ขอบคุณที่มีชีวิตยืนยาวในการรับใช้พระยะโฮวา
เล่าโดย โอทีเลีย มิดแลนด์
ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เรือใบจอดเทียบท่าเรียงรายกันอยู่ในท่าเรือคอเพอร์วีกทางภาคตะวันตกของประเทศนอร์เวย์. ในยุคนั้นตามถนนมีทั้งรถลากและรถม้า. ผู้คนใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดเพื่อให้แสงสว่าง และบ้านเรือนซึ่งส่วนใหญ่ทาสีขาวนั้นได้ความอบอุ่นจากฟืนกับถ่านหิน. ดิฉันเกิดที่นั่นในเดือนมิถุนายน 1898 เป็นลูกคนที่สองในห้าคน.
ในปี 1905 คุณพ่อตกงาน ดังนั้น ท่านจึงไปสหรัฐ. สามปีต่อมาท่านกลับมาพร้อมกระเป๋าเดินทางเต็มด้วยของขวัญที่น่าตื่นเต้นสำหรับเด็ก ๆ และผ้าไหมกับของอื่น ๆ สำหรับคุณแม่. แต่สมบัติล้ำค่าที่สุดของพ่อก็คือชุดหนังสือของชาลส์ เทซ รัสเซลล์ที่มีชื่อว่าคู่มือการศึกษาพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ).
พ่อเริ่มบอกเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องถึงเรื่องที่ได้เรียนรู้จากหนังสือเหล่านี้. ณ การประชุมที่โบสถ์เล็ก ๆ ในท้องถิ่น ท่านใช้คัมภีร์ไบเบิลเพื่อแสดงว่าไม่มีไฟนรก. (ท่านผู้ประกาศ 9:5, 10) ในปี 1909 หนึ่งปีหลังจากพ่อกลับจากสหรัฐ บราเดอร์รัสเซลล์มาเยี่ยมนอร์เวย์และกล่าวคำบรรยายในเมืองเบอร์เกนและเมืองคริสเทียเนีย ซึ่งก็คือเมืองออสโลในปัจจุบัน. พ่อไปฟังท่านที่เมืองเบอร์เกน.
คนส่วนใหญ่กล่าวหาพ่อว่าส่งเสริมคำสอนเท็จ. ดิฉันรู้สึกสงสารพ่อจึงช่วยแจกแผ่นพับเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลแก่เพื่อนบ้าน. ในปี 1912 ดิฉันได้ส่งแผ่นพับเรื่องนรกให้ลูกสาวนักเทศน์คนหนึ่ง. เธอด่าประจานดิฉันกับพ่อ. ดิฉันตะลึงที่ลูกสาวนักเทศน์ใช้ภาษาหยาบคายได้ขนาดนั้น!
คนอื่น ๆ ในกลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นชื่อเรียกพยานพระยะโฮวาในตอนนั้น ได้มาเยี่ยมเราเป็นครั้งคราวในคอเพอร์วีก รวมทั้งเทโอดอร์ ซีมอนเซน ผู้บรรยายที่เก่ง. ดิฉันจะเชิญคนมาฟังเขาบรรยายในบ้านเรา. ก่อนบรรยายเขาเล่นพิณและร้องเพลง และหลังจากบรรยายแล้วเขาก็ร้องอีกเพลงหนึ่งปิดท้าย. เรานับถือเขาอย่างสุดซึ้ง.
ผู้มาเยี่ยมบ้านเราอีกคนหนึ่งคือแอนนา แอนเดอร์เซน เป็นคอลพอร์เทอร์หรือผู้เผยแพร่เต็มเวลา. เธอเดินทางไปตามเมืองต่าง ๆ ตลอดทั่วนอร์เวย์ ส่วนใหญ่โดยรถจักรยาน เพื่อจำหน่ายสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลแก่ผู้คน. เธอเคยเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในองค์การแซลเวชันอาร์มี และเธอรู้จักเจ้าหน้าที่บางคนขององค์การนี้ในคอเพอร์วีก. พวกเขาอนุญาตให้เธอกล่าวคำบรรยายเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล ณ ที่ประชุมของเขา และดิฉันเชิญคนมาฟังเธอ.
