การติดสนิทอยู่กับองค์การของพระเจ้า
เล่าโดย รอย เอ. ไรอัน
แซนด์ฮิลล์ รัฐมิสซูรี นับว่าเป็นชื่อที่เหมาะเจาะ เนื่องจากหมู่บ้านนั้นมีขนาดใหญ่กว่าเนินทรายขนาดใหญ่เล็กน้อยในที่โล่งแจ้งตามบ้านนอก. หมู่บ้านบนทางแยกนี้ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองรัทลีจห้ากิโลเมตร และมีบ้านอยู่เพียงแปดหรือเก้าหลัง โบสถ์เมธอดิสต์ และร้านช่างตีเหล็กเล็ก ๆ. ผมเกิดที่นั่นในวันที่ 25 ตุลาคม 1900.
คุณพ่อของผมเป็นช่างตีเหล็กในหมู่บ้าน. ถึงแม้คุณพ่อคุณแม่ผมไม่ค่อยไปโบสถ์บ่อยนัก คุณแม่ก็เริ่มส่งผมไปโรงเรียนรวีวารศึกษาที่โบสถ์เมธอดิสต์. ผมไม่ชอบชื่อเมธอดิสต์ โดยเข้าใจว่าคนเราน่าจะถูกเรียกว่าเป็นคริสเตียน ถึงกระนั้น ผมได้พัฒนาความกระหายต่อสัจธรรมในพระคัมภีร์และความสนใจในชีวิตถาวร.
เมื่อผมอายุ 16 ปี ผมไปทำงานกับการรถไฟซันตาเฟ. นักศึกษาพระคัมภีร์นานาชาติ (เป็นชื่อที่เรียกพยานพระยะโฮวาในสมัยนั้น) คนหนึ่งชื่อจิมมาทำงานอยู่ในกลุ่มคนงานสร้างทางรถไฟของเรา และเขากับผมทำงานด้วยกันบ่อย ๆ. จิมพูด และผมฟังสิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับพระคัมภีร์. ฟังดูแล้วดีสำหรับผม ดังนั้น ผมจึงถามว่าผมจะยืมหนังสือของเขาสักเล่มหนึ่งได้ไหม?
จิมให้ผมยืมหนังสือเล่มแรกของชุดสตัดดีส์ อิน เดอะ สคริพเจอร์ จัดพิมพ์โดย ซี.ที. รัสเซลล์ แห่งสมาคมนักศึกษาพระคัมภีร์นานาชาติ. เมื่อผมเอาหนังสือนั้นไปคืน ผมได้ขอเขาเอาเล่มอื่น ๆ ให้ผมอีก. ไม่นานหลังจากนั้นจิมได้ออกจากการรถไฟ และเวลาต่อมาผมพบเขาอยู่บนถนนในเมืองรัทลีจ รับใบสั่งซื้อหนังสือที่มีภาพประกอบชื่อ ซีนนาริโอ อ็อฟ เดอะ โฟโต-ดรามา อ็อฟ ครีเอชัน. ภายหลังเขาเชิญผมไปยังการประชุมเป็นกลุ่มซึ่งจัดขึ้นในบ้านของเขา. ทุกวันอาทิตย์ ผมเดินห้ากิโลเมตรเข้าไปยังเมืองรัทลีจ เพื่อร่วมการประชุม.
เมื่อมีการออกวารสาร โกลเดน เอจ (ตื่นเถิด ในปัจจุบัน) ในปี 1919 ผมต้องการเริ่มในงานรับใช้ตามบ้าน. นักศึกษาพระคัมภีร์ใหม่อีกคนหนึ่งกับผมตั้งใจที่จะจำหน่ายจ่ายแจกวารสารใหม่เล่มนี้ตามบ้านเรือน. เราออกจะรู้สึกเขินอายในการไปเยี่ยมผู้คนในละแวกบ้านเกิดของเรา ดังนั้น เราจึงขึ้นรถไฟไปยังเมืองใกล้ ๆ. เมื่อเรามาถึงในตอนเช้า เราแต่ละคนไปตามทางของเราเองและเคาะประตูบ้านจนกระทั่งบ่าย ถึงแม้เราไม่ได้รับการอบรมในงานนี้. ผมได้ใบสั่งการบอกรับสองราย หนึ่งรายจากชายคนหนึ่งที่ผมทำงานด้วยในการรถไฟ.
