ความสงสัยเกี่ยวกับพระเยซูเป็นเรื่องสมเหตุผลไหม?
พระเยซูชาวนาซาเร็ธได้ทำการอัศจรรย์จริง ๆ ไหม? พระองค์ถูกปลุกให้คืนพระชนม์ ดังที่พวกสาวกของพระองค์ประกาศไหม? พระองค์เคยมีชีวิตจริง ๆ ไหม? ในยุคปัจจุบัน หลายคนดูเหมือนจะไม่สามารถตอบคำถามเช่นนั้นได้ด้วยความแน่ใจ. เพราะเหตุใด? เพราะพวกเขามีความสงสัยเรื่องพระเยซู และความสงสัยคือความรู้สึกไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นความจริงหรือเป็นไปได้หรือไม่. แต่ความรู้สึกไม่แน่ใจเกี่ยวกับพระเยซูสมเหตุสมผลไหม? ให้เรามาดูกัน.
วิธีที่ความสงสัยเรื่องพระเยซูถูกหว่านไว้
นักเทววิทยาชาวเยอรมันบางคนในปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 พรรณนาพระเยซูว่าเป็น “บุคคลสมมุติในคริสตจักรโบราณ.” การที่เขาแสดงความสงสัยต่อข้อที่ว่าพระเยซูเป็นบุคคลจริงในประวัติศาสตร์นั้นนำไปสู่การโต้แย้งในระหว่างผู้คงแก่เรียนตอนต้นศตวรรษนี้ ซึ่งแผ่ไปถึงสาธารณชนในเวลานั้น และยังคงมีผลกระทบอยู่ในทุกวันนี้. ตัวอย่างเช่น การศึกษาวิจัยไม่นานมานี้ในเยอรมนีเผยให้เห็นว่า 3 เปอร์เซ็นต์ของคนเหล่านั้นที่ถูกสัมภาษณ์เชื่อว่าพระเยซู “ไม่เคยมีชีวิตอยู่” และเชื่อว่า “พวกอัครสาวกแต่งเรื่องพระองค์ขึ้นมา.” ถูกแล้ว เมล็ดแห่งความสงสัยเกี่ยวกับพระเยซูซึ่งถูกหว่านตอนต้น ๆ ศตวรรษนี้พบดินดีในหัวใจผู้คนแม้แต่เวลานี้.
ทำไมข้อสรุปที่ว่า เรื่องพระเยซูเป็นเรื่องที่ “แต่ง” นั้นไม่สมเหตุสมผลเลย? วอล์ฟกัง ทริลลิง ผู้คงแก่เรียนด้านคัมภีร์ไบเบิลออกความเห็นว่า “การโต้แย้งในเรื่องที่ว่า พระเยซูเคยมีชีวิตอยู่หรือไม่ กล่าวอีกนัยหนึ่ง พระองค์เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์หรือว่าในเทพนิยายนั้น ยุติแล้ว. ปัญหาถูกขจัดออกไปโดยมีการค้นคว้าอย่างดี อย่างน้อยที่สุดก็ในวิธีที่คนช่างคิด เห็นว่าปัญหานั้นเป็นเรื่องที่ไม่ต้องเดาสุ่มอีกต่อไป.” ถึงอย่างไรก็ตาม บางคนยังสงสัยอยู่ว่า พระเยซูเคยดำรงอยู่หรือไม่. เพราะฉะนั้น ขอให้เราตรวจสอบวิธีที่คนเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าพระเยซูเป็นบุคคลจริงในประวัติศาสตร์ อีกทั้งขจัดข้อสงสัยอื่น ๆ เกี่ยวกับพระองค์.
