พระดำรัสของพระเจ้ายั่งยืนอยู่เป็นนิจ
“พระดำรัสของพระเจ้าของเราจะยั่งยืนอยู่เป็นนิจ.”—ยะซายา 40:8.
1. (ก) “พระดำรัสของพระเจ้าของเรา” มีความหมายเช่นไรในที่นี้? (ข) คำสัญญาของมนุษย์เป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับพระดำรัสของพระเจ้า?
คนเรามักจะฝากความไว้วางใจในคำสัญญาของชายหรือหญิงที่เด่นดัง. แต่ไม่ว่าคำสัญญาเหล่านี้อาจดูดีสักเพียงไรสำหรับผู้คนที่โหยหาชีวิตที่ดีกว่า เมื่อเทียบกับพระคำของพระเจ้าแล้ว คำสัญญาเหล่านี้ก็เป็นเหมือนกับดอกไม้ที่ค่อย ๆ ร่วงโรยไป. (บทเพลงสรรเสริญ 146:3, 4) กว่า 2,700 ปีมาแล้ว พระยะโฮวาพระเจ้าทรงดลใจผู้พยากรณ์ยะซายาให้เขียนดังนี้: “มนุษยชาติทั้งปวงก็เปรียบเหมือนหญ้า, และความดีความงามของเขาก็เปรียบเหมือนกับดอกไม้ในทุ่งนา . . . ส่วนหญ้านั้นก็เหี่ยวแห้ง, และดอกไม้ก็ร่วงโรยไป, แต่พระดำรัสของพระเจ้าของเราจะยั่งยืนอยู่เป็นนิจ.” (ยะซายา 40:6, 8) “พระดำรัส” ที่ยั่งยืนนานดังกล่าวนั้นคืออะไร? พระดำรัสนี้ได้แก่คำแถลงของพระเจ้าเกี่ยวด้วยพระประสงค์ของพระองค์. ปัจจุบัน เรามี “พระดำรัส” นั้นเป็นลายลักษณ์อักษรในคัมภีร์ไบเบิล.—1 เปโตร 1:24, 25.
2. ในสภาพที่เผชิญกับเจตคติและการกระทำเช่นไรที่พระยะโฮวาทรงทำให้พระดำรัสของพระองค์เกี่ยวด้วยอาณาจักรยิศราเอลและยูดาโบราณสำเร็จเป็นจริง?
2 ประชาชนที่มีชีวิตในสมัยชาติยิศราเอลโบราณประสบกับความสัตย์จริงของข้อความที่ยะซายาบันทึกไว้. พระยะโฮวาทรงแจ้งล่วงหน้าทางผู้พยากรณ์ของพระองค์ว่า เนื่องด้วยความไม่ซื่อสัตย์อย่างร้ายแรงต่อพระองค์ อาณาจักรยิศราเอลสิบตระกูลก่อน แล้วจากนั้นก็อาณาจักรยูดาสองตระกูล จะถูกขับออกจากแผ่นดินของเขา. (ยิระมะยา 20:4; อาโมศ 5:2, 27) แม้ว่าพวกเขากดขี่ข่มเหงและจนถึงกับได้ฆ่าผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวา, เผาม้วนหนังสือที่บรรจุข่าวสารคำเตือนของพระเจ้า, และขอความช่วยเหลือทางทหารจากอียิปต์เพื่อไม่ให้เป็นไปตามคำพยากรณ์นี้ แต่พระดำรัสของพระยะโฮวาไม่ล้มเหลว. (ยิระมะยา 36:1, 2, 21-24; 37:5-10; ลูกา 13:34) นอกจากนั้น คำสัญญาของพระเจ้าที่จะนำชนที่เหลือชาวยิวที่กลับใจให้คืนสู่แผ่นดินของตนก็ได้สำเร็จเป็นจริงอย่างน่าทึ่ง.—ยะซายาบท 35.
3. (ก) คำสัญญาอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับเราซึ่งบันทึกไว้โดยยะซายา? (ข) เหตุใดคุณจึงเชื่อมั่นว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นจริง ๆ?
