้ตั้งขึ้นที่นั่น.
การเลี้ยงดูบุตรของเราในบราซิล
เมื่อลูซีเริ่มตั้งครรภ์ในปี 1958 เราจึงตั้งหลักฐานในเมืองฮูซ เดอ ฟอรา และทำงานในฐานะไพโอเนียร์พิเศษ. ช่วงสองปีจากนั้น เราก็ได้ลูกสาวคือซูซานและคิม. ลูกสองคนของเราเป็นพระพรอย่างแท้จริงในงานรับใช้ เขาเป็นสิ่งแปลกใหม่ในเมือง. ขณะที่เราเข็นรถที่ลูกนั่งไปตามถนนซึ่งปูพื้นด้วยก้อนหินกลม ผู้คนจะออกมาดู. เนื่องจากความต้องการผู้ประกาศราชอาณาจักรมีมากในเมืองเรซิเฟ ใต้เส้นศูนย์สูตรลงไปเล็กน้อย พวกเราจึงได้ย้ายไปยังเมืองนั้นที่สภาพอากาศร้อนจัด.
ปี 1961 ผมไม่เพียงสามารถช่วยจัดเตรียมให้พี่น้องเดินทางโดยเครื่องบินเพื่อร่วมการประชุมใหญ่ที่เมืองเซาเปาโล ตัวผมเองก็ได้เข้าร่วมการประชุมครั้งนั้นซึ่งจะไม่เลือนไปจากความทรงจำ. เมื่อออกบินไปได้ประมาณ 20 นาทีเครื่องบินก็ร่อนดิ่งลงสู่พื้นดินอย่างกะทันหัน ผู้โดยสารล้มกลิ้งระเนนอยู่ทั่วห้องโดยสาร. สภาพภายในเครื่องบินแตกหักยับเยิน ที่นั่งหลุดจากฐานยึดและผู้โดยสารต่างก็ฟกช้ำและมีเลือดออก. ดีใจที่นักบินสามารถบังคับเครื่องบินมิให้ร่วง และพวกเราลงถึงพื้นดินอย่างปลอดภัย. ไม่มีสักคนในพวกเราได้รับบาดเจ็บมากถึงกับเดินทางต่อไปถึงเซาเปาโลด้วยเครื่องบินอีกลำหนึ่งไม่ไหว. เราชื่นชมกับการประชุมใหญ่ที่ประสบผลสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ผมลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่นั่งเครื่องบินอีก!
อย่างไรก็ตาม เมื่อผมกลับจากการประชุมมาถึงบ้าน ก็มีงานมอบหมายชิ้นใหม่คอยอยู่. ผมจะต้องไปดูแลการประชุมใหญ่ที่จัดขึ้นในเขตป่าลึกของเมืองเทอร์ซินา, รัฐปิเอาอี. ผมจะต้องขึ้นเครื่องบินไปที่นั่น. แม้ผมรู้สึกขยาดสักเพียงไร ผมก็ได้ตอบรับหน้าที่มอบหมายครั้งนี้ โดยวางใจหมายพึ่งพระหัตถ์ของพระยะโฮวา.
เกร็ก ลูกชายของเราเกิดในปี 1962 ที่เมืองเรซิเฟ. ถึงแม้ผมไม่สามารถเป็นไพโอเนียร์ต่อไปได้เนื่องจากตอนนั้นครอบครัวของผมขยายใหญ่ขึ้น แต่ผมก็สามารถทุ่มเทพลังจูงใจที่ก่อประโยชน์ต่อประชาคมเล็ก ๆ นั้นได้. ลูกของเรากระตือรือร้นเสมอที่จะร่วมกับเราในงานรับใช้ เนื่องจากว่าเราจัดงานรับใช้ให้น่าสนใจสำหรับเขา. ลูกแต่ละคนสามารถพูดแนะนำตัวเสนอข่าวสารที่บ้านประชาชนได้ตั้งแต่อายุสามขวบ. เราฝึกให้เป็นนิสัยว่าจะไม่ขาดการเข้าร่วมประชุมและการมีส่วนประกาศตามบ้านเรือน. แม้คนหนึ่งที่บ้านป่วยและอีกคนหนึ่งอาจอยู่ดูแลคนเจ็บ แต่คนอื่นนอกนั้นจะไปประชุมและออกไปในงานรับใช้.