หลักฐานที่ขจัดความสงสัยให้หมดไป
ทริลลิงกล่าวว่า การประหารชีวิตพระเยซูแบบน่าอัปยศอดสูเสมือนอาชญากรที่เลวทรามต่ำช้านั้นเป็นการให้ “เหตุผลน่าเชื่อที่สุดต่อผู้ที่คัดค้านว่าพระเยซูไม่ใช่บุคคลจริงในประวัติศาสตร์.” เพราะเหตุใด? เพราะการประหารชีวิตนั้น “ขัดขวาง ถึงกับหน่วงเหนี่ยว การแพร่กระจายความเชื่อใหม่ท่ามกลางชาวยิวและคนที่ไม่ใช่ยิว.” (เทียบกับ 1 โกรินโธ 1:23.) หากการประหารชีวิตพระเยซูมาซีฮาเป็นเรื่องน่าอับอายขนาดนั้นแก่ทั้งชาวยิวและคนต่างชาติแล้ว เรื่องนั้นคงไม่ใช่การปั้นน้ำเป็นตัวโดยอัครสาวกแน่ ๆ! นอกจากนั้น ความตายของพระเยซูได้รับการยืนยันว่าเป็นเหตุการณ์จริงทางประวัติศาสตร์ไม่เพียงแต่โดยกิตติคุณทั้งสี่เท่านั้น แต่โดยทาซิทุสนักเขียนชาวโรมันและจากหนังสือทัลมุดของชาวยิวด้วย.a
เหตุการณ์อื่น ๆ ระหว่างช่วงชีวิตของพระเยซูได้รับการมองว่าเป็นหลักฐานภายในเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของกิตติคุณด้วย ฉะนั้นจึงเป็นหลักฐานน่าเชื่อถือของเรื่องที่กิตติคุณบอกเกี่ยวกับพระองค์ด้วย. ตัวอย่างเช่น พวกสาวกของพระเยซูจะกุเรื่องที่พระองค์เสด็จมาจากเมืองนาซาเร็ธ สถานที่ซึ่งดูเหมือนไม่สลักสำคัญนั้นไหม? หรือพวกเขาจะปั้นเรื่องที่พระองค์ถูกยูดาทรยศไหม ซึ่งเป็นสหายที่ได้รับการไว้ใจ? ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ตรงกับสภาพจริงไหมที่จะคิดว่า พวกเขาจะปั้นน้ำเป็นตัวในเรื่องเหล่าสาวกที่เหลือละทิ้งพระเยซูด้วยท่าทีขลาดกลัว? เป็นเรื่องไม่มีเหตุผลแน่ ๆ ที่พวกสาวกจะกุรายละเอียดที่เป็นผลเสียหายและต่อจากนั้นก็ประกาศเรื่องนั้นไปทั่วทุกหัวระแหง! นอกจากนี้ ศิลปะในการสั่งสอนที่พระเยซูทรงใช้นั้นแสดงลักษณะพิเศษด้วยรูปแบบที่ไม่มีใครเหมือน. วรรณคดียิวในศตวรรษแรกเทียบไม่ได้เลยกับอุทาหรณ์ของพระองค์. บุคคลนิรนามคนใดหรือที่สามารถ “แต่ง” ผลงานชิ้นเอกอย่างคำเทศน์บนภูเขานั้นได้? การอ้างเหตุผลเหล่านี้ล้วนมีแนวโน้มที่จะยืนยันความน่าเชื่อถือของกิตติคุณฐานะรายงานเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซู.
ยังมีหลักฐานจากภายนอกที่พิสูจน์ให้เห็นว่าพระเยซูเป็นบุคคลจริงในประวัติศาสตร์. กิตติคุณสี่เล่มพรรณนาถึงพระองค์ว่าอยู่ในฉากเหตุการณ์หนึ่งทางประวัติศาสตร์โดยเฉพาะ ที่มีรายละเอียดอย่างถูกต้อง. สถานที่อย่างเมืองเบธเลเฮมและมณฑลฆาลิลาย, ปัจเจกบุคคลและกลุ่มชนที่เด่นดังอย่างปนเตียวปีลาตและพวกฟาริซาย, อีกทั้งธรรมเนียมของชาวยิวและลักษณะพิเศษอื่น ๆ ไม่ได้ถูกกุขึ้น. เรื่องเหล่านี้ประกอบกันเป็นส่วนแห่งรูปแบบชีวิตในศตวรรษแรก และเรื่องนั้นได้รับการยืนยันจากแหล่งที่ไม่ได้มาจากคัมภีร์ไบเบิล และจากการค้นพบทางโบราณคดี.
