ดำเนินชีวิตสมกับการอุทิศตัว“วันแล้ววันเล่า”
“ถ้าผู้ใดต้องการจะตามเรามา ก็ให้ผู้นั้นปฏิเสธตัวเองและรับเอาเสาทรมานของตนวันแล้ววันเล่าแล้วติดตามเราเรื่อยไป.”—ลูกา 9:23, ล.ม.
1. วิธีหนึ่งที่เราสามารถวัดความสำเร็จของเราในฐานะเป็นคริสเตียนนั้นคืออะไร?
“เราเป็นผู้ที่ได้อุทิศตนโดยแท้จริงไหม?” จอห์น เอฟ. เคนเนดี ประธานาธิบดีคนที่ 35 ของประเทศสหรัฐบอกว่า คำตอบสำหรับคำถามนี้เป็นปัจจัยหนึ่งในการวัดความสำเร็จของบรรดาเจ้าหน้าที่ในรัฐบาล. คำถามนี้อาจใช้ได้ในความหมายที่ลึกซึ้งกว่า เพื่อวัดความสำเร็จของเราในฐานะที่เป็นคริสเตียนผู้เผยแพร่.
2. พจนานุกรมฉบับหนึ่งนิยามคำ “การอุทิศ” ไว้อย่างไร?
2 ทว่า การอุทิศคืออะไร? พจนานุกรมเว็บสเตอร์ส ไนนท์ นิว คอลลิจิเอต นิยามคำนี้ว่า “การกระทำหรือพิธีมอบถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าหรือเพื่อประโยชน์อันศักดิ์สิทธิ์,” “การสละหรือจัดแยกไว้ต่างหากเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะอย่าง,” “การทุ่มเทด้วยการสละตัวเอง.” ปรากฏว่า จอห์น เอฟ. เคนเนดี ใช้คำนี้ในความหมาย “การทุ่มเทด้วยการสละตัวเอง.” แต่สำหรับคริสเตียน การอุทิศตัวมีความหมายมากยิ่งกว่านั้น.
3. การอุทิศตัวของคริสเตียนหมายถึงอะไร?
3 พระเยซูคริสต์ทรงกำชับสาวกของพระองค์ดังนี้: “ถ้าผู้ใดต้องการตามเรามา ก็ให้ผู้นั้นปฏิเสธตัวเองและรับเอาเสาทรมานของตนแล้วติดตามเราเรื่อยไป.” (มัดธาย 16:24, ล.ม.) การจัดแยกไว้ต่างหากเพื่อผลประโยชน์ของพระผู้เป็นเจ้านั้นไม่ใช่เพียงร่วมกิจกรรมการนมัสการในวันอาทิตย์หรือเมื่อไปเยือนสถานนมัสการบางแห่ง แต่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตทั้งสิ้นของคนเรา. การเป็นคริสเตียนหมายถึงการปฏิเสธตัวเองหรือไม่ตามใจตัวเองขณะทำการรับใช้พระยะโฮวา พระเจ้าองค์ที่พระเยซูคริสต์ได้รับใช้. นอกจากนี้ คริสเตียนได้รับเอา “เสาทรมาน” ของตนด้วยการยอมทนความทุกข์ยากใด ๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับตนเพราะเหตุที่เป็นสาวกของพระคริสต์.
ตัวอย่างที่สมบูรณ์พร้อม
4. การรับบัพติสมาของพระเยซูเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงอะไร?
4 ขณะอยู่บนแผ่นดินโลก พระเยซูทรงแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการอุทิศตนแด่พระยะโฮวา. ทัศนะของพระองค์เป็นดังนี้: “เครื่องบูชาและของบรรณาการพระองค์ไม่ทรงประสงค์, แต่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมกายประทานแก่ข้าพเจ้า.” แล้วได้ตรัสเพิ่มเติมว่า “ข้าแต่พระเจ้า, ข้าพเจ้ามาเพื่อจะให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จ, ตามคัมภีร์ที่เขียนไว้กล่าวถึงข้าพเจ้าแล้วนั้น.” (เฮ็บราย 10:5-7) ในฐานะที่เป็นคนในชาติซึ่งอุทิศแล้ว พระองค์จึงเป็นผู้ที่ได้อุทิศแด่พระยะโฮวาตั้งแต่กำเนิด. กระนั้น ตอนที่พระองค์ทรงเริ่มงานรับใช้ทางแผ่นดินโลก พระองค์เสนอตัวขอรับบัพติสมาเป็นเครื่องหมายแสดงว่า พระองค์เสนอพระองค์เพื่อจะทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา ซึ่งในส่วนของพระองค์แล้วก็รวมถึงการถวายชีวิตเป็นเครื่องบูชาไถ่ด้วย. ฉะนั้น พระองค์ทรงวางตัวอย่างให้คริสเตียนกระทำสิ่งใดก็ตามซึ่งเป็นไปตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา.
5. พระเยซูทรงแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างเกี่ยวด้วยทัศนะต่อสิ่งฝ่ายวัตถุอย่างไร?
5 ภายหลังการรับบัพติสมา พระเยซูได้ดำเนินตามแนวทางชีวิตซึ่งในที่สุดนำไปสู่การสละชีวิตเป็นเครื่องบูชา. พระองค์ไม่สนพระทัยแสวงหาความร่ำรวย หรือดำรงชีวิตอย่างสุขสบาย. ตรงกันข้าม พระองค์ทรงถือเอางานรับใช้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต. พระองค์ทรงตักเตือนเหล่าสาวกให้ “แสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของพระองค์ก่อนเสมอไป” และพระองค์เองทรงดำเนินชีวิตสมกับถ้อยคำเหล่านี้. (มัดธาย 6:33, ล.ม.) พระองค์ถึงกับตรัสว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง, และนกในอากาศก็ยังมีรัง, แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ ๆ จะวางศีรษะ.” (มัดธาย 8:20) พระองค์อาจดัดแปลงการสั่งสอนของพระองค์เพื่อขูดรีดเอาเงินจากพวกผู้ติดตามพระองค์ก็ได้. ด้วยเหตุที่พระองค์เป็นช่างไม้ พระองค์สามารถแบ่งเวลาระหว่างทำการประกาศสั่งสอนไปทำเครื่องเรือนสวยหรูสักชิ้นหนึ่งขายได้เงินพิเศษสักสองสามแผ่นก็ย่อมได้. แต่พระองค์ไม่ได้ใช้ทักษะส่วนพระองค์แสวงหาความมั่งคั่งทางวัตถุ. ในฐานะที่เราเป็นผู้รับใช้ที่ได้อุทิศตัวแด่พระเจ้า เราเลียนแบบพระเยซูไหมเกี่ยวกับการมีแง่คิดอย่างถูกต้องต่อสิ่งต่าง ๆ ด้านวัตถุ?—มัดธาย 6:24-34.
6. พวกเราจะเลียนแบบพระเยซูได้อย่างไรเกี่ยวกับการเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่อุทิศตัว และเสียสละตัวเอง?
6 ด้วยการจัดเอางานรับใช้พระเจ้าไว้เป็นอันดับแรก พระเยซูไม่ได้แสวงผลประโยชน์สำหรับตนเอง. ชีวิตพระองค์ตลอดช่วงสามปีครึ่งที่ทำการประกาศสั่งสอนประชาชนเป็นชีวิตแห่งการเสียสละตัวเอง. ณ โอกาสหนึ่ง หลังจากไม่ว่างทั้งวัน ไม่ว่างกระทั่งจะปลีกเวลารับประทานอาหาร พระเยซูทรงเต็มพระทัยสั่งสอนประชาชนซึ่ง “กระจายไปดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง.” (มัดธาย 9:36; มาระโก 6:31-34) แม้พระเยซู “ทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง” พระองค์ได้ริเริ่มการสนทนากับหญิงชาวซะมาเรียซึ่งมาที่บ่อน้ำยาโคบในเมืองซูคาร. (โยฮัน 4:6, 7, 13-15) พระองค์ทรงคำนึงถึงสวัสดิภาพของผู้อื่นก่อนตนเองเสมอ. (โยฮัน 11:5-15) เราสามารถเลียนแบบพระเยซูโดยยอมเสียสละประโยชน์ส่วนตัวอย่างใจกว้างเพื่อรับใช้พระเจ้าและผู้อื่น. (โยฮัน 6:38) โดยการคิดไตร่ตรองว่าจริง ๆ แล้ว เราจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้อย่างไร แทนที่จะทำแค่บรรลุข้อเรียกร้อง เราจะดำเนินชีวิตสมกับการอุทิศตัว.
