-
“พระองค์รักเราก่อน”เข้าไปใกล้ชิดกับพระยะโฮวา
-
-
บท 23
“พระองค์รักเราก่อน”
1-3. มีอะไรบ้างที่ทำให้การเสียชีวิตของพระเยซูต่างจากคนอื่น ๆ?
วันหนึ่งเมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว ผู้ชายคนหนึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แล้วก็ถูกฆ่าอย่างทรมาน เขาไม่ใช่คนเดียวที่เจอเรื่องโหดร้ายและไม่ยุติธรรมแบบนี้ แต่การตายของเขาก็มีบางอย่างที่ไม่เหมือนคนอื่นเลย
2 ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ผู้ชายคนนี้จะเสียชีวิต มีบางอย่างที่แปลกประหลาดมากเกิดขึ้นบนท้องฟ้าที่ทำให้ผู้คนรู้ว่ามีเหตุการณ์ที่สำคัญเกิดขึ้น ถึงตอนนั้นจะเป็นเวลาเที่ยงวัน แต่จู่ ๆ ท้องฟ้าก็กลับมืดเหมือนตอนกลางคืน ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งบอกว่า “ไม่มีแสงอาทิตย์” (ลูกา 23:44, 45) แล้วก่อนที่ผู้ชายคนนี้จะตาย เขาได้พูดคำหนึ่งที่น่าสนใจว่า “สำเร็จแล้ว” ที่จริง การสละชีวิตของเขาทำให้มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้น และเป็นการแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยทำมา—ยอห์น 15:13; 19:30
3 ผู้ชายคนนี้คือพระเยซูคริสต์ ผู้คนมากมายทั่วโลกรู้ว่าพระเยซูทนทุกข์และตายในวันที่ 14 เดือนนิสานปี ค.ศ. 33 แต่มีบางอย่างสำคัญที่พวกเขาไม่รู้ ถึงพระเยซูต้องทนทุกข์แต่ก็มีผู้หนึ่งที่เป็นทุกข์มากกว่าท่านอีก ผู้นั้นได้เสียสละอย่างมากและแสดงความรักมากกว่าใคร ผู้นั้นทำอะไร? คำตอบของคำถามนี้จะสอนเราเกี่ยวกับคุณลักษณะที่สำคัญที่สุดของพระยะโฮวา นั่นก็คือความรัก
การแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
4. อะไรช่วยให้ทหารโรมันเข้าใจว่าพระเยซูไม่ใช่คนธรรมดา และเขาบอกอะไร?
4 ทหารโรมันที่เฝ้าดูพระเยซูตอนที่ท่านจะเสียชีวิตรู้สึกตกใจกลัวที่เห็นท้องฟ้ามืดและแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เขาบอกว่า “คนนี้เป็นลูกของพระเจ้าจริง ๆ ด้วย” (มัทธิว 27:54) เห็นชัดว่าพระเยซูไม่ใช่คนธรรมดา ทหารคนนั้นมีส่วนในการฆ่าลูกคนเดียวของพระเจ้าองค์สูงสุด แล้วพระเจ้ารักลูกของพระองค์มากขนาดไหน?
5. ก่อนที่พระเยซูจะมาบนโลกท่านอยู่กับพระยะโฮวานานแค่ไหน?
5 คัมภีร์ไบเบิลเรียกพระเยซูว่า “ผู้แรกที่ถูกสร้างก่อนทุกสิ่ง” (โคโลสี 1:15) นี่หมายความว่าพระเยซูมีชีวิตอยู่ก่อนที่จะมีการสร้างเอกภพ ถ้าอย่างนั้น ท่านอยู่กับพ่อของท่านบนสวรรค์นานแค่ไหนก่อนที่จะมาบนโลก? นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าเอกภพมีอายุประมาณ 13,000 ล้านปี คุณนึกออกไหมว่านั่นเป็นเวลาที่นานขนาดไหน? เพื่อจะเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับอายุของเอกภพตามที่นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณไว้ หอดูดาวแห่งหนึ่งติดแผนภูมิแสดงลำดับเวลายาว 110 เมตรไว้ที่ผนังทางเดิน ตอนที่ผู้มาเยี่ยมชมเดินดูแผนภูมินั้น แต่ละก้าวที่เขาเดินก็เท่ากับอายุของเอกภพประมาณ 75 ล้านปี ในส่วนท้ายของแผนภูมินั้น มีการแสดงให้เห็นประวัติศาสตร์ทั้งหมดของมนุษย์ด้วยรอยขีดแค่ขีดเดียวซึ่งมีความหนาเท่ากับเส้นผมหนึ่งเส้น ถ้าการคำนวณนี้ถูกต้องก็หมายความว่าพระเยซูมีชีวิตอยู่บนสวรรค์กับพระยะโฮวาก่อนที่ท่านจะมาบนโลกนานกว่า 13,000 ล้านปี และในช่วงเวลานั้นท่านได้ทำอะไรบ้าง?
6. (ก) ก่อนที่จะมาบนโลกลูกของพระยะโฮวาทำอะไรบนสวรรค์? (ข) พระยะโฮวาและลูกของพระองค์ผูกพันกันแค่ไหน?
6 พระเยซูมีความสุขที่ได้ทำงานเป็น “นายช่าง” ให้พ่อของท่าน (สุภาษิต 8:30) คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ไม่มีอะไรเลยที่เกิดขึ้นโดยที่พระเจ้าไม่ได้ให้ [ลูก] สร้าง” (ยอห์น 1:3) ดังนั้น พระยะโฮวาและลูกของพระองค์ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างทุกสิ่ง พระยะโฮวาและพระเยซูมีความสุขมากที่ได้ทำงานด้วยกัน เรารู้ว่าความรักระหว่างพ่อกับลูกคงจะแน่นแฟ้นมาก และความรัก “ผูกพันผู้คนให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างแท้จริง” (โคโลสี 3:14) ความรักระหว่างพระยะโฮวาและลูกของพระองค์แน่นแฟ้นมากกว่าที่เราจะเข้าใจได้เพราะอยู่ด้วยกันเป็นเวลานานมาก เห็นชัดว่าพระยะโฮวาพระเจ้าและลูกของพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกันด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
7. พระยะโฮวารู้สึกยังไงตอนที่พระเยซูรับบัพติศมา?
7 ถึงแม้พระยะโฮวารักลูกของพระองค์มากแต่พระองค์ก็ส่งท่านให้มาเกิดเป็นมนุษย์บนโลก การทำแบบนั้นทำให้พระยะโฮวาไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับลูกที่รักของพระองค์เป็นเวลานานหลายสิบปี พระองค์เฝ้าดูจากสวรรค์ตอนที่พระเยซูโตขึ้นเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ แล้วตอนที่พระเยซูอายุ 30 ปีท่านก็รับบัพติศมา พระยะโฮวารู้สึกยังไงกับลูกของพระองค์? พระยะโฮวาพูดจากสวรรค์และบอกว่า “นี่คือลูกรักของเรา เราพอใจในตัวเขามาก” (มัทธิว 3:17) เมื่อได้เห็นว่าพระเยซูทำทุกอย่างตามที่พยากรณ์ไว้ และทำทุกอย่างตามที่พ่อต้องการ พระยะโฮวาคงมีความสุขมากจริง ๆ—ยอห์น 5:36; 17:4
8, 9. (ก) พระเยซูต้องเจอกับอะไรบ้างในวันที่ 14 เดือนนิสานปี ค.ศ. 33 และพ่อของท่านรู้สึกยังไง? (ข) ทำไมพระยะโฮวายอมให้ลูกของพระองค์ถูกทรมานและถูกฆ่า?
8 แล้วพระยะโฮวารู้สึกยังไงในวันที่ 14 เดือนนิสานปี ค.ศ. 33? พระองค์รู้สึกยังไงตอนที่พระเยซูถูกทรยศและถูกจับในตอนกลางคืน ตอนที่เพื่อน ๆ ทิ้งท่าน และท่านถูกพิจารณาคดีอย่างไม่ยุติธรรม ตอนที่ท่านถูกเยาะเย้ย ถูกถุยน้ำลายใส่ ถูกต่อย ตอนที่ท่านถูกเฆี่ยนจนหลังฉีกและเลือดออก ตอนที่ทั้งมือและเท้าของท่านถูกตอกติดกับเสาไม้และปล่อยให้แขวนอยู่อย่างนั้นและผู้คนก็เยาะเย้ยท่าน? พระยะโฮวารู้สึกยังไงเมื่อลูกที่รักร้องเรียกพระองค์เสียงดังด้วยความเจ็บปวด? พระยะโฮวารู้สึกยังไงเมื่อเห็นพระเยซูหายใจเฮือกสุดท้ายและเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีการสร้างทุกสิ่งที่พระเยซูไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว?—มัทธิว 26:14-16, 46, 47, 56, 59, 67; 27:38-44, 46; ยอห์น 19:1
9 เราไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าพระยะโฮวารู้สึกเจ็บปวดขนาดไหนตอนที่เห็นลูกของพระองค์ถูกฆ่าอย่างทรมาน แต่เราอาจเข้าใจได้ว่าทำไมพระยะโฮวาถึงยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ทำไมพระองค์ยอมทนกับเรื่องนี้? พระยะโฮวาบอกให้เรารู้บางอย่างที่ยอดเยี่ยมที่ยอห์น 3:16 ข้อคัมภีร์นี้สำคัญถึงขนาดที่บางคนบอกว่าเป็นข้อที่สรุปข่าวดีเรื่องพระเยซู ข้อนี้บอกว่า “พระเจ้ารักโลกมาก จนถึงกับยอมสละลูกคนเดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่แสดงความเชื่อในท่านจะไม่ถูกทำลาย แต่จะมีชีวิตตลอดไป” ดังนั้น สิ่งที่กระตุ้นให้พระยะโฮวาทำอย่างนั้นก็คือความรัก ที่พระยะโฮวาส่งลูกของพระองค์มาตายอย่างทรมานเพื่อเราเป็นของขวัญจากพระองค์และเป็นการแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ไม่เคยมีมาก่อน
“พระเจ้า . . . ยอมสละลูกคนเดียวของพระองค์”
ความรักคืออะไร?
10. คนเราต้องการอะไร และเกิดอะไรขึ้นกับความหมายของคำว่า “ความรัก”?
10 คำว่า “ความรัก” หมายถึงอะไร? หลายคนบอกว่าความรักเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ ตั้งแต่เกิดจนตายคนเราอยากได้ความรัก เรามีความสุขเมื่อได้รับความรัก และเราอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีความรัก ถึงแม้เป็นสิ่งที่สำคัญแต่ก็ไม่ง่ายเลยที่จะอธิบายว่าความรักหมายถึงอะไรจริง ๆ ผู้คนพูดถึงความรักอยู่บ่อย ๆ มีการเขียนหนังสือ แต่งเพลง และแต่งกลอนเกี่ยวกับความรัก แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้เข้าใจว่าความรักหมายถึงอะไรจริง ๆ หลายคนใช้คำนี้บ่อย ๆ และใช้กับหลายอย่าง นี่เลยทำให้ความหมายของคำนี้เข้าใจยากขึ้น
11, 12. (ก) คัมภีร์ไบเบิลสอนให้เรารู้ว่าความรักคืออะไร? (ข) ในภาษากรีกโบราณ มีคำอะไรบ้างที่หมายถึงความรัก และคำไหนใช้บ่อยที่สุดในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก? (ดูเชิงอรรถ) (ค) ในคัมภีร์ไบเบิลคำว่าอากาเพหมายถึงอะไร?
11 แต่คัมภีร์ไบเบิลสอนชัดเจนว่าความรักหมายถึงอะไร พจนานุกรมอธิบายคัมภีร์ไบเบิลเล่มหนึ่งบอกว่า “คนที่มีความรักจะแสดงออกด้วยการกระทำ” คัมภีร์ไบเบิลบอกให้เรารู้ว่าพระยะโฮวาแสดงความรักและความเมตตากับมนุษย์ยังไง ลองคิดดูสิว่า พระยะโฮวาแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ให้ลูกชายของพระองค์มาตายเพื่อเรา เรื่องนี้สอนให้เรารู้ชัดเจนว่าความรักคืออะไร ในบทต่อ ๆ ไปเราจะเห็นตัวอย่างอีกมากมายว่าพระยะโฮวาแสดงความรักยังไง นอกจากนั้น เราจะได้เรียนด้วยว่าคำภาษาเดิมที่แปลว่า “ความรัก” ที่ใช้ในคัมภีร์ไบเบิลหมายถึงอะไร ในภาษากรีกโบราณมี 4 คำที่แปลว่า “ความรัก”a แต่มีคำหนึ่งที่ใช้บ่อยที่สุดในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกคือ อากาเพ พจนานุกรมอธิบายคัมภีร์ไบเบิลเล่มหนึ่งบอกว่าคำนี้ “อธิบายความรักในแบบที่มีพลังมากที่สุด” ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?
12 ในคัมภีร์ไบเบิลคำว่าอากาเพหมายถึงความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวที่มีพื้นฐานจากหลักการของพระเจ้า ดังนั้น ความรักนี้ไม่ได้เป็นแค่ความรู้สึกที่เรามีกับบางคนที่น่ารักหรือทำดีกับเราเท่านั้น มีการใช้คำนี้ในความหมายที่กว้างกว่า คือเป็นความรักที่เกิดจากความคิดและความตั้งใจของเราเอง ดังนั้น คริสเตียนควรแสดงความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวโดยรักคนอื่นมากกว่าตัวเอง ให้เรามาดูที่ยอห์น 3:16 อีกครั้ง คำว่า “โลก” ที่พระเจ้ารักมากจนถึงกับยอมสละลูกคนเดียวของพระองค์ในข้อนี้คืออะไร? โลกในข้อนี้หมายถึงมนุษย์ทุกคนที่อาจได้รับประโยชน์จากค่าไถ่ของพระเยซู ซึ่งรวมถึงผู้คนมากมายที่ยังใช้ชีวิตในแบบที่พระเจ้าไม่พอใจ แล้วพระยะโฮวารักมนุษย์แต่ละคนเหมือนเพื่อนสนิทอย่างที่พระองค์รักอับราฮัมที่ซื่อสัตย์ไหม? (ยากอบ 2:23) ไม่ แต่พระยะโฮวาแสดงความเมตตากับเราทุกคนถึงแม้พระองค์เองต้องเสียสละอย่างมากมาย พระยะโฮวาอยากให้ทุกคนกลับใจและเปลี่ยนแปลงตัวเอง (2 เปโตร 3:9) หลายคนได้ทำอย่างนั้น และพระองค์ก็ยินดีให้พวกเขามาเป็นเพื่อนสนิทกับพระองค์
13, 14. อะไรแสดงว่าความรักที่คริสเตียนมีต่อกันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่น?
13 บางคนอาจเข้าใจผิดว่าอากาเพที่ใช้ในคัมภีร์ไบเบิลหมายถึงความรักที่เย็นชาและไร้ความรู้สึก แต่ความรักที่คริสเตียนมีต่อกันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่น ตัวอย่างเช่น เมื่อยอห์นเขียนว่า “พระเจ้าผู้เป็นพ่อรักลูกของพระองค์” เขาใช้คำว่าอากาเพ คำนี้เป็นความรักที่ไม่มีความรู้สึกไหม? ไม่ ขอให้สังเกตคำพูดของพระเยซูในยอห์น 5:20 ว่า “พระองค์รักลูกของพระองค์มาก” คำที่ใช้ในข้อนี้คือคำว่าฟิเละโอที่หมายถึงความรักที่อบอุ่นและลึกซึ้งต่อกัน (ยอห์น 3:35; 5:20) ความรักของพระยะโฮวาไม่ได้เป็นแค่ความรู้สึกเท่านั้น แต่ความรักของพระองค์มีพื้นฐานจากหลักการที่ฉลาดและยุติธรรมเสมอ
14 เหมือนที่เราได้คุยกันแล้ว คุณลักษณะทั้งหมดของพระยะโฮวานั้นยอดเยี่ยม สมบูรณ์แบบ และทำให้เราอยากเข้าใกล้พระองค์ แต่ความรักเป็นคุณลักษณะที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เราอยากเข้าใกล้พระองค์ และความรักยังเป็นคุณลักษณะที่เด่นที่สุดของพระองค์ด้วย เรารู้เรื่องนี้ได้ยังไง?
“พระเจ้าเป็นความรัก”
15. คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงความรักของพระยะโฮวาในแบบที่แตกต่างจากคุณลักษณะอื่น ๆ ของพระองค์ยังไง? (ดูเชิงอรรถ)
15 คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงความรักในแบบที่แตกต่างจากคุณลักษณะอื่น ๆ ของพระยะโฮวา คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอกว่าพระเจ้าเป็นอำนาจ เป็นความยุติธรรม หรือเป็นสติปัญญา พระองค์มีคุณลักษณะทั้งสามอย่างนี้ คุณลักษณะเหล่านี้มาจากพระองค์ และไม่มีใครแสดงคุณลักษณะทั้งหมดนี้ได้ดีเท่าพระองค์ แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกให้เรารู้บางอย่างที่พิเศษเกี่ยวกับคุณลักษณะที่สี่ว่า “พระเจ้าเป็นความรัก”b (1 ยอห์น 4:8) นี่หมายความว่ายังไง?
16-18. (ก) ทำไมคัมภีร์ไบเบิลถึงบอกว่า “พระเจ้าเป็นความรัก”? (ข) ทำไมถึงเหมาะสมที่ใช้มนุษย์เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความรักของพระยะโฮวา?
16 ที่บอกว่า “พระเจ้าเป็นความรัก” ไม่ได้หมายความว่าความรักและพระเจ้าเป็นสิ่งเดียวกัน เราพูดไม่ได้ว่า “ความรักเป็นพระเจ้า” เพราะพระยะโฮวาเป็นมากกว่านั้น พระองค์เป็นพระเจ้าที่มีความคิด ความรู้สึกและคุณลักษณะหลายอย่าง ไม่ได้มีแค่ความรักอย่างเดียว แต่ถึงอย่างนั้นความรักก็เป็นคุณลักษณะเด่นของพระองค์ พจนานุกรมอธิบายคัมภีร์ไบเบิลเล่มหนึ่งบอกเกี่ยวกับข้อนี้ว่า “พระเจ้าเป็นความรักและทุกสิ่งเกี่ยวกับพระองค์ก็เป็นความรัก” นี่หมายความว่าที่พระยะโฮวาสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้เพราะพระองค์มีอำนาจ ความยุติธรรมและสติปัญญาชี้นำวิธีที่พระองค์ลงมือทำทุกอย่าง แต่ความรักเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้พระองค์ทำสิ่งเหล่านั้น ดังนั้น เมื่อพระองค์แสดงคุณลักษณะอื่น ๆ พระองค์ก็แสดงความรักด้วย
17 คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระยะโฮวาเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในการแสดงความรัก ดังนั้น ถ้าเราอยากเรียนรู้เกี่ยวกับความรัก เราก็ต้องมารู้จักพระยะโฮวา และเราทุกคนก็แสดงคุณลักษณะนี้ได้ เพราะอะไร? ตอนที่พระยะโฮวาสร้างมนุษย์ พระองค์พูดกับพระเยซูว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามแบบเราและมีลักษณะคล้ายเรา” (ปฐมกาล 1:26) จากสิ่งต่าง ๆ ที่พระยะโฮวาสร้างบนโลก มีแค่มนุษย์เท่านั้นที่เลียนแบบพระยะโฮวาในการแสดงความรักได้ อย่าลืมว่าพระยะโฮวาใช้สัตว์ต่าง ๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงคุณลักษณะสำคัญของพระองค์ แต่เมื่อพระยะโฮวาพูดถึงความรัก พระองค์ใช้มนุษย์เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงคุณลักษณะเด่นที่สุดของพระองค์—เอเสเคียล 1:10
18 ถ้าเราแสดงความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวกับคนอื่น เราก็กำลังเลียนแบบคุณลักษณะเด่นที่สุดของพระยะโฮวา เหมือนที่อัครสาวกยอห์นเขียนไว้ว่า “เราแสดงความรักก็เพราะพระองค์รักเราก่อน” (1 ยอห์น 4:19) แต่พระยะโฮวารักเราก่อนยังไง?
พระยะโฮวารักเราก่อน
19. อะไรกระตุ้นพระยะโฮวาให้สร้างสิ่งมีชีวิต?
19 ความรักมีอยู่มานานแล้ว ทำไมเราถึงบอกอย่างนั้น? ลองคิดดูว่าอะไรกระตุ้นพระยะโฮวาให้สร้างสิ่งมีชีวิต? ไม่ใช่เพราะพระองค์รู้สึกเหงาและต้องการมีเพื่อน พระยะโฮวามีทุกอย่างและไม่ขาดอะไรเลย เพราะความรักเป็นคุณลักษณะที่กระตุ้นให้ทำดีกับคนอื่น และพระยะโฮวาเป็นความรัก พระองค์เลยให้ชีวิตกับทูตสวรรค์และมนุษย์เพื่อพวกเขาจะมีความสุขด้วย “ผู้แรกที่พระเจ้าสร้าง” คือพระเยซูลูกคนเดียวของพระองค์ (วิวรณ์ 3:14) ต่อมาพระยะโฮวาใช้พระเยซูให้เป็นนายช่างและสร้างสิ่งอื่น ๆ ทั้งหมดโดยสร้างพวกทูตสวรรค์ก่อน (โยบ 38:4, 7; โคโลสี 1:16) พระยะโฮวาสร้างพวกเขาให้มีอิสระที่จะเลือก มีสติปัญญา และมีความรู้สึก พวกเขาเลยแสดงความรักและเป็นเพื่อนกันได้ ที่สำคัญที่สุดพวกเขายังรักพระยะโฮวาได้ด้วย (2 โครินธ์ 3:17) ดังนั้น ที่พวกเขาแสดงความรักได้ก็เพราะพระยะโฮวารักพวกเขาก่อน
20, 21. อะไรทำให้เห็นว่าพระยะโฮวารักอาดัมกับเอวามาก แต่พวกเขากลับทำอะไร?
20 เป็นอย่างนั้นกับมนุษย์ด้วย พระยะโฮวาแสดงความรักกับอาดัมและเอวาตั้งแต่แรกที่พระองค์สร้างพวกเขา ไม่ว่าจะมองไปที่ไหนในสวนเอเดนซึ่งเป็นบ้านของพวกเขา พวกเขาก็เห็นชัดว่าพระยะโฮวารักพวกเขามาก ขอสังเกตที่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าเตรียมสวนแห่งหนึ่งไว้ที่เอเดนทางฝั่งทิศตะวันออก แล้วให้มนุษย์ที่พระองค์สร้างขึ้นอยู่ที่นั่น” (ปฐมกาล 2:8) คุณเคยอยู่ในสวนที่สวยมาก ๆ ไหม? อะไรทำให้คุณมีความสุขมากที่สุด? เป็นเพราะแสงแดดที่ส่องทะลุใบไม้ลงมาไหม? หรือว่าจะเป็นดอกไม้ที่มีสีสันหลากหลายชนิด? หรือว่าเป็นเสียงน้ำไหลในลำธาร เสียงนกร้องเพลง หรือเสียงแมลง? หรือกลิ่นหอมของดอกไม้ ผลไม้ และต้นไม้ต่าง ๆ? ในทุกวันนี้ถึงจะมีสวนที่สวยมากแต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับสวนเอเดน ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?
21 พระยะโฮวาสร้างสวนนั้นด้วยพระองค์เอง สวนนั้นคงต้องสวยมาก ๆ เพราะมีต้นไม้หลายชนิดที่สวยงามและให้ผลที่อร่อย ที่นั่นชุ่มชื้น กว้างใหญ่ และเต็มไปด้วยสัตว์หลายชนิดที่ทำให้ตื่นตาตื่นใจ อาดัมกับเอวามีทุกอย่างที่ทำให้มีความสุข พวกเขามีงานที่น่าพอใจและสนิทกันมาก พระยะโฮวาแสดงความรักกับพวกเขาก่อนและพวกเขาก็ควรรักพระองค์ด้วย แต่พวกเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น แทนที่จะเชื่อฟังพ่อในสวรรค์ พวกเขากลับเห็นแก่ตัวและกบฏ—ปฐมกาลบท 2
22. พระยะโฮวาทำให้เห็นยังไงว่าพระองค์มีความรักที่มั่นคง?
22 พระยะโฮวาคงต้องรู้สึกเสียใจมากแน่ ๆ แต่นั่นทำให้พระองค์เลิกรักมนุษย์ไหม? ไม่เลย เพราะ “พระองค์มีความรักที่มั่นคงตลอดไป” (สดุดี 136:1) พระยะโฮวาแสดงความรักกับลูกหลานของอาดัมกับเอวาโดยช่วยทุกคนที่อยากมารู้จักและรักพระองค์ให้รอด เราได้เรียนไปแล้วว่าวิธีหนึ่งที่พระยะโฮวาทำเพื่อช่วยชีวิตพวกเราคือให้ลูกที่รักของพระองค์มาเป็นค่าไถ่ ถึงแม้พระองค์ต้องเจ็บปวดมากก็ตาม—1 ยอห์น 4:10
23. อะไรเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ทำให้พระยะโฮวาเป็น “พระเจ้าผู้มีความสุข” และบทถัดไปจะตอบคำถามที่สำคัญอะไร?