ด้วยเหตุนี้ มีหลักฐานน่าเชื่อถือจากทั้งภายในและภายนอกว่า พระเยซูเป็นบุคคลจริงในประวัติศาสตร์.
อย่างไรก็ดี คนจำนวนมากทีเดียวมีความสงสัยเกี่ยวกับการอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่พระองค์เกี่ยวข้องด้วย. ที่จริง ตามการสำรวจที่อ้างถึงข้างต้นนั้น คนเพียงส่วนน้อยของผู้ไปโบสถ์ชาวเยอรมันเชื่ออย่างแน่วแน่ว่า การอัศจรรย์และการคืนพระชนม์ของพระองค์นั้น “เกิดขึ้นจริง ๆ.” ความสงสัยเรื่องการอัศจรรย์และการคืนพระชนม์ของพระเยซูนั้นสมเหตุสมผลไหม?
เหตุผลที่บางคนสงสัยการอัศจรรย์ของพระเยซู
มัดธาย 9:18-36 รายงานว่า พระเยซูทรงรักษาคนป่วยโดยการอัศจรรย์, ปลุกคนตายให้เป็นขึ้น, และขับผีออก. ศาสตราจารย์ฮูโก สเตาดิงเกอร์ นักประวัติศาสตร์ ให้ความเห็นว่า “เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริง ๆ และจากมุมมองทางประวัติศาสตร์แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่รายงานซึ่งผิดธรรมดาเหล่านี้เป็นผลผลิตจากจินตนาการที่เหมือนจริง.” เพราะเหตุใด? เพราะดูเหมือนว่า กิตติคุณเล่มแรก ๆ ได้รับการเขียนขึ้นในคราวที่ประจักษ์พยานส่วนใหญ่ของการอัศจรรย์เหล่านี้ยังคงมีชีวิตอยู่! ดังที่สเตาดิงเกอร์กล่าวต่อไป มีการพบหลักฐานยืนยันอีกว่า ปรปักษ์ชาวยิว “ไม่เคยปฏิเสธในเรื่องที่พระเยซูทำการอัศจรรย์.” โดยมองข้ามหลักฐานอื่น ๆ ทั้งหมด และให้การวินิจฉัยของเราอาศัยเพียงแต่หลักฐานภายนอกข้อนี้เท่านั้น เราพบว่า การอัศจรรย์ของพระเยซูคู่ควรกับความเชื่อถือของเราอย่างแน่นอน.—2 ติโมเธียว 3:16.
ถึงแม้ “ชาวเยอรมันส่วนใหญ่มั่นใจว่า พระเยซูทรงรักษาคนป่วยให้หาย” หลายคนก็มีความสงสัยเรื่องอำนาจที่อยู่เบื้องหลังการรักษาเหล่านี้. ตัวอย่างเช่น นักเทววิทยาชาวเยอรมันที่โด่งดังคนหนึ่งแถลงอย่างเปิดเผยว่า การรักษาโรคที่พระเยซูทรงกระทำนั้นเป็นผลจากอำนาจการสะกดจิตซึ่งมีผลต่อคนที่ประสบความทุกข์ทางจิตใจ. นี่เป็นคำอธิบายสมเหตุสมผลไหม?
ขอให้พิจารณาตัวอย่างเหล่านี้. มาระโก 3:3-5 รายงานว่า พระเยซูทรงรักษาชายมือลีบให้หาย. แต่มือลีบเป็นผลของความทุกข์ทางจิตใจไหม? ไม่อย่างแน่นอน. เพราะฉะนั้น จะถือว่าการรักษาโรครายนี้เกิดจากอำนาจการสะกดจิตย่อมไม่ได้. ดังนั้น อะไรทำให้พระเยซูสามารถทำการอัศจรรย์ได้? ศาสตราจารย์สเตาดิงเกอร์ยอมรับว่า “หากไม่มีกฎหมายที่มีผลบังคับใช้อย่างเด็ดขาด และหากคนเราไม่ปฏิเสธพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ถ้าเช่นนั้น โดยพื้นฐานแล้ว คนเราก็ไม่สามารถขจัดความเป็นไปได้ที่ว่า พระเจ้าผู้ทรงมีอำนาจเกินมนุษย์สามารถทำสิ่งมหัศจรรย์ได้.” ถูกแล้ว ที่แท้ ด้วยความช่วยเหลือจาก “อำนาจของพระเจ้า” พระเยซูทรงรักษาคนที่ป่วยจริง ๆ. ดังนั้น ไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยความเป็นจริงแห่งการอัศจรรย์ของพระองค์.—ลูกา 9:43; มัดธาย 12:28.
