การอุทิศตัวและเสรีภาพในการเลือก
“เพื่อเสรีภาพนั้นเองพระคริสต์ได้ทรงโปรดให้เราทั้งหลายเป็นไทย.”—ฆะลาเตีย 5:1.
1. คำภาษาฮีบรูและกรีกที่ได้รับการแปลว่า “การอุทิศ,” “การเริ่มดำเนินการ,” หรือ “การตั้งไว้ให้บริสุทธิ์” ส่วนใหญ่ใช้กับอะไร?
ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลใช้คำในภาษาฮีบรูและกรีกหลายคำเพื่อสื่อความคิดเกี่ยวกับการถูกแยกออก หรือแยกอยู่ต่างหาก เพื่อจุดประสงค์ที่ศักดิ์สิทธิ์. คำเหล่านี้ในคัมภีร์ไบเบิลภาษาอังกฤษได้รับการแปลด้วยคำอย่างเช่น “การอุทิศ,” “การเริ่มดำเนินการ,” หรือ “การตั้งไว้ให้บริสุทธิ์” บางครั้ง มีการใช้คำเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ—โดยทั่วไปแล้ว เกี่ยวกับพระวิหารของพระเจ้าในกรุงยะรูซาเลมโบราณและการนมัสการซึ่งกระทำกันที่นั่น. น้อยครั้งที่คำเหล่านี้ถูกใช้ในเรื่องทางโลก.
การอุทิศแด่ “พระเจ้าของพวกยิศราเอล”
2. เหตุใดจึงสามารถเรียกพระยะโฮวาได้อย่างเหมาะสมว่า “พระเจ้าของพวกยิศราเอล”?
2 ในปี 1513 ก่อนสากลศักราช พระเจ้าทรงช่วยชนชาติยิศราเอลจากการเป็นทาสของอียิปต์. หลังจากนั้นไม่นาน พระองค์ทรงแยกพวกเขาไว้ต่างหากในฐานะไพร่พลพิเศษของพระองค์ นำพวกเขาเข้าสู่ความสัมพันธ์ด้วยคำสัญญาไมตรีกับพระองค์เอง. พระองค์ตรัสแก่พวกเขาดังนี้: “เหตุฉะนี้ถ้าเจ้าทั้งหลายจะฟังถ้อยคำของเราจริง ๆ, และรักษาคำสัญญาไมตรีของเราไว้, เจ้าจะเป็นทรัพย์ประเสริฐของเรายิ่งกว่าชาติทั้งปวง: เพราะเราเป็นเจ้าของโลกทั้งสิ้น.” (เอ็กโซโด 19:5; บทเพลงสรรเสริญ 135:4) เมื่อทรงโปรดให้ชาวยิศราเอลเป็นสมบัติพิเศษของพระองค์แล้ว จึงเหมาะสมที่จะเรียกพระยะโฮวาได้ว่าทรงเป็น “พระเจ้าของพวกยิศราเอล.”—ยะโฮซูอะ 24:23.
3. ทำไมการที่พระยะโฮวาทรงเลือกชาติยิศราเอลเป็นไพร่พลของพระองค์ไม่ได้เป็นการแสดงความลำเอียง?
3 ในการโปรดให้ชาวยิศราเอลเป็นไพร่พลที่อุทิศตัวแด่พระองค์ พระยะโฮวาหาได้ทรงลำเอียงไม่ เพราะพระองค์ทรงคำนึงถึงด้วยความรักต่อชนที่ไม่ใช่ชาวยิศราเอลด้วย. พระองค์ทรงมีพระบัญชาต่อไพร่พลของพระองค์ดังนี้: “ถ้าคนแขกเมืองมาอาศัยในแผ่นดินเมืองของเจ้า, อย่าข่มเหงเขา. แขกเมืองที่มาอาศัยด้วยเจ้านั้น, เหมือนกับคนที่เกิดในแผ่นดินเมืองของเจ้า, ต้องรักษาเขาเหมือนรักษาตัวเอง; เพราะว่าแต่ก่อนเจ้าทั้งหลายเป็นแขกเมืองในเมืองอายฆุบโต: เราเป็นยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า.” (เลวีติโก 19:33, 34) หลายศตวรรษต่อมา อัครสาวกเปโตรรู้สึกประทับใจมากในทัศนะของพระเจ้า จนได้ยอมรับดังนี้: “ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่าพระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด แต่ชาวชนในประเทศใด ๆ ที่เกรงกลัวพระองค์และประพฤติในทางชอบธรรมก็เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์.”—กิจการ 10:34, 35.
4. สัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับชาติยิศราเอลอยู่ภายใต้เงื่อนไขอะไร และชาวยิศราเอลดำเนินชีวิตสมกับเงื่อนไขดังกล่าวไหม?
4 โปรดสังเกตด้วยว่า การเป็นไพร่พลที่อุทิศตัวแด่พระเจ้านั้นมีเงื่อนไข. เฉพาะเมื่อพวกเขาเชื่อฟังพระเจ้าอย่างเคร่งครัดและรักษาคำสัญญาไมตรีที่ทำกับพระองค์เท่านั้น พวกเขาจึงจะเป็น “ทรัพย์ประเสริฐ” ของพระองค์. น่าเสียดาย ชาวยิศราเอลไม่บรรลุข้อเรียกร้องดังกล่าว. หลังจากปฏิเสธพระมาซีฮาซึ่งพระเจ้าทรงส่งมาในศตวรรษแรกแห่งสากลศักราช พวกเขาก็สูญเสียฐานะอันเป็นสิทธิพิเศษของตน. พระยะโฮวาไม่ทรงเป็น “พระเจ้าของพวกยิศราเอล” อีกต่อไป. และชาวยิศราเอลโดยสายเลือดไม่เป็นไพร่พลที่อุทิศแด่พระเจ้าอีกต่อไป.—เทียบกับมัดธาย 23:23.
การอุทิศตัวของ “ยิศราเอลของพระเจ้า”
5, 6. (ก) พระเยซูทรงหมายความเช่นไรเมื่อตรัสถ้อยคำเชิงพยากรณ์ดังบันทึกที่มัดธาย 21:42, 43? (ข) เกิดมี “ยิศราเอลของพระเจ้า” ขึ้นเมื่อไรและอย่างไร?
5 นี่หมายความไหมว่า บัดนี้พระยะโฮวาไม่มีไพร่พลที่อุทิศตัว? ไม่. โดยยกคำพูดของท่านผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญ พระเยซูคริสต์ทรงบอกล่วงหน้าดังนี้: “ท่านทั้งหลายยังไม่ได้อ่านในคัมภีร์หรือซึ่งว่า ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทอดทิ้งเสียยังประกอบเข้าเป็นหัวมุมได้ และการนี้เป็นมาจากพระเจ้า, และเป็นที่อัศจรรย์ประจักษ์แก่ตาของเรา? เหตุฉะนั้นเราบอกท่านว่า, แผ่นดินของพระเจ้าจะต้องเอาไปจากท่าน, ยกให้แก่ประเทศหนึ่งประเทศใดซึ่งจะกระทำให้ผลเจริญสมกับแผ่นดินนั้น.”—มัดธาย 21:42, 43.