23 พระยะโฮวาแสดงความรักกับมนุษย์ตั้งแต่แรก เราเห็นหลายอย่างที่แสดงว่า “พระองค์รักเราก่อน” ความรักทำให้เป็นหนึ่งเดียวกันและมีความสุข ดังนั้น เลยไม่แปลกที่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระยะโฮวาเป็น “พระเจ้าผู้มีความสุข” (1 ทิโมธี 1:11) แต่คุณอาจสงสัยว่าพระยะโฮวารักคุณจริง ๆ ไหม? บทถัดไปจะตอบคำถามที่สำคัญนี้
a คำว่าฟิเละโอใช้กับความรักระหว่างเพื่อนสนิทหรือพี่น้อง มีการใช้คำนี้บ่อย ๆ ในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก คำว่าสทอร์เกที่เป็นความรักระหว่างคนในครอบครัวใช้ที่ 2 ทิโมธี 3:3 เพื่อบอกว่าในสมัยสุดท้ายหลายคนจะไม่รักญาติพี่น้อง คำว่าเอรอสใช้กับความรักระหว่างชายและหญิง แม้ไม่มีการใช้คำนี้ในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก แต่คัมภีร์ไบเบิลก็พูดถึงความรักแบบนี้—สุภาษิต 5:15-20
b ข้ออื่น ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลก็ใช้คำที่คล้าย ๆ กันนี้ เช่น “พระเจ้าเป็นความสว่าง” และ “พระเจ้า . . . เป็นเหมือนไฟที่เผาผลาญ” (1 ยอห์น 1:5; ฮีบรู 12:29) แต่นี่เป็นแค่การเปรียบเทียบพระยะโฮวากับบางอย่างเท่านั้น พระยะโฮวาเป็นเหมือนความสว่างเพราะพระองค์บริสุทธิ์และทำทุกอย่างถูกต้องเสมอ พระองค์ไม่มี “ความมืด” หรือความไม่สะอาดเลย และอาจเปรียบพระองค์เป็นเหมือนไฟเพราะพระองค์ใช้พลังอำนาจในการทำลาย
-
-
ไม่มีอะไรจะ “ขัดขวางความรักที่พระเจ้าแสดงต่อเรา” ได้เข้าไปใกล้ชิดกับพระยะโฮวา
-
-
บท 24
ไม่มีอะไรจะ “ขัดขวางความรักที่พระเจ้าแสดงต่อเรา” ได้
1. ความรู้สึกในแง่ลบมีผลกับหลายคนและกับผู้รับใช้บางคนของพระเจ้ายังไง?
พระยะโฮวาพระเจ้ารักคุณเป็นส่วนตัวไหม? บางคนเชื่อว่าพระเจ้ารักมนุษย์ทุกคนเหมือนที่บอกไว้ในยอห์น 3:16 แต่เขาก็อาจรู้สึกว่า ‘พระเจ้าคงไม่รักฉันเป็นส่วนตัวหรอก’ บางครั้งผู้รับใช้ของพระยะโฮวาก็รู้สึกอย่างนั้นด้วย ผู้ชายคนหนึ่งที่ท้อใจพูดว่า “ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะเชื่อว่าพระเจ้าสนใจในตัวผม” คุณเคยรู้สึกแบบนั้นไหม?
2, 3. ใครอยากให้เราเชื่อว่าเราไม่มีค่าหรือไม่สมควรได้รับความรักจากพระยะโฮวา และเราจะมั่นใจได้ยังไงว่านั่นไม่ใช่เรื่องจริง?
2 ซาตานอยากให้เราเชื่อว่าพระยะโฮวาพระเจ้าไม่รักเราและมองว่าเราไม่มีค่า อย่าลืมว่าซาตานพยายามทำให้ผู้คนมีความคิดผิด ๆ (2 โครินธ์ 11:3) หลายครั้งมันทำอย่างนั้นโดยทำให้พวกเขาคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น แต่มันก็ชอบที่จะทำให้ผู้คนคิดว่าตัวเองไม่มีค่าด้วย (ยอห์น 7:47-49; 8:13, 44) ซาตานทำอย่างนี้มากขึ้นใน “สมัยสุดท้าย” ที่เป็นช่วงเวลาวิกฤติที่มีแต่ความยุ่งยากลำบาก หลายคนในทุกวันนี้โตในครอบครัวที่ “ไม่รักญาติพี่น้อง” หรือไม่มีความรักตามธรรมชาติ บางคนต้องเจอกับคนที่ดุร้าย เห็นแก่ตัว และหัวดื้อเป็นประจำ (2 ทิโมธี 3:1-5) คนที่ต้องเจอการกระทำไม่ดีแบบนั้นนานหลายปีอาจคิดว่าตัวเองไม่มีค่าและไม่มีใครรักเขาจริง ๆ
3 ถ้าคุณรู้สึกอย่างนั้นก็อย่าเพิ่งหมดหวัง บางครั้งพวกเราหลายคนก็รู้สึกอย่างนั้นกับตัวเอง อย่าลืมว่าคัมภีร์ไบเบิลเขียนไว้เพื่อ “แก้ไขสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบร้อย” และ “สามารถทำลายสิ่งที่ฝังรากลึกได้” (2 ทิโมธี 3:16; 2 โครินธ์ 10:4) คัมภีร์ไบเบิลยังบอกอีกว่า “เรามั่นใจได้ว่าพระเจ้ารักเรา ไม่ว่าใจเราจะตำหนิตัวเองขนาดไหน พระเจ้าก็รู้จักตัวเราดีกว่าที่เรารู้จักตัวเอง และพระองค์รู้ทุกสิ่ง” (1 ยอห์น 3:19, 20) ให้เรามาดู 4 วิธีที่คัมภีร์ไบเบิลช่วยเราให้ “มั่นใจ” ได้ว่าพระยะโฮวารักเรา
พระยะโฮวามองว่าคุณมีค่า
4, 5. ตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูเรื่องนกกระจอกช่วยให้เห็นยังไงว่าเรามีค่าสำหรับพระยะโฮวา?
4 อย่างแรก คัมภีร์ไบเบิลสอนว่าพระเจ้าเห็นค่าผู้รับใช้ของพระองค์ทุกคน ตัวอย่างเช่น พระเยซูบอกว่า “นกกระจอก 2 ตัวเขาขายกันแค่ไม่กี่บาท แต่ไม่มีสักตัวจะตกถึงดินโดยที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของคุณไม่รู้ แม้แต่ผมบนหัวของคุณ พระองค์ก็นับไว้แล้วทุกเส้น ดังนั้น อย่ากลัวเลย เพราะคุณมีค่ามากกว่านกกระจอกหลายตัวรวมกันด้วยซ้ำ” (มัทธิว 10:29-31) คุณคิดว่าคนที่ฟังพระเยซูพูดจะรู้สึกยังไง?
“คุณมีค่ามากกว่านกกระจอกหลายตัวรวมกันด้วยซ้ำ”
5 เราอาจสงสัยว่าจะมีคนซื้อนกกระจอกไปทำไม ในสมัยของพระเยซู นกกระจอกเป็นนกที่ขายเป็นอาหารและมีราคาถูกที่สุด สังเกตว่าเงินหนึ่งเหรียญที่มีค่าไม่มากก็ซื้อนกกระจอกได้ 2 ตัว พระเยซูบอกด้วยว่าถ้ามีคนจ่ายเงินสองเหรียญ เขาก็จะได้นกกระจอกไม่ใช่ 4 ตัว แต่ 5 ตัว นกตัวที่แถมให้ดูเหมือนว่าไม่มีค่าเลย เราอาจมองว่านกพวกนี้ไม่มีค่า แต่พระยะโฮวามองพวกมันยังไง? พระเยซูบอกว่า “ไม่มีสักตัวเดียว [แม้แต่ตัวที่แถมให้] ที่พระเจ้าจะลืม” (ลูกา 12:6, 7) ตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่าพระเยซูอยากจะสอนบทเรียนอะไรกับเรา ถ้าพระยะโฮวามองว่านกกระจอกตัวเดียวมีค่า เราก็มั่นใจได้ว่าเรามีค่ามากกว่านั้นอีก เหมือนที่พระเยซูบอก พระยะโฮวารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเรา พระองค์รู้ด้วยซ้ำว่าเรามีผมกี่เส้น
6. ทำไมเราแน่ใจได้ว่าพระเยซูไม่ได้พูดเกินจริงเมื่อบอกว่าพระยะโฮวารู้ว่าเรามีผมกี่เส้น?
6 บางคนอาจคิดว่าพระเยซูพูดเกินจริงเมื่อบอกว่าพระยะโฮวารู้ว่าเรามีผมกี่เส้น แต่ลองคิดถึงคำสัญญาของพระยะโฮวาที่จะปลุกคนตายให้ฟื้นขึ้นมา เพื่อจะทำอย่างนั้นได้พระองค์ต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเรา พระองค์มองว่าเรามีค่ามากและพระองค์จดจำแม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับเรา ตัวอย่างเช่น ดีเอ็นเอหรือรหัสพันธุกรรม ความทรงจำ และประสบการณ์ทั้งหมดในชีวิตของเราa เมื่อเทียบกับเรื่องนี้แล้วก็ง่ายมากที่พระยะโฮวาจะรู้ว่าเรามีผมกี่เส้น
ทำไมพระยะโฮวามองว่าเรามีค่า?
7, 8. (ก) เมื่อตรวจดูหัวใจผู้คน พระยะโฮวาเห็นคุณลักษณะอะไรบ้างที่ทำให้พระองค์มีความสุข? (ข) งานอะไรบ้างที่เราทำซึ่งพระยะโฮวามองว่ามีค่า?
7 อย่างที่สอง คัมภีร์ไบเบิลบอกให้รู้ว่าทำไมพระยะโฮวามองว่าผู้รับใช้ของพระองค์มีค่า พระองค์มีความสุขที่เห็นคุณลักษณะที่ดีและเห็นความพยายามของเราเพื่อทำให้พระองค์พอใจ กษัตริย์ดาวิดบอกโซโลมอนลูกของเขาว่า “พระยะโฮวาตรวจดูหัวใจและรู้ความคิดจิตใจของทุกคน” (1 พงศาวดาร 28:9) เมื่อพระยะโฮวาตรวจดูหัวใจของหลายพันล้านคนในโลกที่มีแต่ความรุนแรงและความเกลียดชัง พระองค์คงมีความสุขมากที่เห็นหลายคนมีหัวใจดี รักสันติ รักความจริง และอยากทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วพระองค์ทำอะไรเมื่อเห็นว่ามีบางคนรักพระองค์ อยากมารู้จัก และอยากบอกเรื่องพระองค์ให้คนอื่นรู้? คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระยะโฮวาสนใจคนแบบนี้เป็นพิเศษ พระองค์ถึงกับมี “หนังสือที่บันทึกชื่อคนที่พระองค์จดจำ” ซึ่งก็คือ “คนที่เกรงกลัวพระยะโฮวาและระลึกถึงชื่อของพระองค์” (มาลาคี 3:16) พระยะโฮวามองว่าคุณลักษณะเหล่านี้มีค่ามากสำหรับพระองค์
8 งานที่ดีอะไรบ้างที่พระยะโฮวามองว่ามีค่า? เราแน่ใจได้ว่าพระองค์เห็นค่าทุกอย่างที่เราทำเพื่อเลียนแบบพระเยซูคริสต์ลูกของพระองค์ (1 เปโตร 2:21) งานสำคัญอย่างหนึ่งที่พระเจ้ามองว่ามีค่าคือการประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระองค์ ที่โรม 10:15 บอกว่า “เท้าของคนที่ประกาศข่าวดีงดงามจริง ๆ” ปกติแล้วเราอาจไม่ได้คิดว่าเท้าของเรางดงาม แต่ในข้อนี้เท้าเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามของผู้รับใช้พระยะโฮวาในการประกาศข่าวดี ซึ่งมีค่ามากสำหรับพระยะโฮวา—มัทธิว 24:14; 28:19, 20
9, 10. (ก) ทำไมเรามั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาเห็นค่าที่เราอดทนแม้ต้องเจอปัญหาต่าง ๆ? (ข) พระยะโฮวาไม่เคยทำอะไรเมื่อตรวจดูหัวใจผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์?
9 พระยะโฮวามองว่าความอดทนของเรามีค่าด้วย (มัทธิว 24:13) อย่าลืมว่าซาตานอยากให้เราเลิกรับใช้พระยะโฮวา ทุกวันที่เราภักดีต่อพระยะโฮวาเราก็ทำให้เห็นว่าซาตานโกหก (สุภาษิต 27:11) บางครั้งการอดทนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ปัญหาสุขภาพ ปัญหาเศรษฐกิจ ความเครียด และปัญหาอื่น ๆ อาจทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันลำบากมากขึ้น นอกจากนั้น เราอาจรู้สึกท้อเมื่อสิ่งที่เราหวังไว้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง (สุภาษิต 13:12) พระยะโฮวามองว่าการอดทนกับปัญหาเหล่านั้นมีค่ามากสำหรับพระองค์ กษัตริย์ดาวิดเข้าใจเรื่องนี้ เขาขอพระยะโฮวาให้เก็บน้ำตาของเขาไว้ใน “ถุงหนัง” ของพระองค์ และพูดด้วยความมั่นใจว่า “พระองค์นับหยดน้ำตาของผมแล้วเขียนไว้ในสมุดของพระองค์” (สดุดี 56:8) ดังนั้น เมื่อเรารักษาความซื่อสัตย์ภักดีต่อพระยะโฮวา พระองค์ก็เห็นค่าที่เราอดทนและไม่ลืมน้ำตาทุกหยดของเรา สิ่งเหล่านี้มีค่ามากจริง ๆ สำหรับพระยะโฮวา
พระยะโฮวาเห็นค่าที่เราอดทนกับความยากลำบาก
10 ถึงแม้จะมีหลักฐานมากมายว่าพระยะโฮวาเห็นค่าเรา แต่คุณก็อาจยังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าและอาจคิดว่า ‘ยังมีอีกหลายคนที่ดีกว่าฉัน ถ้าพระยะโฮวาเปรียบเทียบฉันกับคนอื่น พระองค์คงต้องผิดหวังแน่ ๆ’ แต่พระยะโฮวาไม่ทำอย่างนั้นและไม่เคยคาดหมายให้เราทำสิ่งที่เราทำไม่ได้ (กาลาเทีย 6:4) เมื่อพระองค์ตรวจดูหัวใจเรา พระองค์ก็เห็นค่าสิ่งดีทุกอย่างในตัวเราแม้จะเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราทำได้ก็ตาม
พระยะโฮวามองหาสิ่งดีในตัวเรา
11. เราเรียนอะไรได้จากวิธีที่พระยะโฮวาทำกับอาบียาห์?
11 อย่างที่สาม พระยะโฮวามองหาคุณลักษณะที่ดีในตัวเรา ตัวอย่างเช่น พระยะโฮวาบอกว่าจะกำจัดผู้ชายทุกคนในตระกูลของกษัตริย์เยโรโบอัมที่ชั่วร้าย แต่พระองค์สั่งให้ฝังศพอาบียาห์ลูกคนหนึ่งของเขา ทำไมพระองค์ถึงบอกแบบนั้น? “พระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอลเห็นว่ามีความดีอยู่บ้าง” ในตัวเขา (1 พงศ์กษัตริย์ 14:1, 10-13) ที่จริง พระยะโฮวาตรวจดูหัวใจของอาบียาห์อย่างละเอียดแล้วเห็นว่าเขามี “ความดีอยู่บ้าง” ถึงแม้ความดีที่เขามีจะน้อยแค่ไหน แต่พระยะโฮวาก็ยังให้เขียนเรื่องนี้ไว้ในคัมภีร์ไบเบิล พระองค์ถึงกับแสดงความเมตตากับเขาโดยให้มีการฝังศพอย่างมีเกียรติ
12, 13. (ก) ถึงแม้เราจะทำผิดพลาด แต่เรื่องของกษัตริย์เยโฮชาฟัทแสดงให้เห็นยังไงว่าพระยะโฮวามองหาสิ่งดีในตัวเรา? (ข) พระยะโฮวามองคุณลักษณะที่ดีและสิ่งที่เราทำเพื่อพระองค์ยังไง และพระองค์ไม่มีวันที่จะทำอะไร?
12 อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือกษัตริย์เยโฮชาฟัท ตอนที่เขาทำผิดพลาด ผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวาบอกเขาว่า “เพราะอย่างนี้พระยะโฮวาจึงโกรธท่านมาก” นี่เป็นคำเตือนที่น่าตกใจมาก แต่ผู้พยากรณ์ก็บอกเขาด้วยว่า “พระเจ้าเห็นว่าท่านยังมีความดีอยู่” (2 พงศาวดาร 19:1-3) ถึงแม้พระยะโฮวาจะโกรธเยโฮชาฟัท แต่พระองค์ก็ยังเห็นคุณลักษณะที่ดีในตัวเขา นี่ต่างกันมากกับมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบ เมื่อเราโกรธใครสักคนเราก็มักจะมองแต่สิ่งไม่ดีในตัวเขา และเมื่อทำบาปเราอาจรู้สึกท้อ อับอาย และรู้สึกผิดจนมองไม่เห็นข้อดีของตัวเอง แต่อย่าลืมว่าถ้าเรากลับใจและพยายามเต็มที่ที่จะไม่ทำผิดซ้ำอีก พระยะโฮวาก็จะให้อภัยเรา
13 เหมือนกับคนที่ขุดหาพลอยจะร่อนเศษกรวดทิ้งไปและเก็บเฉพาะพลอยที่มีค่าไว้ พระยะโฮวาก็เลือกมองข้ามจุดอ่อนและมองหาสิ่งดีในตัวเรา พระยะโฮวามองว่าคุณลักษณะที่ดีและสิ่งดีที่เราทำเป็นเหมือน “พลอย” และเหมือนกับที่พ่อแม่บางคนเก็บภาพวาดหรือของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ลูกให้ไว้นานหลายปี พระยะโฮวาก็เป็นพ่อที่รักลูก ๆ ของพระองค์มาก ถ้าเราซื่อสัตย์กับพระองค์เสมอ พระองค์ก็จะไม่มีวันลืมสิ่งที่เราทำเพื่อพระองค์และคุณลักษณะที่ดีของเรา ที่จริง พระยะโฮวามองว่าการลืมสิ่งเหล่านั้นเป็นการทำชั่ว (ฮีบรู 6:10) นอกจากนั้น ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่พระยะโฮวามองหาข้อดีในตัวเราด้วย
14, 15. (ก) ทำไมพระยะโฮวามองว่าเรามีค่าทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ? ขอยกตัวอย่าง (ข) พระยะโฮวาจะทำอะไรกับคุณลักษณะดี ๆ ที่พระองค์เห็นในตัวเรา และพระองค์รู้สึกยังไงกับผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์?
14 เมื่อพระยะโฮวามองเรา พระองค์ไม่ได้สนใจข้อผิดพลาดของเรา แต่พระองค์มองว่าเราเป็นคนที่ดีขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น ถ้ามีภาพวาดชิ้นหนึ่งเสียหาย คนที่รักงานศิลปะจะพยายามเต็มที่เพื่อซ่อมภาพวาดนั้น เช่น ในหอศิลป์แห่งชาติที่ลอนดอน มีคนยิงภาพวาดของเลโอนาร์โด ดา วินชี ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 30 ล้านเหรียญสหรัฐ ตอนที่เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่มีใครบอกให้ทิ้งภาพนี้ แต่พวกเขาเริ่มงานซ่อมภาพวาดนี้ทันที เพราะอะไร? เพราะภาพนั้นเป็นสิ่งมีค่ามากสำหรับคนที่รักงานศิลปะ ถึงแม้เราเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบและบางครั้งอาจรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า แต่สำหรับพระเจ้า เรามีค่ามากกว่าภาพวาดอีก (สดุดี 72:12-14) พระยะโฮวาพระเจ้าผู้สร้างตัวเราจะทำทุกอย่างเพื่อแก้ไขผลเสียหายที่เกิดจากบาปและช่วยทุกคนที่รักและเชื่อฟังพระองค์ให้เป็นคนที่สมบูรณ์แบบได้—กิจการ 3:21; โรม 8:20-22
15 พระยะโฮวาเห็นสิ่งดีในตัวเราที่เราอาจมองไม่เห็น และถ้าเรารับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไป พระองค์ก็จะช่วยเราให้เป็นคนที่ดีขึ้นและในที่สุดเราก็จะเป็นคนสมบูรณ์แบบ ถึงแม้โลกของซาตานจะทำเหมือนว่าเราไม่มีค่า แต่พระยะโฮวามองว่าผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์มีค่ามาก—ฮักกัย 2:7
พระยะโฮวาทำหลายอย่างที่แสดงว่าพระองค์รักเรา
16. อะไรเป็นหลักฐานชัดเจนที่แสดงว่าพระยะโฮวารักเรา และเรารู้ได้ยังไงว่าพระเยซูสละชีวิตเพื่อเราเป็นส่วนตัว?
16 อย่างที่สี่ พระยะโฮวาทำหลายอย่างที่แสดงว่าพระองค์รักเรา ค่าไถ่ของพระเยซูเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดสำหรับคำโกหกของซาตานที่ว่าเราไม่มีค่าและไม่สมควรได้รับความรักจากพระเจ้า อย่าลืมว่าพระเยซูต้องเจ็บปวดมากขนาดไหนตอนที่ท่านถูกตรึงบนเสาทรมาน และพระยะโฮวารู้สึกเจ็บปวดมากกว่านั้นอีกตอนที่เห็นลูกที่รักของพระองค์ตาย ทั้งหมดนี้แสดงว่าพระยะโฮวากับพระเยซูรักเรามากจริง ๆ แต่หลายคนกลับรู้สึกว่ายากที่จะเชื่อว่าพระเยซูสละชีวิตเพื่อเขาเพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควร ขอให้คิดถึงอัครสาวกเปาโล ถึงแม้เขาเคยข่มเหงสาวกของพระคริสต์ แต่ภายหลังเขาเขียนว่า “ลูกของพระเจ้า . . . รักผมและสละชีวิตเพื่อผม”—กาลาเทีย 1:13; 2:20
17. พระยะโฮวาทำยังไงเพื่อชักนำเราให้มาหาพระองค์และลูกของพระองค์?
17 พระยะโฮวาแสดงให้เห็นว่าพระองค์รักเราโดยช่วยเราแต่ละคนให้รับประโยชน์จากค่าไถ่ พระเยซูบอกว่า “ไม่มีใครจะมาหาผมได้ นอกจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อที่ใช้ผมมาจะชักนำเขา” (ยอห์น 6:44) พระยะโฮวาชักนำเราเป็นส่วนตัวให้มาหาลูกของพระองค์และให้มีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป พระองค์ทำอย่างนั้นโดยให้มีคนมาประกาศกับเรา พระองค์ใช้พลังบริสุทธิ์เพื่อช่วยเราให้เข้าใจคัมภีร์ไบเบิลและเอาสิ่งที่ได้เรียนไปใช้ได้ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ ดังนั้น พระยะโฮวาพูดกับเราเหมือนที่พระองค์พูดกับชาวอิสราเอลว่า “เรารักเจ้าและจะรักตลอดไป เพราะเรามีความรักที่มั่นคง เราจึงทำให้เจ้าเข้ามาใกล้เรา”—เยเรมีย์ 31:3
18, 19. (ก) พระยะโฮวาแสดงว่ารักเราโดยให้เราทำอะไรเพื่อจะสนิทกับพระองค์เป็นส่วนตัว และอะไรแสดงว่าพระองค์สนใจเรื่องนี้มาก? (ข) คัมภีร์ไบเบิลทำให้เรามั่นใจยังไงว่าพระยะโฮวาเป็นผู้ฟังที่เห็นอกเห็นใจ?
18 พระยะโฮวารักเรามากและอยากให้เราอธิษฐานถึงพระองค์ การอธิษฐานจะทำให้เราสนิทกับพระองค์เป็นส่วนตัว คัมภีร์ไบเบิลบอกให้เรา “อธิษฐานเป็นประจำ” (1 เธสะโลนิกา 5:17) พระองค์จะฟังแน่นอน คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระองค์เป็น “ผู้ฟังคำอธิษฐาน” (สดุดี 65:2) แม้แต่พระเยซูก็ไม่ได้ทำหน้าที่นี้เพราะพระยะโฮวาจะฟังคำอธิษฐานของเราด้วยตัวเอง ลองคิดดูสิ ผู้สร้างเอกภพเชิญเราให้อธิษฐานและระบายความในใจกับพระองค์ได้ แล้วพระยะโฮวาเป็นผู้ฟังที่เย็นชา ไร้ความรู้สึก และไม่สนใจเราไหม? ไม่ใช่อย่างนั้นแน่ ๆ
19 พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่เห็นอกเห็นใจ แต่ความเห็นอกเห็นใจคืออะไร? พี่น้องสูงอายุที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งบอกว่า “ความเห็นอกเห็นใจคือความเจ็บปวดของคุณในหัวใจของผม” พระยะโฮวารู้สึกอย่างนั้นกับความเจ็บปวดของเราด้วยไหม? ขอให้สังเกตว่าพระยะโฮวารู้สึกยังไงตอนที่ชาวอิสราเอลประชาชนของพระองค์ลำบาก คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ในช่วงที่พวกเขาทนทุกข์ พระเจ้าก็ทนทุกข์ด้วย” (อิสยาห์ 63:9) พระยะโฮวาไม่เพียงแค่เห็นความลำบากของพวกเขาเท่านั้น แต่พระองค์ยังรู้สึกเจ็บปวดกับพวกเขาด้วย พระยะโฮวาแสดงว่าเห็นอกเห็นใจพวกเขามากโดยบอกว่า “ใครที่แตะต้องเจ้าก็เท่ากับแตะต้องดวงตาของเรา”b (เศคาริยาห์ 2:8) ถ้ามีใครเอามือมาจิ้มตาเรา เราคงจะเจ็บมากจริง ๆ พระยะโฮวาเห็นอกเห็นใจเรา ดังนั้น เมื่อเราเจ็บปวด พระองค์ก็เจ็บปวดด้วย
20. เพื่อจะทำตามคำแนะนำที่อยู่ในโรม 12:3 เราต้องหลีกเลี่ยงความคิดแบบไหน?
20 คริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่จะไม่รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากเกินไปหรือมองว่าเขาดีกว่าคนอื่นเพราะพระยะโฮวารักและมองว่าเขามีค่า อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “ผมได้รับความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ ผมจึงขอบอกพวกคุณทุกคนว่า อย่าคิดถึงตัวเองมากเกินไป แต่ให้คิดอย่างสมเหตุสมผลตามขนาดของความเชื่อที่พระเจ้าให้แต่ละคน” (โรม 12:3) ดังนั้น ให้เรามีความสุขกับความรักที่อบอุ่นของพ่อในสวรรค์ และจำไว้เสมอว่าเราไม่ควรคิดว่าเราต้องได้รับความรักจากพระเจ้าเป็นการตอบแทน—ลูกา 17:10
21. เราต้องไม่หลงเชื่อคำโกหกอะไรของซาตาน แต่เราควรเชื่อคำรับรองอะไรจากพระยะโฮวา?
