“พระกรุณาคุณของพระองค์ประเสริฐยิ่งกว่าชีวิต”
เล่าโดย คาลวิน เอช. โฮมส์
ตอนนั้นเป็นเดือนธันวาคมปี 1930 และผมเพิ่งเสร็จงานรีดนมวัวเมื่อคุณพ่อ กลับบ้านหลังจากเยี่ยมเพื่อนที่อยู่ใกล้เคียง. “ไวมันให้พ่อยืมหนังสือเล่มนี้” ท่านพูดขณะดึงหนังสือปกสีน้ำเงินจากกระเป๋า. หนังสือนั้นมีชื่อว่าการช่วยให้รอด (ภาษาอังกฤษ) จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์. คุณพ่อซึ่งไม่ค่อยอ่านอะไร ได้อ่านหนังสือเล่มนั้นกระทั่งดึก.
ต่อมา คุณพ่อได้ยืมหนังสือมาอ่านอีกหลายเล่ม เป็นต้นว่าหนังสือที่มีชื่อว่าความสว่าง และการคืนดีกัน (ภาษาอังกฤษ) จากสำนักจัดพิมพ์เดียวกัน. ท่านพบคัมภีร์ไบเบิลเก่า ๆ ของคุณแม่และอ่านจนดึกดื่นโดยอาศัยแสงจากตะเกียงน้ำมันก๊าด. คุณพ่อเปลี่ยนไปมาก. ฤดูหนาวปีนั้นท่านใช้เวลาเป็นชั่วโมง ๆ คุยกับพวกเรา—คุณแม่และน้องสาวสามคนของผมรวมทั้งตัวผมด้วย—ขณะที่เรานั่งเบียดกันรอบ ๆ เตาผิงเก่า ๆ ที่ใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง.
คุณพ่อบอกว่าผู้พิมพ์หนังสือเหล่านี้เรียกว่ากลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและตามที่คนพวกนี้บอกไว้ เรามีชีวิตอยู่ใน “สมัยสุดท้าย.” (2 ติโมเธียว 3:1-5, ล.ม.) ท่านได้อธิบายว่าแผ่นดินโลกจะไม่ถูกทำลายเมื่อโลกถึงอวสาน แต่ภายใต้การปกครองแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า แผ่นดินโลกจะถูกเปลี่ยนสภาพเป็นอุทยาน. (2 เปโตร 3:5-7, 13; วิวรณ์ 21:3, 4) ผมฟังเรื่องนี้แล้วน่าสนใจจริง ๆ.
คุณพ่อเริ่มคุยกับผมขณะที่เราทำงานด้วยกัน. ผมจำได้ว่าตอนที่เราลอกเปลือกข้าวโพด ท่านอธิบายว่าพระนามพระเจ้าคือยะโฮวา. (บทเพลงสรรเสริญ 83:18) ด้วยเหตุนี้ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 1931 อายุผมตอนนั้นแค่ 14 ปี ผมได้ยึดเอาจุดยืนอยู่ฝ่ายพระยะโฮวาและราชอาณาจักรของพระองค์. ผมทูลอธิษฐานต่อพระยะโฮวาในสวนแอปเปิลเก่าแก่หลังบ้านและสัญญาอย่างเอาจริงเอาจังว่าผมจะรับใช้พระองค์ตลอดไป. หัวใจของผมได้รับแรงบันดาลใจโดยความกรุณารักใคร่ของพระเจ้าองค์ประเสริฐยิ่งของเรา.—บทเพลงสรรเสริญ 63:3.
พวกเราอาศัยในฟาร์มประมาณ 30 กิโลเมตรจากเมืองเซนต์โจเซฟ รัฐมิสซูรี สหรัฐอเมริกา และห่างจากแคนซัสซิตีไม่ถึง 65 กิโลเมตร. คุณพ่อเกิดในกระท่อมไม้ซุงบนเนื้อที่ของฟาร์ม ซึ่งปู่ทวดของผมสร้างขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 19.