ดังที่สารานุกรมชาวอเมริกัน (ภาษาอังกฤษ) กล่าวไว้ หากการอัศจรรย์ใหญ่ยิ่งที่สุดในบรรดาการอัศจรรย์ทั้งมวล ซึ่งได้แก่ การคืนพระชนม์ของพระเยซูนั้นได้เกิดขึ้น การอัศจรรย์อื่น ๆ ทั้งหมดที่มีรายงานอยู่ในกิตติคุณ “ก็อยู่ในวิสัยที่เป็นไปได้.” พระเยซูได้รับการปลุกให้คืนพระชนม์จริง ๆ หรือ?
ความสงสัยเรื่องการคืนพระชนม์ของพระเยซูสมเหตุสมผลไหม?
ขอพิจารณาตัวอย่างหลักฐานแวดล้อมที่แน่นหนาที่สนับสนุนความจริงเรื่องการคืนพระชนม์ของพระเยซู นั่นคือ อุโมงค์ฝังศพที่ว่างเปล่า. ข้อเท็จจริงที่ว่า หลุมฝังศพของพระเยซูถูกพบว่าว่างเปล่านั้นเป็นเรื่องที่คนร่วมสมัยกับพระองค์ แม้แต่ผู้ต่อต้านพระองค์ ไม่ได้โต้แย้ง. (มัดธาย 28:11-15) การหลอกลวงคงถูกเปิดโปงอย่างง่ายดาย! หนังสืออ้างอิงซึ่งกล่าวถึงก่อนหน้านี้สรุปอย่างเหมาะสมว่า “ไม่เคยมีการเสนอคำอธิบายที่ฟังขึ้นเกี่ยวกับอุโมงค์ฝังศพที่ว่างเปล่านั้น นอกจากคำแถลงในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า ‘พระองค์หาได้ประทับอยู่ที่นี่ไม่, ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว.’ (มัด. 28:6).”
บางคนคัดค้านโดยพูดว่า มีแต่พวกสาวกของพระเยซูเองเท่านั้นที่ประกาศทั่วทุกหนแห่งว่า พระองค์เป็นพระมาซีฮาที่คืนพระชนม์แล้ว. พวกเขาทำเช่นนั้นจริง. แต่ความน่าเชื่อถือแห่งข่าวสารของเขานั้นมีรากฐานมั่นคงอยู่ในข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์มิใช่หรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวายพระชนม์และการคืนพระชนม์ของพระเยซู? แน่นอน. อัครสาวกเปาโลสำนึกถึงความเกี่ยวพันในเรื่องนี้เมื่อท่านเขียนว่า “แต่ถ้าพระคริสต์มิได้รับการคืนพระชนม์ การเทศนาของเราก็เปล่าประโยชน์แน่ ๆ และความเชื่อของเราก็เปล่าประโยชน์ด้วย. ยิ่งกว่านั้น เราก็จะปรากฏอีกเช่นกันว่าเป็นพยานเท็จของพระเจ้าเพราะเราให้คำพยานต่อต้านพระเจ้าว่า พระองค์ได้ทรงบันดาลให้พระคริสต์คืนพระชนม์.”—1 โกรินโธ 15:14, 15, ล.ม.; เทียบกับโยฮัน 19:35; 21:24; เฮ็บราย 2:3.