6 “ประเทศหนึ่งประเทศใดซึ่งจะกระทำให้ผลเจริญสมกับแผ่นดินนั้น” ได้แก่ประชาคมคริสเตียนนั่นเอง. ระหว่างที่พักอาศัยชั่วคราวอยู่บนแผ่นดินโลก พระเยซูทรงเลือกผู้ที่จะมาเป็นสมาชิกกลุ่มแรกของประชาคมดังกล่าว. แต่ในวันเพนเตคอสเตปี ส.ศ. 33 พระยะโฮวาพระเจ้าเองทรงก่อตั้งประชาคมคริสเตียนโดยการหลั่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ลงบนสมาชิกกลุ่มแรกซึ่งมีจำนวนประมาณ 120 คน. (กิจการ 1:15; 2:1-4) ดังที่อัครสาวกเปโตรเขียนในเวลาต่อมา ประชาคมที่เพิ่งก่อตั้งนี้กลายมาเป็น “เชื้อสายที่ทรงเลือกไว้ เป็นคณะปุโรหิตหลวง เป็นชาติบริสุทธิ์ เป็นไพร่พลที่เป็นสมบัติพิเศษ.” เลือกไว้ด้วยจุดประสงค์ใด? เพื่อว่า พวกเขาจะ “ประกาศเผยแพร่พระบารมีคุณของพระองค์ผู้ได้ทรงเรียก [พวกเขา] ให้ออกจากความมืดเข้าสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์.” (1 เปโตร 2:9, ล.ม.) ผู้ติดตามพระคริสต์ซึ่งได้รับการเจิมด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า มาบัดนี้ได้กลายเป็นชาติที่อุทิศตัว “ยิศราเอลของพระเจ้า.”—ฆะลาเตีย 6:16.
7. สมาชิกแห่งยิศราเอลของพระเจ้าชื่นชมกับอะไร และด้วยเหตุนั้นมีการแจ้งต่อพวกเขาให้หลีกเลี่ยงอะไร?
7 แม้ว่าสมาชิกแห่งชาติบริสุทธิ์เป็น “ไพร่พลที่เป็นสมบัติพิเศษ” แต่พวกเขาจะไม่ตกเป็นทาส. ตรงกันข้าม พวกเขาจะชื่นชมเสรีภาพที่ยิ่งใหญ่กว่าเสรีภาพที่ชาติยิศราเอลโดยกำเนิดซึ่งเป็นชาติที่อุทิศแด่พระเจ้าเคยมี. พระเยซูทรงสัญญากับคนที่จะเป็นสมาชิกแห่งชาติใหม่นี้ว่า “เจ้าทั้งหลายจะรู้จักความจริง และความจริงจะทำให้เจ้าเป็นอิสระ.” (โยฮัน 8:32, ล.ม.) อัครสาวกเปาโลชี้ว่า คริสเตียนได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากข้อเรียกร้องต่าง ๆ ของคำสัญญาไมตรีตามพระบัญญัติ. เกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านแนะเตือนเพื่อนผู้เชื่อถือในฆะลาเตียดังนี้: “เพื่อเสรีภาพนั้นเองพระคริสต์ได้ทรงโปรดให้เราทั้งหลายเป็นไทย. เพราะฉะนั้นจงดำรงมั่นคงอยู่อย่างนั้น, และอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย.”—ฆะลาเตีย 5:1.
8. ในแง่ใดที่การจัดเตรียมฝ่ายคริสเตียนให้เสรีภาพแก่คนเราซึ่งยิ่งใหญ่กว่าเสรีภาพที่ได้รับภายใต้คำสัญญาไมตรีแห่งพระบัญญัติ?
8 ไม่เหมือนกับชาติยิศราเอลโดยกำเนิดในกาลก่อน ยิศราเอลของพระเจ้าได้เชื่อฟังข้อเรียกร้องซึ่งเกี่ยวกับการอุทิศตัวของตนอย่างเคร่งครัดจนกระทั่งทุกวันนี้. เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจ เพราะสมาชิกของชาตินี้เลือกที่จะเชื่อฟังด้วยใจสมัคร. ขณะที่สมาชิกของยิศราเอลโดยกำเนิดกลายเป็นผู้อุทิศตัวด้วยเหตุที่เกิดในชาตินี้ สมาชิกแห่งยิศราเอลของพระเจ้าเป็นผู้อุทิศตัวโดยการเลือก. การจัดเตรียมฝ่ายคริสเตียนจึงต่างไปจากคำสัญญาไมตรีตามพระบัญญัติของชาวยิว ซึ่งกำหนดการอุทิศตัวไว้สำหรับแต่ละคนโดยไม่ให้โอกาสพวกเขาใช้เสรีภาพในการเลือก.
9, 10. (ก) ยิระมะยาบ่งชี้อย่างไรว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการอุทิศตัว? (ข) เหตุใดคุณจึงกล่าวว่าไม่ใช่คริสเตียนที่อุทิศตัวทุกคนในปัจจุบันเป็นสมาชิกยิศราเอลของพระเจ้า?