การฝึกอบรมเพื่องานรับใช้
ฤดูร้อนปี 1931 ครอบครัวของเราได้ฟังโจเซฟ รัทเทอร์ฟอร์ด นายกสมาคมว็อชเทาเวอร์ในเวลานั้นบรรยายออกอากาศเรื่อง “ราชอาณาจักร ความหวังของโลก” ณ การประชุมใหญ่ในเมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ. คำบรรยายครั้งนั้นปลุกเร้าใจผมมาก และผมดีใจที่ได้ไปกับคุณพ่อแจกหนังสือเล่มเล็กซึ่งบรรจุคำบรรยายสำคัญให้แก่ผู้ที่เรารู้จักคุ้นเคย.
ฤดูใบไม้ผลิปี 1932 ผมได้เข้าร่วมการประชุมเป็นครั้งแรกกับพวกพยานพระยะโฮวา. เพื่อนบ้านของเราเชิญชวนคุณพ่อและผมไปฟังคำบรรยายโดยจอร์จ เดรเพอร์ ผู้ดูแลเดินทางแห่งคณะพยานพระยะโฮวา ณ เมืองเซนต์โจเซฟ. เมื่อเราไปถึง การประชุมผ่านไปแล้วครึ่งหนึ่ง และผมได้ที่นั่งข้างหลัง เจ.ดี. ไดรเยอร์ ชายร่างใหญ่บึกบึน ผู้ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในชีวิตของผม.
เดือนกันยายน ปี 1933 ผมไปร่วมการประชุมใหญ่กับคุณพ่อที่แคนซัสซิตี ที่นี่ผมได้ร่วมงานเผยแพร่แก่สาธารณชนเป็นครั้งแรก. คุณพ่อให้หนังสือเล่มเล็กสามเล่มแก่ผมพร้อมกับสอนผมพูดทำนองนี้: “ผมเป็นพยานพระยะโฮวาครับ ผมมาประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า. ไม่สงสัยว่าคุณคงได้ฟังจัดจ์ รัทเทอร์ฟอร์ดกล่าวบรรยายทางวิทยุแล้ว. คำบรรยายของท่านถูกนำออกอากาศมากกว่า 300 สถานีทุกสัปดาห์.” แล้วผมจึงเสนอหนังสือเล่มเล็ก. เย็นวันนั้น เมื่อผมกลับมาที่ฟาร์มและขณะที่รีดนมวัวอยู่ ผมคิดว่าวันนี้แหละเป็นวันที่น่าจดจำที่สุดตลอดชีวิตของผมทีเดียว.
ในไม่ช้าฤดูหนาวก็มาถึง และการเดินทางของเราก็พลอยชะงักไปด้วย. ครั้นแล้วบราเดอร์ไดรเยอร์พร้อมกับภรรยาได้มาเยี่ยมและถามว่าเราอยากไปที่บ้านของเขาเย็นวันเสาร์และค้างคืนที่นั่นไหม. การเดินไปบ้านไดรเยอร์ระยะทาง 10 กิโลเมตรนั้นคุ้มค่าเหลือเกิน เพราะผมสามารถออกไปทำงานเผยแพร่กับเขาได้ในวันรุ่งขึ้น ทั้งสามารถเข้าร่วมการศึกษาหอสังเกตการณ์ ในเมืองเซนต์โจเซฟได้. นับแต่นั้น ผมแทบไม่เคยขาดการมีส่วนในงานรับใช้วันอาทิตย์. การฝึกอบรมและคำแนะนำจากบราเดอร์ไดรเยอร์ปรากฏว่าสุดที่จะประเมินค่าได้.
วันที่ 2 กันยายน 1935 ในที่สุดผมมีโอกาสรับบัพติสมาในน้ำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ถึงการอุทิศตัวของผมแด่พระยะโฮวา ณ การประชุมใหญ่ในแคนซัสซิตี.
การเริ่มงานประจำชีพนานชั่วชีวิต
ต้นปี 1936 ผมสมัครรับใช้ประเภทไพโอเนียร์ หรือผู้เผยแพร่เต็มเวลา และเขาจัดผมไว้ในรายชื่อผู้ที่กำลังมองหาเพื่อนร่วมงานที่เป็นไพโอเนียร์. หลังจากนั้นไม่นาน ผมได้รับจดหมายจากเอ็ดเวิร์ด สเตดจากเมืองอาร์วาดา รัฐไวโอมิง. เขาชี้แจงว่าเขาพิการต้องนั่งเก้าอี้ล้อเข็นและต้องการผู้ช่วยเพื่อจะทำงานไพโอเนียร์. ผมตอบรับข้อเสนอของเขาทันทีและได้รับการแต่งตั้งเป็นไพโอเนียร์เมื่อวันที่ 18 เมษายน 1936.