ในศตวรรษแรก มีหลายคนที่เอกลักษณ์ของเขาเป็นที่รู้จักกันดีและเป็นผู้ซึ่งสามารถให้การเป็นพยานถึงการปรากฏของพระเยซูหลังจากการวายพระชนม์ของพระองค์. ในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีอัครสาวก 12 คน และเปาโล และก็ประจักษ์พยานอื่นอีกมากกว่า 500 คน.b (1 โกรินโธ 15:6) ขอให้ระลึกถึงเหตุผลที่มัดเธียบรรลุคุณวุฒิที่จะสืบตำแหน่งต่อจากอัครสาวกยูดาที่ไม่ซื่อสัตย์. กิจการ 1:21-23 รายงานว่า มัดเธียสามารถให้การเป็นพยานถึงการคืนพระชนม์ของพระเยซู และเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นที่เกี่ยวข้องกับพระองค์. หากชีวิตและการคืนพระชนม์ของพระเยซูเป็นเรื่องกุขึ้นแทนที่จะเป็นเรื่องจริงแล้ว ข้อเรียกร้องสำหรับการแต่งตั้งนั้นคงจะไม่มีความหมายเลยอย่างแน่นอน.
เนื่องจากประจักษ์พยานเป็นจำนวนมากในศตวรรษแรกสามารถให้การเป็นพยานถึงชีวิต, การอัศจรรย์, การวายพระชนม์, และการคืนพระชนม์ของพระเยซู ศาสนาคริสเตียนจึงแพร่กระจายค่อนข้างรวดเร็วทั่วจักรวรรดิโรมัน ทั้ง ๆ ที่มีอุปสรรคดังกล่าวข้างต้น. เหล่าสาวกของพระองค์เต็มใจจะอดทนความยากลำบาก, การข่มเหง, และแม้แต่ความตายเพื่อจะประกาศทั่วทุกหนแห่งถึงการคืนพระชนม์และความจริงพื้นฐานเกี่ยวกับการคืนพระชนม์นั้น. ความจริงอะไร? ความจริงที่ว่า การคืนพระชนม์ของพระองค์มีทางเป็นไปได้ก็โดยอำนาจของพระเจ้าเท่านั้น. และทำไมพระเจ้ายะโฮวาทรงปลุกพระเยซูให้คืนพระชนม์? คำตอบสำหรับคำถามนี้จะแสดงว่า พระเยซู บุคคลในประวัติศาสตร์ เป็นใคร.
ในวันเพนเตคอสเต อัครสาวกเปโตรประกาศอย่างเต็มปากเต็มคำแก่ชาวยิวที่ประหลาดใจในกรุงยะรูซาเลมว่า “พระเยซูนี้พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้คืนพระชนม์แล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นพยานด้วยเหตุการณ์นี้. เหตุฉะนั้นเมื่อพระหัตถ์เบื้องขวาของพระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ขึ้น, และครั้นพระองค์ได้ทรงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระบิดาตามคำทรงสัญญา, พระองค์ได้ทรงเทฤทธิ์เดชนี้ลงมาตามซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินและได้เห็นแล้ว. เหตุว่าท่านดาวิดยังไม่ได้ขึ้นไปยังสวรรค์, แต่ท่านเองได้ตรัสว่า, พระยะโฮวาเจ้าได้ตรัสแก่พระองค์ผู้เป็นพระเจ้า [องค์พระผู้เป็นเจ้า, ล.ม.] ของข้าพเจ้าว่า, ‘จงนั่งข้างขวาของเรา, กว่าเราจะปราบศัตรูทั้งหลายของท่านให้อยู่ใต้พระบาทท่าน.’ เหตุฉะนั้นให้ชาติยิศราเอลทั้งปวงทราบแน่นอนว่า, พระเจ้าได้ทรงยกพระเยซูนี้ซึ่งท่านทั้งหลายได้ตรึงไว้ . . . ตั้งขึ้นให้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและเป็นพระคริสต์.” (กิจการ 2:32-36) ถูกแล้ว พระเจ้ายะโฮวาทรงตั้งพระเยซูชาวนาซาเร็ธให้เป็น “องค์พระผู้เป็นเจ้าและเป็นพระคริสต์.” ความสงสัยเกี่ยวกับบทบาทของพระองค์ในส่วนนี้แห่งพระประสงค์ของพระเจ้าสมเหตุสมผลไหม?