21 ขอให้เราทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อจะไม่หลงเชื่อคำโกหกของซาตาน รวมทั้งคำโกหกที่ว่าเราไม่มีค่าหรือไม่สมควรได้รับความรัก ถ้ามีบางอย่างไม่ดีเกิดขึ้นที่ทำให้รู้สึกว่าคุณไม่ดีพอที่พระเจ้าจะรัก หรือคิดว่าสิ่งดี ๆ ที่คุณทำไม่มีค่าสำหรับพระองค์ หรือคุณอาจทำบาปร้ายแรงและรู้สึกว่าค่าไถ่ของพระเยซูไม่สามารถไถ่ความผิดนั้นได้ ถ้าคุณคิดอย่างนั้น คุณก็กำลังถูกซาตานหลอก อย่าไปเชื่อคำโกหกเหล่านั้น ขอให้มั่นใจว่าคำพูดที่พระยะโฮวาดลใจให้เปาโลเขียนจะใช้กับเราได้ด้วย เขาเขียนว่า “ผมมั่นใจว่า ไม่ว่าความตาย หรือชีวิต หรือทูตสวรรค์ หรือรัฐบาล หรือสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ หรือสิ่งที่จะมีในอนาคต หรืออำนาจ หรือความสูง หรือความลึก หรือสิ่งอื่น ๆ ที่ถูกสร้างมา จะไม่มีทางขัดขวางความรักที่พระเจ้าแสดงต่อเราผ่านทางพระคริสต์เยซูผู้เป็นนายของเราได้”—โรม 8:38, 39
a หลายครั้งคัมภีร์ไบเบิลเชื่อมโยงความหวังเรื่องการฟื้นขึ้นจากตายกับความจำของพระยะโฮวา โยบผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์พูดกับพระยะโฮวาว่า “ถ้าพระองค์ . . . กำหนดเวลาให้ผม แล้วคิดถึงผมอีก” (โยบ 14:13) พระเยซูก็พูดถึงการฟื้นขึ้นจากตายของ “ทุกคนซึ่งอยู่ในอุโมงค์ฝังศพ” หรือ “อุโมงค์รำลึก” นี่แสดงว่าพระยะโฮวาจดจำทุกคนที่พระองค์อยากจะปลุกให้ฟื้นจากตาย—ยอห์น 5:28, 29
b คัมภีร์ไบเบิลบางฉบับบอกว่าข้อนี้หมายถึงคนที่แตะต้องประชาชนของพระเจ้าก็แตะต้องตาของตัวเองหรือตาของชาวอิสราเอล ไม่ใช่ของพระเจ้า ความคิดที่ผิด ๆ นี้มาจากบางคนที่คัดลอกคัมภีร์ไบเบิล พวกเขารู้สึกว่าข้อความนี้ไม่แสดงความนับถือพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาเลยเปลี่ยนข้อความนี้ การทำแบบนี้ทำให้ภาพที่น่าประทับใจที่พระยะโฮวาแสดงความเห็นอกเห็นใจกับประชาชนของพระองค์หายไป
-
-
พระเจ้า “เอ็นดูสงสาร” เราเข้าไปใกล้ชิดกับพระยะโฮวา
-
-
บท 25
พระเจ้า “เอ็นดูสงสาร” เรา
1, 2. (ก) ปกติแล้วตอนที่ลูกร้อง แม่จะทำยังไง? (ข) ใครมีความเอ็นดูสงสารมากกว่าแม่?
เมื่อลูกน้อยร้องไห้ตอนกลางดึก แม่ก็ตื่นทันที ตั้งแต่ลูกเกิดมา เธอนอนหลับไม่สนิทเหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้เธอรู้ว่าลูกต้องการอะไรเมื่อได้ยินเสียงร้องของเขา เช่น ลูกอาจจะหิวนม อยากให้อุ้ม หรืออยากให้แม่สนใจ แต่ไม่ว่าลูกจะร้องไห้เพราะอะไรก็ตาม แม่ก็จะรีบลุกขึ้นมาดูทันทีเพราะเธอรักและเอ็นดูสงสารลูก
2 ถึงแม้ความเอ็นดูสงสารที่แม่มีต่อลูกที่เพิ่งเกิดเป็นความรู้สึกที่อ่อนโยนที่สุดที่มนุษย์มี แต่พระยะโฮวาพระเจ้ารู้สึกเมตตาสงสารเรามากกว่านั้นอีก ถ้าเราเข้าใจคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมนี้ เราก็จะยิ่งใกล้ชิดกับพระยะโฮวามากขึ้น ตอนนี้ให้เรามาดูว่าความเอ็นดูสงสารหมายถึงอะไร และพระเจ้าแสดงคุณลักษณะนี้ยังไง
ความสงสารหมายถึงอะไร?
3. คำภาษาฮีบรูที่แปลว่า “แสดงความเมตตา” หรือ “สงสาร” หมายถึงอะไร?
3 ในคัมภีร์ไบเบิลความสงสารกับความเมตตาเกี่ยวข้องกัน คำภาษาฮีบรูและคำภาษากรีกหลายคำถ่ายทอดความรู้สึกเอ็นดูสงสาร ตัวอย่างเช่น คำภาษาฮีบรู ราคัม ซึ่งบ่อยครั้งแปลว่า “แสดงความเมตตา” หรือ “สงสาร” พจนานุกรมอธิบายคัมภีร์ไบเบิลเล่มหนึ่งบอกว่า คำกริยา ราคัม “หมายถึงความรู้สึกสงสารที่ลึกซึ้งและอ่อนโยน เช่น ความรู้สึกที่เรามีตอนที่เห็นคนที่เรารักทนทุกข์และต้องการความช่วยเหลือ” พระยะโฮวาใช้คำฮีบรูนี้เพื่ออธิบายความรู้สึกของพระองค์ คำนี้เกี่ยวข้องกับคำว่า “ครรภ์” และแปลว่า “ความสงสารของแม่” ได้ด้วยa—อพยพ 33:19; เยเรมีย์ 33:26
“คนเป็นแม่จะลืม . . . ลูกที่เธอคลอดออกมาหรือ?”
4, 5. คัมภีร์ไบเบิลใช้ความรู้สึกที่แม่มีต่อลูกเพื่อสอนเราเกี่ยวกับความเมตตาสงสารของพระยะโฮวายังไง?
4 คัมภีร์ไบเบิลใช้ความรู้สึกที่แม่มีต่อลูกเพื่อสอนเราว่าความสงสารของพระยะโฮวาหมายถึงอะไร อิสยาห์ 49:15 บอกว่า “คนเป็นแม่จะลืมลูกที่ยังไม่หย่านมและไม่สงสาร [ราคัม] ลูกที่เธอคลอดออกมาหรือ? ถึงแม้เธอจะลืม แต่เราไม่มีทางลืมเจ้าเลย” ข้อนี้แสดงว่าพระยะโฮวาเมตตาสงสารประชาชนของพระองค์มาก ทำไมถึงบอกอย่างนั้น?
5 เป็นเรื่องยากที่จะคิดว่าแม่จะไม่ดูแลและเอาใจใส่ลูกที่ยังกินนมอยู่ ที่จริง ลูกยังช่วยตัวเองไม่ได้ และต้องได้รับความรักและการเอาใจใส่จากแม่ทั้งวันทั้งคืน น่าเศร้าที่แม่บางคนทอดทิ้งลูกของตัวเอง โดยเฉพาะใน “ช่วงเวลาวิกฤติ” นี้ที่หลายคน “ไม่รักญาติพี่น้อง” (2 ทิโมธี 3:1, 3) แต่พระยะโฮวาบอกว่า “เราไม่มีทางลืมเจ้าเลย” ความเมตตาสงสารที่พระยะโฮวามีต่อผู้รับใช้ของพระองค์ไม่มีวันเปลี่ยน ความเมตตาที่พระองค์มีนั้นมากกว่าความรู้สึกตามธรรมชาติที่แม่มีต่อลูกของเธอ ไม่น่าแปลกใจที่นักวิชาการด้านคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งอธิบายเกี่ยวกับอิสยาห์ 49:15 ว่า “นี่เป็นการแสดงความรักยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของพระเจ้าที่พูดถึงในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู”
6. หลายคนคิดยังไงกับการแสดงความเมตตาสงสาร แต่พระยะโฮวาช่วยให้เรามั่นใจในเรื่องอะไร?
6 ถ้าเราแสดงความเมตตาสงสารนั่นหมายความว่าเราเป็นคนอ่อนแอไหม? หลายคนคิดอย่างนั้น ตัวอย่างเช่น ตอนที่พระเยซูอยู่บนโลกมีนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งสอนว่า “ความสงสารเป็นความอ่อนแอ” เขาเชื่อว่าคนเราจะมีชีวิตที่ดีที่สุดได้ถ้าไม่รู้สึกเสียใจหรือดีใจ เขาบอกว่า คนฉลาดอาจช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากได้ แต่เขาต้องไม่รู้สึกสงสาร เพราะนั่นจะทำให้เขาไม่มีสันติสุข คนแบบนั้นที่คิดถึงแต่ตัวเองจะไม่สามารถแสดงความเมตตาสงสารออกมาได้เลย แต่พระยะโฮวาไม่เป็นอย่างนั้น ในคัมภีร์ไบเบิลพระองค์ช่วยให้เรามั่นใจว่าพระองค์ “เมตตาและมีความเห็นอกเห็นใจจริง ๆ” (ยากอบ 5:11) เราจะได้เห็นว่าความเมตตาสงสารไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นคุณลักษณะที่เข้มแข็งและสำคัญมาก ให้เรามาดูว่าพระยะโฮวาเป็นเหมือนพ่อที่รักเราและพระองค์เมตตาสงสารเรายังไง
พระยะโฮวาแสดงความเมตตาสงสารกับชาติอิสราเอล
7, 8. ชาวอิสราเอลต้องเจอความลำบากอะไรบ้างในอียิปต์ และพระยะโฮวารู้สึกยังไงกับสิ่งที่พวกเขาเจอ?
7 ความเมตตาสงสารของพระยะโฮวาเห็นชัดในวิธีที่พระองค์ปฏิบัติกับชาติอิสราเอล หลังจากโยเซฟเสียชีวิตชาวอิสราเอลที่มีจำนวนหลายล้านคนตกเป็นทาสในอียิปต์และมีชีวิตที่ลำบากมาก พวกอียิปต์ “ทำให้ชีวิตชาวอิสราเอลขมขื่นโดยใช้ให้ทำงานหนัก บังคับให้ทำอิฐ ทำปูน และทำงานทุกอย่าง” (อพยพ 1:11, 14) เมื่อเจอเรื่องแบบนี้ ชาวอิสราเอลร้องขอให้พระยะโฮวาช่วย พระยะโฮวารู้สึกยังไง และพระองค์ทำอะไร?
8 พระยะโฮวารู้สึกเสียใจมากที่เห็นว่าพวกเขาต้องเจอความลำบาก พระองค์บอกว่า “เราเห็นแล้วว่าประชาชนของเราซึ่งอยู่ในอียิปต์กำลังเจอกับความทุกข์ยากลำบาก เราได้ยินเสียงร้องของพวกเขาเพราะถูกหัวหน้างานบังคับให้ทำงานหนัก เรารู้ดีว่าพวกเขาเจ็บปวดขนาดไหน” (อพยพ 3:7) เป็นไปไม่ได้ที่พระยะโฮวาจะเห็นความทุกข์และได้ยินเสียงร้องของพวกเขาโดยไม่รู้สึกอะไรเลย ในบท 24 เราได้เรียนว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่เห็นอกเห็นใจ ความเห็นอกเห็นใจคือการร่วมความรู้สึกกับคนที่เจ็บปวด แต่พระยะโฮวาไม่เพียงแค่รู้สึกกับประชาชนของพระองค์เท่านั้น พระองค์ถูกกระตุ้นให้ลงมือทำบางอย่างเพื่อช่วยพวกเขา อิสยาห์ 63:9 บอกว่า “พระองค์ไถ่พวกเขาคืนมาด้วยความรักและความเมตตาสงสาร” พระยะโฮวาช่วยชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ด้วย “พลังอำนาจ” ของพระองค์ (เฉลยธรรมบัญญัติ 4:34) หลังจากนั้น พระองค์ยังแสดงความเมตตากับพวกเขาโดยให้มานาและพาพวกเขาเข้าไปในแผ่นดินที่พระองค์สัญญา
9, 10. (ก) หลังจากชาวอิสราเอลเข้าไปอยู่ในแผ่นดินที่พระยะโฮวาสัญญาแล้ว ทำไมพระองค์ถึงช่วยพวกเขาอยู่เรื่อย ๆ? (ข) ในสมัยของเยฟธาห์ พระยะโฮวาช่วยชาวอิสราเอลจากการกดขี่ยังไง และอะไรกระตุ้นพระองค์ให้ทำอย่างนั้น?
9 หลังจากชาวอิสราเอลเข้าไปอยู่ในแผ่นดินที่พระยะโฮวาสัญญาแล้ว พระองค์ยังแสดงความเมตตาสงสารกับพวกเขาต่อไป ถึงแม้พวกเขาไม่เชื่อฟังบ่อย ๆ และต้องเจอกับความทุกข์ แต่พอพวกเขากลับใจและร้องขอให้พระยะโฮวาช่วย พระองค์ก็ช่วยพวกเขาทุกครั้ง ทำไม? พระองค์ทำอย่างนั้น ‘เพราะพระองค์สงสารประชาชนของพระองค์’—2 พงศาวดาร 36:15; ผู้วินิจฉัย 2:11-16
10 เราเห็นเรื่องนี้ได้จากตัวอย่างของเยฟธาห์ เพราะชาวอิสราเอลนมัสการพระเท็จ พระยะโฮวาเลยปล่อยให้พวกอัมโมนกดขี่พวกเขานานถึง 18 ปี ในที่สุด ชาวอิสราเอลกลับใจ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พวกเขาก็กำจัดพระต่าง ๆ ของคนต่างชาติและกลับมานมัสการพระยะโฮวา พระเจ้าก็ทนไม่ได้ที่เห็นชาวอิสราเอลเป็นทุกข์เดือดร้อน” (ผู้วินิจฉัย 10:6-16) พอพวกเขากลับใจจริง ๆ พระยะโฮวาทนไม่ไหวที่เห็นพวกเขาต้องทนทุกข์อยู่ พระยะโฮวาแสดงความเมตตาสงสารกับพวกเขาโดยใช้เยฟธาห์ช่วยชาวอิสราเอลให้พ้นจากศัตรู—ผู้วินิจฉัย 11:30-33
11. เราเรียนอะไรได้จากวิธีที่พระยะโฮวาแสดงความเมตตาสงสารกับชาวอิสราเอล?
11 เราเรียนอะไรได้จากวิธีที่พระยะโฮวาแสดงความเมตตาสงสารกับชาวอิสราเอล? เราได้เรียนว่าการแสดงความเมตตาสงสารไม่ใช่แค่ความรู้สึกเสียใจเมื่อเห็นคนอื่นเจอความลำบากเท่านั้น ให้เรานึกถึงตัวอย่างของแม่ที่พูดถึงในตอนต้น เมื่อลูกร้องเธอก็เข้าไปช่วยเพราะสงสารลูก คล้ายกัน เมื่อพระยะโฮวาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากประชาชนของพระองค์ พระองค์ก็ช่วยเพราะสงสารพวกเขา เรายังได้เรียนอีกว่าคนที่แสดงความสงสารไม่ใช่คนอ่อนแอ เพราะพระยะโฮวารู้สึกสงสารชาวอิสราเอล พระองค์เลยต่อสู้และช่วยพวกเขาให้พ้นจากศัตรู แต่พระยะโฮวาแสดงความเมตตาสงสารกับผู้รับใช้ของพระองค์เป็นกลุ่มเท่านั้นไหม?
พระยะโฮวาเมตตาสงสารเราแต่ละคน
12. กฎหมายที่พระยะโฮวาให้กับชาวอิสราเอลแสดงว่าพระองค์สงสารประชาชนของพระองค์เป็นรายบุคคลยังไง?
12 กฎหมายที่พระยะโฮวาให้กับชาวอิสราเอลแสดงว่าพระองค์สงสารประชาชนของพระองค์เป็นรายบุคคลด้วย ตัวอย่างเช่น ขอให้คิดดูว่าพระยะโฮวาเป็นห่วงคนจนมากขนาดไหน พระยะโฮวารู้ว่าอาจมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นที่ทำให้บางคนกลายเป็นคนจน แล้วพวกเขาควรปฏิบัติกับคนจนยังไง? พระยะโฮวาสั่งชาวอิสราเอลว่า “อย่าใจจืดใจดำไม่ช่วยเหลือเขา คุณต้องใจกว้างให้เขายืมโดยไม่นึกเสียดาย เพื่อพระยะโฮวาพระเจ้าจะอวยพรการงานทุกอย่างและทุกสิ่งที่คุณทำ” (เฉลยธรรมบัญญัติ 15:7, 10) พระยะโฮวายังสั่งไม่ให้พวกเขาเกี่ยวข้าวที่ริมคันนาจนหมดหรือเก็บส่วนที่เหลือจากการเกี่ยวเพื่อคนจนจะมีโอกาสเก็บข้าวที่ตกได้ (เลวีนิติ 23:22; นางรูธ 2:2-7) เมื่อชาวอิสราเอลเชื่อฟังกฎหมายนี้ คนจนก็จะไม่ต้องเป็นขอทาน นั่นแสดงให้เห็นว่าพระยะโฮวาสงสารคนที่กำลังลำบาก
13, 14. (ก) คำพูดของดาวิดทำให้เรามั่นใจยังไงว่าพระยะโฮวาห่วงใยเราแต่ละคนมากจริง ๆ? (ข) มีตัวอย่างอะไรที่แสดงว่าพระยะโฮวาอยู่ใกล้คนที่ “หัวใจแตกสลาย” หรือ “เศร้าเสียใจ”?
13 ในทุกวันนี้พระเจ้าก็ยังรักและสนใจเราแต่ละคนด้วย เรามั่นใจได้ว่าพระองค์รู้ว่าเราต้องเจอกับปัญหาอะไรบ้าง ดาวิดผู้เขียนหนังสือสดุดีบอกว่า “ตาของพระยะโฮวาเฝ้าดูคนทำดี หูของพระองค์ก็คอยฟังเมื่อพวกเขาร้องขอความช่วยเหลือ พระยะโฮวาอยู่ใกล้คนที่หัวใจแตกสลาย พระองค์คอยช่วยคนที่เศร้าเสียใจ” (สดุดี 34:15, 18) นักวิชาการด้านคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งอธิบายคำว่า “หัวใจแตกสลาย” และ “เศร้าเสียใจ” หมายถึงคนที่ท้อใจเพราะความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองและรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า พวกเขาอาจรู้สึกว่าพระยะโฮวาอยู่ไกลและคิดว่าตัวเองไม่มีค่าพอที่พระองค์จะสนใจ แต่พระองค์ไม่ได้คิดอย่างนั้น คำพูดของดาวิดทำให้เรามั่นใจว่าพระยะโฮวาจะไม่ทิ้งคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า พระเจ้าที่เมตตาสงสารรู้ว่า ตอนนั้นแหละเป็นเวลาที่เราต้องการพระองค์มากที่สุด และพระองค์ก็อยู่ใกล้เรา
14 ให้เรามาดูประสบการณ์หนึ่งด้วยกัน แม่คนหนึ่งในสหรัฐรีบพาลูกชายอายุสองขวบไปโรงพยาบาลเพราะหายใจไม่ออก หลังจากหมอตรวจดูอาการแล้ว เขาบอกว่าลูกของเธอต้องนอนค้างคืนที่โรงพยาบาล แล้วคุณคิดว่าคืนนั้นแม่จะอยู่ที่ไหน? แน่นอน แม่อยู่ข้างเตียงลูกชายที่โรงพยาบาล ลูกของเธอป่วยอยู่และเธอก็อยากอยู่ใกล้ ๆ ลูก สิ่งที่แม่ทำเป็นการเลียนแบบความเมตตาสงสารของพระยะโฮวาเพราะเราถูกสร้างตามแบบพระองค์ (ปฐมกาล 1:26) เรามั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาพ่อในสวรรค์รักและห่วงใยเรามากกว่านั้นอีก คำพูดที่น่าประทับใจในสดุดี 34:18 บอกว่าเมื่อเรา “หัวใจแตกสลาย” หรือ “เศร้าเสียใจ” พระยะโฮวาก็ “อยู่ใกล้” พระองค์สงสารและพร้อมจะช่วยเราเสมอเหมือนพ่อที่รักเรา
15. พระยะโฮวาช่วยเราแต่ละคนยังไงบ้าง?
15 แล้วพระยะโฮวาช่วยเราแต่ละคนยังไงบ้าง? พระองค์ไม่ได้ทำให้ปัญหาทุกอย่างของเราหมดไป แต่พระยะโฮวาเตรียมหลายอย่างเพื่อช่วยคนที่ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ เช่น พระองค์ให้คำแนะนำที่มีประโยชน์เพื่อช่วยเรารับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้ และพระองค์ก็ให้มีผู้ดูแลในประชาคมที่พร้อมจะช่วยเหลือเราเพราะพวกเขาพยายามเต็มที่ที่จะเลียนแบบความเมตตาสงสารของพระยะโฮวา (ยากอบ 5:14, 15) พระยะโฮวาเป็น “ผู้ฟังคำอธิษฐาน” พระองค์ให้ “พลังบริสุทธิ์กับคนที่ขอพระองค์” (สดุดี 65:2; ลูกา 11:13) พลังบริสุทธิ์จะช่วยเราให้มี “กำลังที่มากกว่าปกติ” เพื่อจะอดทนรอจนกว่ารัฐบาลของพระเจ้ามาแก้ไขปัญหาทั้งหมดที่ทำให้เราทุกข์ใจ (2 โครินธ์ 4:7) เรารู้สึกขอบคุณทุกอย่างที่พระยะโฮวาจัดเตรียมให้เรา ขอจำไว้ว่าทั้งหมดนี้เป็นวิธีที่พระยะโฮวาแสดงความเมตตาสงสารเรา
16. ตัวอย่างที่ดีที่สุดที่แสดงว่าพระยะโฮวาเมตตาสงสารเราคืออะไร และเรื่องนี้มีผลยังไงกับคุณ?
16 ตัวอย่างที่ดีที่สุดที่แสดงว่าพระยะโฮวาเมตตาสงสารก็คือการให้ลูกชายที่พระองค์รักที่สุดมาเป็นค่าไถ่ให้พวกเรา พระยะโฮวาเสียสละด้วยความรักเพื่อช่วยเราให้รอดจากบาปและความตาย เราต้องไม่ลืมว่าค่าไถ่เป็นของขวัญที่พระยะโฮวาให้กับเราเป็นส่วนตัว เศคาริยาห์พ่อของยอห์นผู้ให้บัพติศมาบอกไว้ล่วงหน้าว่าค่าไถ่นี้ช่วยให้เห็นชัดเจนว่า “พระองค์ . . . เอ็นดูสงสารพวกเขา”—ลูกา 1:78
เมื่อพระยะโฮวาไม่เมตตาสงสาร
17-19. (ก) คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นยังไงว่าความสงสารของพระยะโฮวามีขีดจำกัด? (ข) อะไรทำให้พระยะโฮวาไม่สงสารประชาชนของพระองค์อีกต่อไป?
17 เราควรคิดไหมว่าพระยะโฮวาจะแสดงความสงสารอย่างไม่มีขีดจำกัด? ไม่ ตรงกันข้าม คัมภีร์ไบเบิลทำให้เห็นว่าพระยะโฮวาไม่แสดงความเมตตาสงสารกับคนที่จงใจทำสิ่งที่พระองค์ไม่ชอบ (ฮีบรู 10:28) เพื่อช่วยเราให้เข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น ให้เรามาดูตัวอย่างของชาวอิสราเอลด้วยกัน
18 ถึงแม้พระยะโฮวาจะช่วยชาวอิสราเอลจากศัตรูหลายครั้ง แต่ในที่สุดพระองค์ก็ไม่สงสารพวกเขาอีกต่อไป เพราะพวกเขาไม่ยอมเลิกไหว้รูปเคารพและถึงกับเอารูปเคารพที่น่ารังเกียจเข้ามาในวิหารของพระยะโฮวา (เอเสเคียล 5:11; 8:17, 18) นอกจากนั้น คัมภีร์ไบเบิลยังบอกอีกว่า “พวกเขากลับเยาะเย้ยผู้ส่งข่าวของพระเจ้าเที่ยงแท้ พวกเขาดูถูกคำเตือนของพระองค์และสบประมาทผู้พยากรณ์ของพระองค์ พระยะโฮวาจึงโกรธประชาชนเหล่านี้จนไม่มีหวังที่พวกเขาจะฟื้นตัวได้อีก” (2 พงศาวดาร 36:16) ชาวอิสราเอลทำผิดถึงขั้นที่พระยะโฮวาไม่สามารถจะแสดงความเมตตาสงสารพวกเขาได้อีก พวกเขาทำให้พระองค์โกรธ แล้วผลเป็นยังไง?
19 พระยะโฮวาไม่สงสารประชาชนของพระองค์อีกต่อไป พระองค์บอกว่า “เราจะไม่สงสารและไม่เสียใจและไม่เมตตาเลย เราจะทำลายพวกเขา และไม่มีอะไรหยุดเราได้” (เยเรมีย์ 13:14) ดังนั้น กรุงเยรูซาเล็มและวิหารจึงถูกทำลาย และชาวอิสราเอลก็ถูกจับไปเป็นเชลยที่บาบิโลน เป็นเรื่องน่าเศร้าจริง ๆ ที่มนุษย์ไม่ยอมเชื่อฟังจนทำให้พระยะโฮวาไม่เมตตาสงสารพวกเขาอีกต่อไป—เพลงคร่ำครวญ 2:21
20, 21. (ก) จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อพระยะโฮวาไม่แสดงความเมตตาสงสารอีกต่อไป? (ข) บทถัดไปเราจะดูเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ของพระยะโฮวา?