7. เราจะเลียนแบบพระเยซูได้อย่างไรในเรื่องการถวายเกียรติยศพระยะโฮวาเสมอ?
7 พระเยซูไม่เคยพยายามโน้มนำประชาชนให้หันมาสนใจพระองค์โดยการช่วยเหลือผู้คน. พระองค์ได้อุทิศตัวเพื่อทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. ดังนั้น พระองค์จึงทำให้แน่ใจเสมอว่า พระยะโฮวาพระบิดาของพระองค์ทรงได้รับเกียรติยศทั้งสิ้น ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ได้สำเร็จไปนั้น. เมื่อขุนนางผู้หนึ่งเรียกพระองค์ว่า “อาจารย์ผู้ประเสริฐ” โดยใช้คำ “ประเสริฐ” เป็นบรรดาศักดิ์ พระเยซูได้ทรงแก้ไขเขา โดยตรัสว่า “ไม่มีใครประเสริฐเว้นแต่พระเจ้าองค์เดียว.” (ลูกา 18:18, 19; โยฮัน 5:19, 30) พวกเราทำเหมือนพระเยซูไหม คือพร้อมจะถวายเกียรติยศแด่พระยะโฮวาโดยไม่รีรอ ไม่ใช่รับไว้เสียเอง?
8. (ก) ในฐานะที่ได้อุทิศตัวแล้ว พระเยซูทรงแยกตัวจากโลกโดยวิธีใด? (ข) เราควรจะเลียนแบบพระองค์โดยวิธีใด?
8 ตลอดชีวิตของพระองค์ที่ได้อุทิศแล้วขณะอยู่บนแผ่นดินโลก พระเยซูแสดงให้เห็นว่า พระองค์ได้จัดแยกตนเองไว้ต่างหากเพื่องานรับใช้พระเจ้า. พระองค์ทรงรักษาตัวปราศจากมลทินเพื่อจะสามารถเสนอตนเองเป็นเครื่องบูชาไถ่ ประหนึ่ง “ลูกแกะที่ปราศจากพิการและด่างพร้อย.” (1 เปโตร 1:19, ล.ม.; เฮ็บราย 7:26) พระองค์ทรงปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งปวงแห่งพระบัญญัติของโมเซ จึงทำให้พระบัญญัตินั้นสำเร็จ. (มัดธาย 5:17; 2 โกรินโธ 1:20) พระองค์ทรงปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมสมกับที่พระองค์สั่งสอน. (มัดธาย 5:27, 28) ไม่มีสักคนสามารถกล่าวหาได้อย่างมีมูลความจริงว่าพระองค์ทรงมีเจตนาไม่ดี. แท้จริง พระองค์ “ทรงเกลียดการละเลยกฎหมาย.” (เฮ็บราย 1:9) ในฐานะที่เป็นทาสของพระเจ้า จงให้เราเลียนแบบพระเยซูด้วยการรักษาชีวิตและแม้กระทั่งเจตคติของเราให้สะอาดในสายพระเนตรของพระยะโฮวาเสมอ.
ตัวอย่างเชิงเตือนสติ
9. เปาโลกล่าวพาดพิงตัวอย่างอะไรอันเป็นการเตือนสติ และเหตุใดเราจึงควรพิจารณาตัวอย่างนี้?
9 ตรงกันข้ามกับตัวอย่างของพระเยซู เรามีตัวอย่างเชิงเตือนสติเกี่ยวกับชาวยิศราเอล. แม้นหลังจากพวกเขาได้ประกาศว่าจะทำทุกสิ่งตามที่พระยะโฮวาทรงสั่งให้ทำ พวกเขาก็ไม่ได้ทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์. (ดานิเอล 9:11) อัครสาวกเปาโลได้สนับสนุนคริสเตียนให้เรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาติยิศราเอล. ให้เราพิจารณาเหตุการณ์บางอย่างซึ่งเปาโลพาดพิงถึงในจดหมายฉบับแรกที่มีไปยังชาวโกรินโธ และดูว่าหลุมพรางอะไรบ้างที่คริสเตียนสมัยนี้ผู้ได้อุทิศตนแด่พระเจ้าจะพึงหลีกเลี่ยง.—1 โกรินโธ 10:1-6, 11.