คอลพอร์เทอร์อีกคนหนึ่งที่มาเยี่ยมเราในคอเพอร์วีกคือ คาร์ล กุนเบอร์. ชายผู้สุภาพ, เงียบ, ทว่ามีอารมณ์ขันคนนี้รับใช้เป็นครั้งคราวฐานะผู้แปลด้วยที่สำนักงานสาขาในออสโล. หลายปีต่อมาเราทำงานด้วยกันที่นั่น.
ได้รับผลกระทบจากทัศนะทางศาสนา
ในช่วงนั้นคนส่วนใหญ่ไม่เพียงแต่มีความเชื่อมั่นคงในพระเจ้าและคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น แต่ยังยึดมั่นในหลักข้อเชื่อ เช่นในเรื่องไฟนรกและตรีเอกานุภาพด้วย. ฉะนั้นจึงก่อให้เกิดการยั่วยุทีเดียวเมื่อนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลสอนว่า คำสอนเหล่านี้ไม่ประสานกับคัมภีร์ไบเบิล. ดิฉันได้รับผลกระทบจากข้อกล่าวหาที่รุนแรงของเพื่อนบ้านที่ว่าพ่อเป็นคนนอกรีต. ครั้งหนึ่งดิฉันถึงกับบอกพ่อว่า “พ่อสอนเรื่องไม่จริง. นั่นเป็นศาสนานอกรีต!”
“มานี่ซิ โอทีเลีย” พ่อให้กำลังใจดิฉัน “มาดูสิว่าคัมภีร์ไบเบิลบอกไว้อย่างไร.” แล้วท่านอ่านให้ดิฉันฟังจากพระคัมภีร์. ผลก็คือ ดิฉันมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นในตัวท่านและสิ่งที่ท่านสอน. ท่านสนับสนุนดิฉันให้อ่านคู่มือการศึกษาพระคัมภีร์ ดังนั้น ระหว่างฤดูร้อนของปี 1914 ดิฉันมักจะนั่งอ่านอยู่บนเนินเขาที่มีเมืองอยู่ข้างล่าง.
ในเดือนสิงหาคม 1914 ผู้คนเบียดเสียดกันอยู่นอกอาคารของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอ่านเรื่องการปะทุของสงครามโลกครั้งที่ 1. คุณพ่อมาถึงและดูว่าเกิดอะไรขึ้น. ท่านอุทานว่า “ขอบพระคุณพระเจ้า!” ท่านสำนึกว่าการระเบิดของสงครามนั้นสำเร็จเป็นจริงตามคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งท่านได้ประกาศนั้น. (มัดธาย 24:7) ในครั้งนั้นหลายคนในกลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเชื่อว่าเขาจะถูกรับไปสวรรค์อีกไม่นาน. เมื่อเหตุการณ์นี้มิได้เกิดขึ้น บางคนผิดหวัง.
ดิฉันยืนหยัดเพื่อความจริงในคัมภีร์ไบเบิล
ในปี 1915 ตอนอายุ 17 ปี ดิฉันจบโรงเรียนมัธยมแล้วเริ่มทำงานอาชีพในสำนักงาน. ตอนนั้นดิฉันเริ่มอ่านหอสังเกตการณ์ เป็นประจำ. แต่ไม่มีการจัดการประชุมเป็นประจำในคอเพอร์วีกจนกระทั่งปี 1918. ทีแรก มีพวกเราห้าคนเข้าร่วม. เราอ่านสรรพหนังสือของสมาคมว็อชเทาเวอร์ เช่น คู่มือการศึกษาพระคัมภีร์ และพิจารณาเรื่องราวโดยการถามตอบ. ถึงแม้คุณแม่ชมเชยกลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลให้คนอื่นฟังก็ตาม ท่านไม่เคยเข้ามาเป็นพวกเราเลย.
ในสำนักงานที่ดิฉันทำงาน เริ่มในปี 1918 ดิฉันได้คุ้นเคยกับแอนทอน ซอลต์เนส ซึ่งดิฉันสามารถช่วยเข้ามาเป็นคนหนึ่งในกลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. ในตอนนั้นดิฉันเข้ามาเป็นผู้ประกาศและได้รับบัพติสมา ณ การประชุมใหญ่ในเบอร์เกนเมื่อปี 1921.