20 แล้วทุกวันนี้ล่ะพระยะโฮวายังรู้สึกแบบนั้นไหม? พระยะโฮวาไม่เปลี่ยนแปลง เพราะพระองค์สงสารผู้คน พระองค์เลยให้มีการประกาศ “ข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า” ไปทั่วโลก (มัทธิว 24:14) เมื่อคนที่มีหัวใจที่ดีอยากเรียนรู้เกี่ยวกับพระองค์ พระองค์ก็ช่วยเขาให้เข้าใจความจริง (กิจการ 16:14) แต่งานประกาศจะไม่ได้ทำไปตลอด ถ้าพระยะโฮวายังปล่อยให้คนชั่วสร้างปัญหาและทำให้คนอื่นลำบากต่อไป ก็เท่ากับว่าพระองค์ไม่แสดงความเมตตา เมื่อพระยะโฮวาตัดสินว่าจะไม่แสดงความสงสารอีกต่อไป พระองค์ก็จะทำลายโลกชั่วนี้ แต่การที่พระองค์ทำแบบนั้นก็เป็นการแสดงความสงสารด้วย พระองค์จะทำให้ “ชื่อที่บริสุทธิ์” ของพระองค์ได้รับการยกย่องและจะช่วยคนที่รักพระองค์ให้รอด (เอเสเคียล 36:20-23) พระยะโฮวาจะกำจัดความชั่วและจะทำให้ทั้งโลกมีแต่ความชอบธรรม พระยะโฮวาบอกกับคนชั่วว่า “เราจะไม่เมตตาและจะไม่สงสาร เราจะตอบแทนพวกเขาให้สาสมกับการกระทำของพวกเขา”—เอเสเคียล 9:10
21 จนกว่าจะถึงตอนนั้น พระยะโฮวารู้สึกสงสารผู้คน รวมถึงคนเหล่านั้นที่อาจถูกทำลายไปพร้อมกับโลกชั่วนี้ แต่คนที่กลับใจจริง ๆ จะได้ประโยชน์จากความเมตตายิ่งใหญ่ของพระยะโฮวา คือการให้อภัย ในบทถัดไปเราจะดูบางตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมในคัมภีร์ไบเบิลที่ทำให้เราเห็นการให้อภัยของพระยะโฮวา
a น่าสนใจ ที่สดุดี 103:13 คำภาษาฮีบรู ราคัม หมายความว่าความเมตตาหรือความสงสารที่พ่อมีต่อลูก
-
-
พระเจ้าที่ “พร้อมจะให้อภัย”เข้าไปใกล้ชิดกับพระยะโฮวา
-
-
บท 26
พระเจ้าที่ “พร้อมจะให้อภัย”
1-3. (ก) อะไรเป็นเหมือนของหนักสำหรับดาวิด และอะไรช่วยให้เขามีกำลังใจ? (ข) ถ้าเราทำบาป อะไรเป็นเหมือนของหนักสำหรับเรา แต่พระยะโฮวารับรองกับเราว่ายังไง?
ดาวิดผู้เขียนหนังสือสดุดีบอกว่า “ความผิดท่วมหัวผมแล้ว มันเป็นเหมือนของหนักที่ผมแบกไม่ไหว ผมไม่มีความรู้สึกอะไรอีกและบอบช้ำไปหมด” (สดุดี 38:4, 8) ตอนที่ดาวิดทำบาป เขารู้สึกผิดและรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังแบกของหนักไว้ แต่ก็มีบางอย่างที่ให้กำลังใจเขา เขาเข้าใจว่าถึงแม้พระยะโฮวาจะเกลียดการทำบาป แต่พระองค์ไม่ได้เกลียดคนที่ทำบาป ถ้าเขากลับใจจริง ๆ และเลิกทำผิด เขาก็มั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาพร้อมจะให้อภัยเขา ดาวิดบอกว่า “พระยะโฮวา พระองค์ . . . พร้อมจะให้อภัย”—สดุดี 86:5
2 ถ้าเราทำบาป เราก็อาจรู้สึกผิดด้วยเหมือนกัน ที่จริงความรู้สึกนี้เป็นสิ่งที่ดีเพราะจะกระตุ้นให้เราพยายามแก้ไขสิ่งที่เราทำพลาดไป แต่ถ้าเราจมอยู่กับความรู้สึกผิดก็อาจเป็นอันตรายได้เพราะเราจะคิดว่าพระยะโฮวาไม่มีวันให้อภัยเราแม้ว่าเราจะกลับใจแล้วก็ตาม ถ้าเรา “จมอยู่กับความเศร้ามากเกินไป” ซาตานอาจพยายามทำให้เราเลิกรับใช้พระยะโฮวาเพราะเราคิดไปเองว่าเราไม่มีค่าหรือไม่ดีพอที่จะรับใช้พระองค์—2 โครินธ์ 2:5-11
3 แต่พระยะโฮวาคิดแบบนั้นจริง ๆ ไหม? ไม่เลย การให้อภัยเป็นวิธีหนึ่งที่พระยะโฮวาแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่กับเรา พระองค์รับรองกับเราในคัมภีร์ไบเบิลว่าถ้าเรากลับใจจริง ๆ พระองค์ก็เต็มใจให้อภัยเรา (สุภาษิต 28:13) เพื่อจะมั่นใจในเรื่องนี้ ให้เรามาดูว่าทำไมพระยะโฮวาถึงให้อภัยและพระองค์ทำแบบนั้นยังไง
ทำไมพระยะโฮวาถึง “พร้อมจะให้อภัย” เรา?
4. พระยะโฮวารู้อะไรเกี่ยวกับตัวเรา และเรื่องนี้ทำให้พระองค์ปฏิบัติกับเรายังไง?
4 พระยะโฮวารู้ว่าเรามีขีดจำกัด สดุดี 103:14 บอกว่า “พระองค์รู้ดีว่าพวกเราถูกสร้างมาอย่างไร และไม่ลืมว่าพวกเราเป็นแค่ดิน” พระองค์ไม่ลืมว่าเราถูกสร้างมาจากดินและเราเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบเลยมีแนวโน้มที่จะทำผิด คำพูดที่ว่าพระองค์รู้ว่า “พวกเราถูกสร้างมาอย่างไร” ทำให้เรานึกถึงตัวอย่างในคัมภีร์ไบเบิลที่เปรียบพระยะโฮวาเป็นเหมือนช่างปั้นหม้อและเราเป็นเหมือนภาชนะดินเหนียวที่พระองค์ปั้นขึ้นมา (เยเรมีย์ 18:2-6) พระยะโฮวารู้ว่าบาปทำให้เราอ่อนแอ และถึงแม้บางครั้งเราอาจไม่ได้ทำตามคำแนะนำของพระองค์ แต่พระองค์ก็ยังดีกับเราเสมอ
5. หนังสือโรมพูดถึงอำนาจของบาปยังไง?
5 พระยะโฮวาเข้าใจว่าบาปมีอำนาจมากขนาดไหน คัมภีร์ไบเบิลอธิบายว่าบาปมีอำนาจควบคุมเราและทำให้เราตายได้ ในหนังสือโรมอัครสาวกเปาโลบอกว่า เราอยู่ “ใต้อำนาจของบาป” เหมือนทหารที่อยู่ใต้อำนาจผู้บังคับบัญชา (โรม 3:9) บาป “มีอำนาจ” ปกครองเหมือนกษัตริย์ (โรม 5:21) บาป “อยู่ใน” ตัวเรา (โรม 7:17, 20) เราอยู่ใต้ “กฎของบาป” ที่พยายามควบคุมทุกอย่างที่เราทำ (โรม 7:23, 25) เห็นชัดว่าบาปในตัวเรามีอำนาจมากจริง ๆ—โรม 7:21, 24
6, 7. (ก) พระยะโฮวารู้สึกยังไงกับคนที่กลับใจและอยากได้รับการอภัยจากพระองค์? (ข) ทำไมถึงผิดที่จะคิดเอาเองว่าพระเจ้าจะให้อภัยความผิดของเราเสมอ?
6 พระยะโฮวารู้ว่าถึงแม้เราจะพยายามมากแค่ไหน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเชื่อฟังพระองค์ร้อยเปอร์เซ็นต์ พระองค์รับรองกับเราว่าถ้าเรากลับใจจริง ๆ และขอให้พระองค์ให้อภัย พระองค์ก็จะทำอย่างนั้น สดุดี 51:17 บอกว่า “เครื่องบูชาที่พระเจ้าพอใจคือหัวใจที่สำนึกผิด พระองค์จะไม่ดูถูกใจที่แตกสลายเลย” พระยะโฮวาจะไม่มีวันปฏิเสธหรือดูถูกคนที่หัวใจ “แตกสลาย” เพราะเขารู้สึกผิด
7 นี่ไม่ได้หมายความว่าเราจะเอาความเมตตาของพระเจ้ามาเป็นข้ออ้างที่จะทำผิด พระยะโฮวาไม่ได้มองข้ามความผิดที่เราทำ ความเมตตาของพระองค์มีขีดจำกัด พระองค์จะไม่มีทางให้อภัยคนที่ตั้งใจทำผิดและไม่กลับใจ (ฮีบรู 10:26) แต่ถ้าเขากลับใจ พระองค์ก็พร้อมจะให้อภัย ตอนนี้ให้เรามาดูตัวอย่างเปรียบเทียบในคัมภีร์ไบเบิลที่ช่วยให้เราเข้าใจความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
พระยะโฮวาให้อภัยมากขนาดไหน?
8. จากสดุดี 32:5 พระยะโฮวาทำอะไรเมื่อพระองค์ยกโทษให้เรา และนี่ทำให้เรารู้สึกยังไง?
8 หลังจากดาวิดกลับใจแล้ว เขาบอกว่า “ในที่สุด ผมก็สารภาพบาปต่อพระองค์ ผมไม่ปกปิดความผิดของผม . . . และพระองค์ก็ยกโทษให้ผม” (สดุดี 32:5) คำภาษาฮีบรูที่แปลว่า “ยกโทษ” หมายถึง “ยกขึ้น” หรือ “เอาไป” ดังนั้น ข้อนี้หมายถึงการเอา “ความผิดหรือบาป” ไป ดาวิดรู้สึกเหมือนกับว่าพระยะโฮวายกเอาบาปของเขาไป เรื่องนี้คงช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น (สดุดี 32:3) เราก็มั่นใจได้เต็มที่ว่าพระเจ้าจะยกโทษให้เราโดยทางค่าไถ่ของพระเยซู—มัทธิว 20:28
9. พระยะโฮวาให้อภัยความผิดของเรามากแค่ไหน?
9 ดาวิดใช้อีกตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเห็นภาพชัดว่าพระยะโฮวาให้อภัยเรามากขนาดไหน เขาบอกว่า “ทิศตะวันออกไกลจากทิศตะวันตกมากเท่าไร พระองค์ก็ทิ้งความผิดของพวกเราไปไกลมากเท่านั้น” (สดุดี 103:12) แล้วทิศตะวันออกไกลจากทิศตะวันตกมากแค่ไหน? สองทิศนี้อยู่ไกลกันมากจนเรานึกไม่ออกและจะไม่มีวันมาบรรจบกันได้เลย นักวิชาการคนหนึ่งบอกว่าข้อความนี้หมายถึง “ระยะทางที่ไกลกันมากจนเราไม่มีทางนึกออกได้” พระยะโฮวาดลใจให้ดาวิดเขียนแบบนี้เพื่อช่วยให้เราเข้าใจว่า เมื่อพระองค์ให้อภัย พระองค์ก็เอาความผิดของเราไปไกลมากจริง ๆ
“บาปของพวกเจ้า . . . จะทำให้ขาวเหมือนหิมะ”
10. เมื่อพระยะโฮวาให้อภัยบาปเราแล้ว ทำไมเราไม่ต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต?
10 คุณเคยพยายามซักเสื้อผ้าสีขาวที่มีรอยเปื้อนไหม? ถึงแม้ว่าคุณจะพยายามมากแค่ไหนแต่รอยเปื้อนนั้นก็ยังอยู่ ขอให้สังเกตว่าพระยะโฮวาบอกว่าพระองค์ให้อภัยเรายังไง “ถึงบาปของพวกเจ้าจะแดงก่ำ เราจะทำให้ขาวเหมือนหิมะ ถึงบาปของพวกเจ้าจะเป็นเหมือนผ้าสีแดงเข้ม เราก็จะทำให้ขาวเหมือนขนแกะ” (อิสยาห์ 1:18) คำว่า “แดงก่ำ” หมายถึงสีแดงสดa ส่วน “สีแดงเข้ม” เป็นสีที่มักจะใช้ย้อมผ้า (นาฮูม 2:3) เราไม่มีวันลบรอยเปื้อนของบาปได้ด้วยตัวเอง แต่พระยะโฮวาสามารถเอาบาปที่เป็นเหมือนสีแดงสดและสีแดงเข้มนั้นออกไปได้ แล้วทำให้ขาวเหมือนหิมะหรือขนแกะ ดังนั้น เมื่อพระยะโฮวาให้อภัยบาปเราแล้ว เราก็ไม่ต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
11. การที่พระยะโฮวาเหวี่ยงบาปของเราไปข้างหลังหมายถึงอะไร?
11 หลังจากเฮเซคียาห์หายป่วย เขาแต่งเพลงขอบคุณพระยะโฮวา เขาบอกกับพระยะโฮวาว่า “พระองค์ได้เหวี่ยงบาปทั้งหมดของผมไปข้างหลังพระองค์” (อิสยาห์ 38:17) ในข้อนี้เฮเซคียาห์พูดเหมือนกับว่าพระยะโฮวาเอาบาปของเขาเหวี่ยงไปข้างหลัง พระองค์เลยมองไม่เห็นและไม่คิดถึงบาปนั้นอีกต่อไป พจนานุกรมอธิบายคัมภีร์ไบเบิลเล่มหนึ่งบอกว่าข้อนี้อาจแปลได้ว่า “พระองค์ทำเหมือนกับว่า [บาปของผม] ไม่ได้เกิดขึ้น” เรื่องนี้ให้กำลังใจเราจริง ๆ
12. ผู้พยากรณ์มีคาห์ช่วยให้เราเข้าใจยังไงว่าเมื่อพระยะโฮวาให้อภัยแล้ว พระองค์ก็โยนความผิดของเราทิ้งไป?
12 ในคำสัญญาเรื่องการฟื้นฟู ผู้พยากรณ์มีคาห์มั่นใจว่าพระยะโฮวาจะให้อภัยประชาชนของพระองค์ที่กลับใจ เขาเขียนว่า “ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนเหมือนพระองค์ . . . มองข้ามความผิดของประชาชนของพระองค์ที่ยังเหลืออยู่ . . . พระองค์จะเอาบาปที่พวกเราทำทั้งหมดโยนลงทะเล” (มีคาห์ 7:18, 19) ลองคิดดูว่าคนที่มีชีวิตอยู่ในสมัยคัมภีร์ไบเบิลเข้าใจข้อนี้ยังไง เป็นไปได้ไหมที่จะเอาสิ่งที่โยน “ลงทะเล” กลับขึ้นมา? เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น คำพูดของมีคาห์แสดงว่าเมื่อพระยะโฮวาให้อภัย พระองค์ก็โยนความผิดของเราทิ้งไป
13. ที่พระเยซูพูดว่า “ขอพระองค์ยกโทษให้พวกเรา” หมายความว่ายังไง?
13 พระเยซูใช้ตัวอย่างเรื่องเจ้าหนี้กับลูกหนี้เพื่อช่วยให้เห็นว่าพระยะโฮวาให้อภัยเรายังไง ท่านสอนเราให้อธิษฐานว่า “ขอพระองค์ยกโทษให้พวกเรา” (มัทธิว 6:12) จากข้อนี้พระเยซูเปรียบบาปเหมือนกับหนี้ (ลูกา 11:4) เมื่อเราทำบาป เราก็เป็น “ลูกหนี้” ของพระยะโฮวา พจนานุกรมอธิบายคัมภีร์ไบเบิลเล่มหนึ่งบอกว่า คำภาษากรีกที่แปลว่า “ยกโทษ” หมายถึง “ปล่อยไป ยกเลิกหนี้โดยไม่ทวง” ดังนั้น เมื่อพระยะโฮวาให้อภัย พระองค์ก็ยกหนี้ที่เราติดพระองค์ไว้ พระยะโฮวาจะไม่ทวงหนี้ที่พระองค์ยกให้เรา นี่เป็นเรื่องที่ให้กำลังใจจริง ๆ สำหรับคนที่กลับใจ—สดุดี 32:1, 2
14. คำพูดที่ว่า “เพื่อบาปของพวกคุณจะถูกลบล้าง” ช่วยเราให้เข้าใจการให้อภัยของพระยะโฮวามากขึ้นยังไง?
14 ที่กิจการ 3:19 ทำให้เราเข้าใจการให้อภัยของพระยะโฮวามากขึ้น ที่นั่นบอกว่า “ดังนั้น ให้กลับใจและเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ เพื่อบาปของพวกคุณจะถูกลบล้าง” ในภาษาเดิมคำว่า “ลบล้าง” อาจหมายถึง ‘เช็ดออก ยกเลิกหรือทำลาย’ นักวิชาการด้านคัมภีร์ไบเบิลบางคนบอกว่า คำนี้ทำให้นึกถึงการลบสิ่งที่เขียนด้วยมือ หมึกที่ใช้กันทั่วไปในสมัยนั้นทำจากส่วนผสมที่มีผงถ่าน กาวยางไม้ และน้ำ หลังจากที่เขียนด้วยหมึกชนิดนี้และทิ้งไว้ไม่นาน ผู้เขียนก็สามารถใช้ฟองน้ำเปียกเช็ดข้อความที่เขียนไว้นั้นออกไปได้ นี่เป็นการเปรียบเทียบที่ทำให้เราเข้าใจว่าพระยะโฮวาเมตตาจริง ๆ ถ้าพระองค์ให้อภัยบาปของเราแล้ว ก็เหมือนกับพระองค์เอาฟองน้ำมาเช็ดบาปของเราออกไป
15. พระยะโฮวาอยากให้เรามั่นใจในเรื่องอะไร?
15 ตัวอย่างเหล่านี้ทำให้เราเห็นชัดว่าพระยะโฮวาพร้อมจะให้อภัยบาปของเราและพระองค์ก็อยากให้เรามั่นใจในเรื่องนี้ ถ้าพระองค์เห็นว่าเรากลับใจจริง ๆ เราไม่ต้องกลัวว่าพระองค์จะลงโทษเราเพราะความผิดที่เราเคยทำนั้นอีก คัมภีร์ไบเบิลยังมีแง่มุมอื่นอีกที่ทำให้เราเห็นว่าพระยะโฮวาเมตตาพวกเรามากจริง ๆ ถ้าพระองค์ให้อภัยเราแล้ว พระองค์ก็จะลืมบาปของพวกเราด้วย
พระยะโฮวาอยากให้เรารู้ว่าพระองค์ “พร้อมจะให้อภัย”
‘เราจะไม่จดจำความผิดของพวกเขาอีกเลย’
16, 17. เมื่อคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระยะโฮวาไม่จดจำความผิดของเรานั่นหมายความว่ายังไง? ขออธิบาย
16 พระยะโฮวาสัญญากับคนที่อยู่ใต้สัญญาใหม่ว่า “เราจะยกโทษให้พวกเขาและจะไม่จดจำความผิดของพวกเขาอีกเลย” (เยเรมีย์ 31:34) นี่หมายความว่าเมื่อพระยะโฮวาให้อภัยแล้วพระองค์จะจำความผิดที่เราเคยทำไม่ได้เลยไหม? ไม่ใช่แน่ ๆ คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงความผิดของหลายคนที่พระยะโฮวาให้อภัยรวมทั้งดาวิดด้วย (2 ซามูเอล 11:1-17; 12:13) เห็นชัดว่าพระยะโฮวาจำได้ว่าพวกเขาทำความผิดอะไรบ้าง ในคัมภีร์ไบเบิลเราได้อ่านว่าพวกเขาทำผิดอะไร ได้เห็นว่าพวกเขากลับใจยังไง และพระเจ้าให้อภัยพวกเขายังไง พระยะโฮวาให้เขียนเรื่องทั้งหมดนี้ไว้เพื่อประโยชน์ของเรา (โรม 15:4) ถ้าอย่างนั้น ที่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระยะโฮวาไม่ “จดจำ” ความผิดของคนที่พระองค์ให้อภัยหมายความว่ายังไง?
17 พจนานุกรมอธิบายคัมภีร์ไบเบิลเล่มหนึ่งบอกว่าในภาษาฮีบรูคำว่า “จดจำ” มีความหมายมากกว่าแค่ไม่ลืมสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ยังหมายถึงการทำบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนั้นด้วย ดังนั้น ในความหมายนี้คำว่า “จดจำ” ความผิดก็รวมถึงการลงโทษคนที่ทำผิดด้วย (โฮเชยา 9:9) แต่เมื่อพระยะโฮวาบอกว่า ‘เราจะไม่จดจำความผิดของพวกเขาอีกเลย’ พระองค์ก็ทำให้มั่นใจว่าเมื่อพระองค์ให้อภัยคนทำผิดที่กลับใจแล้ว พระองค์ก็จะไม่เอาเรื่องนั้นมาลงโทษเขาอีก (เอเสเคียล 18:21, 22) เห็นชัดว่าเมื่อพระยะโฮวาลืมความผิดของเราแล้ว พระองค์จะไม่นึกถึงความผิดของเราและจะไม่เอาเรื่องนั้นมาลงโทษซ้ำแล้วซ้ำอีก เราได้กำลังใจมากที่ได้รู้ว่าถ้าพระยะโฮวาให้อภัยเราแล้ว พระองค์ก็จะลืมเรื่องนั้นแน่นอน
พระยะโฮวาปกป้องเราจากผลเสียของบาปที่เราทำไหม?
18. การให้อภัยหมายความว่าคนทำผิดที่กลับใจจะไม่ต้องรับผลจากการทำผิดของเขาไหม?
18 การที่พระยะโฮวาพร้อมจะให้อภัยหมายความว่าคนทำผิดที่กลับใจจะไม่ต้องรับผลจากการทำผิดของเขาไหม? ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเราทำผิดเราก็จะได้รับผลเสียแน่ ๆ เปาโลบอกว่า “ใครหว่านอะไรไปก็ต้องเก็บเกี่ยวผลจากสิ่งนั้น” (กาลาเทีย 6:7) หลังจากที่พระยะโฮวาให้อภัยเราแล้ว เราอาจต้องเจอปัญหาหลายอย่างที่เกิดจากสิ่งที่เราทำ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ทำให้เราเจอกับปัญหา เมื่อผู้รับใช้ของพระยะโฮวาเจอความยากลำบากในชีวิต เขาไม่ควรคิดว่า ‘นี่เป็นเพราะพระยะโฮวาลงโทษฉันเพราะความผิดที่เคยทำในอดีตแน่ ๆ’ (ยากอบ 1:13) เราต้องไม่ลืมว่าพระยะโฮวาจะไม่ปกป้องเราจากผลเสียทุกอย่างที่เกิดจากการทำผิดของเรา เราอาจต้องเจอกับผลเสียที่น่าเศร้า เช่น การหย่าร้าง ตั้งท้องโดยไม่ได้ตั้งใจ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การไม่ได้รับความไว้ใจหรือความนับถือ ขอจำไว้ว่าถึงพระยะโฮวาให้อภัยดาวิดตอนที่เขาทำผิดกับบัทเชบาและฆ่าอุรีอาห์ แต่พระยะโฮวาก็ไม่ได้ปกป้องดาวิดจากผลเสียหายร้ายแรงที่ตามมา—2 ซามูเอล 12:9-12
19-21. (ก) กฎหมายที่เขียนไว้ในเลวีนิติ 6:1-7 เป็นประโยชน์ยังไงกับทั้งผู้เสียหายและคนที่ทำผิด? (ข) ถ้ามีคนได้รับผลกระทบจากการทำผิดของเรา พระยะโฮวาจะพอใจเมื่อเราพยายามทำอะไร?
19 ความผิดที่เราทำอาจส่งผลเสียกับคนอื่นด้วย ตัวอย่างเช่น ในเลวีนิติบท 6 กฎหมายของโมเสสพูดถึงคนหนึ่งที่ขโมยหรือฉ้อโกงทรัพย์สินของคนอื่น แต่เขายืนยันและถึงกับสาบานว่าไม่ได้ทำผิด เพราะไม่มีพยานรู้เห็นการทำผิดของเขา เขาเลยไม่ถูกลงโทษ แต่ทีหลังเขารู้สึกไม่สบายใจ เขาเลยสารภาพว่าทำผิดจริง เพื่อจะได้รับการอภัยจากพระเจ้า เขาต้องทำ 3 อย่างคือ คืนสิ่งที่เขาขโมยมา จ่ายค่าปรับให้ผู้เสียหาย 20 เปอร์เซ็นต์จากของที่ขโมยไป และเอาแกะตัวผู้ตัวหนึ่งถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิด ในกฎหมายนั้นบอกว่า “ปุโรหิตจะไถ่บาปให้เขาต่อหน้าพระยะโฮวา แล้วเขาจะได้รับการอภัยบาป”—เลวีนิติ 6:1-7
20 กฎหมายนี้แสดงให้เห็นความเมตตาของพระเจ้าและเป็นประโยชน์กับผู้เสียหายและคนที่ทำผิดด้วย ผู้เสียหายจะได้รับทรัพย์สินของเขากลับคืนมา ส่วนคนที่ทำผิดจะรู้สึกสบายใจถ้าเขายอมรับความผิดและทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะถ้าเขาไม่ทำอย่างนั้น พระเจ้าก็จะไม่ยกโทษให้เขา
21 แม้เราไม่ได้อยู่ใต้กฎหมายของโมเสส แต่กฎหมายนี้ช่วยเราให้เข้าใจความคิดของพระยะโฮวามากขึ้นและรู้ว่าพระองค์พร้อมจะให้อภัยคนแบบไหน (โคโลสี 2:13, 14) ถ้ามีคนได้รับผลกระทบจากการทำผิดของเรา พระยะโฮวาจะพอใจเมื่อเราพยายามทำทุกอย่างเพื่อแก้ไขความผิดนั้น (มัทธิว 5:23, 24) นี่อาจรวมถึงการยอมรับว่าเราทำผิดและขอคนนั้นยกโทษให้เรา จากนั้นเราสามารถขอให้พระยะโฮวาให้อภัยเราโดยทางค่าไถ่ของพระเยซู ถ้าเราทำอย่างนั้นเราก็มั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะให้อภัยเราแน่นอน—ฮีบรู 10:21, 22
22. เมื่อพระยะโฮวาให้อภัยเราแล้ว พระองค์ก็จะทำอะไรด้วย?