3 โดยทางยะซายา พระยะโฮวายังได้บอกล่วงหน้าถึงการปกครองอันชอบธรรมเหนือมนุษยชาติโดยทางมาซีฮา, การช่วยให้รอดพ้นจากบาปและความตาย, และการเปลี่ยนแผ่นดินโลกให้เป็นอุทยาน. (ยะซายา 9:6, 7; 11:1-9; 25:6-8; 35:5-7; 65:17-25) สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะสำเร็จเป็นจริงด้วยไหม? ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย! “พระเจ้า . . . ตรัสมุสาไม่ได้.” พระองค์ทรงให้มีการบันทึกคำพยากรณ์ของพระองค์ไว้เพื่อประโยชน์ของเรา และพระองค์ได้ทรงดำเนินการเพื่อปกปักรักษาบันทึกนี้ไว้.—ติโต 1:2; โรม 15:4.
4. แม้ว่าต้นฉบับของคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้รับการเก็บรักษาไว้ เป็นความจริงอย่างไรที่ว่าพระดำรัสของพระเจ้า “มีชีวิต”?
4 พระยะโฮวาไม่ได้เก็บรักษาต้นฉบับของผู้เขียนในกาลโบราณที่พระองค์ทรงใช้ให้เขียนคำพยากรณ์เหล่านั้น. แต่ “พระดำรัส” ของพระองค์ซึ่งก็คือพระประสงค์ของพระองค์ที่มีการแถลงไว้ ปรากฏว่าเป็นพระดำรัสอันมีชีวิต. พระประสงค์นั้นรุดหน้าไปอย่างไม่มีอะไรต้านทานได้ และขณะที่ดำเนินไปนั้น ความคิดและแรงกระตุ้นในส่วนลึกของผู้คนซึ่งชีวิตของเขาได้รับผลกระทบจากพระประสงค์นั้นก็ปรากฏออกมาให้เห็นชัด. (เฮ็บราย 4:12) นอกจากนั้น บันทึกในประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า การเก็บรักษาและการแปลพระคัมภีร์ที่มีขึ้นโดยการดลใจนั้นดำเนินอยู่ภายใต้การดูแลของพระเจ้า.
เมื่อเผชิญกับความพยายามที่จะกำจัดพระคัมภีร์
5. (ก) กษัตริย์ซีเรียพยายามทำอะไรเพื่อทำลายพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูซึ่งมีขึ้นโดยการดลใจ? (ข) ทำไมเขาจึงทำไม่สำเร็จ?
5 มีหลายโอกาสที่พวกผู้ปกครองบ้านเมืองได้พยายามทำลายข้อเขียนซึ่งมีขึ้นโดยการดลใจ. ในปี 168 ก่อนสากลศักราช อันทีโอคุส เอพีฟาเนสกษัตริย์ซีเรีย (ดังภาพในหน้า 10) ได้ตั้งแท่นบูชาสำหรับเซอุสในพระวิหารซึ่งได้อุทิศแด่พระยะโฮวา. เขายังได้เสาะหาหนังสือ “พระบัญญัติ” เอามาเผาเสีย และประกาศว่าใครก็ตามที่มีพระคัมภีร์เหล่านั้นอยู่ในครอบครองจะถูกประหาร. แม้ว่าเขาได้เผาสำเนาพระคัมภีร์ในกรุงยะรูซาเลมและยูเดียไปมากเท่าไร แต่ก็ไม่สามารถกำจัดพระคัมภีร์ได้หมดสิ้น. ชุมชนชาวยิวในเวลานั้นกระจัดกระจายอยู่ในหลายดินแดน และธรรมศาลาแต่ละแห่งก็มีชุดม้วนหนังสือที่เก็บรวบรวมไว้เป็นของตนเอง.—เทียบกับกิจการ 13:14, 15.
6. (ก) มีความพยายามอย่างหนักเช่นไรที่จะทำลายพระคัมภีร์ซึ่งคริสเตียนยุคแรกใช้กันอยู่? (ข) ผลเป็นเช่นไร?