ในเดือนพฤษภาคม 1925 มีการประชุมใหญ่สำหรับกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียในเมืองโอรีโบร, ประเทศสวีเดน. มีผู้เข้าร่วมประชุมมากกว่า 500 คน รวมทั้งโจเซฟ เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ด นายกของสมาคมว็อชเทาเวอร์. พวกเราประมาณ 30 คนเดินทางจากออสโลโดยรถไฟในตู้ที่สำรองไว้.
มีคำประกาศ ณ การประชุมนี้ว่าจะมีการตั้งสำนักงานสำหรับภาคเหนือของยุโรปในกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เพื่อเอาใจใส่งานประกาศตลอดทั่วประเทศแถบสแกนดิเนเวียและแถบทะเลบอลติก. วิลเลียม เดย์ จากสกอตแลนด์ได้รับมอบหมายให้ดูแลงานประกาศ. เขาเป็นผู้ที่มีคนชอบมาก และไม่ช้าก็เป็นที่รู้จักในชื่อเล่นว่า ชาวสกอตผู้ล่ำสัน. ในตอนต้น บราเดอร์เดย์ ไม่รู้ภาษาใด ๆ ของสแกนดิเนเวีย ดังนั้น เขาจะนั่งอยู่ข้างหลังระหว่างการประชุมที่หอประชุมและในการประชุมใหญ่และดูแลพวกเด็ก ๆ เพื่อพ่อแม่จะสามารถเอาใจจดจ่อสิ่งที่กล่าวบนเวทีได้.
หอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 1 มีนาคม 1925 พิจารณาพระธรรมวิวรณ์บท 12 และอธิบายว่าบทนี้เกี่ยวข้องกับการกำเนิดราชอาณาจักรของพระเจ้าและเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในสวรรค์ในปี 1914. ดิฉันพบว่าเรื่องนี้เข้าใจยาก ดังนั้นจึงอ่านบทความนั้นหลายครั้ง. เมื่อเข้าใจเรื่องนั้นในที่สุด ดิฉันรู้สึกเป็นสุขเบิกบานจริง ๆ.
เมื่อมีการปรับเปลี่ยนความเข้าใจของเราในเรื่องต่าง ๆ จากคัมภีร์ไบเบิล บางคนสะดุดและถอนตัวจากไพร่พลของพระเจ้า. แต่เมื่อการปรับเปลี่ยนดังกล่าวเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก ดิฉันจะอ่านเรื่องนั้นหลายครั้งหลายหนเสมอเพื่อพยายามจะเข้าใจการหาเหตุผล. ถ้ายังคงไม่เข้าใจคำอธิบายใหม่นั้นอยู่ ดิฉันก็จะคอยคำอธิบายที่กระจ่างแจ้ง. หลายครั้ง ดิฉันได้รับผลตอบแทนจากความอดทนเช่นนั้น.
การรับใช้ที่เบเธล
เป็นเวลาหลายปีดิฉันทำงานเป็นพนักงานบัญชี, เลขานุการ, และผู้ตรวจสอบบัญชีประจำเขต. ในปี 1928 คนที่เอาใจใส่เรื่องบัญชีการเงินของสมาคมป่วยและต้องออกจากเบเธล. เนื่องจากมีประสบการณ์ในงานดังกล่าว ดิฉันจึงได้รับการขอร้องให้ทำงานนี้. ดิฉันเริ่มการรับใช้ที่เบเธลในเดือนมิถุนายน 1928. บางครั้ง บราเดอร์เดย์มาเยี่ยมพวกเราและตรวจสอบบัญชีที่ดิฉันทำ. ครอบครัวเบเธลของเรานำหน้าในงานประกาศแก่คนทั่วไปในกรุงออสโลด้วย ตอนนั้นเรามีเพียงประชาคมเดียวเท่านั้น.
พวกเราบางคนช่วยบราเดอร์ซากส์ฮัมเมอร์ พี่น้องที่ดูแลการจัดส่งสรรพหนังสือที่เบเธล โดยการห่อและส่งวารสารเดอะ โกลเดนเอจ (ตื่นเถิด! ในปัจจุบัน). บราเดอร์ซีมอนเซนกับกุนเบอร์อยู่ในบรรดาผู้ที่ช่วยเหลือเรา. ช่วงนั้นเรามีความสุขเบิกบาน บ่อยครั้งร้องเพลงกันขณะเราทำงาน.
