ภาคผนวก
พ่อแม่ถามว่า
“ทำอย่างไรลูกจึงจะพูดคุยกับฉัน?”
“ฉันควรบังคับลูกให้กลับบ้านตามเวลาไหม?”
“ถ้าลูกหมกมุ่นแต่เรื่องไดเอ็ต ฉันจะช่วยเขาได้อย่างไร?”
นี่เป็นตัวอย่างของคำถามทั้งหมด 17 ข้อที่จะได้รับคำตอบในภาคผนวกนี้. เนื้อหาในภาคผนวกถูกแบ่งเป็นหกตอนและมีการอ้างถึงบทต่าง ๆ ในหนังสือคำถามที่หนุ่มสาวถาม—คำตอบที่ได้ผล ทั้งเล่ม 1 และเล่ม 2.
คุณน่าจะอ่านส่วนนี้ แล้วคุยกับคู่ของคุณ. จากนั้น ให้นำสิ่งที่อ่านไปช่วยลูก. คำตอบเหล่านี้เชื่อถือได้เพราะมาจากคัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระเจ้า ไม่ได้มาจากสติปัญญาของมนุษย์ที่ผิดพลาดได้.—2 ติโมเธียว 3:16, 17
290 การพูดคุยกัน
297 การวางกฎเกณฑ์
302 การให้อิสระ
311 ปัญหาทางอารมณ์
การพูดคุยกัน
ถ้าฉันโต้เถียงกับคู่สมรสหรือกับลูกจะมีผลเสียจริง ๆ ไหม?
ในชีวิตสมรส การที่สามีภรรยามีความคิดเห็นขัดแย้งกันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้. แต่คุณเลือกได้ว่าจะจัดการอย่างไร. การที่พ่อแม่โต้เถียงกันมีผลต่อหนุ่มสาวมากทีเดียว. คุณน่าจะใส่ใจเรื่องนี้เพราะลูกจะทำตามตัวอย่างของคุณเมื่อเขาแต่งงาน. ถ้าคุณทั้งสองมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน คุณน่าจะใช้โอกาสนั้นแสดงให้ลูกเห็นว่าควรจัดการกับความขัดแย้งอย่างไร. ลองทำแบบนี้สิ.
ฟัง. คัมภีร์ไบเบิลบอกให้เรา “ไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ.” (ยาโกโบ 1:19) อย่าทำให้เรื่องลุกลามด้วยการ “ทำชั่วตอบแทนชั่ว.” (โรม 12:17) แม้คู่ของคุณจะไม่ยอมฟัง แต่คุณ ก็น่าจะฟัง.
อย่าตำหนิ ให้พยายามอธิบาย. ให้พูดกับคู่ของคุณอย่างใจเย็นว่าสิ่งที่เขาทำมีผลต่อคุณอย่างไร เช่น “ฉันรู้สึกเจ็บเมื่อคุณ . . . ” อย่ากล่าวหาหรือตำหนิเขา เช่น “คุณไม่สนใจฉันเลย.” “คุณไม่เคยฟังฉันเลย.”
พักเรื่องไว้ก่อน. บางครั้งการพักเรื่องไว้และรอให้ทั้งสองคนอารมณ์ดีแล้วค่อยมาคุยกันน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด. คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “การเริ่มทะเลาะกันก็เหมือนการปล่อยให้เขื่อนเริ่มมีรอยรั่ว ดังนั้น จงหยุดเถียงกันก่อนจะเกิดการทะเลาะวิวาท.”—สุภาษิต 17:14, ล.ม.
ต่างคนต่างขอโทษ และอาจขอโทษลูกด้วย. ไบรนี อายุ 14 เล่าว่า “บางครั้งหลังจากพ่อแม่ทะเลาะกัน พวกเขาจะมาขอโทษฉันกับพี่ชายเพราะรู้ว่าพวกเรารู้สึกอย่างไร.” บทเรียนที่มีค่าที่สุดอย่างหนึ่งที่คุณจะสอนลูกได้ก็คือ ยอมถ่อมตัวพูดคำว่า “ขอโทษ.”
แต่ถ้าคุณโต้เถียงกับลูกล่ะจะว่าอย่างไร? ให้คิดดูว่าคุณทำให้ปัญหายิ่งแย่ลงโดยไม่รู้ตัวไหม. ตัวอย่างเช่น ให้ดูฉากเหตุการณ์ในตอนต้นของบท 2 ที่หน้า 15. ลองสังเกตว่าแม่ของเรเชลมีส่วนทำให้เกิดการโต้เถียงอย่างไร. คุณจะเลี่ยงไม่โต้เถียงกับลูกวัยรุ่นได้อย่างไร? ลองดูวิธีต่อไปนี้.