22 เหมือนกับพ่อที่รักลูก เมื่อพระยะโฮวาให้อภัยเรา พระองค์ก็จะสั่งสอนเราด้วย (สุภาษิต 3:11, 12) คริสเตียนที่ทำผิดแล้วกลับใจอาจไม่ได้ทำหน้าที่ต่าง ๆ อีกต่อไป เช่น เป็นผู้ดูแล ผู้ช่วยงานรับใช้ หรือผู้รับใช้เต็มเวลา เขาอาจเสียใจที่ต้องสูญเสียสิทธิพิเศษในการรับใช้พระยะโฮวา แต่การตีสอนนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าพระยะโฮวาไม่ให้อภัยเขา ขอจำไว้ว่าพระยะโฮวาสั่งสอนเราก็เพราะพระองค์รักเรา เราจะได้รับประโยชน์แน่นอนถ้าเรายอมรับการสั่งสอนจากพระยะโฮวา—ฮีบรู 12:5-11
23. ทำไมเราไม่ควรคิดเอาเองว่าพระยะโฮวาจะไม่มีวันให้อภัยเรา และทำไมเราควรเลียนแบบพระองค์และให้อภัยคนอื่น?
23 เราได้กำลังใจจริง ๆ ที่รู้ว่าพระเจ้า “พร้อมจะให้อภัย” ถึงแม้เราอาจทำผิดพลาด เราไม่ควรคิดเอาเองว่าพระยะโฮวาจะไม่มีวันให้อภัยเรา ถ้าเรากลับใจจริง ๆ พยายามทำสิ่งที่ถูกต้อง และอธิษฐานขอพระยะโฮวาให้อภัยโดยทางค่าไถ่ของพระเยซู เราก็มั่นใจได้เต็มที่ว่าพระยะโฮวาจะให้อภัยเรา (1 ยอห์น 1:9) ให้เราเลียนแบบพระยะโฮวาในการให้อภัยคนอื่นด้วย อย่าลืมว่าพระยะโฮวาไม่เคยทำผิดพลาด พระองค์รักและพร้อมจะให้อภัยเราเสมอ เรื่องนี้ควรกระตุ้นเราให้พยายามทำดีที่สุดที่จะให้อภัยคนอื่น
a นักวิชาการคนหนึ่งบอกว่าสีแดงสด “เป็นสีที่ไม่ตกและติดแน่น เป็นสีที่ซักไม่ออกและถึงจะตากแดดตากฝน สีก็ไม่ซีด”
-
-
‘พระยะโฮวาดีจริง ๆ’เข้าไปใกล้ชิดกับพระยะโฮวา
-
-
บท 27
‘พระยะโฮวาดีจริง ๆ’
1, 2. ความดีของพระเจ้ามีประโยชน์กับใครบ้าง และคัมภีร์ไบเบิลพูดถึงเรื่องนี้ยังไง?
ลองนึกภาพในตอนเย็นที่ดวงอาทิตย์กำลังจะตก เพื่อนสนิทกลุ่มหนึ่งนั่งกินข้าวด้วยกันข้างนอกบ้าน พวกเขาคุยและหัวเราะกันตอนที่มองดูท้องฟ้าที่สวยงาม ในอีกที่หนึ่ง ชาวนาคนหนึ่งมองดูทุ่งนาของตัวเองแล้วยิ้ม เขามีความสุขเพราะเห็นเมฆดำรวมตัวกันแล้วฝนก็ตกลงมา ในอีกที่หนึ่ง สามีกับภรรยาดีใจที่เห็นลูกของเขาเริ่มเดินได้เป็นครั้งแรก
2 พวกเขามีความสุขในชีวิตเพราะได้รับความดีจากพระยะโฮวาพระเจ้า บางคนที่เคร่งศาสนามักจะบอกว่าพระเจ้าของเขาเป็น “พระเจ้าที่แสนดี” แต่คัมภีร์ไบเบิลใช้คำพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในแบบที่น่าประทับใจมากกว่านั้นอีก ที่นั่นบอกว่า “พระองค์ดีจริง ๆ” (เศคาริยาห์ 9:17) ความดีของพระยะโฮวาหมายถึงอะไร และเราจะได้ประโยชน์จากความดีของพระองค์ยังไง?
พระยะโฮวาแสดงความรักในวิธีที่ยอดเยี่ยม
3, 4. ความดีหมายถึงอะไร และทำไมความดีถึงเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการแสดงความรักของพระยะโฮวา?
3 หลายคนในทุกวันนี้ใช้คำว่า “ดี” กับหลาย ๆ อย่าง แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าความดีเป็นคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยม และหมายถึงการมีศีลธรรมที่ดีเลิศไม่มีที่ติ เราเลยบอกได้ว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับพระยะโฮวาดีมากจริง ๆ คุณลักษณะทุกอย่างของพระองค์ เช่น พลังอำนาจ ความยุติธรรม และสติปัญญาของพระองค์ดีพร้อม แต่ที่สำคัญที่สุดความดีเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการแสดงความรักของพระยะโฮวา ทำไมถึงบอกอย่างนั้น?
4 ความดีเป็นคุณลักษณะที่กระตุ้นเราให้ลงมือทำดีเพื่อคนอื่น อัครสาวกเปาโลบอกว่าความดีเป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากกว่าความถูกต้องชอบธรรม (โรม 5:7) คนที่มีความถูกต้องชอบธรรมจะเชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้าอย่างซื่อสัตย์ แต่คนดีจะทำมากกว่านั้นอีก เขาจะมองหาวิธีต่าง ๆ ที่จะทำดีเพื่อคนอื่น ในบทนี้เราจะเรียนรู้ว่าพระยะโฮวาดีแบบนั้นจริง ๆ เห็นชัดว่าความดีของพระยะโฮวามาจากความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์
5-7. ทำไมพระเยซูไม่ยอมให้ใครเรียกท่านว่า “อาจารย์ที่ดี” และนั่นสอนความจริงที่สำคัญอะไร?
5 ไม่มีใครดีเหมือนกับพระยะโฮวา พระเยซูทำให้เห็นชัดในเรื่องนี้ตอนที่ผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาถามคำถามและเรียกท่านว่า “ท่านเป็นอาจารย์ที่ดีจริง ๆ” พระเยซูตอบว่า “ทำไมถึงยกย่องผมว่าดี? ไม่มีใครดีจริง ๆ หรอกนอกจากพระเจ้าเท่านั้น” (มาระโก 10:17, 18) คุณอาจสงสัยว่าทำไมพระเยซูถึงพูดอย่างนั้น? พระเยซูเป็น “อาจารย์ที่ดีจริง ๆ” ไม่ใช่หรือ?
6 เห็นชัดว่าผู้ชายคนนี้เรียกพระเยซูว่า “อาจารย์ที่ดี” เพื่อจะยกย่องท่าน แต่พระเยซูถ่อมมากและอยากให้ทุกคนยกย่องพ่อในสวรรค์เพราะไม่มีใครดีจริง ๆ เหมือนพระองค์ (สุภาษิต 11:2) พระเยซูยังสอนความจริงที่สำคัญด้วย พระยะโฮวาเป็นผู้ปกครองสูงสุด พระองค์ผู้เดียวมีสิทธิ์ที่จะตั้งมาตรฐานว่าอะไรดีอะไรชั่ว เมื่ออาดัมกับเอวาไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระยะโฮวาโดยกินผลจากต้นไม้ที่ให้รู้ดีรู้ชั่ว พวกเขาแสดงให้เห็นว่าอยากตัดสินเองว่าอะไรดีอะไรชั่ว แต่พระเยซูไม่เป็นอย่างนั้น ท่านถ่อมและเต็มใจยอมรับว่าพ่อในสวรรค์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ที่จะตั้งมาตรฐานต่าง ๆ
7 นอกจากนั้น พระเยซูรู้ว่าสิ่งดีทุกอย่างมาจากพระยะโฮวา พระองค์เป็นผู้ให้ “ของดี ๆ และสมบูรณ์ทุกอย่าง” (ยากอบ 1:17) ให้เรามาดูว่าพระยะโฮวาแสดงความดีโดยให้อย่างใจกว้างยังไง
หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพระยะโฮวาดีจริง ๆ
8. พระยะโฮวาแสดงความดีกับทุกคนยังไง?
8 เราทุกคนได้รับประโยชน์จากความดีของพระยะโฮวา สดุดี 145:9 บอกว่า “พระยะโฮวาดีต่อทุกชีวิต” มีตัวอย่างอะไรบ้างที่ช่วยให้เห็นความดีของพระองค์? คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พระองค์ก็ยังให้หลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับพระองค์เอง โดยการทำดี ให้มีฝนตกจากฟ้า ให้มีพืชผลอย่างอุดมสมบูรณ์ตามฤดู และให้มีอาหารกินอิ่ม ทำให้พวกคุณมีความสุขใจ” (กิจการ 14:17) คุณมีความสุขไหมที่ได้กินอาหารอร่อย ๆ? เรามีความสุขแบบนั้นได้เพราะพระยะโฮวาสร้างโลกไว้อย่างดีเยี่ยม พระองค์ทำให้มีวัฏจักรของน้ำซึ่งทำให้มีฝนและมี “พืชผลอย่างอุดมสมบูรณ์ตามฤดู” พระยะโฮวาแสดงความดีกับทุกคนไม่ใช่แค่กับคนที่รักพระองค์เท่านั้น พระเยซูบอกว่า “พระองค์ให้ดวงอาทิตย์ส่องแสงแก่ทั้งคนดีและคนชั่ว และให้ฝนตกแก่ทั้งคนทำดีและคนทำชั่ว”—มัทธิว 5:45
9. จากตัวอย่างของแอปเปิล เราเห็นความดีของพระยะโฮวายังไง?
9 หลายคนไม่ได้เห็นค่าสิ่งดี ๆ ในธรรมชาติเพราะรู้สึกว่าดวงอาทิตย์ ฝน และฤดูต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดผลก็มีอยู่ตลอดเวลา แต่ลองคิดถึงแอปเปิลดูสิ ในหลายที่ของโลก แอปเปิลเป็นผลไม้ที่มีอยู่ทั่วไป น่ากิน รสชาติอร่อย และเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ คุณรู้ไหมว่าทั่วโลกมีแอปเปิลประมาณ 7,500 ชนิด และมีหลายสีตั้งแต่สีแดง สีทอง สีเหลือง สีเขียว นอกจากนั้นก็ยังมีหลายขนาดตั้งแต่เล็กเท่าองุ่นไปจนถึงใหญ่เท่าส้มโอ ส่วนเมล็ดของมันถึงจะเล็กมากจนดูเหมือนว่าไม่พิเศษอะไร แต่เมื่อเอาไปปลูกก็จะโตเป็นต้นไม้ที่มีผลอร่อยมาก (เพลงโซโลมอน 2:3) ในฤดูใบไม้ผลิ ต้นแอปเปิลจะออกดอกที่สวยงาม และจะออกผลในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ในช่วงเวลาประมาณ 75 ปี ทุกปีต้นแอปเปิลต้นหนึ่งจะออกผลได้มากถึง 400 กิโลกรัม
พระยะโฮวา “ให้มีฝนตกจากฟ้า ให้มีพืชผลอย่างอุดมสมบูรณ์ตามฤดู”
เมล็ดเล็ก ๆ นี้เติบโตเป็นต้นไม้ที่ให้ประโยชน์และมีผลที่กินได้เป็นเวลาหลายสิบปี
10, 11. ประสาทสัมผัสต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงความดีของพระเจ้ายังไง?
10 ร่างกายของเรา “ถูกสร้างอย่างน่าอัศจรรย์” เรามีประสาทสัมผัสที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเราให้เรียนรู้สิ่งที่พระยะโฮวาสร้างและมีความสุขกับสิ่งเหล่านั้น นี่แสดงให้เห็นว่าพระยะโฮวาดีจริง ๆ (สดุดี 139:14) ลองนึกถึงตัวอย่างในตอนต้นของบทนี้อีกครั้ง ถ้าคุณอยู่ที่นั่น คุณจะมองเห็นอะไรบ้างที่ทำให้มีความสุข? คุณอาจเห็นเด็กน้อยน่ารักคนหนึ่งยิ้มแก้มปริ ฝนที่ตกลงมากลางทุ่งนา และท้องฟ้าเป็นสีแดง สีทอง สีส้มตอนที่ดวงอาทิตย์กำลังจะตก พระยะโฮวาออกแบบตาของเราให้มองเห็นสีต่าง ๆ มากมายเป็นล้านล้านสี นอกจากนั้น เรายังได้ยินและแยกแยะเสียงต่าง ๆ ได้ เช่น เสียงของคนที่เรารัก เสียงลมพัดใบไม้เบา ๆ และเสียงหัวเราะของเด็กน้อย ทำไมเราถึงมีความสุขเมื่อได้เห็นและได้ยินเสียงต่าง ๆ เหล่านี้? คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “หูที่ได้ยินและตาที่มองเห็น พระยะโฮวาสร้างทั้งสองอย่าง” (สุภาษิต 20:12) แต่พระยะโฮวายังให้เรามีประสาทสัมผัสอื่น ๆ อีกด้วย
11 ความสามารถในการได้กลิ่นเป็นหลักฐานอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เห็นความดีของพระยะโฮวา จมูกของเราสามารถแยกกลิ่นต่าง ๆ ได้เป็นล้านล้านกลิ่น ลองนึกถึงบางกลิ่น เช่น กลิ่นอาหารที่คุณชอบหรือกลิ่นดอกไม้หอม ๆ นอกจากนั้น ประสาทสัมผัสยังทำให้เรารู้สึกได้ตอนที่มีลมพัดมาโดนตัวเราและรู้สึกอบอุ่นตอนที่ได้กอดคนที่เรารัก ตอนที่เรากินผลไม้ ลิ้นของเรามีประสาทสัมผัสในการรับรสที่ทำให้เรารับรู้ได้หลายรสชาติ ดังนั้น เรามีเหตุผลมากมายที่จะพูดถึงพระยะโฮวาว่า “พระองค์ดีจริง ๆ พระองค์รักษาความดีไว้เพื่อคนที่เกรงกลัวพระองค์” (สดุดี 31:19) แต่พระยะโฮวารักษาความดีไว้สำหรับคนที่เกรงกลัวพระองค์ยังไง?
พระยะโฮวาให้สิ่งดี ๆ ที่เป็นประโยชน์กับเราตลอดไป
12. พระยะโฮวาให้อะไรกับเราซึ่งมีค่ามากกว่าอาหาร และทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?
12 พระเยซูพูดว่า “พระคัมภีร์บอกไว้ว่า ‘มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้ ไม่ใช่ด้วยอาหารเท่านั้น แต่ด้วยคำพูดทุกคำที่มาจากพระยะโฮวา’” (มัทธิว 4:4) คำของพระยะโฮวาที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิลมีประโยชน์มากกว่าอาหารที่เรากินเพราะช่วยให้เรามีชีวิตตลอดไปได้ ในบท 8 ของหนังสือเล่มนี้ เราได้เรียนแล้วว่าในสมัยสุดท้ายพระยะโฮวาใช้อำนาจเพื่อช่วยผู้คนให้นมัสการพระองค์อย่างถูกต้องและมีความเชื่อเข้มแข็ง สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เป็นอย่างนั้นได้ก็คือความรู้มากมายที่เสริมความเชื่อ
13, 14. (ก) ผู้พยากรณ์เอเสเคียลเห็นอะไรในนิมิต และนิมิตนั้นมีความหมายยังไงกับพวกเรา? (ข) พระยะโฮวาให้อะไรกับคนที่เชื่อฟังพระองค์เพื่อพวกเขาจะมีชีวิตตลอดไป?
13 ในคำพยากรณ์ที่สำคัญเรื่องการฟื้นฟู ผู้พยากรณ์เอเสเคียลเห็นนิมิตเกี่ยวกับวิหารที่ได้รับการฟื้นฟูและเต็มไปด้วยสง่าราศี เขาเห็นน้ำไหลออกมาจากวิหารและค่อย ๆ ลึกมากขึ้นจนกลายเป็นแม่น้ำ ไม่ว่าน้ำจะไหลไปที่ไหนก็จะเกิดผลดีที่นั่น ริมแม่น้ำทั้งสองฝั่งมีต้นไม้ที่ผลของมันใช้เป็นอาหารและใบใช้เป็นยารักษาโรคได้ เมื่อแม่น้ำนี้ไหลลงทะเลตายก็ทำให้น้ำที่นั่นกลายเป็นน้ำดีและเต็มไปด้วยปลามากมาย (เอเสเคียล 47:1-12) แต่ทั้งหมดนี้หมายความว่ายังไง?
14 นิมิตนี้หมายความว่าพระยะโฮวาจะช่วยให้ผู้คนกลับมานมัสการพระองค์ในแบบที่ถูกต้อง เหมือนกับน้ำที่ค่อย ๆ ลึกมากขึ้นจนกลายเป็นแม่น้ำ สิ่งดี ๆ ที่พระยะโฮวาให้เพื่อช่วยพวกเขาให้มีชีวิตตลอดไปก็จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกัน เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงตั้งแต่ปี 1919 ตอนนั้นคริสเตียนแท้กลับมานมัสการพระองค์ในแบบที่ถูกต้องอีกครั้ง พระยะโฮวาให้สิ่งดี ๆ หลายอย่างเพื่อสอนความจริงให้กับผู้คนนับล้านโดยใช้คัมภีร์ไบเบิล สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ การประชุม และการประชุมใหญ่ นอกจากนั้น พระองค์ยังสอนความจริงสำคัญเรื่องค่าไถ่ของพระเยซูซึ่งช่วยให้คนที่รักและเกรงกลัวพระองค์มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่สะอาดและมีความหวังเรื่องชีวิตตลอดไปด้วยa เห็นชัดเลยว่าในสมัยสุดท้ายผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีความสุขเพราะพวกเขาไม่เชื่อฟังคำของพระยะโฮวา แต่คนของพระยะโฮวามีความสุขเพราะพวกเขามีทุกอย่างที่ช่วยให้ใกล้ชิดกับพระยะโฮวา—อิสยาห์ 65:13
15. ในช่วงหนึ่งพันปีที่พระเยซูปกครอง พระยะโฮวาจะแสดงความดีกับคนที่ซื่อสัตย์ยังไง?
15 น้ำในนิมิตของเอเสเคียลจะยังไหลต่อไปหลังจากโลกชั่วนี้ถูกทำลายและจะไหลมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงหนึ่งพันปีที่พระเยซูปกครอง ในตอนนั้น พระยะโฮวาจะใช้ค่าไถ่ของพระเยซูเพื่อช่วยให้คนที่ซื่อสัตย์ค่อย ๆ กลายเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ เราคงมีความสุขมากแน่ ๆ เพราะพระยะโฮวาให้สิ่งดี ๆ มากมาย
วิธีอื่นที่พระยะโฮวาแสดงความดีของพระองค์
16. พระยะโฮวามีคุณลักษณะดี ๆ อะไรอีกที่เกี่ยวข้องกับความดีของพระองค์?
16 ความดีของพระยะโฮวาไม่ใช่แค่การให้อย่างใจกว้างเท่านั้น พระเจ้าบอกกับโมเสสว่า “เราจะให้เจ้าเห็นคุณความดีทั้งหมดของเรา และจะประกาศให้เจ้ารู้เกี่ยวกับชื่อยะโฮวา” แล้ว “พระยะโฮวาได้ผ่านหน้าเขาไปและบอกว่า ‘พระยะโฮวา พระยะโฮวา พระเจ้าที่เมตตา สงสาร ไม่โกรธง่าย รักใครก็รักมั่นคง และรักษาคำพูดเสมอ’” (อพยพ 33:19; 34:6, เชิงอรรถ) จากข้อเหล่านี้เราเห็นว่าความดีของพระยะโฮวาเกี่ยวข้องกับคุณลักษณะดี ๆ หลายอย่าง ให้เรามาดูสองอย่างด้วยกัน
17. ความกรุณาคืออะไร และพระยะโฮวาแสดงคุณลักษณะนี้กับมนุษย์ยังไง?
17 “กรุณา” คุณลักษณะนี้เกี่ยวข้องกับ “ความสงสาร” และบอกให้เรารู้ว่าพระยะโฮวาอ่อนโยนและเข้าหาได้ง่าย คนที่มีอำนาจมักจะหยาบคายหรือชอบกดขี่ แต่พระยะโฮวาไม่เป็นอย่างนั้น พระองค์ใจดีและอ่อนโยนเสมอ ตัวอย่างเช่น พระยะโฮวาบอกกับอับรามว่า “จากที่ที่เจ้าอยู่นี้ ขอให้เงยหน้ามองไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก” (ปฐมกาล 13:14) คัมภีร์ไบเบิลหลายฉบับไม่ใส่คำว่า “ขอ” แต่นักวิชาการด้านคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าในภาษาฮีบรู ข้อนี้ไม่ใช่คำสั่งแต่เป็นการขออย่างสุภาพ และยังมีตัวอย่างอื่น ๆ อีกในเรื่องนี้ (ปฐมกาล 31:12; เอเสเคียล 8:5) คิดดูสิ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดพูดว่า “ขอ” กับมนุษย์ที่ต่ำต้อย ในโลกที่มีแต่คนหยาบคายและก้าวร้าว คุณรู้สึกยังไงที่ได้รู้ว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่กรุณา?
18. พระยะโฮวา “รักษาคำพูดเสมอ” ยังไง และทำไมเรื่องนี้ถึงให้กำลังใจเรา?
18 “รักษาคำพูดเสมอ” ผู้คนในทุกวันนี้มักจะไม่ซื่อสัตย์ แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ถึงจะได้พูดโกหก” (กันดารวิถี 23:19) ในทิตัส 1:2 ก็บอกว่า “พระเจ้าโกหกไม่ได้” พระยะโฮวามีแต่ความดี พระองค์ไม่มีทางพูดโกหก เราเลยมั่นใจได้ว่าคำสัญญาของพระองค์จะเป็นจริงแน่นอน มีการเรียกพระยะโฮวาว่า “พระเจ้าแห่งความจริง” (สดุดี 31:5) พระองค์ไม่ได้ปิดบังเรื่องของพระองค์ แต่พระองค์บอกความจริงทุกอย่างซึ่งเป็นสติปัญญาที่ลึกซึ้งให้ผู้รับใช้ของพระองค์รู้b พระองค์ยังสอนพวกเขาให้รู้วิธีเอาสิ่งที่ได้เรียนไปใช้เพื่อจะ “ใช้ชีวิตตามความจริง” (3 ยอห์น 3) แล้วความดีของพระยะโฮวาควรมีผลกับความคิด ความรู้สึก และการกระทำของเรายังไง?
“มีหน้าตาเบิกบานเพราะความดีของพระยะโฮวา”
19, 20. (ก) ซาตานทำยังไงเพื่อให้เอวาสงสัยความดีของพระยะโฮวา และผลเป็นยังไง? (ข) คุณรู้สึกยังไงเมื่อคิดถึงความดีของพระยะโฮวา และทำไมคุณถึงรู้สึกอย่างนั้น?
19 ตอนที่ซาตานหลอกเอวาในสวนเอเดน มันทำให้เธอสงสัยว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ดีจริง ๆ ไหม พระยะโฮวาเคยบอกอาดัมว่า “เจ้ากินผลจากต้นไม้ทุกต้นในสวนนี้ได้จนพอใจ” ในสวนเอเดนมีต้นไม้มากมาย แต่มีแค่ต้นเดียวเท่านั้นที่พระยะโฮวาห้ามไม่ให้พวกเขากิน แต่ขอสังเกตคำถามแรกที่ซาตานพูดกับเอวาว่า “พระเจ้าไม่ให้พวกคุณกินผลไม้ทุกต้นในสวนนี้จริง ๆ หรือ?” (ปฐมกาล 2:9, 16; 3:1) ซาตานได้เปลี่ยนคำพูดของพระยะโฮวาเพื่อทำให้เอวาคิดว่าพระองค์หวงสิ่งดี ๆ ไว้จากเธอ เธอเลยสงสัยว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ดีจริง ๆ ไหมทั้ง ๆ ที่พระองค์ให้ทุกอย่างกับเธอ
20 ความสงสัยของเอวาครั้งนั้นทำให้ผู้คนมากมายต้องเจ็บปวดและทนทุกข์ แต่ขอให้เรามั่นใจในคำพูดที่เยเรมีย์ 31:12 ที่ว่า “พวกเขาจะ . . . มีหน้าตาเบิกบานเพราะความดีของพระยะโฮวา” ความดีของพระยะโฮวาจะทำให้เรามีความสุขจริง ๆ ดังนั้น เราไม่ควรสงสัยในเจตนาของพระยะโฮวาเพราะพระองค์เป็นพระเจ้าที่ดีเยี่ยม เราไว้ใจพระองค์ได้อย่างเต็มที่เพราะพระองค์อยากให้คนที่รักพระองค์ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ
21, 22. (ก) เมื่อได้รู้ว่าพระยะโฮวาดีจริง ๆ คุณอยากจะทำอะไรเพื่อพระองค์บ้าง? (ข) เราจะเรียนคุณลักษณะอะไรในบทต่อไป และคุณลักษณะนั้นต่างจากความดียังไง?
21 เรามีความสุขมากตอนที่ได้บอกคนอื่นเรื่องความดีของพระเจ้า สดุดี 145:7 บอกเกี่ยวกับประชาชนของพระยะโฮวาว่า “พวกเขาจะคิดถึงความดีมากมายของพระองค์ และจะพูดถึงสิ่งเหล่านั้นไม่หยุด” เราได้รับประโยชน์จากความดีของพระยะโฮวาทุกวัน เราน่าจะขอบคุณความดีของพระยะโฮวาทุกวันและพูดเรื่องนั้นอย่างเจาะจง การคิดถึงความดีของพระยะโฮวา ขอบคุณพระองค์ทุกวัน และบอกคนอื่นเรื่องความดีของพระองค์จะช่วยเราให้เลียนแบบพระเจ้าของเรา และถ้าเราพยายามหาวิธีที่จะทำดีเหมือนที่พระยะโฮวาทำ เราก็จะยิ่งใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้น อัครสาวกยอห์นบอกไว้ว่า “เพื่อนรัก ขอให้เลียนแบบตัวอย่างที่ดี อย่าเลียนแบบตัวอย่างที่ไม่ดี คนที่ทำดีก็อยู่ฝ่ายพระเจ้า”—3 ยอห์น 11
22 ความดีของพระยะโฮวายังเกี่ยวข้องกับคุณลักษณะอื่น ๆ ด้วย เช่น พระเจ้า “รักใครก็รักมั่นคง” (อพยพ 34:6) คุณลักษณะนี้พิเศษมากเพราะพระยะโฮวาแสดงกับผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์เท่านั้น ในบทต่อไปเราจะได้เรียนว่าพระองค์ทำแบบนั้นยังไง
a ไม่มีตัวอย่างไหนที่ทำให้เห็นความดีของพระยะโฮวาได้ดีกว่าเรื่องค่าไถ่ พระยะโฮวาจะเลือกทูตสวรรค์องค์ไหนก็ได้เพื่อมาตายแทนเรา แต่พระองค์เลือกลูกชายที่รักของพระองค์ให้มาเป็นค่าไถ่เพื่อเรา
b คัมภีร์ไบเบิลมักจะเชื่อมโยงความจริงกับความสว่าง เช่น ในหนังสือสดุดีบอกว่า “ขอส่งแสงสว่างและความจริงของพระองค์ออกมา” (สดุดี 43:3) พระยะโฮวาช่วยคนที่เต็มใจเรียนรู้ให้เข้าใจความจริงเกี่ยวกับพระองค์มากขึ้น—2 โครินธ์ 4:6; 1 ยอห์น 1:5
-
-
“พระองค์ผู้เดียวภักดี”เข้าไปใกล้ชิดกับพระยะโฮวา
-
-
บท 28
“พระองค์ผู้เดียวภักดี”
1, 2. กษัตริย์ดาวิดเจอความไม่ภักดีอะไรบ้าง?