9 ผู้พยากรณ์ยิระมะยาบอกล่วงหน้าถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการอุทิศตัว เมื่อท่านเขียนว่า “นี่แน่ะ, วันคืนทั้งหลายจะมา, เมื่อเราจะกระทำความสัญญาใหม่กับตระกูลยิศราเอล, แลตระกูลยะฮูดา, พระยะโฮวาได้ตรัส. จะไม่เหมือนความสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับด้วยปู่ย่าตายายของเขาในวันที่เราได้จับมือของเขาเพื่อจะพาเขาทั้งปวงออกจากประเทศอายฆุบโต. ความสัญญาของเรานั้น. ถึงมาตรแม้นเราได้เป็นต่างสามีแก่เขา, เขาทั้งปวงได้หักคำสัญญาของเราเสีย, พระยะโฮวาได้ตรัส. แต่ความสัญญาที่เราจะกระทำกับด้วยตระกูลแห่งยิศราเอลจะเป็นดังนี้ (คือว่า) เมื่อวันเหล่านั้นจะพ้นไปแล้ว, พระยะโฮวาได้ตรัส, เราจะใส่บทบัญญัติของเราไว้ ณ ภายในตัวเขาทั้งปวง, แลจะเขียนบทบัญญัตินั้นในใจเขา, แลเราจะเป็นพระเจ้าแก่เขาทั้งหลาย, แลเขาจะเป็นไพร่พลของเรา.”—ยิระมะยา 31:31-33.
10 เมื่อมีบทบัญญัติของพระเจ้า “ภายในตัวเขาทั้งปวง” ราวกับเขียนไว้ “ในใจ [“หัวใจ,” ล.ม.] เขา” สมาชิกแห่งยิศราเอลของพระเจ้าจึงได้รับการกระตุ้นให้ดำเนินชีวิตสมกับการอุทิศตัวของตน. แรงกระตุ้นของพวกเขานั้นมีพลังเข้มแข็งกว่าของชาวยิศราเอลซึ่งอุทิศตัวเนื่องด้วยชาติกำเนิด ไม่ใช่โดยการเลือก. ปัจจุบัน แรงกระตุ้นอันเข้มแข็งที่จะทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า ดังที่ยิศราเอลของพระเจ้าแสดงออกอย่างเห็นได้ชัด มีอยู่ในเพื่อนผู้นมัสการมากกว่าห้าล้านคนทั่วโลก. คนเหล่านี้ก็เช่นกัน ได้อุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวาพระเจ้าเพื่อทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์. แม้ว่าพวกเขาไม่มีความหวังเกี่ยวกับชีวิตทางภาคสวรรค์เหมือนกับคนที่ประกอบเป็นยิศราเอลของพระเจ้า พวกเขายินดีในความหวังเกี่ยวกับชีวิตตลอดไปบนแผ่นดินโลกภายใต้การปกครองแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าทางภาคสวรรค์. พวกเขาแสดงความหยั่งรู้ค่าต่อยิศราเอลฝ่ายวิญญาณ โดยสนับสนุนสมาชิกแห่งชนที่เหลือจำนวนน้อยอย่างกระตือรือร้นให้ทำงานมอบหมายของพวกเขาให้สำเร็จในการ “ประกาศเผยแพร่พระบารมีคุณของพระองค์ผู้ได้ทรงเรียก [พวกเขา] ให้ออกจากความมืดเข้าสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์.”
การใช้เสรีภาพที่พระเจ้าประทานให้อย่างสุขุม
11. คนเราถูกสร้างมาพร้อมด้วยความสามารถอะไร และควรใช้ความสามารถนี้อย่างไร?