6 ในปีสากลศักราช 303 จักรพรรดิดิโอเคลเชียนแห่งโรมได้ออกกฤษฎีกาคล้าย ๆ กันให้กวาดล้างสถานที่ประชุมของคริสเตียน และให้ ‘เผาพระคัมภีร์ของเขา.’ การทำลายล้างเช่นนั้นดำเนินอยู่สิบปี. แม้ว่าการกดขี่เป็นไปอย่างร้ายกาจรุนแรง ดิโอเคลเชียนไม่ประสบความสำเร็จในการบดขยี้ศาสนาคริสเตียนให้สูญสิ้น อีกทั้งพระเจ้าก็ไม่ทรงยอมให้คนของจักรพรรดิทำลายสำเนาทั้งหมดของส่วนใดส่วนหนึ่งของพระคำที่มีขึ้นโดยการดลใจของพระองค์แม้แต่ส่วนเดียว. แต่โดยปฏิกิริยาของพวกเขาที่มีต่อการจำหน่ายจ่ายแจกและการประกาศพระคำของพระเจ้า พวกผู้ต่อต้านได้แสดงให้เห็นชัดเจนถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของตน. พวกเขาแสดงตัวเป็นคนที่ถูกซาตานทำให้ตาบอดและดำเนินตามเจตจำนงของมัน.—โยฮัน 8:44; 1 โยฮัน 3:10-12.
7. (ก) ได้มีความพยายามทำอะไรเพื่อขัดขวางการแพร่ความรู้เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลในยุโรปตะวันตก? (ข) มีผลสำเร็จเช่นไรในการแปลและการจัดพิมพ์คัมภีร์ไบเบิล?
7 ความพยายามที่จะขัดขวางการแพร่กระจายความรู้ในคัมภีร์ไบเบิลยังออกมาในรูปอื่นด้วย. เมื่อภาษาลาตินเลิกใช้เป็นภาษาปกติประจำวัน หาใช่ผู้ปกครองชาวนอกรีตไม่ แต่กลับเป็นคนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนเสียเอง—โปปเกรกอรีที่เจ็ด (1073-1085) และโปปอินโนเซนต์ที่สาม (1198-1216)—ที่ได้ต่อต้านอย่างแข็งขันต่อการแปลคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาที่สามัญชนใช้กัน. ด้วยความพยายามจะขจัดการไม่เห็นด้วยต่ออำนาจแห่งคริสตจักร สภาประชุมตูลูส์แห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก ที่ประเทศฝรั่งเศส ออกกฎหมายในปี 1229 ว่าห้ามฆราวาสมีพระธรรมเล่มใด ๆ ของคัมภีร์ไบเบิลในภาษาสามัญ. มีการใช้อำนาจศาลศาสนาอย่างก้าวร้าวรุนแรงเพื่อบังคับใช้กฎหมายนี้. กระนั้น หลังจาก 400 ปีที่มีศาลศาสนา ผู้ที่รักพระคำของพระเจ้าได้แปลคัมภีร์ไบเบิลครบชุดและจำหน่ายจ่ายแจกฉบับพิมพ์ของพระคัมภีร์ออกไปในราว ๆ 20 ภาษา ซึ่งนอกเหนือจากนี้ก็ยังจัดทำออกมาในภาษาถิ่นบางภาษา และเฉพาะส่วนหลัก ๆ ของพระคัมภีร์ในอีก 16 ภาษา.
8. ในช่วงศตวรรษที่ 19 เกิดอะไรขึ้นกับการแปลและการจำหน่ายจ่ายแจกคัมภีร์ไบเบิลในรัสเซีย?