ในวันที่ 10 ตุลาคม 1920 ผมได้รับบัพติสมาในสระน้ำใกล้ ๆ เมืองรัทลีจ. พ่อแม่ของผมต่อต้านการที่ผมเข้าพัวพันกับนักศึกษาพระคัมภีร์นานาชาติ. ทั้งนี้เนื่องจากการต่อต้านขัดขวางที่นักเทศน์ได้ปลุกเร้าซึ่งพวกนักศึกษาพระคัมภีร์ได้ประสบระหว่างปีที่มีสงคราม 1914-1918. อย่างไรก็ดี ต่อมา คุณพ่อของผมเริ่มเข้าร่วมการประชุมของนักศึกษาพระคัมภีร์บางรายการ และท่านอ่าน เดอะ โกลเดน เอจ ด้วย. ก่อนคุณแม่เสียชีวิต ท่านเห็นดีเห็นชอบมากขึ้นกับความเข้าใจของเราเรื่องสัจธรรมในพระคัมภีร์. กระนั้น ก็ไม่มีสักคนเดียวในครอบครัวของผมเคยทำให้สัจธรรมนี้เป็นของเขาเอง.
เวลาแห่งการทดลอง
ในยุคแรก ๆ นั้นมีเพียงสามคนเท่านั้นนอกจากผมซึ่งเข้าร่วมการประชุมเพื่อศึกษาพระคัมภีร์เป็นประจำในเมืองรัทลีจ. ในที่สุด สามคนนี้ได้ออกจากองค์การ. คนหนึ่งเป็นผู้บรรยายที่ดีเยี่ยม ผู้ซึ่งจะเสนอคำบรรยายสาธารณะในบริเวณนั้น. อย่างไรก็ดี เขากลับทะนงในความสามารถของเขาและรู้สึกว่าเป็นการเสื่อมเสียศักดิ์ศรีของเขาที่จะมีส่วนในการประกาศตามบ้านเช่นเดียวกับที่คริสเตียนรุ่นแรกได้กระทำ.—กิจการ 5:42; 20:20.
เมื่อสามคนนี้เลิกคบหากับนักศึกษาพระคัมภีร์นานาชาติ ผมรู้สึกเช่นเดียวกับอัครสาวกเปโตรในคราวที่พระเยซูตรัสแก่ประชาชนในเรื่อง ‘การกินเนื้อของพระเยซูและการดื่มโลหิตของพระองค์.’ เพราะสะดุดเนื่องจากคำสอนของพระองค์ หลายคนได้ละทิ้งพระองค์ในโอกาสนั้น. คราวนั้น พระเยซูตรัสถามพวกอัครสาวกว่า “เจ้าทั้งหลายไม่ต้องการจะไปด้วย ใช่ไหม?” เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพเจ้าจะจากไปหาผู้ใดเล่า? พระองค์ทรงมีถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์.”—โยฮัน 6:67, 68, ล.ม.
ถึงแม้เปโตรมิได้เข้าใจอย่างเต็มที่ว่าพระเยซูทรงหมายความประการใดโดยคำตรัสที่ว่า ‘กินเนื้อของพระเยซูและดื่มโลหิตพระองค์’ ก็ตาม ท่านได้สำนึกว่าพระเยซูทรงมีถ้อยคำแห่งชีวิต. ผมรู้สึกอย่างนั้นแหละเกี่ยวกับองค์การ. องค์การมีสัจธรรมถึงแม้ผมไม่เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมอ่านในหนังสืออย่างเต็มที่เสมอไป. กระนั้น เมื่อใดก็ตามที่ผมไม่เข้าใจอะไรบางอย่างที่กล่าวไว้นั้น ผมไม่เคยโต้แย้งเรื่องนั้นเลย. ต่อมา มีการทำให้เรื่องนั้นกระจ่างแจ้ง หรือมีการแก้ไขทัศนะให้ถูกต้องเป็นบางครั้ง. ผมรู้สึกยินดีเสมอที่ผมอดใจรอการอธิบายให้แจ่มแจ้ง.—สุภาษิต 4:18.