11 พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้หวงแหนเสรีภาพ. พระองค์ทรงประทานให้มนุษย์มีความสามารถในการใช้เจตจำนงเสรี. มนุษย์คู่แรกใช้เสรีภาพของตนในการเลือก. อย่างไรก็ตาม ทั้งสองเลือกอย่างไม่สุขุมและอย่างไม่แสดงความรัก ยังผลเป็นความพินาศต่อทั้งตัวเขาและลูกหลาน. ถึงกระนั้น เรื่องนี้แสดงอย่างชัดเจนว่า พระยะโฮวาไม่เคยบังคับสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาให้รับเอาแนวทางซึ่งตรงกันข้ามกับแรงกระตุ้นภายในหรือความปรารถนาของเขา. และเนื่องจาก “พระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี” การอุทิศตัวอย่างเดียวที่พระองค์ทรงยอมรับได้แก่การอุทิศตัวซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความรัก การอุทิศตัวที่ทำอย่างเต็มใจด้วยใจยินดีและตั้งอยู่บนฐานของเสรีภาพในการเลือก. (2 โกรินโธ 9:7) การอุทิศตัวชนิดอื่นใดนอกนี้ไม่เป็นที่ยอมรับ.
12, 13. กรณีของติโมเธียวเป็นแบบอย่างอย่างไรสำหรับการฝึกอบรมเด็กอย่างถูกต้อง และตัวอย่างของท่านเป็นแบบอย่างสำหรับเยาวชนหลายคนให้ทำอะไร?
12 โดยสำนึกเต็มเปี่ยมถึงข้อเรียกร้องนี้ พยานพระยะโฮวาสนับสนุนการอุทิศตัวเองแด่พระเจ้า แต่พวกเขาไม่เคยบังคับใครให้ทำการอุทิศตัวเช่นนั้น แม้แต่กับลูก ๆ ของเขาเอง. ไม่เหมือนกับคริสตจักรหลายแห่ง พยานฯ ไม่ได้ให้ลูกของเขาที่ยังเป็นทารกรับบัพติสมา ราวกับว่าการบังคับลูกให้อุทิศตัวได้โดยไม่ต้องอาศัยการเลือกเป็นส่วนตัวนั้นสามารถทำได้. แบบอย่างตามหลักพระคัมภีร์ที่ควรติดตามเป็นอย่างที่หนุ่มติโมเธียวได้กระทำ. อัครสาวกเปาโลบอกติโมเธียวซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วดังนี้: “จงดำเนินต่อไปในบรรดาสิ่งที่ท่านเรียนรู้มาและในสิ่งที่ท่านถูกจูงใจให้เชื่อ ด้วยรู้แล้วว่าท่านได้เรียนจากผู้ใด และตั้งแต่เป็นทารกมา ท่านได้รู้จักคำจารึกอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอาจให้ท่านได้ปัญญาถึงที่รอดได้ โดยความเชื่อเกี่ยวด้วยพระคริสต์เยซู.”—2 ติโมเธียว 3:14, 15, ล.ม.
13 น่าสังเกตว่า ติโมเธียวรู้จักคำจารึกอันศักดิ์สิทธิ์เพราะท่านได้รับการสอนด้วยถ้อยคำเหล่านี้ตั้งแต่เป็นทารก. แม่และยายได้จูงใจ ท่านให้เชื่อหลักคำสอนคริสเตียน ไม่ใช่ด้วยการบังคับ. (2 ติโมเธียว 1:5) ผลคือ ติโมเธียวเห็นสติปัญญาของการเป็นผู้ติดตามพระคริสต์ และจึงเลือกด้วยตัวเอง ที่จะอุทิศตัวเป็นคริสเตียน. ในสมัยปัจจุบัน หนุ่มสาวหลายหมื่นคนซึ่งมีบิดามารดาเป็นพยานพระยะโฮวาได้ดำเนินตามตัวอย่างนี้. (บทเพลงสรรเสริญ 110:3) แต่บางคนก็ไม่ได้ทำอย่างนี้. เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวที่จะต้องเลือกเอง.
เลือกเป็นทาสของใคร?
14. โรม 6:16 บอกอะไรกับเราเกี่ยวกับเสรีภาพโดยสมบูรณ์?