ตลอดหลายปี พวกเราฐานะครอบครัวได้พิจารณาหารือกันเป็นประจำเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนของลูกและเป้าหมายในชีวิตของเขา โดยการเตรียมพวกเขาไว้สำหรับงานประจำชีวิตกับองค์การของพระยะโฮวา. เราระมัดระวังไม่ปล่อยเขาเป็นไปตามอิทธิพลที่จะทำให้เสื่อมเสีย เช่น โทรทัศน์. เราไม่เคยมีทีวีในบ้านจนกระทั่งลูกเติบโตเป็นวัยรุ่นแล้ว. ถึงแม้เรามีฐานะดี เราก็ไม่ปล่อยตามใจเขาจนเหลิงไปกับสิ่งฝ่ายวัตถุ. อย่างเช่น เราซื้อรถจักรยานเพียงคันเดียวให้ลูกทั้งสามใช้ร่วมกัน.
เราทำกิจการต่าง ๆ ร่วมกันเท่าที่จะทำได้ เช่นเล่นบาสเกตบอล, ว่ายน้ำ, และเดินทางไปไหนมาไหนด้วยกันเยี่ยงครอบครัว. การเดินทางของเราเกี่ยวข้องกับการเข้าร่วมประชุมคริสเตียน หรือเดินทางไปเยี่ยมสำนักเบเธลในที่ต่าง ๆ หลายประเทศ. การเดินทางแบบนี้ทำให้เรามีโอกาสพูดคุยกันอย่างสะดวกใจ จนลูซีกับผมสามารถเรียนรู้สิ่งที่อยู่ในหัวใจของลูก. เรารู้สึกขอบพระคุณพระยะโฮวาเป็นอย่างยิ่งที่เราได้ชื่นชมตลอดเวลาหลายปีเหล่านั้น!
ในที่สุด สิบปีที่เราอยู่เขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตรได้ส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูซี. ฉะนั้น เราจึงยินดีรับเอาเขตมอบหมายใหม่ทางใต้ ซึ่งมีสภาพดินฟ้าอากาศเหมาะกว่า คือที่คูริติบา รัฐปารานา.
กลับแคนาดา
ปี 1977 หลังจากอยู่ในบราซิลเกือบ 20 ปี ผมกับลูซีก็กลับแคนาดาพร้อมกับลูกทุกคน เพื่อดูแลคุณพ่อของผมที่ป่วย. ช่างเป็นสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันมากจริง ๆ ซึ่งครอบครัวของเราได้ประสบ! แต่สภาพฝ่ายวิญญาณไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเรายังคงรักษากิจวัตรกับคริสเตียนพี่น้องซึ่งเป็นที่รักของเราเหมือนเดิม.
เมื่อกลับมาอยู่ในแคนาดา งานรับใช้เต็มเวลาเป็นกิจการสำหรับครอบครัวเลยทีเดียว ขณะลูกสาวของเราทีละคนเริ่มรับใช้ฐานะเป็นไพโอเนียร์. แต่ละคนในครอบครัวต่างก็มีส่วนเกื้อหนุนซึ่งกันและกันในเรื่องค่าใช้จ่ายภายในบ้าน. รายได้จากงานรับจ้างบางช่วงก็เข้าเงินกองกลางสำหรับบำรุงรักษาบ้านและดูแลรักษารถยนต์สามคันที่จำเป็นต้องใช้สำหรับงานประกาศทั่วเขตทำงานที่กระจายอยู่ห่างไกลกัน. ทุกสัปดาห์ ภายหลังการศึกษาพระคัมภีร์ประจำครอบครัว เราก็ได้หารือกันเกี่ยวกับแผนงานต่าง ๆ ของเรา. การปรึกษาหารือกันเช่นนี้ช่วยทุกคนรู้ละเอียดว่าเราจะไปที่ไหน และเราทำอะไรอยู่กับชีวิตของเรา.