การปรับตัวเพื่อเป็นไพโอเนียร์
ในเดือนกรกฎาคม 1924 ผมได้เข้าร่วมการประชุมนานาชาติในโคลัมบัส โอไฮโอ. เดอะ โกลเดน เอจ พรรณนาการประชุมนั้นว่าเป็น “การประชุมใหญ่ที่สุดของนักศึกษาพระคัมภีร์เท่าที่เคยจัดขึ้น.” ณ ที่นั่นมีการรับรองมติที่เร้าใจเรื่อง “การฟ้องร้อง.” ความรู้ที่ได้รับและน้ำใจที่มีการสำแดงออก ณ การประชุมนั้นสนับสนุนผมให้เป็นผู้รับใช้เต็มเวลา หรือไพโอเนียร์.
เมื่อกลับจากการประชุมใหญ่ ผมลาออกจากงานของการรถไฟ และเพื่อนนักศึกษาพระคัมภีร์กับผมเริ่มรับใช้ฐานะไพโอเนียร์ด้วยกัน. อย่างไรก็ดี หลังจากราว ๆ หนึ่งปี สุขภาพของคุณพ่อคุณแม่ผมเสื่อมลงจนถึงขีดที่ท่านต้องการความช่วยเหลือจากผม. ผมหยุดการเป็นไพโอเนียร์ แล้วทำงานกับบริษัทท่อน้ำมัน แต่เนื่องจากผู้คนที่ทำงานที่นั่นไม่ได้เป็นอิทธิพลในทางดี ผมจึงออกจากงานนั้น แล้วเข้าสู่ธุรกิจเลี้ยงผึ้งและขายน้ำผึ้ง.
พอฤดูใบไม้ร่วงปี 1933 คุณพ่อคุณแม่ของผมเสียชีวิตแล้วทั้งคู่ ทำให้ผมหมดภาระ. ดังนั้น ในฤดูใบไม้ผลิของปี 1934 ผมจึงมอบผึ้งของผมไว้ในความดูแลของคนอื่น สร้างรถพ่วงคันเล็ก ๆ เพื่ออาศัยอยู่ แล้วเริ่มในงานรับใช้เต็มเวลาอีกครั้งฐานะเป็นไพโอเนียร์. ทีแรกผมทำงานกับพยานฯ สูงอายุคนหนึ่งในบริเวณใกล้เคียงเมืองควินซี รัฐอิลลินอยส์. ต่อมาผมย้ายกลับไปยังมิสซูรี ที่ผมร่วมสมทบกับกลุ่มไพโอเนียร์.
ในปี 1935 มีความแห้งแล้งอย่างแสนสาหัสในตะวันตกกลาง และเนื่องจากเราทำงานในพื้นที่ที่ทำการเกษตรอย่างเดียว จึงเป็นงานที่ลำบากยากเย็น. ไม่มีใครมีเงิน ดังนั้น บ่อยครั้งผู้คนที่สำนึกถึงบุญคุณมักจะให้เสบียงอาหารหรือสิ่งของอื่น ๆ แก่เรา เมื่อเราให้สรรพหนังสือแก่เขา.
การเป็นไพโอเนียร์ในภาคใต้
ฤดูหนาวนั้นเราได้ย้ายลงไปยังรัฐอาร์แคนซัสเพื่อหนีอากาศอันหนาวเย็น. เราสามารถจำหน่ายจ่ายแจกสรรพหนังสือมากขึ้นในเขตนั้นและได้รับสินค้ากระป๋องทุกอย่างที่เราจะใช้ได้. บ่อยครั้งเรายอมรับสิ่งอื่น ๆ ที่เราสามารถขายเพื่อได้เงิน รวมทั้งภาชนะอะลูมิเนียมเก่า ๆ หม้อน้ำรถยนต์เก่าที่ทำด้วยทองเหลืองหรือทองแดงและแบตเตอรีรถยนต์. ทั้งนี้ทำให้เรามีเงินค่าน้ำมันสำหรับรถฟอร์ดแบบ เอ ของผม ซึ่งเราใช้ในงานรับใช้.