● อย่าพูดเหมาว่า “เธอ . . . ทุกทีเลย” หรือ “เธอไม่เคย . . . ” การพูดแบบนี้มีแต่ยั่วยุให้อีกฝ่ายเถียงกลับ. จริง ๆ แล้วนี่เป็นการพูดเกินจริง ลูกคุณก็รู้. เขายังรู้ด้วยว่า คุณพูดด้วยความโมโห ไม่ใช่เพราะตัวเขาไม่รับผิดชอบ.
● อย่าพูดในเชิงตำหนิ แต่ให้พยายามอธิบายว่าความประพฤติของลูกมีผลต่อคุณอย่างไร. เช่น “พ่อ (แม่) รู้สึก . . . เมื่อลูก . . . ” คุณเชื่อไหมว่าจริง ๆ แล้วลูกก็แคร์คุณ? การให้ลูกวัยรุ่นรู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไรจะทำให้ลูกร่วมมือได้ง่ายขึ้น.a
● อย่าพูดอะไรจนกว่าอารมณ์คุณจะดีขึ้น ถึงแม้จะยากก็ตาม. (สุภาษิต 29:22) ถ้าโต้เถียงกันเรื่องการทำงานบ้าน ก็น่าจะพูดคุยกันให้เข้าใจ. เขียนให้ชัดเจนว่าคุณคาดหมายให้เขาทำอะไรบ้างและถ้าไม่ทำจะได้รับผลอย่างไร. ให้อดทนฟังความคิดเห็นของลูกแม้ว่าคุณจะรู้สึกว่าเขาคิดผิด. วัยรุ่นส่วนใหญ่มักจะยอมฟังคนที่ฟังเขา ไม่ใช่คนที่เทศน์ให้เขาฟัง.
● ก่อนจะตัดสินว่าลูกคุณชอบต่อต้าน ให้จำไว้ว่าสิ่งที่คุณเห็นนั้นเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการตามธรรมชาติของวัยรุ่น. เขาอาจเถียงเพื่อแสดงว่าเขาโตแล้ว. ดังนั้น คุณอย่าไปเถียงตอบ. ให้จำไว้ว่า ลูกวัยรุ่นจะเลียนแบบวิธีที่คุณรับมือกับการยั่วยุ. ถ้าคุณวางตัวอย่างในเรื่องความอดทนและการอดกลั้นไว้นาน ลูกก็จะเลียนแบบคุณ.—กาลาเทีย 5:22, 23
ดูเล่ม 1 บท 2 กับเล่ม 2 บท 24
ลูกควรรู้อดีตของฉันมากแค่ไหน?
ให้นึกภาพว่าคุณกำลังนั่งทานข้าวกับสามี ลูกสาว และเพื่อน ๆ. แล้วระหว่างที่คุยกัน เพื่อนคุณก็พูดถึงแฟนเก่าของคุณที่เลิกกันไปก่อนที่คุณจะเจอกับสามี. ลูกสาวคุณถึงกับตาค้างและเกือบทำช้อนหล่น. เธอถามด้วยความตกใจว่า “แม่เคยมีแฟนมาก่อนเหรอ?” คุณไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ลูกสาวฟัง ตอนนี้เธออยากรู้ คุณจะทำอย่างไร?
ปกติแล้วดีที่สุดที่จะตอบคำถามลูก. การที่เขาถามแล้วคุณตอบจะทำให้พวกคุณได้พูดคุยกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อแม่ส่วนใหญ่ต้องการ.
คุณควรเล่าอดีตของคุณให้ลูกฟังมากน้อยขนาดไหน? แน่นอน คุณคงไม่อยากเล่าเรื่องที่น่าอาย. แต่ถ้าเป็นเรื่องที่พอเล่าได้ การเล่าว่าชีวิตคุณต้องผ่านปัญหาอะไรมาบ้างจะเป็นประโยชน์ต่อลูก. อย่างไรล่ะ?
ให้มาดูตัวอย่าง. ครั้งหนึ่งอัครสาวกเปาโลเปิดเผยว่า “เมื่อข้าพเจ้าอยากทำสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งชั่วก็อยู่ในตัวข้าพเจ้า. . . . ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชเสียจริง!” (โรม 7:21-24) พระยะโฮวาพระเจ้าดลใจให้มีการบันทึกคำพูดนี้ไว้ในคัมภีร์ไบเบิลเพื่อประโยชน์ของเรา. แล้วเราก็ได้ประโยชน์จริง ๆ เพราะเราทุกคนต่างก็เป็นเหมือนเปาโลมิใช่หรือ?