มั่นใจในความหวังเรื่องราชอาณาจักร
ในปี 1935 เราได้เข้าใจว่า “ชนฝูงใหญ่” ไม่ใช่ชนฝ่ายสวรรค์ลำดับรอง. เราได้เรียนรู้ว่าแทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับหมายถึงชนจำพวกที่รอดผ่านความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่และมีโอกาสจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลก. (วิวรณ์ 7:9-14, ล.ม.) ด้วยความเข้าใจใหม่นี้ บางคนที่เคยรับเครื่องหมายอนุสรณ์ได้ตระหนักว่าเขามีความหวังที่จะอยู่บนแผ่นดินโลก เขาจึงเลิกรับ.
ถึงแม้ไม่เคยสงสัยในเรื่องความหวังทางภาคสวรรค์ของตัวเองก็ตาม บ่อยครั้งดิฉันคิดว่า ‘ทำไมพระเจ้าต้องการดิฉัน?’ ดิฉันรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับสิทธิพิเศษใหญ่ยิ่งเช่นนั้น. เพราะเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ขี้อาย ดิฉันจึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกที่จะคิดถึงตัวเองฐานะกษัตริย์ ปกครองร่วมกับพระคริสต์ในสวรรค์. (2 ติโมเธียว 2:11, 12; วิวรณ์ 5:10) อย่างไรก็ดี ดิฉันไตร่ตรองคำพูดของอัครสาวกเปาโลที่ว่า “คนมีอำนาจ . . . น้อยคนนัก” ที่ทรงเรียก แต่พระเจ้า “ได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าอ่อนกำลัง. เพื่อจะให้คนมีกำลังมากอับอาย.”—1 โกรินโธ 1:26, 27.
กิจการงานระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
ในวันที่ 9 เมษายน 1940 กองทัพเยอรมันบุกรุกนอร์เวย์ และไม่นานประเทศก็ถูกยึดครอง. ผลจากสงคราม หลายคนจึงตอบรับข่าวสารเรื่องราชอาณาจักร. ตั้งแต่เดือนตุลาคม 1940 ถึงเดือนมิถุนายน 1941 เราจำหน่ายหนังสือปกแข็งและหนังสือเล่มเล็กมากกว่า 272,000 เล่ม. นั่นหมายความว่าพยานฯ มากกว่า 470 คนในนอร์เวย์ตอนนั้นได้จำหน่ายหนังสือปกแข็งและเล่มเล็กโดยเฉลี่ยแล้วคนละ 570 เล่มในระหว่างเก้าเดือนนั้น!
ในวันที่ 8 กรกฎาคม 1941 ตำรวจลับเกสตาโปได้มาพบผู้ดูแลผู้เป็นประธานทั้งหมดและบอกว่า ถ้าไม่หยุดเลิกงานประกาศแล้ว พวกเขาจะถูกส่งตัวไปยังค่ายกักกัน. เจ้าหน้าที่ตำรวจเยอรมันห้าคนมาที่เบเธลแล้วยึดทรัพย์สินส่วนมากของสมาคมว็อชเทาเวอร์ไป. ครอบครัวเบเธลถูกพาตัวไปสอบสวน แต่ไม่มีสักคนในพวกเราถูกจำคุก. ในที่สุด เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 1941 อาคารของสมาคม เลขที่ 28 บี ถนนอินคอกนีทอกาทันได้ถูกยึด และงานประกาศของเราถูกสั่งห้าม. ดิฉันจึงย้ายกลับไปคอเพอร์วีก และทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเอง.
ในตอนนั้นคุณพ่อรับใช้ฐานะไพโอเนียร์. วันหนึ่ง พวกนาซีมาค้นบ้านพ่อ. พวกเขาเอาสรรพหนังสือทั้งหมดไป รวมทั้งคัมภีร์ไบเบิลและศัพท์สัมพันธ์เกี่ยวกับพระคัมภีร์. เราได้รับอาหารฝ่ายวิญญาณเพียงน้อยนิดระหว่างช่วงนี้. เพื่อคงความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณอยู่ต่อไป เราศึกษาหนังสือเก่ากันหลายครั้ง เช่นหนังสือรัฐบาล และเรายังคงประกาศต่อไป.