เรารับใช้ในนิวตัน, เซอร์ซี, และคาร์รอล จังหวัดในที่ราบสูงโอซาร์กซึ่งเป็นเขตภูเขา. ประสบการณ์ที่เราได้รับในท่ามกลางชนชาวเขาแห่งอาร์แคนซัสคงจะเอามาเขียนหนังสือได้เป็นเล่ม. เนื่องจากถนนเป็นแบบหยาบ ๆ หรือไม่มีถนนในยุคนั้น เราทำงานส่วนมากโดยการเดินเท้า. ไพโอเนียร์บางคนในกลุ่มของเราเคยขี่ม้าไปเพื่อติดต่อกับประชาชนในแถบที่สูงของภูเขา.
ครั้งหนึ่งเราได้ยินถึงชายที่สนใจคนหนึ่งชื่อแซม ซึ่งในที่สุดเราพบว่าอาศัยอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่ง. เขายินดีต้อนรับเราอย่างกระตือรือร้น และยินดีให้เราค้างคืนด้วย. ถึงแม้ภรรยาของแซมไม่สนใจในข่าวสารของเรา เร็กซ์ลูกชายวัย 16 ปีของเขาสนใจ. เมื่อเราลาจาก แซมเชิญเราให้กลับมาอีก. ดังนั้น สองสัปดาห์ต่อมาเรามาพักกับเขาอีก.
ในการลาจากครั้งที่สอง ภรรยาของแซมนั่นเองที่ได้เชิญเรากลับมาอีก. เธอบอกว่าพวกเรามีผลกระทบในทางดีต่อเร็กซ์. เธอชี้แจงว่า “เขาเป็นเด็กที่แย่มากใช้คำพูดหยาบคาย และดิฉันคิดว่าเขาไม่พูดหยาบคายมากเหมือนแต่ก่อน ตั้งแต่พวกคุณอยู่ที่นี่.” หลายปีต่อมา ผมได้พบเร็กซ์อีกครั้งเมื่อเขาเข้าโรงเรียนมิชชันนารีกิเลียดในเซาธ์แลนซิง, นิวยอร์ก. ประสบการณ์เช่นว่านี้นำความอิ่มอกอิ่มใจมากมายมาให้ผมตลอดหลายปี.
การรับใช้ที่เบเธล
เมื่อผมสมัครเป็นไพโอเนียร์ ผมได้สมัครที่จะรับใช้ ณ สำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาในนิวยอร์กที่เรียกว่าเบเธลด้วย. ในฤดูใบไม้ผลิแห่งปี 1935 ผมได้รับการแจ้งให้ทราบว่าใบสมัครของผมเป็นที่ยอมรับและผมต้องไปรายงานตัวที่ฟาร์มราชอาณาจักรของสมาคมวอชเทาเวอร์ในเซาธ์แลนซิง, นิวยอร์ก เพื่อเริ่มการรับใช้ของผมที่เบเธล. ผมได้จัดการทันทีเพื่อให้เพื่อนพยานฯ รับช่วงรถพ่วงไพโอเนียร์ของผม.
ผมขับรถไปนิวยอร์ก ด้วยฟอร์ด รุ่น เอ ของผม และราว ๆ 10 โมงครึ่งตอนเช้าของวันที่ 3 พฤษภาคม 1935 ผมก็มาถึง. ราว ๆ บ่ายโมง ผมถูกจัดให้ทำงานผ่าไม้. วันรุ่งขึ้นมีการแจ้งให้ผมไปรายงานตัวที่โรงรีดนมเพื่อช่วยรีดนมวัว. ผมได้ทำงานที่โรงรีดนมเป็นเวลาหลายปี บางครั้งรีดนมในตอนเช้าและตอนเย็น และทำงานในสวนและร่วมกับคนงานเก็บเกี่ยวพืชผลในทุ่งนาระหว่างกลางวัน. ผมดูแลผึ้งและเก็บน้ำผึ้งสำหรับครอบครัวเบเธลด้วย. ในปี 1953 ผมถูกย้ายไปยังแผนกทำเนยแข็ง.