8 ไม่ใช่เฉพาะแต่คริสตจักรโรมันคาทอลิกเท่านั้นที่พยายามกันคัมภีร์ไบเบิลเอาไว้จากสามัญชน. ในตอนต้นศตวรรษที่ 19 พาฟสกี ซึ่งเป็นศาสตราจารย์คนหนึ่งที่สถาบันเทววิทยาแห่งเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ได้แปลพระธรรมมัดธายจากภาษากรีกเป็นภาษารัสเซีย. นอกจากนี้ก็ยังมีพระธรรมภาคภาษากรีกเล่มอื่น ๆ ด้วยที่ได้มีการแปลเป็นภาษารัสเซีย และพาฟสกีเป็นบรรณาธิการ. ได้มีการจำหน่ายจ่ายแจกฉบับแปลเหล่านี้ไปอย่างกว้างขวางจนกระทั่งในปี 1826 พระเจ้าซาร์ซึ่งถูกชักนำโดยการดำเนินการอย่างแยบยลของคณะสงฆ์ ได้ออกคำสั่งให้สมาคมคัมภีร์ไบเบิลแห่งรัสเซียอยู่ภายใต้การดูแลของ “โฮลี ไซนอด” แห่งคริสตจักรรัสเซียนออร์โทด็อกซ์ ซึ่งนับแต่นั้นไปก็ได้ขัดขวางการดำเนินงานของสมาคมคัมภีร์ไบเบิลแห่งรัสเซีย. ต่อมา พาฟสกีแปลพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูจากภาษาฮีบรูเป็นภาษารัสเซีย. ประมาณเวลาเดียวกันนั้น มาคาริออส นักบวชซึ่งมีตำแหน่งรองจากบิชอปแห่งคริสตจักรออร์โทด็อกซ์ ก็ได้แปลพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูจากภาษาฮีบรูเป็นภาษารัสเซียด้วยเช่นกัน. ทั้งสองถูกลงโทษเนื่องด้วยความพากเพียรเช่นนั้น และงานแปลของทั้งสองถูกยึดเอาไปเก็บไว้ ณ ที่เก็บเอกสารสำคัญของคริสตจักร. คริสตจักรตั้งใจจะให้มีคัมภีร์ไบเบิลเฉพาะในภาษาสลาโวนิกโบราณ ซึ่งในเวลานั้นสามัญชนทั่วไปไม่มีใครอ่านหรือเข้าใจภาษานี้ได้. ต่อเมื่อไม่สามารถปิดกั้นความพยายามของประชาชนที่ต้องการรับความรู้จากคัมภีร์ไบเบิลได้อีกต่อไป ในปี 1856 “โฮลี ไซนอด” จึงได้จัดทำฉบับแปลของตนเอง โดยอิงแนวนโยบายซึ่งวางเอาไว้อย่างระมัดระวังเพื่อทำให้แน่ใจว่าถ้อยคำที่ใช้จะสอดคล้องลงรอยกับความคิดเห็นของคริสตจักร. ฉะนั้น ในเรื่องการเผยแพร่กระจายพระคำของพระเจ้า เห็นได้ชัดถึงความไม่สอดคล้องต้องกันระหว่างการปรากฏภายนอกของพวกผู้นำทางศาสนากับเจตนารมณ์ที่แท้จริงของพวกเขา เช่นที่คำพูดและการกระทำของพวกเขาเผยให้เห็น.—2 เธซะโลนิเก 2:3, 4.
การป้องกันพระคำไว้จากความเสื่อม
9. ผู้แปลคัมภีร์ไบเบิลบางคนแสดงให้เห็นความรักที่มีต่อพระคำของพระเจ้าอย่างไร?
9 ในบรรดาคนที่แปลและคัดลอกสำเนาพระคัมภีร์ มีหลายคนที่รักพระคำของพระเจ้าอย่างแท้จริง และพยายามอย่างจริงจังเพื่อทำให้ทุกคนมีโอกาสได้อ่านคัมภีร์ไบเบิล. วิลเลียม ทินเดล ถูกประหารชีวิต (ในปี 1536) ด้วยเหตุที่เขาได้ทำให้คัมภีร์ไบเบิลมีอ่านกันในภาษาอังกฤษ. ฟรันซิสโก เดอ เอนซินาส ถูกจำคุกโดยศาลศาสนาแห่งคาทอลิก (หลังปี 1544) เพราะการแปลและจัดพิมพ์พระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกเป็นภาษาสเปน. ด้วยการเสี่ยงชีวิตตัวเอง โรเบิร์ต มอร์ริสัน (1807-1818) แปลคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาจีน.
10. ตัวอย่างอะไรแสดงว่ามีผู้แปลที่ถูกโน้มนำโดยอิทธิพลที่ไม่ใช่ความรักต่อพระคำของพระเจ้า?