10. (ก) ชาวยิศราเอล ‘ปรารถนาสิ่งที่ก่อความเสียหาย’ อย่างไร? (ข) เหตุใดชาวยิศราเอลต้องรับผิดชอบมากขึ้นเมื่อเขาพร่ำบ่นเรื่องอาหารหนที่สอง และเราอาจเรียนอะไรจากตัวอย่างเชิงเตือนสตินี้?
10 ประการแรก เปาโลเตือนเราไม่ให้ “ปรารถนาสิ่งที่ก่อความเสียหาย.” (1 โกรินโธ 10:6, ล.ม.) เรื่องนี้คงทำให้คุณนึกถึงตอนที่ชาวยิศราเอลบ่นเรื่องการกินมานาแต่อย่างเดียว. แล้วพระยะโฮวาก็ได้ส่งฝูงนกกระทาให้เขาเป็นอาหาร. มีอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกันได้เกิดขึ้นประมาณหนึ่งปีก่อนหน้านี้ในป่าซีน ไม่นานก่อนชาติยิศราเอลประกาศการอุทิศตนแด่พระยะโฮวา. (เอ็กโซโด 16:1-3, 12, 13) แต่ภาวการณ์ไม่เหมือนกันทีเดียว. เมื่อพระยะโฮวาได้ส่งฝูงนกกระทาครั้งแรก พระองค์ไม่ทรงถือการบ่นของชาวยิศราเอลเป็นเรื่องเป็นราว. แต่มาคราวนี้ สภาพการณ์เปลี่ยนไป. “เมื่อเนื้อนั้นยังติดฟันของเขากำลังเคี้ยว, พระยะโฮวาก็ทรงพิโรธแก่เขาเป็นอันมาก, แลพระยะโฮวาให้บังเกิดโรคแก่คนทั้งปวงนั้นร้ายนัก.” (อาฤธโม 11:4-6, 31-34) อะไรเปลี่ยนไป? ในฐานะเป็นชาติที่ได้อุทิศแล้ว มาบัดนี้พวกเขาพึงรับผิดชอบการกระทำที่ตนได้ก่อขึ้น. การขาดความหยั่งรู้ค่าต่อการจัดเตรียมของพระยะโฮวาทำให้เขาบ่นติเตียนพระยะโฮวา ทั้ง ๆ ที่เขาได้สัญญาจะทำทุกสิ่งซึ่งพระยะโฮวาได้ตรัสไว้! เป็นเช่นเดียวกันกับการบ่นติเตียนโต๊ะของพระยะโฮวาสมัยปัจจุบัน. บางคนไม่ได้หยั่งรู้ค่าสิ่งจัดเตรียมฝ่ายวิญญาณซึ่งผ่านทาง “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม.” (มัดธาย 24:45-47) แต่จำไว้ว่า การอุทิศตัวของเราเรียกร้องให้เรารำลึกด้วยความกตัญญูเสมอถึงสิ่งที่พระยะโฮวากระทำเพื่อเรา และรับเอาอาหารฝ่ายวิญญาณซึ่งพระยะโฮวาทรงจัดเตรียมไว้.
11. (ก) ชาวยิศราเอลได้ทำให้การนมัสการพระยะโฮวาเป็นมลทินด้วยการไหว้รูปเคารพนั้นอย่างไร? (ข) เราอาจได้รับผลกระทบอย่างไรจากรูปแบบหนึ่งของการบูชารูปเคารพ?