หนึ่งในบรรดาคนเหล่านั้นที่มีผลกระทบต่อชีวิตของผมเนื่องจากตัวอย่างอันเยี่ยมยอดของเขาในเรื่องความถ่อมใจ ความภักดี และความเชื่อฟังต่อพระยะโฮวาก็คือ วอลเตอร์ จอห์น “แพพี” ธอร์น. เขาเป็นหนึ่งในนักศึกษาพระคัมภีร์ 21 คนที่ถูกแต่งตั้งในปี 1894 ให้เป็นผู้เดินทางไปประกาศรุ่นแรก—คนที่ทำงานคล้ายกับผู้ดูแลหมวดในปัจจุบัน—ไปเยี่ยมหลายประชาคมเพื่อหนุนกำลังใจพวกเขา. หลังจากหลายปีในงานเดินทาง บราเดอร์ธอร์นมายังฟาร์มราชอาณาจักร แล้วทำงานในโรงเลี้ยงไก่. หลายโอกาส ผมได้ยินเขาพูดว่า “เมื่อใดก็ตามที่ผมคิดถึงตัวเองมากไป ผมพาตัวเองไปอยู่ที่มุมหนึ่ง แล้วพูดว่า ‘เจ้าผงธุลีกระจ้อยร่อย. เจ้ามีอะไรหรือที่จะอวดดี?’”
บุรุษที่เจียมตัวซึ่งมีความถ่อมใจอีกผู้หนึ่งซึ่งกลายเป็นแบบฉบับที่มีบทบาทต่อผมก็คือ จอห์น บูธ ปัจจุบันเป็นสมาชิกคนหนึ่งในคณะกรรมการปกครองแห่งพยานพระยะโฮวา. ท่านถูกยกมากล่าวตลอดหลายปีที่พูดว่า “คุณรับใช้ที่ไหนนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่คุณรับใช้ผู้ใดนั้นแหละสำคัญจริง ๆ.” คำกล่าวง่าย ๆ แต่ทว่าเป็นจริงสักเพียงไร! การรับใช้พระยะโฮวานับว่าเป็นสิทธิพิเศษใหญ่ยิ่ง.
ส่วนเด่นอย่างหนึ่งในการรับใช้ของผมที่เบเธลก็คือการเปิดโรงเรียนมิชชันนารีกิเลียดที่ฟาร์มราชอาณาจักรในปี 1943. การคบหากับพวกไพโอเนียร์จากหลาย ๆ ส่วนของโลกนับว่าน่าตื่นเต้นจริง ๆ. ในสมัยนั้นมีนักเรียนราว ๆ หนึ่งร้อยคนในแต่ละชั้น ดังนั้น ทุก ๆ หกเดือน คนใหม่หนึ่งร้อยคนมายังฟาร์มราชอาณาจักร. การสำเร็จหลักสูตรจะดึงดูดใจผู้คนนับพันมายังสถานอำนวยความสะดวกด้านการศึกษานี้ในพื้นที่ฟาร์มซึ่งเป็นชนบทในรัฐนิวยอร์ก.
การเปลี่ยนงาน
เมื่อโรงเรียนกิเลียดย้ายไปบรุ๊กลินและห้องประชุมใหญ่และอาคารชั้นเรียนที่เซาธ์แลนซิงถูกขายไป โรงรีดนมถูกย้ายไปยังฟาร์มวอชเทาเวอร์ที่วอลคิลล์ นิวยอร์ก. ดังนั้น ในฤดูใบไม้ร่วงของปี 1969 ผมถูกย้ายไปยังฟาร์มที่วอลคิลล์ และทำเนยแข็งต่อไปจนกระทั่งปี 1983. จากนั้นผมได้รับมอบงานใหม่ และผมเริ่มทำงานตกแต่งสวน.
ขณะที่ถูกสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีการถามว่าผมคิดอย่างไรในเรื่องการมอบให้เปลี่ยนงานภายหลัง 30 ปีที่ทำเนยแข็ง. ผมพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เรื่องนั้นไม่ได้ทำให้ผมลำบากใจ เพราะถึงอย่างไรผมก็ไม่ชอบการทำเนยแข็งอยู่แล้ว.” จุดสำคัญคือว่าเราสามารถรับใช้พระยะโฮวาอย่างมีความสุขในงานมอบหมายใด ๆ ได้ หากเรารักษาไว้ซึ่งทัศนะอันถูกต้องและยินยอมอ่อนน้อมอย่างถ่อมใจต่อการชี้นำตามระบอบการของพระเจ้า. ดังนั้น ถึงแม้ผมไม่ชอบการทำเนยแข็งจริง ๆ ผมก็เพลิดเพลินกับงานมอบหมายของผมเพราะมันช่วยครอบครัวเบเธล. หากเรารับใช้พระยะโฮวาพระเจ้าองค์เยี่ยมยอดของเราอย่างซื่อสัตย์และโดยไม่บ่นแล้ว เราก็จะมีความสุขได้ไม่ว่างานมอบหมายของเราจะเป็นอะไรก็ตาม.