10 อย่างไรก็ตาม บางครั้งมีสิ่งอื่นซึ่งไม่ใช่ความรักต่อพระคำของพระเจ้าเข้ามามีอิทธิพลต่องานของนักคัดสำเนาและนักแปล. ขอให้พิจารณาสี่ตัวอย่างต่อไปนี้: (1) ชาวซะมาเรียสร้างวิหารขึ้นที่ภูเขาฆะรีซีมเพื่อเป็นคู่แข่งกับพระวิหารในกรุงยะรูซาเลม. เพื่อสนับสนุนการทำเช่นนี้ ได้มีการสอดแทรกข้อความในเพนทาทุกของชาวซะมาเรียที่เอ็กโซโด 20:17. มีการเพิ่มข้อความซึ่งเป็นคำสั่งให้สร้างแท่นทำด้วยหินที่ภูเขาฆะรีซีมและให้ถวายเครื่องบูชาที่นั่น ราวกับว่าข้อความนี้เป็นส่วนหนึ่งของพระบัญญัติสิบประการ. (2) ผู้แปลคนแรกที่ได้แปลพระธรรมดานิเอลในฉบับแปลกรีกเซปตัวจินต์ ได้แหกกฎเกณฑ์การแปล. เขาแทรกข้อความที่เขาคิดว่าคงจะช่วยอธิบายหรือเสริมเนื้อความภาษาฮีบรู. เขาละรายละเอียดที่เขาคิดว่าผู้อ่านคงไม่อาจยอมรับได้. เมื่อเขาแปลคำพยากรณ์ที่เกี่ยวกับเวลาแห่งการปรากฏของมาซีฮาซึ่งอยู่ในดานิเอล 9:24-27 เขาแก้ช่วงเวลาที่มีกล่าวถึงที่นั่นและเพิ่ม, เปลี่ยน, และสับเปลี่ยนที่คำต่าง ๆ ดูเหมือนว่าตั้งใจจะทำให้คำพยากรณ์นี้สนับสนุนการต่อสู้ของพวกมักคะบี. (3) ในศตวรรษที่สี่ ส.ศ. ในบทวิเคราะห์ลาตินเล่มหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าผู้สนับสนุนที่ร้อนรนเกินเหตุของลัทธิตรีเอกานุภาพได้รวมเอาวลีที่ว่า “ในสวรรค์ พระบิดา, พระคำ, และพระวิญญาณบริสุทธิ์; และทั้งสามเป็นหนึ่งเดียว” เข้าไว้ด้วย ราวกับว่าคำพูดดังกล่าวยกมาจาก 1 โยฮัน 5:7. ต่อมา ถ้อยคำท่อนนี้ถูกรวมเข้าไปในเนื้อความของฉบับสำเนาคัมภีร์ไบเบิลภาษาลาติน. (4) กษัตริย์หลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส (1610-1643) ได้อนุญาตให้ชาก คอร์แบงแปลคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาฝรั่งเศส เพื่อถ่วงดุลความพยายามของพวกโปรเตสแตนต์. ด้วยความมุ่งหมายดังกล่าว คอร์แบงจึงได้แทรกข้อความบางอย่างลงไป ซึ่งก็รวมทั้งการพาดพิงถึง “การถวายบูชาอันบริสุทธิ์แห่งมิสซา” ที่กิจการ 13:2.
11. (ก) โดยวิธีใดพระคำของพระเจ้าอยู่รอดต่อไปได้แม้มีความไม่ซื่อสัตย์ของผู้แปลบางคน? (ข) มีหลักฐานเป็นฉบับสำเนาโบราณมากเพียงใดเพื่อพิสูจน์สิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้แต่แรก? (ดูกรอบ.)
11 พระยะโฮวามิได้ทรงขัดขวางการพยายามแก้พระคำของพระองค์ แต่การกระทำเช่นนั้นก็หาได้ทำให้พระประสงค์ของพระองค์เปลี่ยนไปไม่. การกระทำดังกล่าวก่อผลอะไรบ้าง? การเพิ่มข้อความที่กล่าวถึงภูเขาฆะรีซีมไม่ได้ทำให้ศาสนาของชาวซะมาเรียกลายเป็นเครื่องมือที่พระเจ้าทรงใช้เพื่ออวยพรมนุษยชาติ. แทนที่จะเป็นดังกล่าว การทำเช่นนั้นให้หลักฐานว่าแม้ศาสนาของชาวซะมาเรียอ้างว่าเชื่อเพนทาทุก แต่ไม่อาจเชื่อถือได้ว่าศาสนานี้สอนความจริง. (โยฮัน 4:20-24) การบิดเบือนคำในฉบับแปลเซปตัวจินต์ ไม่อาจยับยั้งมาซีฮาไว้จากการเสด็จมาตามเวลาซึ่งได้บอกไว้ล่วงหน้าทางผู้พยากรณ์ดานิเอล. ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าฉบับแปลเซปตัวจินต์ มีใช้กันในศตวรรษแรก แต่ก็มีหลักฐานที่แสดงว่าชาวยิวคุ้นเคยกับการฟังการอ่านพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูในธรรมศาลาของพวกเขา. ผลคือ “คนทั้งหลายกำลังมุ่งคอยพระคริสต์อยู่” ในขณะที่ใกล้ถึงเวลาที่คำพยากรณ์จะสำเร็จเป็นจริง. (ลูกา 3:15) สำหรับการแทรกข้อความที่ 1 โยฮัน 5:7 เพื่อสนับสนุนตรีเอกานุภาพ และที่กิจการ 13:2 เพื่อทำให้พิธีมิสซากลายเป็นเรื่องถูกต้อง การทำเช่นนี้ไม่ได้ทำให้ความจริงเปลี่ยนไปแต่อย่างใด. และในที่สุดการหลอกลวงก็ถูกเปิดโปงอย่างหมดเปลือก. ฉบับสำเนาภาษาเดิมของคัมภีร์ไบเบิลซึ่งมีอยู่มากมายเป็นแหล่งที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของฉบับแปลใด ๆ ก็ตาม.