ก่อนผมออกจากบ้านไปสมทบบราเดอร์สเตด คุณแม่พูดกับผมเป็นส่วนตัวและถามว่า “ลูกรัก ลูกแน่ใจหรือในสิ่งที่ลูกต้องการจะทำ?”
ผมตอบแม่ว่า “หากไม่อย่างนั้น ชีวิตคงไม่มีคุณค่าแม้แต่น้อย.” ผมได้มาหยั่งรู้ค่าความรักกรุณาของพระยะโฮวาว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น.
การทำงานเป็นไพโอเนียร์กับเท็ด ชื่อที่เราเรียกบราเดอร์สเตดนั้นเป็นการฝึกอบรมที่ดีเยี่ยม. เขาเป็นคนกระตือรือร้นและวิธีการเสนอข่าวราชอาณาจักรของเขาเป็นลักษณะที่โน้มน้าวใจ. อย่างไรก็ดี เท่าที่เท็ดสามารถทำได้คือเขียนจดหมายและสนทนา ทุกข้อต่อของเขางอไม่ได้เนื่องจากโรคข้ออักเสบเรื้อรัง. ผมตื่นนอนแต่เช้าตรู่ เช็ดตัว, โกนหนวดให้เขา, เตรียมอาหารเช้า, และป้อนข้าว. แล้วผมจัดแจงใส่เสื้อผ้าให้เขา และเตรียมเขาให้พร้อมสำหรับงานรับใช้. ฤดูร้อนปีนั้นเราเป็นไพโอเนียร์ทำงานในรัฐไวโอมิงและมอนตานา กลางคืนเราพักแรมนอกบ้าน. เท็ดนอนในรถกระบะซึ่งจัดไว้เป็นสัดส่วนสำหรับเขา และผมนอนบนพื้นดิน. ต่อมาเมื่อย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วง ผมได้ย้ายลงใต้ ทำงานไพโอเนียร์ในรัฐเทนเนสซี, อาร์คันซอ, และมิสซิสซิปปี.
เดือนกันยายน 1937 เป็นครั้งแรกที่ผมได้ร่วมการประชุมใหญ่ในเมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ. คราวนี้มีการจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จะใช้นำหน้างานประกาศโดยการใช้หีบเสียง. แต่ละครั้งที่เราเปิดให้เจ้าของบ้านฟัง เราลงรายงานว่าเปิดเครื่องหนึ่งครั้ง. เดือนหนึ่งผมรายงาน 500 กว่าครั้ง และมีมากกว่า 800 คนได้ฟัง. หลังจากให้คำพยานตามเมืองต่าง ๆ ทางภาคตะวันออกของรัฐเทนเนสซี, รัฐเวอร์จิเนีย, และเวสต์เวอร์จิเนียแล้ว ผมได้รับเชิญให้รับใช้ในหน้าที่ใหม่ฐานะไพโอเนียร์พิเศษ ร่วมกับผู้รับใช้โซน เรียกกันเวลานี้ว่าผู้แลเดินทาง.
ผมเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ และกลุ่มโดดเดี่ยวห่างไกลในรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย—ใช้เวลาสองถึงสี่สัปดาห์อยู่กับประชาคมหรือกลุ่มแต่ละแห่ง—และนำหน้าในการประกาศตามบ้านเรือน. ครั้นแล้ว เดือนมกราคม 1941 ผมได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้รับใช้โซน. ถึงเวลานั้น คุณแม่และน้องสาวทั้งสามคน—คลารา, โลอิส, และรูธ ได้เข้ามาอยู่ฝ่ายราชอาณาจักรแล้ว. ดังนั้น หน้าร้อนปีนั้น ทุกคนในครอบครัวได้เข้าร่วมการประชุมใหญ่ที่เซนต์หลุยส์ด้วยกัน.