ในช่วงบั้นปลายของผม ผมคิดว่าไม่มีสภาพการณ์ไหนจะดีไปว่าการรับใช้ที่เบเธลได้. ผมได้รับการเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี และสามารถกระทำงานมอบหมายของผมต่อไปถึงแม้ผมอายุ 90 ปีแล้ว. บัดนี้เป็นเวลาหลายปีผมมีสิทธิพิเศษรับการผลัดเปลี่ยนเป็นประธานในกำหนดการนมัสการตอนเช้าของครอบครัวเบเธลที่นี่ ณ วอชเทาเวอร์ ฟาร์ม. ขณะที่ผมมีโอกาส ผมสนับสนุนคนใหม่ ๆ ณ เบเธลให้ถือเอาประโยชน์จากสิทธิพิเศษแห่งการรับใช้ทั้งสิ้นที่พวกเขาได้รับและเรียนที่จะอิ่มใจและมีความสุขกับสิทธิพิเศษเหล่านั้น.
ตลอดหลายปี ผมสามารถไปเยือนสถานที่ในต่างประเทศหลายครั้ง—อินเดีย, เนปาล, ตะวันออกไกล, และยุโรป. คำแนะนำต่อไปนี้อาจเป็นการช่วยเหลือแก่คนเหล่านั้นในประชาคมแห่งไพร่พลของพระยะโฮวาตลอดทั่วโลก: จงมีความสุขและอิ่มใจในสภาพการณ์ปัจจุบันของคุณ และเกิดดอกออกผลในทางฝ่ายวิญญาณในดินที่คุณได้รับการปลูกไว้.
ผมได้สมัครใจเลือกที่จะอยู่เป็นโสด เนื่องจากนั่นทำให้ผมสามารถอยู่ในการรับใช้พระเจ้าเรื่อยไปโดยไม่วอกแวก. พระเจ้าองค์ยิ่งใหญ่ของเราได้ทรงประทานความหวังเกี่ยวกับชีวิตถาวร อันเป็นบำเหน็จสำหรับความซื่อสัตย์. สำหรับหลายคน นั่นจะหมายถึงชีวิตที่ไม่สิ้นสุดในบ้านอันเป็นอุทยานบนแผ่นดินโลกนี้. คนอื่น ๆ ในพวกเราคอยท่าชีวิตอันไม่สิ้นสุดในสวรรค์ เอาใจใส่ต่องานมอบหมายใด ๆ ก็ตามที่เราได้รับนั้น.
บางคนคงจะคิดว่าชีวิต 90 ปีของผมยาวนาน มีคุณค่า. ชีวิตของผมมีคุณค่า แต่ทว่าไม่ยาวนานพอ. โดยการแนบสนิทอยู่กับองค์การของพระเจ้าและพระคำแห่งความจริงของพระองค์ เราก็จะยืดชีวิตของเราออกไปตลอดชั่วกัลปาวสานได้.a
[เชิงอรรถ]
a ระหว่างเวลาที่รอย ไรอันกำลังบันทึกประสบการณ์ของเขาอยู่นั้น สุขภาพของเขากลับทรุดลงอย่างกะทันหัน. เขาได้จบชีวิตทางภาคพื้นโลกของเขาในวันที่ 5 กรกฎาคม 1991 ไม่นานหลังจากทำหน้าที่หมุนเวียนปกติของเขาฐานะประธานในการนมัสการตอนเช้า ณ วอชเทาเวอร์ ฟาร์ม.
[รูปภาพของ รอย เอ. ไรอัน หน้า 24]
[รูปภาพหน้า 26]
บราเดอร์ไรอันในวัยหนุ่ม ข้าง ๆ รถฟอร์ด แบบ ที ของเขา