14 ไม่มีมนุษย์คนใดที่มีเสรีภาพอย่างสมบูรณ์. ทุกคนถูกจำกัดในเรื่องเสรีภาพของตนเนื่องด้วยกฎทางกายภาพ เช่น กฎแรงโน้มถ่วง ซึ่งไม่อาจละเลยได้โดยไม่เกิดผลเสียหาย. เช่นเดียวกัน ไม่มีใครมีเสรีภาพฝ่ายวิญญาณอย่างสมบูรณ์. เปาโลหาเหตุผลดังนี้: “ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า ท่านจะยอมตัวรับใช้ฟังคำของผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้นั้น, คือเป็นทาสกระทำผิดจนถึงความตายก็ดี, หรือฟังประพฤติการดีจนถึงความชอบธรรมก็ดี.”—โรม 6:16.
15. (ก) ผู้คนรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการเป็นทาส แต่ในที่สุดแล้วคนส่วนใหญ่เป็นเช่นไร? (ข) เราอาจถามตัวเองด้วยคำถามเหมาะ ๆ อะไรได้บ้าง?
15 ความคิดที่ว่าตนเป็นทาสของใครบางคน สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ดีเลย. กระนั้น ความเป็นจริงในโลกทุกวันนี้ก็คือว่า ผู้คนมักยอมให้ตัวเองถูกควบคุมและถูกชักจูงในหลาย ๆ วิธีที่แยบยล จนในที่สุดพวกเขาก็ทำไปโดยไม่รู้ตัว ในสิ่งที่คนอื่นอยากให้เขาทำ. ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมโฆษณาและโลกบันเทิงพยายามโน้มน้าวผู้คนให้คิดและทำอย่างเดียวกัน ตั้งมาตรฐานให้พวกเขาดำเนินตาม. องค์การทางการเมืองและศาสนาชักนำประชาชนให้สนับสนุนแนวคิดและเป้าหมายของตน ไม่ใช่โดยอาศัยการให้เหตุผลเพื่อสร้างความมั่นใจเสมอไป แต่หลายครั้งโดยการปลุกเร้าความรู้สึกในความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันหรือความภักดี. เนื่องจากเปาโลชี้ว่า ‘เรายอมตัวรับใช้ฟังคำของผู้ใด เราก็เป็นทาสของผู้นั้น’ เราแต่ละคนควรถามตัวเองว่า ‘ฉันเป็นทาสของใคร? ใครมีอิทธิพลมากที่สุดต่อการตัดสินใจและแนวทางชีวิตของฉัน? นักเทศน์นักบวช, ผู้นำทางการเมือง, เจ้าพ่อทางการเงิน, หรือว่าบุคคลในวงการบันเทิง? ฉันเชื่อฟังใคร—พระเจ้าหรือมนุษย์?’
16. คริสเตียนเป็นทาสของพระเจ้าในแง่ใด และทัศนะที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเป็นทาสดังกล่าวคืออะไร?
16 คริสเตียนไม่ได้ถือว่าการเชื่อฟังพระเจ้าเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล. พวกเขาเต็มใจใช้เสรีภาพของตนตามอย่างพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นแบบอย่าง โดยนำความปรารถนาส่วนตัวและสิ่งที่สำคัญกว่าให้เข้ามาประสานกับพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. (โยฮัน 5:30; 6:38) พวกเขาพัฒนา “พระทัยของพระคริสต์” ยอมตัวอยู่ใต้พระองค์ผู้ทรงเป็นองค์ประมุขของประชาคม. (1 โกรินโธ 2:14-16; โกโลซาย 1:15-18) เรื่องนี้คล้ายกันมากเลยทีเดียวกับผู้หญิงซึ่งสมรสและร่วมมืออย่างเต็มใจกับชายที่เธอรัก. ที่จริง มีการกล่าวถึงกลุ่มคริสเตียนผู้ถูกเจิมในฐานะหญิงพรหมจารีที่ไร้ราคีซึ่งให้คำมั่นสัญญาที่จะสมรสกับพระคริสต์.—2 โกรินโธ 11:2; เอเฟโซ 5:23, 24; วิวรณ์ 19:7, 8.