กษัตริย์ดาวิดเจอคนที่ไม่ภักดีกับเขาบ่อย ๆ ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งเขาถูกคนชาติเดียวกันทรยศและพยายามแย่งตำแหน่งกษัตริย์ไปจากเขา นอกจากนั้น ดาวิดยังถูกคนสนิททรยศด้วย เช่น มีคาลที่ “หลงรักดาวิด” และเป็นภรรยาคนแรกของเขา ตอนแรกเธอสนับสนุนดาวิดแต่ทีหลังกลับ “นึกดูถูกเขา” และถึงกับบอกว่าดาวิดเป็น “คนโง่”—1 ซามูเอล 18:20; 2 ซามูเอล 6:16, 20
2 ในสมัยนั้นผู้คนให้ความนับถืออาหิโธเฟลมากและมองว่าคำแนะนำของเขามาจากพระยะโฮวา (2 ซามูเอล 16:23) เขาเป็นที่ปรึกษาและเพื่อนสนิทของดาวิด แต่ภายหลังเขาก็ทรยศและไปสมทบกับพวกที่กบฏต่อดาวิด ซึ่งผู้นำในการกบฏครั้งนี้ก็คืออับซาโลมลูกของดาวิดเอง อับซาโลม ‘ใช้วิธีที่มีเล่ห์เหลี่ยมเพื่อทำให้ชาวอิสราเอลชอบเขา’ เขาทำตัวเป็นคู่แข่งกษัตริย์ดาวิดเลยมีหลายคนร่วมกบฏกับเขาจนทำให้ดาวิดต้องหนีเอาชีวิตรอด—2 ซามูเอล 15:1-6, 12-17
3. ดาวิดมั่นใจในเรื่องอะไร?
3 แล้วมีใครไหมที่ยังภักดีกับดาวิด? ดาวิดรู้ว่ายังมีผู้หนึ่งที่ภักดีกับเขาเสมอไม่ว่าชีวิตเขาจะลำบากแค่ไหน ผู้นั้นคือพระยะโฮวา ดาวิดพูดถึงพระยะโฮวาว่า “พระองค์ภักดีต่อคนที่ภักดี” (2 ซามูเอล 22:26) ความภักดีคืออะไร และทำไมพระยะโฮวาเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเรื่องความภักดี?
ความภักดีคืออะไร?
4, 5. (ก) “ความภักดี” คืออะไร? (ข) ความภักดีต่างจากความซื่อสัตย์ยังไง?
4 “ความภักดี” ตามที่ใช้ในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู เป็นความซื่อสัตย์ที่คนหนึ่งแสดงออกกับคนที่เขารัก เขาจะคอยช่วยเหลือและสนับสนุนคนนั้นเสมอ เขาทำอย่างนั้นไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าต้องทำ แต่ทำเพราะรักจริง ๆa ดังนั้น ความภักดีเป็นมากกว่าความซื่อสัตย์ นอกจากนั้น คำว่า “ซื่อสัตย์” อาจนำมาใช้ได้กับสิ่งที่ไม่มีชีวิตด้วย ตัวอย่างเช่น ผู้เขียนหนังสือสดุดีเรียกดวงจันทร์ว่า “พยานที่ซื่อสัตย์ในท้องฟ้า” เพราะดวงจันทร์มีอยู่ให้เห็นทุกคืน (สดุดี 89:37) แต่ไม่เคยมีการพูดถึงดวงจันทร์ว่าภักดี เพราะอะไร? เพราะความภักดีเป็นการแสดงออกถึงความรัก ซึ่งสิ่งที่ไม่มีชีวิตไม่สามารถแสดงความรักได้
ดวงจันทร์ถูกเรียกว่าพยานที่ซื่อสัตย์ แต่เฉพาะสิ่งมีชีวิตเท่านั้นที่แสดงความภักดีเหมือนพระยะโฮวาได้
5 เหมือนที่บอกในคัมภีร์ไบเบิล ความภักดียังรวมถึงความรักอย่างจริงใจ เมื่อคนหนึ่งภักดีกับอีกคนหนึ่ง นั่นก็แสดงว่าเขาเป็นห่วงคนนั้นจริง ๆ ความภักดีหรือความรักที่มั่นคงแบบนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง ถึงจะเจอกับปัญหามากมายหลายอย่าง แต่ความภักดีก็จะคงอยู่ตลอดไป
6. (ก) เราเห็นว่าความภักดีมีน้อยลงยังไงในทุกวันนี้ และคัมภีร์ไบเบิลบอกเรื่องนี้ไว้ยังไง? (ข) อะไรเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะเข้าใจความหมายของความภักดี และทำไม?
6 น่าเศร้าที่ทุกวันนี้มีไม่กี่คนที่เป็นคนภักดี เราได้ยินบ่อย ๆ เกี่ยวกับเพื่อนสนิทที่ “พร้อมจะทำลายกันให้ย่อยยับ” และสามีหรือภรรยาที่ทิ้งคู่ของตัวเองไปก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ (สุภาษิต 18:24; มาลาคี 2:14-16) เมื่อเราเห็นว่าผู้คนในสมัยของเราไม่ภักดีกับคนอื่น เราอาจพูดเหมือนกับที่ผู้พยากรณ์มีคาห์พูดเกี่ยวกับคนในสมัยของเขาว่า “คนจงรักภักดีในโลกตายไปหมดแล้ว” (มีคาห์ 7:2) ในทางตรงกันข้าม พระยะโฮวาแสดงคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เราจะเข้าใจว่าความภักดีหมายถึงอะไรจริง ๆ ถ้าได้เรียนว่าพระยะโฮวาแสดงคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมนี้ยังไงโดยดูจากวิธีที่พระองค์แสดงความรัก
ไม่มีใครภักดีเหมือนกับพระยะโฮวา
7, 8. ทำไมถึงบอกได้ว่าพระยะโฮวาผู้เดียวที่ภักดี?
7 คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงพระยะโฮวาว่า “พระองค์ผู้เดียวภักดี” (วิวรณ์ 15:4) แต่ก็มีมนุษย์และทูตสวรรค์ที่ภักดีด้วย (โยบ 1:1; วิวรณ์ 4:8) และพระเยซูก็ยังถูกเรียกว่า “คนที่ภักดี” กับพระเจ้ามากที่สุด (สดุดี 16:10) ถ้าอย่างนั้น ทำไมถึงบอกได้ว่าพระยะโฮวาผู้เดียวที่ภักดี?
8 จำไว้ว่าความภักดีเป็นการแสดงออกถึงความรัก และ “พระเจ้าเป็นความรัก” พระองค์เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมในการแสดงความรัก เลยไม่มีใครภักดีได้เท่าพระองค์ (1 ยอห์น 4:8) ที่จริง ทูตสวรรค์และมนุษย์ก็แสดงคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระเจ้าได้ แต่พระยะโฮวาเท่านั้นที่ภักดีมากที่สุด พระองค์เป็น “ผู้มีชีวิตอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์” พระองค์เลยแสดงความภักดีมานานมากกว่าทูตสวรรค์และมนุษย์ทุกคน (ดาเนียล 7:9) ดังนั้น พระยะโฮวาเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของความภักดีและไม่มีใครแสดงคุณลักษณะนี้ได้เหมือนพระองค์ ให้เรามาดูบางตัวอย่างด้วยกัน
9. พระยะโฮวา “ทำทุกสิ่ง . . . ด้วยความภักดี” ยังไงบ้าง?
9 พระยะโฮวา “ทำทุกสิ่ง . . . ด้วยความภักดี” (สดุดี 145:17) พระองค์แสดงความรักภักดีในหลายวิธี เราเห็นเรื่องนี้ได้ในสดุดี 136 ที่นั่นเราอ่านหลายอย่างที่น่าประทับใจเกี่ยวกับสิ่งที่พระยะโฮวาทำเพื่อช่วยประชาชนของพระองค์ ตัวอย่างเช่น ตอนที่พระองค์ช่วยชาวอิสราเอลให้ข้ามทะเลแดง ขอสังเกตว่าในแต่ละข้อของสดุดีบทนี้จบด้วยข้อความที่ว่า “เพราะพระองค์มีความรักที่มั่นคงตลอดไป” สดุดีบทนี้อยู่ในคำถามสำหรับคิดใคร่ครวญในหน้า 289 ตอนที่คุณอ่านข้อเหล่านั้น คุณจะรู้สึกประทับใจที่เห็นว่าพระยะโฮวาแสดงความรักภักดีกับผู้รับใช้ของพระองค์ในหลายวิธี พระยะโฮวาภักดีกับผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์โดยฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของพวกเขาและช่วยพวกเขาในเวลาที่เหมาะสม (สดุดี 34:6) พระยะโฮวาจะแสดงความรักภักดีกับผู้รับใช้ของพระองค์เสมอถ้าพวกเขาซื่อสัตย์กับพระองค์ต่อ ๆ ไป
10. พระยะโฮวาแสดงว่าพระองค์ภักดีกับมาตรฐานของพระองค์ยังไง?
10 นอกจากนั้น พระยะโฮวายังแสดงความภักดีกับผู้รับใช้ของพระองค์โดยไม่เคยเปลี่ยนมาตรฐานของพระองค์ในเรื่องที่ว่าอะไรถูกอะไรผิด มนุษย์บางคนใช้ความรู้สึกหรืออารมณ์ชั่ววูบในการตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่พระยะโฮวาไม่ได้เป็นอย่างนั้น ตัวอย่างเช่น พระองค์ยังมองว่าลัทธิผีปิศาจ การไหว้รูปเคารพ และการฆ่าคนเป็นสิ่งที่ไม่ดี พระองค์พูดผ่านทางผู้พยากรณ์อิสยาห์ว่า “จนถึงตอนที่พวกเจ้าแก่เฒ่า เราก็ยังเป็นเหมือนเดิม” (อิสยาห์ 46:4) ดังนั้น เรามั่นใจได้ว่าเราจะได้รับประโยชน์แน่นอน ถ้าเราเชื่อฟังคำแนะนำที่ชัดเจนที่พระยะโฮวาให้เราในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าอะไรถูกอะไรผิด—อิสยาห์ 48:17-19
11. เรารู้ได้ยังไงว่าพระยะโฮวารักษาคำสัญญาของพระองค์เสมอ?
11 พระยะโฮวายังแสดงความภักดีโดยการรักษาคำสัญญาของพระองค์เสมอ เมื่อพระองค์บอกล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็เกิดขึ้นจริง ๆ ดังนั้น พระยะโฮวาเลยบอกว่า “คำพูดที่ออกจากปากของเรา ก็จะไม่กลับมาหาเราถ้ายังไม่ทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จ ทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้นตามที่เราต้องการ เราพูดไว้ยังไงก็จะเกิดขึ้นอย่างนั้น” (อิสยาห์ 55:11) พระยะโฮวาไม่เคยสัญญาอะไรแล้วไม่ทำตามเพราะพระองค์ภักดีกับผู้รับใช้ของพระองค์เสมอ พระองค์พิสูจน์ว่าเป็นพระเจ้าที่ไว้ใจได้ โยชูวาพูดถึงพระยะโฮวาว่า “คำสัญญาดี ๆ ทั้งหมดที่พระยะโฮวาทำกับชาวอิสราเอลนั้นไม่มีคำสัญญาไหนเลยที่ไม่เป็นจริง ทุกอย่างที่สัญญาเป็นจริงทั้งหมด” (โยชูวา 21:45) เรามั่นใจได้ว่าพระองค์จะไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะพระยะโฮวาจะทำตามที่พระองค์สัญญาเสมอ—อิสยาห์ 49:23; โรม 5:5
12, 13. ความรักของพระยะโฮวาจะมั่นคงตลอดไปยังไงบ้าง?
12 เหมือนที่เราได้เรียนไปแล้ว คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่าความรักของพระยะโฮวา “มั่นคงตลอดไป” (สดุดี 136:1) เป็นอย่างนั้นได้ยังไง? เหตุผลหนึ่งก็คือ พระยะโฮวาให้อภัยบาปของเรา เหมือนที่เราได้ดูกันในบท 26 เมื่อพระยะโฮวาให้อภัยเราแล้ว พระองค์จะไม่เอาเรื่องนั้นมาลงโทษพวกเราอีก เพราะเรา “ทุกคนทำบาปและไม่ได้แสดงคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมของพระเจ้าอย่างที่ควรจะแสดง” เราทุกคนควรขอบคุณพระยะโฮวาที่พระองค์แสดงความรักที่มั่นคงกับเราเสมอ—โรม 3:23
13 แต่ความรักของพระยะโฮวายังมั่นคงตลอดไปในอีกด้านหนึ่งด้วย คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า คนดี “จะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ เหมือนต้นไม้ที่เกิดผลตามฤดู ใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง และไม่ว่าเขาทำอะไรก็จะสำเร็จ” (สดุดี 1:3) ถ้าเราชอบอ่านและศึกษาคัมภีร์ไบเบิล เราก็จะเป็นเหมือนกับต้นไม้ที่สวยงามและมีใบที่ไม่เหี่ยวแห้ง แล้วชีวิตของเราก็จะยืนยาว มีสันติสุข และสิ่งต่าง ๆ ที่เราทำก็จะสำเร็จ พระยะโฮวาจะให้พรกับคนที่รับใช้พระองค์ตลอดไป ในโลกใหม่ที่มีความถูกต้องชอบธรรมของพระยะโฮวา มนุษย์ทุกคนที่เชื่อฟังจะได้รับความรักจากพระองค์ตลอดไป—วิวรณ์ 21:3, 4
พระยะโฮวา “จะไม่ทอดทิ้งคนที่ภักดีต่อพระองค์”
14. พระยะโฮวาแสดงยังไงว่าเห็นค่าผู้รับใช้ที่ภักดีของพระองค์?
14 ที่ผ่านมาพระยะโฮวาแสดงให้เห็นมาตลอดว่าภักดี เพราะพระยะโฮวาไม่เคยเปลี่ยน พระองค์จะไม่เลิกภักดีกับผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ ผู้เขียนหนังสือสดุดีบอกว่า “ตั้งแต่ผมเป็นหนุ่มจนเดี๋ยวนี้ผมแก่แล้ว ผมยังไม่เคยเห็นคนดีถูกทอดทิ้ง และไม่เคยเห็นลูก ๆ ของเขาขอข้าวใครกิน เพราะพระยะโฮวารักความยุติธรรม และพระองค์จะไม่ทอดทิ้งคนที่ภักดีต่อพระองค์” (สดุดี 37:25, 28) เราควรนมัสการพระยะโฮวาเพราะพระองค์เป็นผู้สร้าง (วิวรณ์ 4:11) แต่ถึงอย่างนั้น พระยะโฮวาก็มองว่าความซื่อสัตย์ของเรามีค่ามากเพราะพระองค์ภักดี—มาลาคี 3:16, 17
15. พระยะโฮวาแสดงให้เห็นว่าภักดีกับชาวอิสราเอลยังไง? ขออธิบาย
15 เพราะพระยะโฮวามีความรักที่มั่นคง พระองค์เลยช่วยผู้รับใช้ของพระองค์หลายครั้งเมื่อพวกเขาเจอความทุกข์ ผู้เขียนหนังสือสดุดีบอกว่า “พระองค์คุ้มครองชีวิตคนที่ภักดีต่อพระองค์ พระองค์ช่วยพวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือคนชั่ว” (สดุดี 97:10) ขอนึกถึงว่าพระองค์ช่วยชาวอิสราเอลยังไง หลังจากพวกเขาได้รับการช่วยให้รอดผ่านทะเลแดงอย่างอัศจรรย์แล้ว พวกเขาร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวาว่า “ด้วยความรักที่มั่นคง พระองค์นำหน้าประชาชนที่พระองค์ไถ่ไว้” (อพยพ 15:13) การช่วยให้รอดของพระยะโฮวาแสดงให้เห็นว่าพระองค์ภักดีกับชาวอิสราเอลจริง ๆ นี่เลยทำให้โมเสสบอกชาวอิสราเอลว่า “ที่พระยะโฮวาเอ็นดูพวกคุณและเลือกพวกคุณนั้นไม่ใช่เพราะพวกคุณเป็นชาติที่ใหญ่กว่าชาติอื่น ๆ ที่จริงพวกคุณเป็นชาติที่เล็กที่สุดด้วยซ้ำ แต่ที่พระยะโฮวาพาพวกคุณออกมาด้วยพลังอำนาจ ปลดปล่อยพวกคุณจากดินแดนของการเป็นทาส จากอำนาจของฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์เป็นเพราะพระยะโฮวารักพวกคุณและทำตามคำสาบานที่ให้ไว้กับบรรพบุรุษของคุณ”—เฉลยธรรมบัญญัติ 7:7, 8
16, 17. (ก) ชาวอิสราเอลแสดงยังไงว่าไม่เห็นค่าความภักดีของพระยะโฮวา แต่พระยะโฮวาแสดงความเมตตากับพวกเขายังไง? (ข) ทำไมเราถึงเห็นว่าชาวอิสราเอลส่วนใหญ่ “ไม่มีหวังที่พวกเขาจะฟื้นตัวได้อีก” และเรื่องนี้ให้บทเรียนอะไรกับเรา?
16 น่าเศร้าที่ชาวอิสราเอลส่วนใหญ่ไม่เห็นค่าความรักที่มั่นคงของพระยะโฮวา เพราะหลังจากที่ได้รับการช่วยให้รอดแล้ว “พวกเขาก็ยังทำผิดต่อ [พระยะโฮวา] อยู่เรื่อย ๆ และกบฏต่อพระเจ้าองค์สูงสุด” (สดุดี 78:17) หลายร้อยปีหลังจากนั้นพวกเขาก็ยังกบฏต่อพระยะโฮวาอยู่เรื่อย ๆ ทิ้งพระองค์และหันไปนมัสการพระเท็จ นี่เลยทำให้พวกเขาไม่สนิทกับพระยะโฮวาอีกต่อไป แต่พระองค์ก็ไม่ลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับพวกเขา พระองค์กระตุ้นพวกเขาผ่านทางผู้พยากรณ์เยเรมีย์ว่า “อิสราเอลที่ทิ้งเรา กลับมาเถอะ . . . เราจะไม่มองเจ้าด้วยความโกรธ เพราะเราภักดีต่อเจ้า” (เยเรมีย์ 3:12) เหมือนที่เราได้เห็นในบท 25 ชาวอิสราเอลส่วนใหญ่ไม่ยอมกลับใจ และ “พวกเขากลับเยาะเย้ยผู้ส่งข่าวของพระเจ้าเที่ยงแท้ พวกเขาดูถูกคำเตือนของพระองค์และสบประมาทผู้พยากรณ์ของพระองค์” ผลเป็นยังไง? ในที่สุด “พระยะโฮวาจึงโกรธประชาชนเหล่านี้จนไม่มีหวังที่พวกเขาจะฟื้นตัวได้อีก”—2 พงศาวดาร 36:15, 16
17 เราได้เรียนอะไรจากเรื่องนี้? เราเรียนว่าความภักดีของพระยะโฮวาไม่ได้หมายความว่าพระองค์ไม่สนใจสิ่งชั่วที่พวกเขาทำ ถึงแม้พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ “รักใครก็รักมั่นคง” และแสดงความเมตตาเสมอเมื่อมีเหตุผลที่จะทำอย่างนั้น แต่พระยะโฮวาจะทำยังไงถ้าคนที่ทำผิดแสดงให้เห็นชัดว่าเขาไม่ยอมกลับใจ? ถ้าเป็นอย่างนั้น พระองค์จะยึดมั่นกับมาตรฐานที่ถูกต้องชอบธรรมของพระองค์ และลงโทษคนที่ทำผิด พระยะโฮวาบอกกับโมเสสว่า พระองค์ “ไม่ละเว้นการลงโทษ”—อพยพ 34:6, 7
18, 19. (ก) การที่พระยะโฮวาลงโทษคนชั่วแสดงให้เห็นว่าพระองค์ภักดียังไง? (ข) พระยะโฮวาจะแสดงความภักดีกับผู้รับใช้ของพระองค์ที่ถูกข่มเหงจนเสียชีวิตยังไง?
18 การที่พระเจ้าลงโทษคนชั่วยังแสดงว่าพระองค์ภักดีด้วย ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? เรารู้เรื่องนี้ได้จากคำสั่งที่พระยะโฮวาบอกกับทูตสวรรค์เจ็ดองค์ในหนังสือวิวรณ์ว่า “ไปเทขันที่ใส่ความโกรธของพระเจ้าทั้ง 7 ใบลงบนโลก” เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่สามเทขัน “ลงบนแม่น้ำและน้ำพุต่าง ๆ” น้ำเหล่านั้นก็กลายเป็นเลือด แล้วทูตสวรรค์องค์นี้ก็พูดกับพระยะโฮวาว่า “พระเจ้าของเรา พระองค์มีชีวิตอยู่ตอนนี้ มีชีวิตอยู่ในอดีต และเป็นผู้ภักดี พระองค์ทำถูกต้องแล้วที่ตัดสินอย่างนี้ เพราะพวกเขาทำให้พวกผู้บริสุทธิ์และผู้พยากรณ์ต้องหลั่งเลือด พระองค์จึงให้พวกเขาดื่มเลือด ซึ่งก็สมควรแล้ว”—วิวรณ์ 16:1-6
19 ตอนที่บอกข่าวเรื่องการพิพากษา ทำไมทูตสวรรค์ถึงบอกว่าพระยะโฮวาเป็น “ผู้ภักดี”? ผู้รับใช้ที่ภักดีของพระยะโฮวาหลายคนถูกข่มเหงจนเสียชีวิต ดังนั้น การทำลายคนชั่วก็แสดงให้เห็นว่าพระองค์ภักดีกับคนของพระองค์ พระยะโฮวามองว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของพระองค์ พระองค์คิดถึงและอยากเจอผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์อีกครั้ง คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระองค์จะให้รางวัลพวกเขาโดยปลุกพวกเขาให้ฟื้นขึ้นจากตาย (โยบ 14:14, 15) แม้พวกเขาจะตายไปแล้ว แต่พระยะโฮวาก็ไม่ลืมผู้รับใช้ที่ภักดีของพระองค์ พระองค์มองว่า “พวกเขาทุกคนมีชีวิตอยู่” (ลูกา 20:37, 38) ที่พระยะโฮวาต้องการปลุกคนที่อยู่ในความทรงจำของพระองค์ให้ฟื้นขึ้นจากตายเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าพระองค์ภักดี
พระยะโฮวาจะแสดงความภักดีกับคนซื่อสัตย์ที่ตายไปโดยปลุกพวกเขาให้กลับมามีชีวิตอีก
แบร์นาร์ด เลาเมส (บน) และโวล์ฟกัง คุสเซโรว์ (กลาง) ถูกพวกนาซีประหารชีวิต
โมเสส ยามุสซัว ถูกผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองกลุ่มหนึ่งเอาหอกแทงจนตาย
ความรักที่มั่นคงของพระยะโฮวาทำให้เรามีชีวิตอยู่ตลอดไป
20. ใครคือ “ภาชนะที่พระองค์เมตตา” และพระยะโฮวาแสดงความภักดีกับพวกเขายังไง?
20 พระยะโฮวาแสดงความภักดีกับคนที่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์เสมอ ตลอดหลายพันปี พระยะโฮวา “ยอมอดกลั้นกับคนที่เป็นเหมือนภาชนะที่พระองค์โกรธซึ่งสมควรถูกทำลาย” พระองค์ทำอย่างนั้น “เพื่อแสดงให้คนที่เป็นเหมือนภาชนะที่พระองค์เมตตาได้เห็นอำนาจยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์เตรียมพวกเขาไว้เพื่อจะได้รับเกียรติที่สูงส่ง” (โรม 9:22, 23) “ภาชนะที่พระองค์เมตตา” คือคริสเตียนที่ได้รับการเจิมโดยพลังบริสุทธิ์เพื่อจะปกครองกับพระคริสต์ในรัฐบาลของพระองค์ (มัทธิว 19:28) พระยะโฮวาช่วยพวกเขาให้รอดเพราะพระองค์ภักดีกับอับราฮัม พระองค์ทำตามสัญญาที่ให้กับเขาว่า “ทุกชาติในโลกจะได้รับพรเพราะลูกหลานของเจ้า และเพราะเจ้าเชื่อฟังเรา”—ปฐมกาล 22:18
ความภักดีของพระยะโฮวาทำให้ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ทุกคนของพระองค์มีความหวังที่มั่นคงเกี่ยวกับอนาคต
21. (ก) พระยะโฮวาแสดงความภักดีกับ “ชนฝูงใหญ่” ที่มีความหวังจะรอดผ่าน “ความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่” ยังไง? (ข) ความภักดีของพระยะโฮวากระตุ้นคุณให้ทำอะไร?