เช่นเดียวกัน เมื่อลูกได้ฟังทั้งเรื่องที่ดีและ ข้อผิดพลาดของคุณ เขาก็จะเข้าใจคุณมากขึ้น. จริงอยู่ คุณกับลูกอยู่กันคนละยุคสมัย. แม้วันเวลาจะเปลี่ยนไป แต่ธรรมชาติของมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนและหลักการในพระคัมภีร์ก็ไม่เปลี่ยนด้วย. (บทเพลงสรรเสริญ 119:144) ถ้าคุณเล่าให้ลูกฟังว่าคุณเคยเจอปัญหาอะไรมาบ้างและคุณเอาชนะปัญหานั้นอย่างไร นั่นจะช่วยลูกให้รับมือกับปัญหาของเขา ได้. หนุ่มที่ชื่อคาเมรอนเล่าว่า “เมื่อผมรู้ว่าพ่อแม่เคยเจอปัญหาแบบเดียวกับผม ผมจึงเข้าใจว่าพ่อแม่ก็เป็นคนธรรมดา ๆ เหมือนผมนี่แหละ. คราวหน้าถ้าผมเจอปัญหาอีก ผมก็อยากรู้ว่าพ่อแม่เคยเจอและเอาชนะปัญหาแบบนี้ มาแล้วไหม.”
ข้อควรระวัง: ทุกครั้งที่เล่าเรื่อง ไม่จำเป็นต้องลงท้ายด้วยการให้คำแนะนำเสมอ. จริงอยู่ คุณอาจกลัวว่าลูกวัยรุ่นจะสรุปเอาเองผิด ๆ หรือถึงกับคิดว่าถ้าพ่อแม่ทำผิดได้เขาก็ทำได้เหมือนกัน. แต่อย่าลงท้ายด้วยการบอกว่าลูกควรทำหรือไม่ควรทำอะไร เช่น “เห็นไหม ลูกอย่า . . . ” แต่ให้พูดความรู้สึกของคุณ สั้น ๆ เช่น “พ่อ (แม่) ไม่น่าทำอย่างนั้นเลยเพราะ . . . ” ด้วยวิธีนี้ ลูกคุณจะได้รับบทเรียนที่มีค่าจากประสบการณ์ของคุณโดยไม่รู้สึกว่าคุณกำลังเทศน์เขา.—เอเฟโซส์ 6:4
ดูเล่ม 1 บท 1
ทำอย่างไรลูกจึงจะพูดคุยกับฉัน?
เมื่อลูกอายุยังน้อย เขาจะเล่าทุกเรื่องให้คุณฟัง. ถ้าคุณถาม เขาจะตอบทันที. ที่จริง คุณแทบไม่ต้องถามเลย เขาก็จะพูดไม่หยุดแบบน้ำไหลไฟดับ. แต่พอโตเป็นวัยรุ่น เขากลับไม่ค่อยพูด จะพูดแต่ละทีเหมือนดอกพิกุลจะร่วง. คุณอาจคิดว่า ‘เขาคุยกับเพื่อนได้ แต่ทำไมไม่คุยกับฉัน?’
อย่าคิดเอาเองว่าการที่ลูกวัยรุ่นไม่พูด แสดงว่าเขาไม่สนใจคุณหรือไม่อยากให้คุณยุ่งกับชีวิตเขา. ที่จริง เวลานี้ลูกต้องการคุณมากกว่าแต่ก่อน. คุณคงดีใจที่รู้ว่า จากการศึกษาวิจัย วัยรุ่นส่วนใหญ่ยังถือว่าคำแนะนำของพ่อแม่สำคัญ กว่าคำแนะนำของเพื่อนหรือสื่อต่าง ๆ.
แต่คุณอาจสงสัยว่า แล้วทำไมลูกไม่ค่อยอยากเล่าอะไรให้คุณฟัง? ให้เรามาดูว่า ทำไมหนุ่มสาวบางคนจึงไม่ยอมเล่าเรื่องของตนให้พ่อแม่ฟัง. หลังจากนั้น ให้ถามตัวเองด้วยคำถามถัดจากนั้นและเปิดดูข้อคัมภีร์ที่บอกไว้.