11 ต่อจากนั้น เปาโลเตือนว่า “ทั้งไม่เป็นผู้ไหว้รูปเคารพ ดังที่บางคนในพวกเขาได้กระทำ.” (1 โกรินโธ 10:7, ล.ม.) ที่นี่ดูเหมือนอัครสาวกได้พาดพิงถึงการบูชารูปโคซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากชาวยิศราเอลได้ทำสัญญาไมตรีกับพระยะโฮวาที่ภูเขาซีนาย. คุณอาจพูดว่า ‘ฉันเป็นผู้รับใช้ที่อุทิศตนแด่พระยะโฮวาแล้ว ฉันจะไม่มีวันเข้าไปเกี่ยวข้องกับการไหว้รูปเคารพเป็นอันขาด.’ แต่จงสังเกตว่า จากทัศนะของชาวยิศราเอล พวกเขาไม่ได้เลิกนมัสการพระยะโฮวา กระนั้น เขานำเอาการนมัสการรูปโคเข้ามา—ซึ่งน่ารังเกียจจำเพาะพระเจ้า. รูปแบบการนมัสการเช่นนี้เกี่ยวพันไปถึงสิ่งใด? ไพร่พลเหล่านั้นถวายเครื่องบูชาตรงหน้ารูปโค แล้วพวกเขา “ก็นั่งลงกินและดื่ม. แล้วก็ลุกขึ้นมีการรื่นเริง.” (เอ็กโซโด 32:4-6) สมัยนี้ บางคนอาจบอกว่า ตนนมัสการพระยะโฮวา. แต่เขาอาจมุ่งความสนใจไปที่ความสนุกเพลิดเพลินกับสิ่งต่าง ๆ ของโลก ไม่ใช่กับการนมัสการพระยะโฮวา และเขาพยายามปรับงานรับใช้พระยะโฮวาให้เข้ากับแผนต่าง ๆ ดังกล่าว. จริง การเช่นนี้ไม่เลยเถิดเหมือนการกราบไหว้รูปโคทองคำ แต่โดยหลักการแล้วไม่ต่างกันเท่าใด. การทำให้ความปรารถนาของตัวเองเป็นพระเจ้าย่อมต่างไปจากการดำเนินชีวิตให้สมกับที่ผู้นั้นได้อุทิศตัวแด่พระยะโฮวา.—ฟิลิปปอย 3:19.
12. จากประสบการณ์ของชาวยิศราเอลกับพระบาละแห่งภูเขาฟะโอระ พวกเราเรียนรู้อะไรบ้างเรื่องการปฏิเสธตัวเอง?
12 รูปแบบของความบันเทิงเกี่ยวข้องอยู่ด้วยในตัวอย่างเชิงเตือนสติถัดไป ซึ่งเปาโลกล่าวถึงว่า “ทั้งอย่าให้เราประพฤติผิดประเวณี ดังที่บางคนในพวกเขาได้ประพฤติผิดประเวณี แล้วก็ล้มตายในวันเดียวสองหมื่นสามพันคน.” (1 โกรินโธ 10:8, ล.ม.) ชาวยิศราเอลถูกล่อใจ โดยความสนุกสนานอันผิดศีลธรรมซึ่งหญิงสาวชาวโมอาบได้เสนอ แล้วพวกเขาจึงถูกชักนำไปสู่การนมัสการพระบาละแห่งภูเขาฟะโอระ ตำบลซิตธิม. (อาฤธโม 25:1-3, 9) การปฏิเสธตัวเองเพื่อทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวานั้นคลุมไปถึงการรับรองเอามาตรฐานของพระองค์เกี่ยวกับความสะอาดทางศีลธรรม. (มัดธาย 5:27-30) ในยุคแห่งการเสื่อมของมาตรฐานต่าง ๆ นี้ เราได้รับการเตือนให้ตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องรักษาตัวจากการประพฤติผิดศีลธรรมทุกรูปแบบ ยินยอมอยู่ในอำนาจของพระยะโฮวาที่ชี้ขาดว่าอะไรดีอะไรไม่ดี.—1 โกรินโธ 6:9-11.
13. ตัวอย่างของฟีนะฮาศช่วยเราอย่างไรให้เข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่รวมอยู่ในการอุทิศตนแด่พระยะโฮวา?