17. พยานพระยะโฮวาทุกคนได้เลือกที่จะเป็นอะไร?
17 พยานพระยะโฮวาแต่ละคน ไม่ว่าเขามีความหวังฝ่ายสวรรค์หรือทางแผ่นดินโลก ต่างก็ได้ทำการอุทิศตัวเป็นส่วนตัว ที่จะทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์ในฐานะผู้ปกครององค์ยิ่งใหญ่. สำหรับพยานฯ แต่ละคนแล้ว การอุทิศตัวเป็นการเลือกส่วนตัว เพื่อเข้ามาเป็นทาสรับใช้พระเจ้า ดีกว่าที่จะยังคงเป็นทาสของมนุษย์อยู่ต่อไป. เรื่องนี้สอดคล้องกับคำแนะนำของอัครสาวกเปาโลที่ว่า “ท่านทั้งหลายถูกไถ่ค่าตัวไว้แล้วตามราคา, อย่าเป็นทาสของมนุษย์เลย.”—1 โกรินโธ 7:23.
การเรียนเพื่อทำให้ตัวเองได้รับประโยชน์
18. คนที่ต้องการเป็นพยานฯ ต้องมีคุณวุฒิเช่นไรจึงจะรับบัพติสมาได้?
18 ก่อนที่ใครก็ตามจะมีคุณวุฒิเป็นพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งได้ เขาต้องบรรลุคุณสมบัติตามหลักพระคัมภีร์. ผู้ปกครองใช้ความระมัดระวังในการตัดสินว่า คนที่ปรารถนาจะเป็นพยานฯ นั้นเข้าใจความหมายของการอุทิศตัวของคริสเตียนจริง ๆ หรือไม่. เขาต้องการเป็นพยานพระยะโฮวาจริง ๆ ไหม? เขาเต็มใจดำเนินชีวิตตามมาตรฐานที่เป็นข้อเรียกร้องของการอุทิศตัวนี้ไหม? ถ้าไม่ เขาก็ไม่มีคุณวุฒิที่จะรับบัพติสมา.
19. ทำไมจึงไม่มีเหตุผลที่จะวิพากษ์วิจารณ์คนที่ตัดสินใจเป็นผู้รับใช้ที่อุทิศตัวของพระเจ้า?
19 อย่างไรก็ตาม หากคนใดบรรลุข้อเรียกร้องทุกอย่าง มีเหตุผลใดล่ะที่เขาน่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์สำหรับการตัดสินใจเป็นส่วนตัวด้วยความตั้งใจจริง ที่เขาจะยอมอยู่ใต้การชี้นำจากพระเจ้าและโดยพระคำซึ่งมีขึ้นโดยการดลใจของพระองค์? การยอมอยู่ใต้การชี้นำจากพระเจ้านั้นน่าพอใจน้อยกว่าการอยู่ใต้อิทธิพลของมนุษย์หรือ? หรือการยอมตัวอย่างนี้ให้ประโยชน์น้อยกว่า? พยานพระยะโฮวาไม่คิดอย่างนั้น. พวกเขาเห็นพ้องอย่างสุดหัวใจกับพระคำของพระเจ้าซึ่งเขียนโดยยะซายาที่ว่า “เราคือยะโฮวา, พระเจ้าของเจ้าผู้สั่งสอนเจ้า, เพื่อประโยชน์แก่ตัวของเจ้าเอง, และผู้นำเจ้าให้ดำเนินในทางที่เจ้าควรดำเนิน.”—ยะซายา 48:17.
20. ผู้คนได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระโดยความจริงของคัมภีร์ไบเบิลในแง่ใด?