12. (ก) ผู้แปลคัมภีร์ไบเบิลบางคนได้ทำการเปลี่ยนแปลงอันร้ายกาจอะไร? (ข) การเปลี่ยนนี้ทำกันอย่างกว้างขวางเพียงไร?
12 ความพยายามอื่น ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงพระคัมภีร์นั้นไม่ใช่แค่เรื่องการเปลี่ยนถ้อยคำไม่กี่ประโยคเท่านั้น. ความพยายามเหล่านี้เป็นการโจมตีต่อเอกลักษณ์ของพระเจ้าองค์เที่ยงแท้เลยทีเดียว. ลักษณะและขอบเขตของการเปลี่ยนแปลงนั้นแหละที่ให้หลักฐานชัดเจนถึงอิทธิพลจากแหล่งอันมีพลังยิ่งกว่าปัจเจกบุคคลหรือองค์การของมนุษย์ใด ๆ—ถูกแล้ว เป็นอิทธิพลจากซาตานพญามาร ศัตรูตัวสำคัญของพระยะโฮวา. โดยที่ยอมตัวอยู่ใต้อิทธิพลนั้น ผู้แปลและนักคัดสำเนาบางคนได้เริ่มตัดพระนามเฉพาะของพระเจ้าคือยะโฮวาในหลายพันแห่งที่พระนามนี้ปรากฏในพระคำซึ่งมีขึ้นโดยการดลใจ—บ้างก็ทำอย่างร้อนรน บางคนทำด้วยความจำยอม. เป็นเวลานานมาแล้วที่ฉบับแปลบางฉบับจากภาษาฮีบรูเป็นภาษากรีก, ลาติน, เยอรมัน, อังกฤษ, อิตาลี, และดัตช์ และฉบับแปลอื่น ๆ อีก ได้ตัดพระนามของพระเจ้าทั้งหมดหรือเหลือไว้เพียงไม่กี่แห่ง. นอกจากนี้ พระนามของพระเจ้ายังถูกตัดออกจากฉบับแปลของพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกด้วย.
13. เหตุใดความพยายามอย่างมากมายที่จะเปลี่ยนแปลงคัมภีร์ไบเบิลไม่ทำให้พระนามของพระเจ้าถูกลบไปจากความทรงจำของมนุษย์?
13 กระนั้น พระนามอันทรงสง่าราศีหาได้ถูกลบไปจากความทรงจำของมนุษย์ไม่. ฉบับแปลของพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูซึ่งแปลเป็นภาษาสเปน, โปรตุเกส, เยอรมัน, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, และภาษาอื่น ๆ อีกมากมาย ได้ลงพระนามเฉพาะของพระเจ้าในพระคัมภีร์อย่างซื่อสัตย์. เมื่อถึงศตวรรษที่ 16 พระนามเฉพาะของพระเจ้าเริ่มปรากฏอีกครั้งหนึ่งในฉบับแปลภาษาฮีบรูของพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก; เมื่อถึงศตวรรษที่ 18 ก็เป็นเช่นนั้นในภาษาเยอรมัน; ในศตวรรษที่ 19 ในภาษาโครเอเชียและอังกฤษ. แม้ว่าผู้คนอาจพยายามปิดซ่อนพระนามของพระเจ้า แต่เมื่อ “วันของพระยะโฮวา” มาถึง ตอนนั้นจะเป็นดังที่พระเจ้าทรงประกาศไว้ที่ว่า ‘ประเทศทั้งหลายจะได้รู้ว่าเราคือยะโฮวา.’ พระประสงค์ของพระเจ้าซึ่งมีการประกาศออกไปแล้วจะไม่ล้มเหลว.—2 เปโตร 3:10; ยะเอศเคล 38:23; ยะซายา 11:9; 55:11.