ไม่นานหลังจากการประชุมใหญ่ ผู้รับใช้โซนได้รับแจ้งว่าสิ้นเดือนพฤศจิกายนปี 1941 งานโซนจะถูกยกเลิก. อีกเดือนหนึ่งถัดมา สหรัฐได้ก้าวสู่สงครามโลกครั้งที่สอง. ผมได้รับมอบหมายงานรับใช้ในฐานะไพโอเนียร์พิเศษ ซึ่งเวลาที่กำหนดสำหรับทำงานประกาศเผยแพร่คือ 175 ชั่วโมงต่อเดือน.
สิทธิพิเศษอันยิ่งใหญ่แห่งงานรับใช้
เดือนกรกฎาคม 1942 ผมได้รับจดหมายเชิงหยั่งถามว่าผมเต็มใจจะปฏิบัติงานนอกประเทศหรือไม่. ภายหลังการตอบตกลงแล้ว ผมได้รับเชิญไปเบเธล สำนักงานกลางแห่งพยานพระยะโฮวาในบรุกลิน นิวยอร์ก. พี่น้องชายที่เป็นโสดประมาณ 20 คนได้รับเชิญเข้าไปฝึกอบรมในคราวเดียวกัน.
นาธาน เอช. นอรร์ นายกสมาคมว็อชเทาเวอร์สมัยนั้น ได้ชี้แจงว่ากิจกรรมด้านการประกาศเผยแพร่ถดถอย และพวกเราจะได้รับการฝึกอบรมเพื่อช่วยประชาคมต่าง ๆ ให้เข้มแข็งขึ้นทางฝ่ายวิญญาณ. ท่านบอกว่า “เราไม่ต้องการรู้แต่เพียงว่าอะไรคือปัญหาของประชาคม แต่เราอยากรู้ว่าพวกคุณได้แก้ปัญหาอย่างไร.”
ระหว่างที่เราอยู่ในเบเธล เฟรด แฟรนซ์ ซึ่งต่อมาในปี 1977 ได้เป็นนายกสมาคมต่อจากบราเดอร์นอรร์ ได้บรรยายดังนี้: “สงครามโลกครั้งที่สองจะยุติ และงานประกาศมโหฬารจะขยายต่อไป. ไม่ต้องสงสัย ผู้คนอีกหลายล้านยังจะต้องรวบรวมเข้ามาในองค์การของพระยะโฮวา!” คำบรรยายครั้งนั้นเปลี่ยนทัศนะของผมโดยสิ้นเชิง. เมื่อมีการมอบหมายหน้าที่ ผมได้เรียนรู้ว่าผมต้องเยี่ยมทุกประชาคมทั้งในรัฐเทนเนสซีและรัฐเคนทักกี. เราได้ฉายาว่าผู้รับใช้พวกพี่น้อง ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นผู้ดูแลหมวด.
ผมเริ่มรับใช้ประชาคมต่าง ๆ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1942 ขณะที่อายุผมแค่ 25 ปี. ทางเดียวที่จะไปถึงบางประชาคมสมัยนั้นคือต้องเดินเท้าหรือขี่ม้า. บางครั้งผมนอนในห้องเดียวกันกับครอบครัวที่ได้จัดที่พักให้ผม.
ขณะที่ผมเยี่ยมประชาคมกรีนวิลในรัฐเทนเนสซีเมื่อเดือนกรกฎาคม 1943 ผมได้รับจดหมายเชิญเข้าเรียนรุ่นที่สองของโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียด. ที่กิเลียด ผมได้เรียนว่าการ “เอาใจใส่ในสิ่งต่าง ๆ ที่เราได้ยินแล้วนั้นให้มากกว่าปกติ” และมี “มากมายหลายสิ่งที่จะให้ทำเสมอในงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า” นั้นหมายความอย่างไรจริง ๆ. (เฮ็บราย 2:1; 1 โกรินโธ 15:58, ล.ม.) หลักสูตรการเรียนห้าเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว และวันสำเร็จการศึกษามาถึงเมื่อวันที่ 31 มกราคม 1944.