13 ขณะที่หลายคนถลำเข้าไปติดกับแห่งการผิดประเวณีที่ซิตธิม แต่บางคนได้ดำเนินชีวิตสมกับการอุทิศของชาตินั้นแด่พระยะโฮวา. ฟีนะฮาศเป็นคนหนึ่งที่มีความกระตือรือร้นอย่างโดดเด่น. เมื่อเขาเห็นว่าชายยิศราเอลชั้นหัวหน้าได้พาผู้หญิงชาวมิดยานเข้าไปในทับอาศัยของตน ทันใดนั้นเองฟีนะฮาศคว้าทวนขึ้นมาและแทงรวดเดียวทะลุคนทั้งสองนั้น. พระยะโฮวาตรัสแก่โมเซดังนี้: “ฟีนะฮาศ . . . เมื่อเขามีใจร้อนรนเพราะเรานั้นก็ได้ทำให้ความพิโรธของเราหันหวนไปจากพวกยิศราเอล. และเราไม่ได้ล้างผลาญพวกยิศราเอลในความพิโรธของเรา.” (อาฤธโม 25:11) การไม่ยอมให้สิ่งใด ๆ มาทัดเทียมกับพระยะโฮวา—นั่นแหละหมายถึงการอุทิศตน. การอุทิศตนแด่พระยะโฮวาควรมีประจำหัวใจของเราเสมอ เราไม่อาจจะยอมให้สิ่งใด ๆ เข้ามาแทนที่ได้. อนึ่ง ความกระตือรือร้นอันแรงกล้าเพื่อพระยะโฮวากระตุ้นเรารักษาประชาคมให้สะอาดโดยแจ้งความประพฤติผิดศีลธรรมอันร้ายแรงแก่ผู้ปกครอง ไม่ปล่อยให้เรื่องผ่านไป.
14. (ก) ชาวยิศราเอลได้ลองดีพระยะโฮวาอย่างไร? (ข) การอุทิศตนอย่างครบถ้วนแด่พระยะโฮวาช่วยเราอย่างไรเพื่อจะไม่ท้อถอยเลื่อยล้า?
14 เปาโลกล่าวถึงอีกตัวอย่างหนึ่งที่เตือนสติดังนี้: “ทั้งอย่าให้เราลองดีพระยะโฮวา ดังที่บางคนในพวกเขาได้ลองดีพระองค์แล้วก็พินาศด้วยงูพิษ.” (1 โกรินโธ 10:9, ล.ม.) ตอนนี้เปาโลกำลังกล่าวถึงคราวที่ชาวยิศราเอลบ่นติเตียนพระเจ้าต่อโมเซเมื่อพวกเขา “ท้อถอยเพราะเหตุหนทาง.” (อาฤธโม 21:4, ฉบับแปลใหม่) คุณเคยพลั้งผิดในเรื่องนั้นไหม? เมื่อคุณได้อุทิศตัวแด่พระยะโฮวา คุณคิดไหมว่าอาร์มาเก็ดดอนมาใกล้มากแล้ว? พระทัยอดกลั้นของพระยะโฮวายาวนานกว่าที่คุณเคยคาดหวังไหม? จำไว้ว่า เราไม่ได้อุทิศตัวแด่พระยะโฮวาเพียงชั่วระยะหนึ่ง หรือแค่ถึงอาร์มาเก็ดดอนเท่านั้น. การอุทิศตัวของเรายืนนานตลอดไป. ดังนั้นแล้ว “อย่าให้เราเลื่อยล้าในการกระทำดี, เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อถอยเลื่อยล้า, เราจะเกี่ยวเก็บผลในเวลาอันควร.”—ฆะลาเตีย 6:9.
15. (ก) ชาวยิศราเอลบ่นว่าผู้ใด? (ข) การอุทิศตัวของเราแด่พระยะโฮวากระตุ้นเราอย่างไรให้เคารพผู้มีอำนาจตามระบอบของพระเจ้า?