ข่าวสารไปถึงทั่วโลก
14. (ก) เมื่อถึงศตวรรษที่ 20 มีการพิมพ์คัมภีร์ไบเบิลแล้วในภาษาต่าง ๆ ของยุโรปกี่ภาษา และมีผลเช่นไร? (ข) ตอนสิ้นปี 1914 คัมภีร์ไบเบิลมีออกมากี่ภาษาในทวีปแอฟริกา?
14 เมื่อถึงอรุณรุ่งแห่งศตวรรษที่ 20 คัมภีร์ไบเบิลก็ได้รับการตีพิมพ์ไปแล้วใน 94 ภาษาของยุโรป. คัมภีร์ไบเบิลได้ช่วยทำให้กลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลในส่วนนั้นของโลกตื่นตัวต่อข้อเท็จจริงที่ว่า เหตุการณ์เขย่าโลกจะเกิดขึ้นพร้อมกับการสิ้นสุดลงแห่งเวลาของคนต่างประเทศในปี 1914 และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ! (ลูกา 21:24) ก่อนที่จะสิ้นปี 1914 ซึ่งได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นมา คัมภีร์ไบเบิลทั้งฉบับครบชุดและบางส่วนของพระคัมภีร์ก็ได้รับการพิมพ์ใน 157 ภาษาของแอฟริกา นอกเหนือไปจากภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส, และโปรตุเกส ซึ่งใช้กันอยู่อย่างกว้างขวาง. โดยวิธีนี้ จึงได้มีการวางรากฐานไว้สำหรับการสอนความจริงแห่งคัมภีร์ไบเบิลซึ่งทำให้คนที่มีใจถ่อมในหลายเผ่าชนและกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นอิสระทางฝ่ายวิญญาณ.
15. ขณะที่สมัยสุดท้ายเริ่มต้น คัมภีร์ไบเบิลหาได้ในภาษาต่าง ๆ ของผู้คนในทวีปอเมริกากว้างขวางขนาดไหน?
15 ขณะที่โลกเข้าสู่สมัยสุดท้ายตามคำพยากรณ์ คัมภีร์ไบเบิลก็หาได้ทั่วไปในทวีปอเมริกา. ผู้อพยพจากยุโรปได้นำคัมภีร์ไบเบิลในภาษาต่าง ๆ ของพวกเขาติดตัวมาด้วย. แผนงานการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างกว้างขวางดำเนินไป พร้อมกับคำปาฐกถาต่อสาธารณชนและการทำงานอย่างขันแข็งในการจำหน่ายจ่ายแจกสรรพหนังสืออธิบายคัมภีร์ไบเบิลซึ่งจัดพิมพ์โดยนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลนานาชาติ ชื่อที่พยานพระยะโฮวาเป็นที่รู้จักกันในเวลานั้น. นอกจากนั้น สมาคมคัมภีร์ไบเบิลก็ได้พิมพ์คัมภีร์ไบเบิลอยู่แล้วในภาษาอื่นอีก 57 ภาษา เพื่อสนองความต้องการของประชากรในท้องถิ่นต่าง ๆ แห่งซีกโลกตะวันตก.
16, 17. (ก) คัมภีร์ไบเบิลมีอยู่อย่างแพร่หลายขนาดไหนเมื่อได้เวลาสำหรับการประกาศไปทั่วโลก? (ข) คัมภีร์ไบเบิลได้รับการพิสูจน์อย่างแท้จริงเช่นไรว่าเป็นหนังสือที่คงทนถาวรและสร้างผลกระทบมากมาย?
16 เมื่อได้เวลาสำหรับการประกาศข่าวดีออกไปทั่วโลกก่อน “อวสานจะมาถึง” คัมภีร์ไบเบิลหาได้เป็นสิ่งแปลกใหม่เลยสำหรับชาวเอเชียและผู้ที่อยู่ในหมู่เกาะต่าง ๆ แห่งมหาสมุทรแปซิฟิก. (มัดธาย 24:14, ล.ม.) คัมภีร์ไบเบิลได้รับการจัดพิมพ์แล้วในภาษาต่าง ๆ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะของส่วนนี้ของโลกถึง 232 ภาษา. บ้างก็เป็นคัมภีร์ไบเบิลครบชุด; หลายภาษาเป็นฉบับแปลของพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก; บางภาษาเป็นพระธรรมเล่มใดเล่มหนึ่งของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์.