แคนาดาและต่อไปยังเบลเยียม
พวกเราจำนวนหนึ่งถูกมอบหมายไปยังแคนาดา ซึ่งที่นั่นเพิ่งมีการยกเลิกคำสั่งห้ามกิจกรรมของพยานพระยะโฮวา. ผมรับมอบหมายงานเดินทาง ซึ่งกำหนดให้ครอบคลุมระยะทางอันกว้างไกลระหว่างประชาคมต่าง ๆ. ขณะผมเดินทาง นับเป็นเรื่องน่าปีติเมื่อได้ฟังประสบการณ์เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานประกาศของพวกเราในช่วงการสั่งห้ามในแคนาดา. (กิจการ 5:29) หลายคนได้เล่าเรื่องที่เรียกว่าปฏิบัติการแบบสายฟ้าแลบ เมื่อมีการแจกหนังสือเล่มเล็กไว้เกือบจะทุกบ้านทั่วประเทศแคนาดาเพียงชั่วคืนเดียว. ช่างเป็นข่าวดีเสียนี่กระไรที่ได้เรียนรู้ในเดือนพฤษภาคม 1945 ว่าในยุโรปสงครามสงบแล้ว!
ฤดูร้อนปีนั้น ขณะเยี่ยมประชาคมหนึ่งที่โอเซจเมืองเล็ก ๆ แห่งมณฑลซาสแกตเชวัน ผมได้รับจดหมายจากบราเดอร์นอรร์ มีความว่า “ผมเสนอสิทธิพิเศษให้คุณไปยังประเทศเบลเยียม. . . . มีงานที่ต้องได้ทำมากมายในประเทศนั้น. ประเทศซึ่งย่อยยับเพราะสงคราม และพี่น้องของเราต้องการความช่วยเหลือ และดูเหมือนเป็นการสมควรที่จะส่งบางคนจากอเมริกาไปช่วยเหลือและปลอบโยนเขาอย่างเหมาะสมตามที่เขาต้องการ.” ผมตอบจดหมายทันที ยอมรับเอางานมอบหมายนั้น.
เดือนพฤศจิกายน 1945 ที่เบเธล บรุกลิน ผมอยู่ที่นั่นศึกษาภาษาฝรั่งเศสกับชาลส์ ไอเคอร์ พี่น้องชายสูงอายุชาวอัลซาส. นอกจากนั้น ผมได้รับการอบรมอย่างเร่งรัดเกี่ยวกับวิธีดำเนินการของสาขา. ก่อนจากไปยุโรป ผมได้ใช้เวลาสั้น ๆ เยี่ยมครอบครัวและเพื่อน ๆ ของผมในเมืองเซนต์โจเซฟ มิสซูรี.
วันที่ 11 ธันวาคม จากนิวยอร์ก ผมลงเรือควีน เอ-ลิซาเบท และสี่วันต่อมาผมก็ไปถึงเมืองเซาแธมป์ตัน ประเทศอังกฤษ. ผมพักอยู่ที่สำนักงานสาขาในประเทศอังกฤษนานหนึ่งเดือน ที่นั่นผมได้รับการอบรมเพิ่มเติม. หลังจากนั้น ในวันที่ 15 มกราคม 1946 ผมข้ามช่องแคบอังกฤษและขึ้นฝั่งที่เมืองท่าออสเตนด์ เบลเยียม. จากนั้นผมจับรถไฟไปบรัสเซลส์ สมาชิกเบเธลทั้งหมดได้ไปรับผมที่สถานีรถไฟ.
กิจกรรมที่เพิ่มทวีขึ้นหลังสงคราม
ผมได้รับหน้าที่มอบหมายให้ดูแลงานราชอาณาจักรในเบลเยียม กระนั้น ผมยังพูดภาษาท้องถิ่นไม่เป็นเสียด้วยซ้ำ. ในช่วงประมาณหกเดือน ผมพอรู้ภาษาฝรั่งเศสในการติดต่อสื่อความประจำวันได้. นับว่าเป็นสิทธิพิเศษที่ได้ทำงานเคียงข้างกับผู้ซึ่งเคยเสี่ยงชีวิตเพื่องานประกาศในช่วงห้าปีที่พวกนาซียึดครอง. บางคนเพิ่งได้รับการปลดปล่อยจากค่ายกักกัน.