น่าเศร้า ในหลายแห่งพี่น้องแตกแยกกัน. บางคนมีความเห็นว่าเราควรประกาศอย่างเปิดเผย และไปตามบ้าน ขณะที่คนอื่นรู้สึกว่าเราน่าจะทำงานแบบลับ ๆ มากกว่า โดยติดต่อกับผู้คนในวิธีอื่น. ดังนั้น พี่น้องเด่น ๆ ที่เมื่อก่อนร่วมมือกันดีทีเดียวและเป็นผู้ซึ่งเรารักมากนั้นไม่พูดกัน. การแตกแยกระหว่างพวกเขาทำให้ดิฉันปวดร้าวใจยิ่งกว่าสภาพอื่นใดในชีวิตของดิฉันฐานะพยานฯ.
กิจการที่เริ่มต้นใหม่หลังสงคราม
ภายหลังสงคราม ในฤดูร้อนของปี 1945 บราเดอร์เดย์มาเยี่ยมนอร์เวย์และจัดการประชุมในกรุงออสโล, เมืองเชอัน, และเบอร์เกน. เขาได้อ้อนวอนพวกพี่น้องให้ปรองดองกันและขอทุกคนที่ปรารถนาจะทำเช่นนั้นให้ยืนขึ้น. ผู้ฟังทั้งหมดลุกขึ้นยืน! ข้อโต้แย้งได้รับการจัดการเรียบร้อยอย่างถาวรในเดือนธันวาคม 1945 หลังจากการเยี่ยมของนาธาน เอช. นอรร์ นายกของสมาคมว็อชเทาเวอร์สมัยนั้น.
ระหว่างนั้น ในวันที่ 17 กรกฎาคม 1945 ดิฉันได้รับโทรเลขจากบราเดอร์เอ็นน็อก เออแมน ผู้รับใช้สาขาซึ่งบอกว่า ‘คุณจะกลับมาเบเธลได้เมื่อไร?’ บางคนบอกว่า ดิฉันควรอยู่ที่บ้านและเอาใจใส่ดูแลพ่อซึ่งตอนนั้นอายุ 70 กว่าปีแล้ว. แต่พ่อสนับสนุนดิฉันให้กลับไปรับใช้ที่เบเธลอีก ซึ่งดิฉันก็ได้กลับไป. ในปี 1946 มาร์วิน เอฟ. แอนเดอร์สัน พี่น้องจากสหรัฐมาเป็นผู้ดูแลสาขาของเรา และมีการจัดงานประกาศขึ้นใหม่.
ระหว่างช่วงหยุดพักฤดูร้อนดิฉันจะกลับไปคอเพอร์วีกเพื่อเยี่ยมครอบครัว. พี่ชายสองคนกับน้องสาวสองคนของดิฉันไม่ได้เข้ามาเป็นพยานฯ แต่พวกเขาก็มีไมตรีจิตกับพ่อและดิฉันเสมอ. พี่ชายคนหนึ่งเป็นหัวหน้านายท่าเรือและผู้ควบคุมท่า และน้องชายเป็นครู. แม้ดิฉันมีทรัพย์ทางวัตถุเล็กน้อย พ่อจะบอกพวกเขาว่า “โอทีเลียมั่งคั่งกว่าพวกเธอนะ.” และก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ! สิ่งที่พวกเขาหามาได้นั้นเทียบไม่ได้กับความมั่งคั่งฝ่ายวิญญาณที่ดิฉันประสบอยู่! คุณพ่อเสียชีวิตตอนอายุ 78 ปี ในปี 1951. คุณแม่เสียชีวิตก่อนในปี 1928.
จุดเด่นในชีวิตดิฉันคือการเข้าร่วมการประชุมนานาชาติของไพร่พลพระยะโฮวาในนครนิวยอร์กเมื่อปี 1953. ปีนั้นเขตงานทั่วโลกมีผู้ประกาศผ่านหลัก 500,000 คน และมากกว่า 165,000 คนเข้าร่วมการประชุมนั้น! ก่อนการประชุมปี 1953 ดิฉันทำงานหนึ่งสัปดาห์ที่เบเธลบรุกลิน, สำนักงานใหญ่ขององค์การของพระยะโฮวาบนแผ่นดินโลก.