เกร็ก ลูกชายของเรา เช่นเดียวกันกับพี่สาว ถือเอางานรับใช้เต็มเวลาเป็นเป้าหมายของเขา. ตั้งแต่วัยห้าขวบ เขาได้แสดงความปรารถนาจะทำงานที่สำนักงานสาขาสมาคมฯที่เรียกว่าเบเธล. เขาไม่เคยละลืมเป้าหมายนี้ และหลังจากจบชั้นมัธยมศึกษา เขาได้ถามแม่และถามผมดังนี้: “คุณพ่อคุณแม่คิดว่าผมควรสมัครทำงานที่เบเธลไหม?”
การยอมให้ลูกชายไปก็ย่อมมีผลกระทบจิตใจบ้าง แต่เราก็ตอบโดยไม่ลังเลใจว่า “ลูกจะไม่ตระหนักในเรื่องพระหัตถ์ของพระยะโฮวามากเท่าที่ลูกจะได้ประสบที่เบเธล—ศูนย์กลางแห่งองค์การของพระยะโฮวา.” ไม่ถึงสองเดือน เขาก็เข้าไปประจำที่สำนักเบเธลแคนาดา. นั้นเป็นปี 1980 และเขาปฏิบัติงานที่นั่นตลอดมา.
ช่วงทศวรรษปี 1980 มีสิ่งท้าทายอย่างใหม่เกิดขึ้นกับลูซีและตัวผมเอง. เรากลับไปเริ่มใหม่เหมือนครั้งอดีตที่เราตั้งต้น—คือมีเพียงเราสองคน. ตอนนั้นซูซานแต่งงานแล้วและทำงานไพโอเนียร์กับสามีของเธอ ส่วนคิมและเกร็กรับใช้ที่เบเธล. เราสองคนจะทำอย่างไร? คำตอบมีมาทันทีในปี 1981 เมื่อเราได้รับการเชิญให้รับใช้ในหมวดที่ใช้ภาษาโปรตุเกส ซึ่งกระจัดกระจายไปห่างไกลรวมระยะทางกว่า 2,000 กิโลเมตร. เวลานี้เรายังคงชื่นชมกับงานเดินทางเยี่ยม.
ตั้งแต่นั้นมาคิมแต่งงานและเข้าโรงเรียนกิเลียดแล้ว เวลานี้เธอรับใช้ร่วมกับสามีด้วยการเยี่ยมหมวดในประเทศบราซิล. ซูซานกับสามีของเธอยังอยู่ในแคนาดา เลี้ยงดูลูกสองคน และสามีของซูซานเป็นไพโอเนียร์. ถึงแม้ตอนหลังนี้ครอบครัวของเราแยกกันตามสภาพทางกายเพราะต่างก็มีงานมอบหมายรับใช้เต็มเวลาตามหน้าที่แตกต่างกัน พวกเราก็ยังคงใกล้ชิดกันทั้งฝ่ายวิญญาณและทางอารมณ์ความรู้สึกเหมือนเดิม.
ลูซีกับผมคอยท่าจะเห็นอนาคตอันเต็มไปด้วยความสุขพร้อมกับครอบครัวของเราบนแผ่นดินโลกที่ได้ชำระสะอาดแล้ว. (2 เปโตร 3:13) เช่นเดียวกับโมเซครั้งโบราณ เราได้ประสบความจริงแน่นอนด้วยตนเองแล้วของคำถามในพระธรรมอาฤธโม 11:23: “พระหัตถ์ของพระยะโฮวาอ่อนถอยกำลังลงหรือ? บัดนี้เจ้าคงจะเห็นว่าคำของเราจะสำเร็จแก่เจ้าหรือไม่.” แท้จริง ไม่มีสิ่งใดจะยับยั้งพระยะโฮวามิให้อวยพรผู้รับใช้ของพระองค์เพราะงานรับใช้ที่เขาได้กระทำด้วยสิ้นสุดหัวใจ.
[รูปภาพหน้า 25]
กับลูซี ภรรยาของผม