บรรดาพี่น้องต่างก็กระตือรือร้นอยากเห็นการจัดงานเป็นระบบระเบียบและที่จะเลี้ยงคนเหล่านั้นซึ่งหิวกระหายความจริงของคัมภีร์ไบเบิล. ดังนั้นจึงมีการจัดเตรียมเพื่อการประชุมใหญ่ และเพื่อผู้ดูแลเดินทางจะไปเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ. นอกจากนี้ ตัวแทนหลายคนจากสำนักงานกลางในบรุกลินได้มาเยี่ยมให้กำลังใจพวกเรา อาทิ นาธาน นอรร์, มิลตัน เฮนเชล, เฟรด แฟรนซ์, แกรนต์ ซูตเทอร์, และจอห์น บูท. ในช่วงต้นสมัยนั้น ผมรับใช้ในฐานะผู้ดูแลหมวด, ผู้ดูแลภาค, และผู้ดูแลสาขา. วันที่ 6 ธันวาคม 1952 หลังจากได้ทำงานรับใช้ในเบลเยียมมานานเกือบเจ็ดปี ผมก็แต่งงานกับอิมีเลีย วาน็อพสลอค ซึ่งทำงานในสำนักงานสาขาเบลเยียมเช่นกัน.
อีกไม่กี่เดือนถัดมา วันที่ 11 เมษายน 1953 ผมได้รับหมายเรียกให้ไปที่สถานีตำรวจนครบาลและรับทราบว่าการที่ผมอยู่ในเบลเยียมเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ. ผมจึงไปอยู่รอที่ลักเซมเบิร์กระหว่างยื่นอุทธรณ์ในคดีของผมต่อสภาการปกครองแห่งชาติ.
เดือนกุมภาพันธ์ 1954 สภาการปกครองแห่งเบลเยียมเห็นด้วยกับคำสั่งศาลที่ว่าการที่ผมอยู่ในเบลเยียมเป็นภัยต่อประเทศชาติ. พยานหลักฐานที่ชี้นำให้เห็นก็คือ ตั้งแต่ผมเข้ามาอยู่ในเบลเยียม จำนวนพยานพระยะโฮวาในประเทศเพิ่มทวีอย่างน่าทึ่ง—จาก 804 คนในปี 1946 เป็น 3,304 คนในปี 1953—และว่า ผลที่ตามมาคือ ความมั่นคงปลอดภัยของเบลเยียมถูกคุกคาม เพราะพยานฯ หนุ่มจำนวนมากยึดมั่นในความเป็นกลางของคริสเตียน. ด้วยเหตุนี้ ผมกับอิมีเลียจึงถูกมอบหมายให้ไปสวิตเซอร์แลนด์ ที่นั่นเราได้เริ่มรับใช้ด้วยการเยี่ยมหมวดในย่านที่ผู้คนพูดภาษาฝรั่งเศส.
โรงเรียนพระราชกิจเป็นโรงเรียนที่ให้การอบรมระดับสูงสำหรับคริสเตียนผู้ปกครอง ตั้งขึ้นเมื่อปี 1959 ที่เซาท์แลนซิง นิวยอร์ก. ผมได้รับเชิญให้ไปรับการอบรมที่นั่นเพื่อจะสอนหลักสูตรนี้ในยุโรป. ระหว่างที่ผมอยู่ในประเทศสหรัฐ ผมได้แวะเยี่ยมครอบครัวที่เมืองเซนต์โจเซฟ มิสซูรี. ที่นั่นผมพบคุณแม่เป็นครั้งสุดท้าย. ท่านเสียชีวิตเมื่อเดือนมกราคม 1962 ส่วนคุณพ่อได้ล่วงลับไปแล้วในเดือนมิถุนายน 1955.