17 เห็นได้ชัดทีเดียว คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้ยืนยงจนถึงปัจจุบันโดยเป็นเพียงแค่หนังสือซึ่งอยู่ในพิพิธภัณฑสถาน. ในบรรดาหนังสือที่มีอยู่ทั้งหมด คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ได้รับการแปลมากที่สุดและได้รับการจำหน่ายจ่ายแจกอย่างกว้างขวางที่สุด. ตรงกันกับหลักฐานเหล่านี้ซึ่งแสดงว่าหนังสือเล่มนี้ได้รับความพอพระทัยจากพระเจ้า สิ่งซึ่งบันทึกในหนังสือนี้กำลังจะสำเร็จเป็นจริง. คำสอนของคัมภีร์ไบเบิลและพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่หนุนหลังอยู่กำลังมีผลอย่างต่อเนื่องต่อชีวิตของผู้คนในหลายดินแดน. (1 เปโตร 1:24, 25) แต่ไม่ได้มีเพียงแค่นี้—ยังมีอีกมากที่จะตามมา.
คุณจำได้ไหม?
▫ “พระดำรัสของพระเจ้าของเรา” ซึ่งยั่งยืนอยู่เป็นนิจได้แก่อะไร?
▫ ได้มีความพยายามทำอะไรบ้างเพื่อกำจัดคัมภีร์ไบเบิล และผลเป็นเช่นไร?
▫ ความครบถ้วนและความบริสุทธิ์ของคัมภีร์ไบเบิลได้รับการปกปักรักษาไว้อย่างไร?
▫ คำแถลงซึ่งแสดงพระประสงค์ของพระเจ้าได้รับการพิสูจน์อย่างไรว่าเป็นพระดำรัสอันมีชีวิตอยู่?
[กรอบหน้า 12]
เรารู้จริง ๆ ไหมว่าคัมภีร์ไบเบิลกล่าวเอาไว้แต่แรกเช่นไร?
มีฉบับสำเนาภาษาฮีบรูซึ่งเขียนด้วยมือประมาณ 6,000 ฉบับที่ยืนยันเนื้อหาของพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู. บางฉบับในจำนวนนี้มีอายุย้อนไปถึงก่อนยุคคริสเตียน. ฉบับสำเนาของพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูครบชุดยังมีอยู่อย่างน้อย 19 ฉบับซึ่งมีอายุย้อนไปถึงช่วงเวลาก่อนที่จะมีการคิดค้นวิธีการพิมพ์ด้วยตัวเรียงพิมพ์. นอกจากนี้ จากช่วงเวลาเดียวกันนั้น มีฉบับแปลที่ได้รับการแปลออกเป็นภาษาอื่นอีก 28 ภาษา.
สำหรับพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก มีฉบับสำเนาภาษากรีกประมาณ 5,000 ฉบับที่ได้รับการรวบรวมทำเป็นบัญชีรายชื่อ. ฉบับหนึ่งในจำนวนดังกล่าวมีอายุย้อนไปถึงก่อนปี ส.ศ. 125 ฉะนั้น จึงเขียนขึ้นหลังจากเขียนต้นฉบับได้เพียงไม่กี่ปี. และมีชิ้นส่วนบางชิ้นซึ่งเข้าใจกันว่ามีอายุเก่าแก่กว่านั้นอีกมาก. จากทั้งหมด 27 พระธรรมที่มีขึ้นโดยการดลใจ มี 22 พระธรรมที่มีสำเนาครบชุด 10 ถึง 19 ฉบับ เขียนด้วยตัวอักขระพิเศษ. เมื่อเทียบกับพระธรรมอื่น ๆ พระธรรมวิวรณ์มีฉบับสำเนาครบชุดซึ่งเขียนด้วยอักขระพิเศษจำนวนน้อยที่สุดแต่ก็ยังมีถึงสามฉบับ. ฉบับสำเนาของพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกครบชุดฉบับหนึ่งมีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่สี่แห่งสากลศักราช.
ไม่มีวรรณคดีโบราณอื่นใดที่ได้รับการยืนยันด้วยหลักฐานเป็นเอกสารโบราณอย่างมากมายท่วมท้นถึงขนาดนี้.