21 พระยะโฮวายังภักดีกับ “ชนฝูงใหญ่” ที่มีความหวังที่จะรอดผ่าน “ความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่” ด้วยและพวกเขาจะมีชีวิตตลอดไปบนโลกที่เป็นอุทยาน (วิวรณ์ 7:9, 10, 14) ถึงแม้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ แต่พระยะโฮวาก็แสดงความรักที่มั่นคงโดยให้พวกเขามีโอกาสที่จะมีชีวิตตลอดไปบนโลกที่เป็นอุทยาน พระองค์ทำแบบนั้นโดยให้มีค่าไถ่ ซึ่งเป็นการแสดงความภักดีที่ยิ่งใหญ่ (ยอห์น 3:16; โรม 5:8) ความภักดีของพระยะโฮวากระตุ้นคนที่อยากทำสิ่งที่ถูกต้องให้เข้าไปใกล้ชิดกับพระองค์ (เยเรมีย์ 31:3) คุณรู้สึกยังไงที่ได้เรียนรู้มากขึ้นว่าพระยะโฮวาภักดีมาตลอดและจะภักดีตลอดไป? ให้เราขอบคุณและเห็นค่าความภักดีของพระยะโฮวาโดยตั้งใจรับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไป ถ้าเราทำอย่างนั้น เราก็จะสนิทกับพระองค์มากขึ้น
a คำที่แปลว่า “ภักดี” ที่ 2 ซามูเอล 22:26 มีการแปลด้วยว่า “ความรักที่มั่นคง”
-
-
“รู้จักความรักของพระคริสต์”เข้าไปใกล้ชิดกับพระยะโฮวา
-
-
บท 29
“รู้จักความรักของพระคริสต์”
1-3. (ก) อะไรกระตุ้นพระเยซูให้อยากเป็นเหมือนพ่อของท่าน? (ข) ในบทนี้เราจะเรียนเรื่องอะไรบ้าง?
คุณเคยเห็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่พยายามเลียนแบบพ่อของเขาไหม? ลูกชายอาจเลียนแบบท่าเดิน วิธีพูด หรือสิ่งต่าง ๆ ที่พ่อทำ พอโตขึ้นเขาก็อาจมีความคิดเหมือนพ่อในเรื่องที่ว่าอะไรถูกอะไรผิดรวมถึงเรื่องความเชื่อด้วย ความรักและความนับถือที่ลูกมีกับพ่อที่รักเขามักจะทำให้เขาอยากเป็นเหมือนพ่อ
2 แล้วพระเยซูรู้สึกยังไงกับพระยะโฮวาพ่อของท่านที่อยู่ในสวรรค์? มีอยู่ครั้งหนึ่งพระเยซูบอกว่า ‘ผมรักพ่อ’ (ยอห์น 14:31) ท่านเคยอยู่กับพ่อมานานก่อนสร้างทุกสิ่งทุกอย่างและไม่มีใครจะรักพระยะโฮวามากเท่าพระเยซู ความรักแบบนี้กระตุ้นพระเยซูลูกที่ภักดีให้อยากเป็นเหมือนพ่อของท่าน—ยอห์น 14:9
3 ในบทต้น ๆ ของหนังสือเล่มนี้ เราได้เห็นวิธีที่พระเยซูเลียนแบบการแสดงอำนาจ ความยุติธรรม และสติปัญญาของพระยะโฮวาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่พระเยซูเลียนแบบความรักของพ่อยังไง? ให้เรามาดูความรักของพระเยซูใน 3 แง่มุมคือ น้ำใจเสียสละ ความเมตตาสงสาร และพร้อมจะให้อภัย
“ไม่มีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้”
4. พระเยซูแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดยังไง?
4 พระเยซูเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นในการแสดงความรักที่เสียสละ การเสียสละตัวเองเกี่ยวข้องกับการให้ความจำเป็นและเรื่องของคนอื่นสำคัญกว่าของตัวเอง พระเยซูแสดงความรักแบบนั้นยังไง? ท่านบอกว่า “ไม่มีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือที่คนหนึ่งยอมสละชีวิตเพื่อเพื่อนของเขา” (ยอห์น 15:13) ท่านเต็มใจสละชีวิตสมบูรณ์แบบของท่านเพื่อเรา นี่เป็นการแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่พระเยซูแสดงความรักที่เสียสละในวิธีอื่นด้วย
5. พระเยซูต้องเสียสละอะไรบ้างเพื่อจะมาบนโลก?
5 ก่อนที่ลูกคนเดียวของพระเจ้าจะมาบนโลก ท่านมีตำแหน่งสูงส่งในสวรรค์ ท่านสนิทกับพระยะโฮวาและทูตสวรรค์จำนวนมาก ถึงท่านจะมีความสุขมากในสวรรค์ แต่ท่านก็ “ยอมสละทุกสิ่ง มารับสภาพทาส และเกิดเป็นมนุษย์” (ฟีลิปปี 2:7) ท่านเต็มใจมาอยู่กับมนุษย์ผิดบาปบนโลกที่ “อยู่ในอำนาจซาตานตัวชั่วร้าย” (1 ยอห์น 5:19) นี่เป็นการแสดงความรักที่เสียสละของพระเยซูลูกของพระเจ้าจริง ๆ
6, 7. (ก) พระเยซูแสดงความรักที่เสียสละยังไงบ้างช่วงที่ทำงานรับใช้บนโลก? (ข) ตัวอย่างที่น่าประทับใจอะไรเกี่ยวกับความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวมีเขียนไว้ที่ยอห์น 19:25-27?
6 ตลอดเวลาที่พระเยซูรับใช้บนโลก ท่านแสดงความรักที่เสียสละในหลายวิธีเพื่อช่วยเหลือคนอื่น ท่านไม่มีความเห็นแก่ตัวและจดจ่อกับงานรับใช้โดยสละความสะดวกสบายของตัวเอง ท่านบอกว่า “หมาจิ้งจอกยังมีโพรงและนกก็มีรัง แต่ ‘ลูกมนุษย์’ ไม่มีที่จะซุกหัวนอน” (มัทธิว 8:20) พระเยซูเป็นช่างไม้ที่ชำนาญ ท่านสามารถใช้เวลาบางส่วนเพื่อสร้างบ้านที่สะดวกสบายสำหรับอยู่เองหรือทำเฟอร์นิเจอร์ที่สวยงามไว้ขายเพื่อจะมีเงินเพิ่มขึ้น แต่ท่านก็ไม่ได้ใช้ความสามารถที่มีเพื่อจะได้สิ่งของมากมาย
7 ตัวอย่างที่น่าประทับใจเกี่ยวกับความรักที่เสียสละของพระเยซูมีเขียนไว้ที่ยอห์น 19:25-27 ลองนึกภาพว่าตอนบ่ายในวันที่พระเยซูเสียชีวิต ท่านคงต้องคิดถึงหลายเรื่องแน่ ๆ ตอนที่ทนทุกข์อยู่บนเสาทรมาน ท่านเป็นห่วงสาวกของท่าน งานประกาศ และโดยเฉพาะการรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงและการทำให้ชื่อของพระยะโฮวาได้รับการสรรเสริญ อนาคตของทุกคนขึ้นอยู่กับท่าน แต่ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต ท่านแสดงความห่วงใยมารีย์แม่ของท่านซึ่งดูเหมือนว่าเป็นแม่ม่ายในตอนนั้น พระเยซูขอยอห์นให้ดูแลมารีย์ และจากนั้นยอห์นก็รับมารีย์ไปอยู่ที่บ้านของเขา ท่านทำให้แน่ใจว่าจะมีคนดูแลแม่ของท่านทั้งทางด้านร่างกายและทางด้านความเชื่อ พระเยซูแสดงความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวจริง ๆ
“ท่าน . . . รู้สึกสงสาร”
8. คำภาษากรีกที่คัมภีร์ไบเบิลใช้เพื่ออธิบายความสงสารของพระเยซูมีความหมายยังไง?
8 พระเยซูมีความเมตตาสงสารเหมือนพ่อของท่าน คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระเยซูรู้สึกสงสารคนที่กำลังทุกข์และพยายามหาวิธีช่วยพวกเขา คัมภีร์ไบเบิลใช้คำภาษากรีกที่แปลว่า “รู้สึกสงสาร” เพื่ออธิบายความเมตตาของพระเยซู นักวิชาการคนหนึ่งบอกว่า “คำนี้อธิบายถึง . . . อารมณ์ที่ลึกซึ้งและมีพลังมาก นี่เป็นคำภาษากรีกที่ถ่ายทอดความรู้สึกเมตตาสงสารได้ดีที่สุด” ให้เรามาดูบางเหตุการณ์ที่ความสงสารกระตุ้นพระเยซูให้ช่วยเหลือคนอื่น
9, 10. (ก) ทำไมพระเยซูกับอัครสาวกถึงออกไปหาที่เงียบ ๆ? (ข) พระเยซูรู้สึกยังไงเมื่อผู้คนมาหาจนท่านไม่มีเวลาส่วนตัว ทำไมท่านถึงรู้สึกอย่างนั้น?
9 ความสงสารกระตุ้นพระเยซูให้สอนคนอื่นเรื่องพระเจ้า เรื่องราวในมาระโก 6:30-34 ช่วยให้เห็นว่าทำไมพระเยซูถึงรู้สึกสงสารและช่วยเหลือคนอื่น ลองนึกภาพว่ามีอะไรเกิดขึ้นตอนที่พวกอัครสาวกเพิ่งกลับมาจากการประกาศและกำลังเล่าให้พระเยซูฟังอย่างตื่นเต้นว่าพวกเขาได้เจออะไรมาบ้าง ในตอนนั้นมีคนมากมายมาหาพระเยซูจนท่านกับพวกอัครสาวกไม่มีเวลาที่จะกินอาหาร พระเยซูเป็นคนช่างสังเกต ท่านเห็นว่าพวกอัครสาวกเหนื่อย ท่านเลยบอกพวกเขาว่า “ไปหาที่ส่วนตัวห่างไกลผู้คนกันเถอะ จะได้พักสักหน่อย” พวกเขาก็ลงเรือไปทางเหนือสุดของทะเลกาลิลีเพื่อไปหาที่เงียบสงบ แต่พอผู้คนเห็นพระเยซูกับอัครสาวกนั่งเรือไปและหลายคนได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาก็เลยพากันวิ่งไปตามแนวชายฝั่งและไปถึงที่นั่นก่อนที่เรือจะไปถึงด้วยซ้ำ
10 พระเยซูรู้สึกหงุดหงิดไหมเมื่อเห็นว่าท่านกับพวกอัครสาวกจะไม่ได้พักผ่อน? ไม่เลย พอเห็นว่ามีหลายพันคนกำลังรออยู่ท่านก็รู้สึกสงสาร หนังสือมาระโกบอกว่า “ท่านเห็นผู้คนมากมายมารออยู่ก็รู้สึกสงสาร เพราะพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง พระเยซูจึงสอนพวกเขาหลายเรื่อง” พระเยซูเข้าใจว่าผู้คนต้องฟังคำสอนที่มาจากพระเจ้า พวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยงหรือมีคนคอยปกป้อง พระเยซูรู้ว่าพวกผู้นำศาสนาควรจะดูแลฝูงแกะอย่างดี แต่พวกเขากลับไม่สนใจประชาชนเลย (ยอห์น 7:47-49) พระเยซูสงสารผู้คนและเริ่มสอนพวกเขา “เรื่องรัฐบาลของพระเจ้า” (ลูกา 9:11) ท่านทำอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าพวกเขาจะตอบรับคำสอนของท่านไหม เห็นชัดว่าพระเยซูไม่ได้เริ่มรู้สึกสงสารผู้คนหลังจากที่เห็นว่าพวกเขาตอบรับสิ่งที่ท่านสอน แต่เพราะรู้สึกสงสารท่านเลยถูกกระตุ้นให้สอนพวกเขา
“พระเยซู . . . ยื่นมือออกสัมผัสตัวเขา”
11, 12. (ก) ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล คนโรคเรื้อนถูกมองยังไง แต่พระเยซูทำยังไงเมื่อผู้ชายคนหนึ่งที่ “เป็นโรคเรื้อนทั่วทั้งตัว” เข้ามาหาท่าน? (ข) ผู้ชายที่เป็นโรคเรื้อนอาจรู้สึกยังไงตอนที่พระเยซูแตะตัวเขา และประสบการณ์ของหมอคนหนึ่งช่วยให้เราเห็นเรื่องนี้ยังไง?
11 ความสงสารกระตุ้นพระเยซูให้ช่วยคนที่มีความทุกข์ เมื่อหลายคนที่เจ็บป่วยเห็นว่าพระเยซูเป็นคนที่เมตตา พวกเขาก็เลยมาขอให้ท่านช่วย เราเห็นเรื่องนี้ได้ชัดเจนตอนที่พระเยซูอยู่กับผู้คนมากมาย และมีผู้ชายคนหนึ่งที่ “เป็นโรคเรื้อนทั่วทั้งตัว” เข้าไปหาท่าน (ลูกา 5:12) ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล กฎหมายของพระยะโฮวาบอกให้แยกคนโรคเรื้อนออกไปเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นติดโรคจากเขา (กันดารวิถี 5:1-4) แต่ต่อมา พวกผู้นำศาสนาตั้งกฎที่เข้มงวดขึ้นมา และกฎเหล่านั้นไม่ได้สอนผู้คนให้แสดงความเมตตากับคนโรคเรื้อนa แต่พระเยซูทำยังไงกับคนโรคเรื้อน? คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “มีคนโรคเรื้อนคนหนึ่งมาหาพระเยซู เขาถึงกับคุกเข่าลงอ้อนวอนท่านว่า ‘เพียงแค่ท่านอยากช่วย ท่านก็จะรักษาผมได้’ พระเยซูรู้สึกสงสารเขา จึงยื่นมือออกสัมผัสตัวเขาและพูดว่า ‘ผมอยากช่วย หายโรคเถอะ’ แล้วเขาก็หายจากโรคเรื้อนทันที” (มาระโก 1:40-42) พระเยซูรู้ดีว่าคนที่เป็นโรคเรื้อนไม่ควรมาอยู่ใกล้คนอื่น แต่แทนที่จะไล่เขาไป พระเยซูกลับสงสารเขามากและลงมือทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด พระเยซูแตะตัวเขา
12 คุณพอจะนึกออกไหมว่าคนโรคเรื้อนจะรู้สึกยังไงตอนที่พระเยซูแตะตัวเขา? หมอคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเรื้อนชื่อพอล แบรนด์ เล่าว่าเขาเคยรักษาผู้ชายโรคเรื้อนคนหนึ่งในประเทศอินเดีย ตอนที่กำลังตรวจโรค เขาจับไหล่ของผู้ชายคนนั้นพร้อมกับอธิบายวิธีการรักษาผ่านล่าม แล้วจู่ ๆ ผู้ชายที่เป็นโรคเรื้อนก็เริ่มร้องไห้ เขาเลยถามว่า “ผมพูดอะไรผิดไปรึเปล่า?” ล่ามถามผู้ชายคนนั้น แล้วเขาตอบว่า “เปล่าครับหมอ เขาบอกว่า เขาร้องไห้เพราะคุณหมอเอามือไปจับไหล่เขา ไม่มีใครแตะตัวเขามานานหลายปีแล้ว” ดังนั้น เมื่อพระเยซูแตะตัวคนโรคเรื้อน เขาคงต้องรู้สึกดีมากแน่ ๆ แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะด้วยการแตะครั้งเดียว พระเยซูรักษาเขาให้หายจากโรคที่ร้ายแรงและทำให้เขากลับไปอยู่กับครอบครัวและนมัสการพระยะโฮวาด้วยกันได้อีกครั้ง
13, 14. (ก) พระเยซูเจอเหตุการณ์อะไรตอนที่ใกล้จะถึงเมืองนาอิน และทำไมเรื่องนี้ถึงน่าเศร้ามากจริง ๆ? (ข) ความเมตตาสงสารกระตุ้นพระเยซูให้ลงมือทำอะไรเพื่อแม่ม่ายชาวเมืองนาอิน?
13 ความสงสารกระตุ้นพระเยซูให้ช่วยคนที่กำลังเศร้า พระเยซูรู้สึกเสียใจมากที่เห็นคนอื่นกำลังเศร้าเพราะเสียคนที่รักไป ให้เรามาดูตัวอย่างหนึ่งที่อยู่ในลูกา 7:11-15 ประมาณ 1 ปีกับ 9 เดือนหลังจากพระเยซูเริ่มงานรับใช้ พระเยซูเดินทางไปเมืองนาอิน แคว้นกาลิลี พอใกล้จะถึงประตูเมือง ท่านเห็นคนกลุ่มหนึ่งหามศพออกมา เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริง ๆ เพราะศพที่หามออกมาเป็นศพลูกชายคนเดียวของแม่ม่าย ก่อนหน้านี้ เธอคงได้จัดงานศพของสามีมาแล้ว และตอนนี้เธอยังต้องมาเสียลูกชายไปอีกซึ่งอาจเป็นคนเดียวที่คอยเลี้ยงดูเธอ หลายคนที่ตามเธอมาคงร้องเพลงและเล่นดนตรีไว้อาลัยด้วย (เยเรมีย์ 9:17, 18; มัทธิว 9:23) แต่พระเยซูสังเกตแม่ม่ายที่กำลังเศร้าซึ่งเดินอยู่ใกล้ ๆ แคร่หามศพของลูกชาย
14 พระเยซู “สงสาร” แม่ม่ายคนนี้มาก ท่านพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นว่า “อย่าร้องไห้เลย” แล้วท่านก็เดินเข้าไปใกล้ ๆ และแตะแคร่หามศพ คนที่หามแคร่และคนที่อยู่รอบ ๆ ก็หยุด พระเยซูพูดอย่างมีพลังว่า “หนุ่มน้อย ผมขอบอกให้คุณลุกขึ้น” หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น? “คนตายนั้นก็ลุกขึ้นนั่งแล้วเริ่มพูด” เหมือนกับคนที่หลับสนิทแล้วถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา แล้วพระเยซูก็ “มอบเขาให้แม่” เรื่องนี้น่าประทับใจจริง ๆ
15. (ก) ตัวอย่างของพระเยซูทำให้เห็นว่าความเมตตาสงสารเกี่ยวข้องกับการกระทำยังไง? (ข) เราจะเลียนแบบพระเยซูได้ยังไง?
15 เราเรียนอะไรได้จากเรื่องนี้? จากทั้งสองเหตุการณ์ เราสังเกตว่าความเมตตาสงสารเกี่ยวข้องกับการกระทำ เมื่อไหร่ที่พระเยซูเห็นคนอื่นมีความทุกข์ ท่านก็อดสงสารไม่ได้ และท่านก็ทำบางอย่างเพื่อช่วยพวกเขาเสมอ เราจะเลียนแบบท่านได้ยังไง? เราที่เป็นคริสเตียนมีหน้าที่ที่จะประกาศข่าวดีและช่วยคนให้เป็นสาวก เหตุผลสำคัญที่สุดที่เราทำแบบนี้เพราะเรารักพระยะโฮวา แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็คือเพราะเราสงสารผู้คนด้วย ถ้าเราสงสารผู้คนเหมือนพระเยซู เราก็จะพยายามเต็มที่ที่จะประกาศข่าวดีให้คนอื่นฟัง (มัทธิว 22:37-39) แล้วเราจะแสดงความเมตตาสงสารกับพี่น้องที่มีความทุกข์และเศร้าใจได้ยังไง? ถึงเราจะรักษาโรคหรือปลุกคนตายให้ฟื้นไม่ได้ แต่เราก็แสดงความเมตตาสงสารได้โดยหาโอกาสที่จะช่วยเหลือคนอื่นที่มีความจำเป็น หรือบอกเขาว่าเรารักและเป็นห่วงเขามาก—เอเฟซัส 4:32
“พ่อครับ ยกโทษให้พวกเขาด้วย”
16. พระเยซูแสดงให้เห็นยังไงว่าเต็มใจให้อภัยแม้แต่ตอนที่ท่านถูกตรึงบนเสาทรมาน?
16 อีกวิธีหนึ่งที่พระเยซูช่วยให้เห็นความรักของพระยะโฮวาก็คือท่าน “พร้อมจะให้อภัย” (สดุดี 86:5) ท่านทำอย่างนั้นแม้แต่ตอนที่ถูกตรึงบนเสา ถึงแม้ท่านกำลังจะตายอย่างน่าอับอายและต้องเจ็บปวดทรมานมากเพราะถูกตอกตะปูที่มือและเท้า ท่านยังพูดว่าอะไร? ท่านขอให้พระยะโฮวาลงโทษคนที่ทรมานท่านไหม? แทนที่จะทำอย่างนั้น พระเยซูพูดว่า “พ่อครับ ยกโทษให้พวกเขาด้วย เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่”—ลูกา 23:34b
17-19. พระเยซูแสดงให้เห็นยังไงว่าให้อภัยเปโตรที่เคยปฏิเสธท่านถึงสามครั้ง?
17 ตัวอย่างที่น่าประทับใจเกี่ยวกับการให้อภัยของพระเยซูเห็นได้จากสิ่งที่ท่านทำและพูดกับเปโตร เรารู้ว่าเปโตรรักพระเยซูมาก ในวันที่ 14 เดือนนิสานซึ่งเป็นคืนสุดท้ายที่พระเยซูมีชีวิตอยู่บนโลก เปโตรบอกท่านว่า “อาจารย์ครับ ผมพร้อมจะติดคุกและตายกับท่าน” แต่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เปโตรปฏิเสธว่าไม่รู้จักพระเยซูถึงสามครั้ง คัมภีร์ไบเบิลบอกเราให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่เปโตรปฏิเสธครั้งที่สาม ตอนนั้น “พระเยซูก็หันมาสบตาเปโตร” เมื่อเปโตรรู้ตัวว่าเขาได้ทำผิดร้ายแรง เขาเลย “ออกไปร้องไห้เสียใจอย่างหนัก” และในวันนั้นตอนที่พระเยซูเสียชีวิตเปโตรก็อาจสงสัยว่า ‘อาจารย์จะให้อภัยผมไหม?’—ลูกา 22:33, 61, 62
18 เปโตรไม่ต้องรอนานถึงจะรู้คำตอบ พระเยซูถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายในเช้าวันที่ 16 เดือนนิสาน และดูเหมือนว่าในวันเดียวกันนั้นเองที่พระเยซูไปหาเปโตรและคุยกับเขาเป็นส่วนตัว (ลูกา 24:34; 1 โครินธ์ 15:4-8) ทำไมพระเยซูถึงอยากคุยกับเปโตรมากทั้ง ๆ ที่เขาเคยปฏิเสธท่านถึง 3 ครั้ง? พระเยซูอาจจะอยากให้เปโตรที่กลับใจแล้วมั่นใจว่าท่านยังรักเขาอยู่และมองว่าเขาเป็นคนที่มีค่า แต่พระเยซูทำมากกว่านั้นอีกเพื่อให้เปโตรมั่นใจว่าท่านให้อภัยเขาแล้ว
19 ไม่นานหลังจากนั้น พระเยซูไปเจอกับพวกสาวกที่ทะเลกาลิลี ตอนนั้น พระเยซูถามเปโตร 3 ครั้งว่าเขารักท่านไหม หลังจากที่พระเยซูถามครั้งที่สาม เปโตรก็ตอบท่านว่า “นายครับ ท่านรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว ท่านก็รู้ว่าผมรักท่าน” ที่จริง พระเยซูรู้ว่าเปโตรคิดอะไรในใจและรู้ว่าเขารักท่านมาก แต่พระเยซูให้โอกาสเปโตรที่เคยปฏิเสธท่าน 3 ครั้งให้ยืนยันความรักของเขาที่มีต่อท่านถึง 3 ครั้ง นอกจากนั้น พระเยซูยังมอบหมายให้เปโตร ‘เลี้ยงและดูแลแกะตัวเล็ก ๆ’ ของท่าน (ยอห์น 21:15-17) ก่อนหน้านั้น เขาได้รับงานมอบหมายให้ประกาศ (ลูกา 5:10) แต่ตอนนี้ พระเยซูให้เขามีหน้าที่รับผิดชอบสำคัญในการดูแลคนที่จะเข้ามาเป็นผู้ติดตามพระคริสต์ นั่นแสดงว่าพระเยซูไว้ใจเปโตรมากจริง ๆ หลังจากนั้นไม่นาน พระเยซูให้เขามีบทบาทสำคัญในงานของพวกสาวก (กิจการ 2:1-41) เปโตรคงรู้สึกได้กำลังใจมากที่รู้ว่าพระเยซูให้อภัยและไว้ใจเขาเหมือนเดิม
คุณ “รู้จักความรักของพระคริสต์” ไหม?
20, 21. เราจะมา “รู้จักความรักของพระคริสต์” อย่างเต็มที่ได้ยังไง?
20 คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงความรักของพระคริสต์ไว้อย่างยอดเยี่ยม แต่ความรักของพระเยซูคริสต์น่าจะกระตุ้นเราให้ทำอะไร? คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเราต้อง “รู้จักความรักของพระคริสต์ที่เหนือกว่าความรู้” (เอเฟซัส 3:19) เราได้เห็นว่าเรื่องราวในหนังสือข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูสอนเราหลายอย่างเกี่ยวกับความรักของพระคริสต์ แต่เพื่อจะ “รู้จักความรักของพระคริสต์” จริง ๆ เราต้องทำมากกว่าการมีความรู้เกี่ยวกับท่าน
21 คำภาษากรีกที่แปลว่า “รู้จัก” หมายถึงรู้จัก “โดยทางประสบการณ์ของเราเอง” เมื่อเราแสดงความรักแบบพระเยซู คือการเสียสละตัวเองเพื่อประโยชน์ของคนอื่นอย่างไม่เห็นแก่ตัว แสดงความเมตตาสงสารโดยให้ความช่วยเหลือที่จำเป็น และให้อภัยเขาจากใจ ถ้าเราทำแบบนี้ก็แสดงว่าเราเข้าใจความรู้สึกของพระเยซูจริง ๆ แล้วเราจะ “รู้จักความรักของพระคริสต์ที่เหนือกว่าความรู้” จากประสบการณ์ของเราเอง และอย่าลืมว่าถ้าเราพยายามเลียนแบบพระคริสต์ เราก็จะยิ่งใกล้ชิดกับพระยะโฮวาพระเจ้าที่เรารัก ซึ่งเป็นผู้ที่พระเยซูเลียนแบบได้อย่างสมบูรณ์แบบ
a พวกผู้นำศาสนาตั้งกฎว่าต้องอยู่ห่างจากคนโรคเรื้อนประมาณ 2 เมตร แต่ถ้ามีลมพัด คนโรคเรื้อนต้องออกไปอยู่ห่าง ๆ อย่างน้อยประมาณ 45 เมตร หนังสือมิดราช รับบาห์เล่าว่ามีผู้นำศาสนาคนหนึ่งไม่ยอมเข้าใกล้คนโรคเรื้อนเลย ส่วนอีกคนหนึ่งก็ไล่คนโรคเรื้อนโดยเอาหินขว้าง ดังนั้น คนที่เป็นโรคเรื้อนคงต้องรู้สึกเจ็บปวดมากเพราะมีแต่คนรังเกียจ
b สำเนาเก่าแก่บางฉบับ มีการตัดส่วนแรกของลูกา 23:34 ที่บอกว่า “พ่อครับ ยกโทษให้พวกเขาด้วย เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่” แต่ข้อความนี้มีอยู่ในสำเนาเก่าแก่ที่น่าเชื่อถือหลายฉบับ และยังมีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลโลกใหม่และฉบับแปลอื่น ๆ ด้วย ดูเหมือนว่าพระเยซูพูดถึงทหารโรมันที่ตรึงท่าน พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่และไม่รู้ว่าพระเยซูเป็นใครจริง ๆ พระเยซูอาจหมายถึงคนยิวที่ต้องการฆ่าท่านด้วย แต่ต่อมาก็เข้ามาเป็นสาวกของท่าน (กิจการ 2:36-38) ที่จริงพวกผู้นำศาสนาที่กระตุ้นทหารโรมันให้ฆ่าพระเยซูมีความผิดมากกว่าเพราะเขาอยากให้พระเยซูตายทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพระเยซูเป็นลูกของพระเจ้า หลายคนในพวกเขาไม่สมควรได้รับการให้อภัย—ยอห์น 11:45-53
-
-
“ใช้ชีวิตด้วยความรักต่อไป”เข้าไปใกล้ชิดกับพระยะโฮวา
-
-
บท 30
“ใช้ชีวิตด้วยความรักต่อไป”
1-3. เราจะได้ประโยชน์อะไรถ้าเราเลียนแบบพระยะโฮวาในการแสดงความรัก?