20 ความจริงของคัมภีร์ไบเบิลปลดปล่อยผู้คนเป็นอิสระจากการเชื่อหลักคำสอนเท็จทางศาสนา เช่นการทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์ในไฟนรก. (ท่านผู้ประกาศ 9:5, 10) แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ความจริงของพระคัมภีร์ทำให้หัวใจของพวกเขาเปี่ยมด้วยความหยั่งรู้ค่าในเรื่องความหวังแท้สำหรับคนตาย กล่าวคือการกลับเป็นขึ้นจากตายซึ่งเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซูคริสต์เป็นพื้นฐานที่ทำให้เป็นไปได้. (มัดธาย 20:28; กิจการ 24:15; โรม 6:23) ความจริงของคัมภีร์ไบเบิลทำให้ผู้คนเป็นอิสระพ้นจากความผิดหวังอันเนื่องมาจากการไว้ใจในคำสัญญาของนักการเมืองซึ่งไม่เคยทำได้จริง. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ความจริงของคัมภีร์ไบเบิลทำให้หัวใจของพวกเขาเต็มล้นด้วยความยินดี เมื่อได้ทราบว่าราชอาณาจักรของพระยะโฮวาปกครองแล้วในสวรรค์และจะปกครองเหนือแผ่นดินโลกทั้งสิ้นในอีกไม่ช้านี้. ความจริงของคัมภีร์ไบเบิลปลดปล่อยผู้คนจากกิจปฏิบัติซึ่งแม้ว่าทำให้เนื้อหนังที่เสื่อมลงพอใจ แต่ก็เป็นการหลู่พระเกียรติพระเจ้าและก่อผลเสียหายอันน่าเศร้าใจในรูปของความสัมพันธ์ที่ล้มเหลว, ความเจ็บป่วย, และความตายก่อนเวลาอันควร. พูดสั้น ๆ คือ การเป็นทาสของพระเจ้าให้ผลประโยชน์ยิ่งกว่าการเป็นทาสของมนุษย์มากทีเดียว. ที่จริง มีคำสัญญาว่าคนที่อุทิศตัวแด่พระเจ้าจะได้รับประโยชน์ “ในยุคนี้ . . . และในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์.”—มาระโก 10:29, 30, ฉบับแปลใหม่.
21. พยานพระยะโฮวามีทัศนะอย่างไรในเรื่องการอุทิศตัวแด่พระเจ้า และความปรารถนาของพวกเขาเป็นเช่นไร?
21 พยานพระยะโฮวาในปัจจุบันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชาติที่อุทิศตัวเนื่องด้วยชาติกำเนิดเหมือนชาวยิศราเอลในสมัยโบราณ. พยานฯ เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมคริสเตียนที่อุทิศตัว. พยานฯ แต่ละคนที่รับบัพติสมาแล้วอยู่ในฐานะเช่นนั้นโดยการใช้เสรีภาพในการเลือกของตัวเองเพื่อทำการอุทิศตัว. ที่จริง สำหรับพยานพระยะโฮวาแล้ว การอุทิศตัวก่อผลเป็นสัมพันธภาพอันอบอุ่นเป็นส่วนตัวกับพระเจ้าซึ่งแสดงออกอย่างเด่นชัดโดยการเต็มใจรับใช้พระองค์. พวกเขาปรารถนาอย่างสุดหัวใจที่จะรักษาสัมพันธภาพอันน่ายินดีนี้ ยึดมั่นเอาไว้ตลอดไปในเสรีภาพซึ่งพระเยซูคริสต์ทรงปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระ.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ เหตุใดการที่พระเจ้าทรงเลือกชาติยิศราเอลให้เป็น “ทรัพย์ประเสริฐ” ของพระองค์จึงไม่ใช่การลำเอียง?
▫ ทำไมคุณจึงกล่าวว่า การอุทิศตัวของคริสเตียนไม่ได้ทำให้สูญเสียเสรีภาพแต่อย่างใด?
▫ การอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาพระเจ้าให้ผลประโยชน์อะไร?
▫ ทำไมการเป็นผู้รับใช้พระยะโฮวาจึงดีกว่าการเป็นทาสของมนุษย์?
[รูปภาพหน้า 15]
ในชาติยิศราเอลโบราณ การอุทิศตัวแด่พระเจ้าเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับชาติกำเนิด
[รูปภาพหน้า 16]
การอุทิศตัวของคริสเตียนเป็นเรื่องของการเลือก