15 ในที่สุด เปาโลได้เตือนเรื่องการเป็น ‘คนช่างบ่น’ ว่าผู้รับใช้ของพระยะโฮวาที่ได้รับการแต่งตั้ง. (1 โกรินโธ 10:10) ชาวยิศราเอลได้บ่นว่าอย่างเผ็ดร้อนต่อโมเซและอาโรน เมื่อผู้สอดแนม 10 ในจำนวน 12 คนที่ถูกส่งไปดูลาดเลาในแผ่นดินคะนาอันได้กลับมาพร้อมกับรายงานต่าง ๆ ที่ไม่ดี. พวกเขาถึงกับพูดกันว่าจะตั้งคนหนึ่งเป็นผู้นำแทนโมเซและจะกลับไปยังอียิปต์. (อาฤธโม 14:1-4) ทุกวันนี้ เรารับรองความเป็นผู้นำซึ่งประทานแก่เราโดยพลังปฏิบัติงานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระยะโฮวาไหม? จากการมองเห็นโต๊ะซึ่งอุดมบริบูรณ์ด้วยอาหารฝ่ายวิญญาณซึ่งชนจำพวกทาสสัตย์ซื่อและสุขุมได้จัดเตรียมไว้ จึงเป็นที่กระจ่างชัดว่าพระเยซูทรงใช้ผู้ใดแจกจ่ายอาหาร “ตามเวลาที่สมควร.” (มัดธาย 24:45, ล.ม.) การอุทิศตนสุดจิตวิญญาณแด่พระยะโฮวาเรียกร้องเราให้แสดงความนับถือต่อผู้รับใช้ทั้งหลายที่ได้รับการแต่งตั้ง. ขออย่าให้เรากลายเป็นเหมือนบางคนที่ช่างบ่นสมัยนี้ ซึ่งหันไปสนใจผู้นำโดยนัยคนใหม่เพื่อให้นำพวกเขากลับไปหาโลกอีก.
ฉันทำสุดความสามารถไหม?
16. ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ได้อุทิศตัวแล้วอาจถามตัวเองด้วยคำถามอะไร?
16 ชาวยิศราเอลคงไม่ถลำเข้าสู่การผิดอย่างร้ายแรงดังกล่าว หากพวกเขาจำใส่ใจเสมอว่าการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวานั้นไม่มีเงื่อนไข. ต่างไปจากชาวยิศราเอลเหล่านั้นที่ขาดความเชื่อ พระเยซูคริสต์ทรงดำเนินชีวิตสมกับการอุทิศตัวของพระองค์จนถึงที่สุด. ในฐานะเป็นสาวกของพระคริสต์ พวกเราเลียนแบบพระองค์เกี่ยวกับความเลื่อมใสอย่างสุดจิตวิญญาณ เราดำเนินชีวิต “ไม่ใช่เพื่อความปรารถนาของมนุษย์อีกต่อไป แต่เพื่อพระทัยประสงค์ของพระเจ้า.” (1 เปโตร 4:2, ล.ม.; เทียบกับ 2 โกรินโธ 5:15.) พระทัยประสงค์ของพระยะโฮวาเวลานี้คือ “ให้คนทุกชนิดรับความรอดและบรรลุความรู้อันถ่องแท้เรื่องความจริง.” (1 ติโมเธียว 2:4, ล.ม.) ด้วยเป้าหมายนั้น เราจึงต้องประกาศ “ข่าวดีแห่งราชอาณาจักรนี้” ก่อนอวสานจะมาถึง. (มัดธาย 24:14, ล.ม.) เราบากบั่นทำงานรับใช้นี้มากแค่ไหน? เราคงอยากถามตัวเองว่า ‘ฉันทำสุดความสามารถไหม?’ (2 ติโมเธียว 2:15) สภาพการณ์ย่อมต่างกัน. พระยะโฮวาทรงพอพระทัยรับการรับใช้ “ตามซึ่งทุกคนมีอยู่, มิใช่ตามซึ่งเขาไม่มี.” (2 โกรินโธ 8:12; ลูกา 21:1-4) ใครก็ตามไม่ควรตัดสินความลึกซึ้งและความจริงใจแห่งการอุทิศตัวของผู้อื่น. แต่ละคนควรประเมินความตื้นลึกแห่งความเลื่อมใสของตนเองต่อพระยะโฮวา. (ฆะลาเตีย 6:4) ความรักที่เรามีต่อพระยะโฮวาควรเป็นแรงกระตุ้นเราที่จะถามว่า ‘ฉันจะทำให้พระยะโฮวาปลาบปลื้มพระทัยได้อย่างไร?’
17. ความสัมพันธ์ระหว่างความเลื่อมใสกับการหยั่งรู้ค่าเป็นอย่างไร? จงยกตัวอย่างประกอบ.