“การให้ทำให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ” (กิจการ 20:35) คำพูดของพระเยซูนี้สอนบางอย่างที่สำคัญ คือการแสดงความรักแบบไม่เห็นแก่ตัวมีประโยชน์กับเรา ถึงแม้เราจะมีความสุขมากเมื่อคนอื่นแสดงความรักกับเรา แต่เราจะมีความสุขมากกว่าถ้าเราเป็นฝ่ายให้หรือแสดงความรักกับคนอื่น
2 พ่อในสวรรค์ของเรารู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร ๆ เราได้เรียนแล้วในบทก่อน ๆ ของตอน 4 ว่าพระยะโฮวาเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมในเรื่องความรัก พระองค์แสดงความรักมากกว่าใครและทำอย่างนั้นมาเป็นเวลานานมาก ดังนั้น ไม่แปลกเลยที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกพระยะโฮวาว่า “พระเจ้าผู้มีความสุข”—1 ทิโมธี 1:11
3 พระเจ้าที่เปี่ยมด้วยความรักอยากให้เราเป็นเหมือนพระองค์ในทุกด้าน โดยเฉพาะในการแสดงความรักกับคนอื่น เอเฟซัส 5:1, 2 บอกเราให้ “เลียนแบบพระเจ้าอย่างลูกที่รักของพระองค์ และใช้ชีวิตด้วยความรักต่อไป” เมื่อเราเลียนแบบพระยะโฮวาในการแสดงความรัก เราจะมีความสุขมากขึ้นเพราะเราเป็นฝ่ายให้ เรายังมีความสุขด้วยเพราะรู้ว่าเราทำให้พระยะโฮวาพอใจ พระองค์บอกเราให้แสดง “ความรัก . . . ต่อกัน” (โรม 13:8) แต่ยังมีเหตุผลอื่นอีกที่เราต้อง “ใช้ชีวิตด้วยความรักต่อไป”
ทำไมความรักถึงสำคัญ?
ความรักกระตุ้นเราให้มั่นใจในตัวพี่น้อง
4, 5. ทำไมการแสดงความรักกับพี่น้องถึงเป็นเรื่องสำคัญ?
4 ทำไมการแสดงความรักกับพี่น้องถึงเป็นเรื่องสำคัญ? พูดง่าย ๆ ก็คือความรักเป็นคุณลักษณะสำคัญของคริสเตียนแท้ ถ้าไม่มีความรักเราก็จะไม่มีความผูกพันใกล้ชิดกับพี่น้องได้ และยิ่งกว่านั้น เราก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาของพระยะโฮวา เราจะเรียนมากขึ้นว่าคัมภีร์ไบเบิลช่วยเรายังไงให้เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องแสดงความรัก
5 ในคืนสุดท้ายที่พระเยซูมีชีวิตอยู่บนโลก ท่านบอกพวกสาวกว่า “ผมให้กฎหมายใหม่กับพวกคุณ คือ ให้พวกคุณรักกัน ผมรักพวกคุณยังไง ก็ให้พวกคุณรักกันอย่างนั้นด้วย ทุกคนจะรู้ว่าพวกคุณเป็นสาวกของผม เมื่อพวกคุณรักกัน” (ยอห์น 13:34, 35) ที่ท่านบอกว่า “ผมรักพวกคุณยังไง” ก็เพราะอยากให้พวกเราแสดงความรักกับคนอื่นเหมือนท่าน ในบท 29 เราเห็นว่าพระเยซูให้ตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมในการแสดงความรักโดยคิดถึงผลประโยชน์ของคนอื่นมากกว่าของตัวท่านเอง เราก็ต้องแสดงความรักแบบนั้นด้วย ถ้าเราทำอย่างนั้นคนที่ไม่ได้รับใช้พระยะโฮวาก็จะเห็นชัดเจนว่าพวกเรารักกันจริง ๆ และเราก็ทำให้เห็นด้วยว่าเราเป็นคริสเตียนแท้
6, 7. (ก) เรารู้ได้ยังไงว่าคัมภีร์ไบเบิลเน้นเรื่องการแสดงความรัก? (ข) เปาโลพูดถึงอะไรที่ 1 โครินธ์ 13:4-8?
6 จะว่ายังไงถ้าเราไม่มีความรัก? อัครสาวกเปาโลบอกว่า “ถ้าผม . . . ไม่มีความรัก ผมก็เป็นเหมือนฆ้องหรือฉิ่งฉาบที่ส่งเสียง” (1 โครินธ์ 13:1) เสียงของฉิ่งหรือฆ้องอาจดังจนแสบแก้วหู นี่เป็นตัวอย่างที่เหมาะมาก ๆ เพราะคนที่ไม่มีความรักก็เป็นเหมือนเครื่องดนตรีที่ส่งเสียงดังจนทำให้คนอื่นรู้สึกรำคาญ และอาจเป็นเรื่องยากที่คนแบบนั้นจะมีเพื่อนสนิท เปาโลบอกด้วยว่า ‘และถ้าผมมีความเชื่อมากถึงขนาดที่ย้ายภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ผมก็ไม่มีค่าอะไรเลย’ (1 โครินธ์ 13:2) ดังนั้น ถึงแม้ว่าเราทำอะไรดี ๆ ได้หลายอย่าง แต่ถ้าไม่มีความรักพระยะโฮวาก็ใช้เราไม่ได้ คัมภีร์ไบเบิลสอนชัดเจนว่าพระยะโฮวาอยากให้เราแสดงความรัก
7 แต่เราจะแสดงความรักกับคนอื่นได้ยังไง? เพื่อตอบคำถามนี้ ให้เรามาดูคำพูดของเปาโลที่ 1 โครินธ์ 13:4-8 ข้อเหล่านี้ไม่ได้พูดถึงความรักที่พระเจ้ามีต่อเราหรือความรักที่เรามีต่อพระองค์ แต่เปาโลเน้นวิธีที่เราจะแสดงความรักต่อกันและอธิบายว่าความรักหมายถึงอะไรจริง ๆ
ความรักหมายถึงอะไร
8. ตอนที่มีปัญหากับคนอื่น ความอดทนจะช่วยเราได้ยังไง?
8 “ความรักอดกลั้น” การแสดงความรักหมายความว่าเราต้องอดทนกับคนอื่น (โคโลสี 3:13) เราต้องมีความอดทนเพราะเราเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ ดังนั้น ตอนที่เรารับใช้พระยะโฮวาด้วยกันกับพี่น้องก็เป็นไปได้ที่เราอาจจะมีเรื่องขัดแย้งกัน แต่ความอดทนจะช่วยเราให้มองข้ามเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และช่วยรักษาสันติสุขในประชาคม
9. เราจะแสดงความกรุณากับคนอื่นได้ยังไงบ้าง?
9 “ความรัก . . . เมตตากรุณา” เราแสดงความกรุณาโดยการช่วยเหลือคนอื่นและพูดอย่างเห็นอกเห็นใจ ความรักกระตุ้นเราให้มองหาวิธีแสดงความกรุณาโดยเฉพาะกับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ตัวอย่างเช่น พี่น้องสูงอายุอาจรู้สึกเหงาและอยากให้มีคนมาเยี่ยมให้กำลังใจ พี่น้องหญิงที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว หรืออยู่ในครอบครัวที่ไม่ได้รับใช้พระยะโฮวาอาจต้องการความช่วยเหลือและกำลังใจด้วย พี่น้องที่เจ็บป่วยหรือเจอกับความยากลำบากก็คงอยากได้ยินคำพูดดี ๆ ที่ให้กำลังใจ (สุภาษิต 12:25; 17:17) ถ้าเราหาโอกาสแสดงความกรุณากับพี่น้องของเรา เราก็ทำให้เห็นว่าเรารักเขาจริง ๆ—2 โครินธ์ 8:8
10. ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ความรักจะช่วยเรายังไงให้ยึดมั่นกับความจริงและพูดความจริง?
10 “ความรัก . . . ชอบความจริง” ฉบับแปลหนึ่งแปลข้อนี้ว่า “ความรัก . . . สนับสนุนความจริงด้วยความยินดี” ความรักกระตุ้นเราให้ยึดมั่นกับความจริงและ “พูดความจริงต่อกัน” (เศคาริยาห์ 8:16) ตัวอย่างเช่น ถ้าคนที่เรารักทำผิดร้ายแรง ความรักที่เรามีกับพระยะโฮวาและกับคนที่ทำผิดจะช่วยเราให้ทำสิ่งที่พระยะโฮวาบอกว่าถูกต้อง นอกจากนั้น เราจะไม่พยายามปกปิด หรือบอกว่าสิ่งที่เขาทำไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือไม่พูดความจริงเกี่ยวกับเรื่องนั้น บางครั้งอาจเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับว่าคนที่เรารักทำผิดร้ายแรง แต่ถ้าเรารักเขาและอยากช่วยเขาจริง ๆ เราก็คงอยากให้เขาได้รับการสั่งสอนด้วยความรักจากพระเจ้าและยอมรับการแก้ไข (สุภาษิต 3:11, 12) การแสดงความรักโดยยึดมั่นกับความจริงยังหมายความว่าเราต้อง “ประพฤติตัวซื่อสัตย์ในทุกเรื่อง” ด้วย—ฮีบรู 13:18
11. เราจะทำยังไงกับข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพี่น้องเพื่อแสดงว่าความรัก “ยอมทนรับทุกอย่าง”?
11 “ความรักยอมทนรับทุกอย่าง” ในภาษาเดิมคำนี้แปลตรงตัวว่า “ความรักปิดคลุมทุกสิ่ง” (ฉบับแปลคิงดอม อินเตอร์ลิเนียร์) ที่ 1 เปโตร 4:8 บอกว่า “ความรักปิดคลุมบาปไว้มากมาย” ถ้าเรารักพี่น้องของเราจริง ๆ เราก็จะไม่พูดข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขาให้คนอื่นฟัง เพราะหลายครั้งข้อผิดพลาดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าเรามองข้ามเรื่องนั้นไปก็แสดงว่าเรารักพี่น้อง—สุภาษิต 10:12; 17:9
12. อัครสาวกเปาโลแสดงยังไงว่ามั่นใจในตัวฟีเลโมน และเราเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของเปาโล?
12 “ความรัก . . . เชื่ออยู่เสมอ” ฉบับแปลหนึ่งบอกว่าความรัก “พร้อมจะเชื่อในส่วนที่ดีที่สุดเสมอ” เราจะไม่สงสัยว่าทำไมพี่น้องถึงทำแบบนั้นหรือสงสัยว่าเขามีเจตนาที่ถูกต้องไหม ความรักช่วยเราให้ “เชื่อในส่วนดี” ของพี่น้องและไว้ใจเขาa เราเห็นตัวอย่างเรื่องนี้ได้จากจดหมายที่เปาโลเขียนถึงฟีเลโมน ทาสคนหนึ่งของเขาชื่อโอเนสิมัสหนีไปแต่ต่อมาได้เข้ามาเป็นคริสเตียน และเมื่อโอเนสิมัสกลับมา เปาโลก็อยากให้ฟีเลโมนต้อนรับเขาด้วยความรัก เปาโลไม่ได้พยายามบังคับแต่เขาขอร้องฟีเลโมนให้ทำอย่างนั้น เปาโลมั่นใจว่าความรักจะกระตุ้นให้ฟีเลโมนทำดีกับโอเนสิมัส เขาบอกว่า “ผมเขียนถึงคุณเพราะมั่นใจว่าคุณจะทำตาม และผมรู้ว่าคุณจะทำมากกว่าที่ผมขอด้วยซ้ำ” (ข้อ 21) ถ้าเรารักพี่น้องและมั่นใจในตัวเขา เราก็กำลังกระตุ้นให้เขาแสดงคุณลักษณะที่ดีออกมา
13. เราจะแสดงให้เห็นยังไงว่าเราหวังว่าพี่น้องจะทำสิ่งที่ถูกต้อง?
13 “ความรัก . . . หวังอยู่เสมอ” นอกจากความรักจะกระตุ้นเราให้ไว้ใจพี่น้องแล้ว ความรักก็ยังทำให้เราหวังว่าพี่น้องจะทำสิ่งที่ถูกต้องด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าพี่น้องคนหนึ่ง “ก้าวไปผิดทางโดยไม่รู้ตัว” เราหวังว่าเขาจะฟังคนที่พยายามช่วยเขาให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง (กาลาเทีย 6:1) เรายังหวังด้วยว่าพี่น้องที่ความเชื่ออ่อนแอลงจะกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง เราจะอดทนและช่วยพวกเขาให้รับใช้พระยะโฮวาอย่างขยันขันแข็งต่อไป (โรม 15:1; 1 เธสะโลนิกา 5:14) ถึงแม้คนที่เรารักจะเลิกรับใช้พระยะโฮวา เราก็จะไม่เลิกหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะกลับมารับใช้พระยะโฮวาอีกเหมือนกับลูกที่หลงหายในตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซู—ลูกา 15:17, 18
14. บางครั้งเราต้องอดทนกับเรื่องอะไรบ้างในประชาคม และความรักจะช่วยเราอดทนได้ยังไง?
14 “ความรัก . . . อดทนได้ทุกอย่าง” ความอดทนทำให้เราซื่อสัตย์กับพระยะโฮวาได้แม้ต้องเจอกับปัญหาหรือเรื่องที่ทำให้ท้อใจ หลายครั้งเราต้องอดทนกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่คนอื่นทำ แต่บางครั้งปัญหาก็อาจมาจากพี่น้องเพราะพวกเขาไม่สมบูรณ์แบบ เขาอาจพูดหรือทำอะไรโดยไม่คิดที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บ (สุภาษิต 12:18) หรือบางครั้งผู้ดูแลไม่ได้จัดการบางเรื่องในประชาคมแบบที่เราคิดไว้ พี่น้องที่ได้รับความนับถืออาจทำบางอย่างที่ทำให้เราไม่สบายใจและคิดว่า ‘คริสเตียนทำอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ?’ เมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้ เราจะเลิกไปประชุมและเลิกรับใช้พระยะโฮวาไหม? ถ้าเรามีความรัก เราจะไม่ทำแบบนั้น เราจะไม่มองแต่ข้อผิดพลาดจนมองไม่เห็นสิ่งดี ๆ ในตัวเขาหรือในตัวพี่น้องคนอื่นในประชาคม ถึงแม้พี่น้องจะพูดโดยไม่คิดหรือทำผิดพลาดไปเพราะความไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความรักจะช่วยให้เรารับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์และสนับสนุนประชาคมต่อไป—สดุดี 119:165
ความรักไม่ได้หมายถึงอะไร
15. ทำไมเราไม่ควรอิจฉาคนอื่น และความรักช่วยเราให้เอาชนะความรู้สึกนี้ได้ยังไง?
15 “ความรักไม่อิจฉาริษยา” เราไม่ควรอิจฉาในสิ่งที่คนอื่นมี เช่น เงินทองสมบัติวัตถุ สิ่งดี ๆ ที่เขาได้รับจากพระยะโฮวา หรือความสามารถของเขา ถ้าเราอิจฉาก็แสดงว่าเราเห็นแก่ตัวและทำให้ตัวเรากับคนอื่นได้รับผลเสีย ถ้าเราไม่ควบคุมความรู้สึกนี้ เราก็อาจทำลายสันติสุขในประชาคมได้ แล้วอะไรจะช่วยเราให้เอาชนะความรู้สึกอิจฉาได้? (ยากอบ 4:5) ถ้าเรามีความรัก เราจะมีความสุขกับคนที่ได้รับสิ่งดี ๆ (โรม 12:15) เราจะไม่รู้สึกอิจฉาเมื่อคนอื่นได้รับคำชมเชยเพราะเขามีความสามารถหรือทำบางอย่างได้ดี
16. ถ้าเรารักพี่น้องจริง ๆ ทำไมเราไม่ควรอวดสิ่งที่เราทำในงานรับใช้?
16 “ความรัก . . . ไม่โอ้อวด ไม่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น” ถ้าเรามีความรัก เราจะไม่อวดความสามารถหรือความสำเร็จของเรา พี่น้องคงจะท้อใจมากแน่ ๆ ถ้าเราพูดตลอดว่าเราทำงานรับใช้ได้ดีขนาดไหนหรือมีสิทธิพิเศษอะไรบ้างในประชาคม การทำแบบนี้อาจทำให้พี่น้องรู้สึกว่าเขาไม่มีค่าสำหรับพระยะโฮวา ถ้าเรารักพี่น้อง เราจะไม่อวดว่ามีสิทธิพิเศษอะไรบ้างในงานรับใช้ แต่ที่เราทำอย่างนั้นได้ก็เพราะพระยะโฮวาช่วยเรา (1 โครินธ์ 3:5-9) เปาโลยังบอกด้วยว่าความรัก “ไม่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น” หรือในฉบับแปลหนึ่งบอกว่าความรักจะไม่ทำให้ใครคนหนึ่งคิดไปเองว่าเขาเป็นคนที่สำคัญมาก—โรม 12:3
17. ถ้าเรารักคนอื่นเราจะทำอะไร?
17 “ความรัก . . . ไม่หยาบคาย” คนหยาบคายมักจะทำอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ให้เกียรติคนอื่น นิสัยแบบนั้นไม่เป็นการแสดงความรักเพราะทำให้เห็นว่าคนนั้นไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของคนอื่นและไม่สนใจว่าสิ่งที่เขาทำจะมีผลกับคนอื่นยังไง แต่ถ้าเรามีความรัก เราก็จะอ่อนโยนและเป็นห่วงความรู้สึกของคนอื่น นอกจากนั้น เราจะเป็นคนสุภาพ ทำสิ่งที่พระยะโฮวาพอใจ และนับถือพี่น้องของเรา ความรักจะช่วยเราไม่ให้ “ทำเรื่องน่าอาย” ที่จะทำให้พี่น้องไม่สบายใจ—เอเฟซัส 5:3, 4
18. ทำไมคนที่มีความรักจะไม่บังคับให้คนอื่นทำตามที่เขาต้องการ?
18 “ความรัก . . . ไม่เห็นแก่ตัว” ฉบับแปลหนึ่งบอกว่า “ความรักไม่ยืนกรานตามอำเภอใจตนเอง” ดังนั้น คนที่แสดงความรักจะไม่มองว่าความคิดของเขาดีที่สุด เขาจะไม่พยายามบังคับคนอื่นให้เห็นด้วยและทำตามวิธีของเขา เพราะถ้าเขาพยายามบังคับคนอื่นก็แสดงว่าเขาหยิ่งและคัมภีร์ไบเบิลยังบอกด้วยว่า “ความหยิ่งทำให้พินาศ” (สุภาษิต 16:18) แต่ความรักจะทำให้เรานับถือความคิดเห็นของพี่น้องและถ้าเป็นไปได้เราจะพยายามทำตามที่เขาบอก ถ้าเราพร้อมที่จะปรับเปลี่ยน เราก็กำลังทำตามที่เปาโลบอกไว้ว่า “อย่าคิดถึงแต่ประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น แต่ให้คิดถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย”—1 โครินธ์ 10:24
19. เมื่อมีคนทำให้เราโกรธ ความรักจะช่วยเรายังไง?
19 “ความรัก . . . ไม่โมโหง่าย ไม่จดจำเรื่องที่ทำให้เจ็บใจ” ความรักจะทำให้เราไม่โกรธง่าย ๆ ไม่แปลกที่เราจะอารมณ์เสียเมื่อมีคนพูดหรือทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เราเจ็บใจ ถึงแม้เรามีเหตุผลที่จะโกรธ แต่ถ้าเรามีความรัก เราจะไม่เก็บความโกรธนั้นไว้ (เอเฟซัส 4:26, 27) เราจะไม่จำว่าใครพูดหรือทำอะไรที่ทำให้เราโกรธ แต่ความรักกระตุ้นเราให้เลียนแบบพระเจ้า เหมือนที่เราเห็นในบท 26 พระยะโฮวาให้อภัยเมื่อมีเหตุผลที่สมควร เมื่อให้อภัยเราแล้วพระองค์ก็จะไม่จดจำหรือคิดถึงความผิดนั้นเพื่อลงโทษเราในอนาคต เรารู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่พระยะโฮวาไม่จดจำความผิดของเรา
20. เราควรมีท่าทียังไงถ้าเพื่อนร่วมความเชื่อทำผิดและได้รับผลเสียจากการทำผิดนั้น?
20 “ความรักไม่ชอบความชั่ว” ฉบับแปลอื่นแปลข้อนี้ว่า “ความรักไม่ยินดีเมื่อคนอื่นพลาดพลั้งทำผิด” ดังนั้น ถ้าเรามีความรัก เราจะไม่ยินดีเมื่อมีการทำผิด และเราจะไม่มองข้ามการทำผิดกฎหมายของพระเจ้าทุกอย่าง เรามีท่าทียังไงถ้าเพื่อนร่วมความเชื่อทำผิดและได้รับผลเสียจากการทำผิดนั้น? เราจะไม่รู้สึกดีใจ และคิดว่า ‘ดีแล้วล่ะที่เขาโดนอย่างนั้น’ (สุภาษิต 17:5) แต่เราจะยินดีเมื่อพี่น้องที่ทำผิดพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะกลับมาใกล้ชิดกับพระยะโฮวาอีกครั้ง
“ทางที่ยอดเยี่ยม”
21-23. (ก) เปาโลหมายความว่ายังไงเมื่อเขาบอกว่า “ความรักจะคงอยู่ตลอดไป”? (ข) เราจะคุยเกี่ยวกับคำถามอะไรในบทสุดท้ายของหนังสือนี้?
21 “ความรักจะคงอยู่ตลอดไป เปาโลหมายความว่ายังไงเมื่อพูดแบบนี้? ในข้อคัมภีร์ก่อนหน้านี้ เขากำลังพูดถึงความสามารถที่มาจากพลังของพระเจ้าที่คริสเตียนยุคแรกได้รับ ความสามารถต่าง ๆ นั้นแสดงว่าพระยะโฮวากำลังใช้ประชาคมคริสเตียนที่เพิ่งถูกตั้งขึ้น แต่ก็ไม่ใช่คริสเตียนทุกคนที่จะรักษาโรค พยากรณ์ หรือพูดภาษาต่าง ๆ ได้ และถึงบางคนจะไม่มีความสามารถเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะความสามารถในการทำการอัศจรรย์จะไม่มีอยู่ตลอดไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่คริสเตียนทุกคนต้องมีมากขึ้น สิ่งนั้นสำคัญกว่าและจะอยู่ตลอดไป เปาโลเรียกสิ่งนั้นว่า “ทางที่ยอดเยี่ยม” (1 โครินธ์ 12:31) “ทางที่ยอดเยี่ยม” นี้คืออะไร? ทางนี้คือความรัก
22 ความรักแบบคริสเตียนที่เปาโลพูดถึงนั้น “จะคงอยู่ตลอดไป” และจะไม่มีวันสิ้นสุดเลย จนถึงทุกวันนี้ ผู้คนรู้ว่าใครเป็นคริสเตียนแท้ได้โดยดูจากความรักแบบไม่เห็นแก่ตัวที่พวกเขามีให้กัน เราเห็นความรักแบบนี้ได้ท่ามกลางพยานพระยะโฮวาทั่วโลก ความรักแบบนี้จะคงอยู่ตลอดไปเพราะพระยะโฮวาสัญญาว่าผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป (สดุดี 37:9-11, 29) ให้เราพยายามเต็มที่ที่จะ “ใช้ชีวิตด้วยความรักต่อไป” เพราะถ้าเราทำอย่างนั้น เราจะมีความสุขที่มาจากการให้ และสำคัญกว่านั้น เราจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปและจะแสดงความรักได้ตลอดไปเหมือนกับพระยะโฮวาพระเจ้าแห่งความรักของเรา
ความรักบอกให้รู้ว่าพวกเขาเป็นคนของพระยะโฮวา
23 ในหนังสือนี้เราได้เรียนหลายอย่างเกี่ยวกับคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมของพระยะโฮวา เราได้รับประโยชน์มากมายเรื่องพลังอำนาจ ความยุติธรรม สติปัญญา และความรักของพระองค์ และหลังจากที่ได้เรียนรู้ว่าเราจะแสดงความรักกับคนอื่นได้ยังไงบ้าง เราก็น่าจะถามตัวเองว่า ‘ฉันจะแสดงให้พระยะโฮวาเห็นยังไงว่าฉันรักพระองค์?’ เราจะคุยเกี่ยวกับคำถามนี้ในบทสุดท้ายของหนังสือ
-