ทำไมจึงสงสัยบทบาทของพระเยซูในปัจจุบัน?
จะสามารถขจัดความสงสัยทั้งหมดเกี่ยวกับเอกลักษณ์และบทบาทของพระเยซูได้อย่างไร? โดยข้อเท็จจริงที่ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้พยากรณ์แท้อย่างชัดแจ้ง. พระองค์ทรงทำนายเรื่องสงคราม, ความอดอยาก, แผ่นดินไหว, อาชญากรรม, และการขาดความรักที่เราเห็นอยู่ในทุกวันนี้. นอกจากนี้ พระองค์ทรงทำนายว่า “ข่าวดีแห่งราชอาณาจักรนี้จะได้รับการประกาศทั่วทั้งแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่ เพื่อให้คำพยานแก่ทุกชาติ; และครั้นแล้วอวสานจะมาถึง.” (มัดธาย 24:3-14, ล.ม.) ความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์เหล่านี้พิสูจน์ว่า พระเยซูคือพระคริสต์ผู้คืนพระชนม์แล้ว ทรงปกครองอย่างไม่ประจักษ์แก่ตา ‘ในท่ามกลางศัตรูของพระองค์’ และอีกไม่นานพระองค์จะทรงนำโลกใหม่ของพระเจ้าเข้ามา.—บทเพลงสรรเสริญ 110:1, 2; ดานิเอล 2:44; วิวรณ์ 21:1-5.
เวลานี้ยิ่งกว่าแต่ก่อน มนุษยชาติจำเป็นอย่างเร่งด่วนต้องมีผู้ช่วยให้รอดที่มีสติปัญญาเหนือมนุษย์. เราจะสงสัยไปทำไมเรื่องที่พระเยซูเป็นผู้นั้นที่ได้รับการเลือกอย่างเหมาะสมเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด? โยฮันผู้ซึ่งเป็นประจักษ์พยานถึงการอัศจรรย์ที่น่าประทับใจและการคืนพระชนม์ของพระเยซู ได้แถลงว่า “เราทั้งหลายได้เห็นและเป็นพยานว่าพระบิดาได้ทรงใช้พระบุตรมาเพื่อจะเป็นผู้ช่วยมนุษย์โลกให้รอด.” (1 โยฮัน 4:14; เทียบกับ โยฮัน 4:42.) เช่นเดียวกับที่เราไม่มีเหตุผลที่ฟังขึ้นในการสงสัยการดำรงอยู่, การอัศจรรย์, การวายพระชนม์, และการคืนพระชนม์ของพระเยซู เราก็ไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยว่าพระองค์ได้รับการสถาปนาจากพระเจ้ายะโฮวาฐานะเป็นกษัตริย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์. โดยไม่มีข้อสงสัย พระเยซูชาวนาซาเร็ธทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า และเป็น “ผู้ช่วยมนุษย์โลกให้รอด.”—มัดธาย 6:10.
[เชิงอรรถ]
a การอ้างถึงพระเยซูในเชิงโต้แย้งในหนังสือทัลมุดเป็นที่ยอมรับว่าเป็นความจริงโดยผู้คงแก่เรียนบางคนเท่านั้น. ในทางตรงข้าม การอ้างถึงพระเยซูโดยทาซิทุส, ซูโทนิอุส, พลีนีผู้อ่อนวัยกว่า และอย่างน้อยที่สุดก็ครั้งหนึ่งโดยฟลาวิอุส โยเซฟุสนั้น เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นข้อพิสูจน์เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของพระเยซูในประวัติศาสตร์.
b ในโอกาสหนึ่ง พระเยซูผู้คืนพระชนม์แล้วทรงเสวยปลาพร้อมกับพวกสาวก ซึ่งพิสูจน์ว่าการปรากฏของพระองค์ไม่ใช่เป็นเพียงนิมิต ดังที่บางคนอ้างในทุกวันนี้.—ลูกา 24:36-43.