โรงเรียนพระราชกิจในนครปารีส ประเทศฝรั่งเศสเริ่มในเดือนมีนาคม 1961 และอิมีเลียร่วมเดินทางไปกับผม. ผู้ดูแลภาค, ผู้ดูแลหมวด, ผู้ดูแลประชาคมและไพโอเนียร์พิเศษจากฝรั่งเศส, เบลเยียม, และสวิตเซอร์แลนด์ได้เดินทางมาเข้าโรงเรียนแห่งนี้. ตลอดช่วง 14 เดือนถัดจากนั้น ผมดำเนินการสอนหลักสูตรสี่สัปดาห์แก่นักเรียน 12 รุ่น. ต่อมา ในเดือนเมษายน 1962 เรารู้ว่าอิมีเลียตั้งท้อง.
ปรับตัวเข้ากับสภาพการณ์
เรากลับไปที่เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เรามีใบอนุญาตการอยู่ตลอดไปในประเทศนี้. อย่างไรก็ตาม การจะได้ที่อยู่อาศัยนั้นไม่ง่าย เพราะการขาดแคลนบ้านเป็นปัญหารุนแรง. การได้งานทำก็ไม่ง่ายเช่นกัน. ในที่สุดผมก็ได้งานทำในห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่ใจกลางกรุงเจนีวา.
ผมทำงานรับใช้เต็มเวลามานานถึง 26 ปี ดังนั้น เมื่อสภาพการณ์ของเราเปลี่ยนไป จำเป็นที่เราต้องปรับตัวไม่ใช่น้อย. ระยะเวลา 22 ปีที่ผมทำงานในห้างสรรพสินค้าและได้ช่วยเลี้ยงดูลูกสาวสองคนคือโลอิสกับยูนิส ครอบครัวของเราจัดเอาผลประโยชน์แห่งราชอาณาจักรไว้เป็นอันดับแรกเสมอ. (มัดธาย 6:33) หลังจากผมเลิกงานอาชีพในปี 1985 แล้ว ผมได้เริ่มงานรับใช้ทำหน้าที่แทนผู้ดูแลหมวด.
สุขภาพของอิมีเลียอ่อนแอมาก แต่เธอก็ทำสุดความสามารถในงานรับใช้. โลอิสได้รับใช้ในฐานะไพโอเนียร์ประมาณสิบปี. ที่นับว่าเป็นส่วนสำคัญยิ่งฝ่ายวิญญาณก็คือการได้ร่วมความชื่นชมยินดีกับเธอคราวการประชุมนานาชาติอันวิเศษสุด ณ กรุงมอสโกในช่วงฤดูร้อนปี 1993! ไม่นานหลังจากนั้น เมื่อเดินทางไปพักผ่อนที่ประเทศเซเนกัล แอฟริกา โลอิสได้เสียชีวิตขณะว่ายน้ำในมหาสมุทร. ความรักและความกรุณาของพี่น้องและมิชชันนารีชาวแอฟริกาเป็นกำลังใจปลอบโยนผมได้มากทีเดียว ตอนที่ผมเดินทางไปจัดการปลงศพโลอิสที่เซเนกัล. ผมตั้งใจรอพบโลอิสอีกในคราวการปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย!—โยฮัน 5:28, 29.
ผมสำนึกด้วยความขอบคุณที่ผมได้รับการเกื้อหนุนอย่างซื่อสัตย์นานกว่าสี่สิบปีจากผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขที่มีความรัก. แท้จริง มาตรว่าผมประสบความปวดร้าวใจและความยากลำบาก ความกรุณารักใคร่ของพระยะโฮวาเป็นความชื่นใจเสมอมา และยังทำให้ชีวิตมีคุณค่า. หัวใจผมถูกกระตุ้นให้ประกาศเกี่ยวกับพระยะโฮวาพระเจ้าของเรา ดังถ้อยคำของผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญที่ว่า “เพราะพระกรุณาคุณของพระองค์ประเสริฐยิ่งกว่าชีวิต, ริมฝีปากของข้าพเจ้าจะถวายสรรเสริญพระองค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 63:3.
[รูปภาพหน้า 26]
เรานำหน้างานประกาศด้วยการใช้หีบเสียง
[รูปภาพหน้า 26]
คุณพ่อคุณแม่ของผม ในปี 1936
[รูปภาพหน้า 26]
การให้คำพยานตามถนนในเบลเยียมปี 1948