17 ความเลื่อมใสที่เรามอบแด่พระยะโฮวานั้นยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นขณะที่เราพัฒนาการหยั่งรู้ค่าต่อพระองค์ให้มากขึ้นเรื่อย ๆ. เด็กชายวัย 14 ปีคนหนึ่งในญี่ปุ่นได้อุทิศตัวแด่พระยะโฮวาและรับบัพติสมาในน้ำแสดงเครื่องหมายการอุทิศตัว. ต่อมา เขาต้องการศึกษาในระดับปริญญา และจะเป็นนักวิทยาศาสตร์. เขาไม่เคยคิดเรื่องการรับใช้เต็มเวลา แต่ในฐานะผู้รับใช้ที่ได้อุทิศตัวแล้ว เขาไม่ต้องการละทิ้งพระยะโฮวาและองค์การของพระองค์ที่ประจักษ์แก่ตา. เพื่อจะบรรลุเป้าหมายในงานอาชีพของเขา เขาเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย. ที่นั่น เขาเห็นนักศึกษาที่จบมหาวิทยาลัยได้รับความกดดันให้อุทิศชีวิตทั้งสิ้นแก่บริษัทหรือการศึกษา. เขาสงสัยว่า ‘ฉันมาทำอะไรอยู่ที่นี่? จริง ๆ แล้วฉันจะติดตามรูปแบบการดำเนินชีวิตของพวกเขา และอุทิศตัวเองให้กับงานอาชีพได้หรือ? ฉันไม่ได้อุทิศตัวแด่พระยะโฮวาหรอกหรือ?’ ด้วยการฟื้นความหยั่งรู้เข้าใจขึ้นมาใหม่. เขาจึงได้สมัครเป็นไพโอเนียร์ประจำ. ความเข้าใจของเขาในเรื่องการอุทิศตัวลึกซึ้งยิ่งขึ้นและเป็นแรงกระตุ้นให้เขาตั้งใจแน่วแน่จะไปยังที่ใดก็ได้ที่ต้องการเขา. เขาได้เข้าโรงเรียนฝึกอบรมเพื่อการรับใช้และได้รับมอบหมายให้ทำงานฐานะมิชชันนารีในต่างประเทศ.
18. (ก) สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการอุทิศตัวของเราแด่พระยะโฮวานั้นมีมากแค่ไหน? (ข) เราจะเก็บเกี่ยวบำเหน็จอะไรจากการที่เราได้อุทิศตัวแด่พระยะโฮวา?
18 การอุทิศตัวเกี่ยวข้องกับชีวิตทั้งสิ้นของเรา. เราต้องปฏิเสธตัวเองและติดตามแบบอย่างอันดีของพระเยซู “วันแล้ววันเล่า.” (ลูกา 9:23) ครั้นเราได้ปฏิเสธตัวเองแล้ว เราจะไม่ขอพระยะโฮวาเพื่อลาพัก. ชีวิตของเราประสานลงรอยกับหลักการต่าง ๆ ที่พระยะโฮวาทรงกำหนดไว้สำหรับผู้รับใช้ของพระองค์. แม้แต่ในบางขอบเขตที่เราสามารถตัดสินใจเลือกได้เอง คงจะเป็นประโยชน์หากจะพิจารณาว่าเราดำเนินชีวิตอย่างดีที่สุดตามการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาหรือไม่. ขณะที่เรารับใช้พระองค์วันแล้ววันเล่า ทำเต็มความสามารถเพื่อให้พระองค์พอพระทัย เราจะประสบความสำเร็จในฐานะเป็นคริสเตียน และจะเป็นที่โปรดปรานของพระยะโฮวา พระองค์ผู้สมควรได้รับความเลื่อมใสสุดจิตวิญญาณของเรา.
คุณอธิบายได้ไหม?
▫ สำหรับพระเยซูคริสต์ การอุทิศตัวหมายรวมถึงสิ่งใด?
▫ ทำไมเราควรหลีกเลี่ยงการบ่นว่าพระยะโฮวา?
▫ ในทางใดที่เราจะไม่ปล่อยให้การบูชารูปเคารพแทรกซึมเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา?
▫ ด้วยการจดจำอะไรจะทำให้เราไม่เลื่อยล้าในการทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า?
[รูปภาพหน้า 17]
คริสเตียนที่อุทิศตัว “ไม่เลื่อยล้าในการกระทำดี”