ทำเท่าที่ดิฉันทำได้
ไม่กี่ปีมานี้สายตาดิฉันเสื่อมเนื่องจากเป็นต้อกระจก. โดยใช้แว่นตาที่หนา ๆ และแว่นขยายดิฉันยังอ่านตัวพิมพ์ใหญ่ได้บ้าง. และพี่น้องหญิงคริสเตียนมาเยี่ยมแล้วอ่านให้ดิฉันฟังสัปดาห์ละสองครั้ง ซึ่งดิฉันรู้สึกขอบคุณทีเดียว.
งานประกาศของดิฉันก็ทำได้ไม่มากด้วย. ระหว่างฤดูร้อน พี่น้องหญิงคริสเตียนพาดิฉันออกไปเป็นครั้งคราวโดยนั่งเก้าอี้ล้อไปยังบริเวณที่ดิฉันสามารถประกาศได้บ้าง. ดิฉันยังส่งวารสารและจุลสารไปยังโรงเรียนต่าง ๆ ในคอเพอร์วีกเป็นประจำ เช่น โรงเรียนประถมที่ดิฉันเคยเป็นลูกศิษย์เกือบ 100 ปีมาแล้ว. ดิฉันดีใจที่ยังเป็นผู้ประกาศสม่ำเสมอได้อยู่.
ดีที่ห้องรับประทานอาหารและหอประชุมอยู่ชั้นเดียวกันกับห้องของดิฉันที่เบเธล ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองอิเทร เอเนบัก นอกกรุงออสโลตั้งแต่ปี 1983. ดังนั้น ดิฉันสามารถมานมัสการตอนเช้า, รับประทานอาหาร, และร่วมประชุมได้โดยใช้เครื่องช่วยเดิน. ดิฉันมีความสุขที่ยังสามารถไปการประชุมใหญ่ได้อยู่. ดิฉันชื่นชมยินดีที่ได้พบปะเพื่อน ๆ พยานฯ ที่รู้จักมาเป็นเวลาหลายปี อีกทั้งพี่น้องชายหญิงใหม่ ๆ และเด็ก ๆ ที่น่ารักหลายคน.
คงไว้ซึ่งความเชื่อจนถึงที่สุด
นับว่าเป็นพระพรที่ได้อยู่ท่ามกลางผู้คนที่เอาการเอางาน, น่าคบ และฝักใฝ่สิ่งฝ่ายวิญญาณที่เบเธล. เมื่อดิฉันเริ่มงานรับใช้ที่เบเธล ทั้งครอบครัวประกอบด้วยคนเหล่านั้นที่มีความหวังทางภาคสวรรค์. (ฟิลิปปอย 3:14) ปัจจุบันทุกคนที่เบเธลคอยท่าที่จะมีชีวิตตลอดไปบนแผ่นดินโลก ยกเว้นดิฉัน.
จริงอยู่ เราเคยคาดหวังว่าพระยะโฮวาจะลงมือจัดการก่อนหน้านี้แล้ว. กระนั้น ดิฉันชื่นชมยินดีที่เห็นชนฝูงใหญ่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ. ช่างเป็นการเพิ่มพูนเสียจริง ๆ ที่ดิฉันได้เห็น! เมื่อเข้าร่วมในงานเผยแพร่เป็นครั้งแรก มีผู้ประกาศทั่วโลกประมาณ 5,000 คน. ปัจจุบันมีมากกว่า 5,400,000 คน! ถูกแล้ว ดิฉันได้เห็น “คนจิ๋ว . . . เพิ่มเป็นจำนวนพัน และคนตัวเล็ก . . . เพิ่มเป็นชนชาติใหญ่.” (ยะซายา 60:22, ล.ม.) เราต้องคอยท่าพระยะโฮวาต่อ ๆ ไป ดังที่ผู้พยากรณ์ฮะบาฆูคเขียนว่า “ถึงแม้นิมิตจะเนิ่นช้าก็จงคอยท่า; ด้วยว่าจะสำเร็จเป็นแน่.”—ฮะบาฆูค 2:3, ล.ม.