“พ่อผมมีงานเยอะมากทั้งจากที่ทำงานและจากประชาคม ผมเลยเกรงใจพ่อ. ดูเหมือนพ่อแทบไม่มีเวลาให้ผมคุยด้วย.”—แอนดรูว์
‘โดยไม่รู้ตัว ฉันทำให้ลูกคิดว่าฉันไม่มีเวลาคุยกับเขาไหม? ถ้าอย่างนั้น จะทำอย่างไรให้ลูกรู้ว่าฉันพร้อมจะคุยกับเขาเสมอ? เวลาไหนดีที่ฉันจะคุยกับลูกได้เป็นประจำ?’—พระบัญญัติ 6:7
“ฉันร้องไห้ไปหาแม่เพราะทะเลาะกับเพื่อนที่โรงเรียน. ฉันอยากให้แม่ปลอบ แต่แม่กลับว่าฉัน. ตั้งแต่นั้นมาฉันเลยไม่เล่าอะไรให้แม่ฟังอีก.”—เคนจิ
‘เมื่อลูกมีปัญหาแล้วมาหาฉัน ฉันทำอย่างไร? ถึงแม้อยากจะว่าทันที แต่ฉันจะบังคับตัวให้ฟังเขาอย่างเห็นอกเห็นใจก่อนให้คำแนะนำได้อย่างไร?’—ยาโกโบ 1:19
“ดูเหมือนทุกครั้งที่พ่อแม่บอกว่า ‘เล่ามาสิ เราไม่ว่าอะไรหรอก’ แต่พวกเขาก็อารมณ์เสียทุกที. ลูกวัยรุ่นจึงรู้สึกว่าถูกหลอก.”—เรเชล
‘ถ้าลูกเล่าเรื่องบางอย่างที่น่าโมโห ฉันจะไม่แสดงอาการโกรธได้อย่างไร?’—สุภาษิต 10:19
“หลายครั้งที่ฉันเล่าเรื่องลับสุดยอดให้แม่ฟัง แม่กลับเอาไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง. ฉันเลยไม่ไว้ใจแม่ไปอีกนาน.”—แชนเทล
‘ฉันคำนึงถึงความรู้สึกของลูกไหมโดยไม่เอาเรื่องส่วนตัวที่เขาบอกไปเล่าให้คนอื่นฟัง?’—สุภาษิต 25:9
“มีหลายเรื่องที่ฉันอยากเล่าให้พ่อแม่ฟัง แค่รอให้พวกเขาชวนคุย.”—คอร์ตนีย์
‘ฉันจะชวนลูกวัยรุ่นคุยได้อย่างไร? เวลาไหนดีที่สุด?’—ท่านผู้ประกาศ 3:7
คุณที่เป็นพ่อแม่จะได้ประโยชน์แน่ ๆ ถ้าคุณเชื่อมความสัมพันธ์กับลูกด้วยการพูดคุย. ให้มาดูประสบการณ์ของจุงโกะ อายุ 17 จากญี่ปุ่น. เธอบอกว่า “ครั้งหนึ่งฉันบอกแม่ว่า เวลาอยู่กับเพื่อนที่โรงเรียนฉันรู้สึกสบายใจกว่าอยู่กับเพื่อนคริสเตียน. วันรุ่งขึ้น ฉันเห็นจดหมายแม่วางอยู่บนโต๊ะ. แม่เขียนว่า เมื่อก่อนแม่ก็เคยรู้สึกไม่สนิทกับพี่น้องคริสเตียน. แม่ชวนฉันให้คิดถึงบางคนในพระคัมภีร์ที่รับใช้พระเจ้าแม้ว่าไม่มีใครคอยให้กำลังใจ. แม่ชมฉันด้วยที่ฉันพยายามหาเพื่อนที่รักพระเจ้า. ฉันแปลกใจที่รู้ว่าไม่ใช่ฉันคนเดียวที่เจอปัญหาแบบนี้ แม่ก็เคยเจอเหมือนกัน. ฉันดีใจที่ได้รู้เรื่องนี้จนน้ำตาไหล. เรื่องที่แม่เล่าให้กำลังใจฉันมากและทำให้ฉันอยากทำสิ่งที่ถูกต้องมากขึ้น.”
อย่างที่แม่ของจุงโกะเข้าใจ วัยรุ่นมักเปิดอกเล่าสิ่งที่เขาคิดและรู้สึกให้พ่อแม่ฟัง ถ้าเขามั่นใจว่าพ่อแม่จะไม่หัวเราะเยาะหรือตำหนิเขา. แต่ถ้าลูกคุณหงุดหงิดหรืออารมณ์เสียใส่คุณล่ะ จะทำอย่างไร? อย่าใช้อารมณ์โต้กลับ. (โรม 12:21; 1 เปโตร 2:23) ให้คุณวางตัวอย่างในเรื่องคำพูดและการกระทำแบบที่อยากให้ลูกทำตาม ถึงแม้จะไม่ง่ายเลย.
จำไว้ว่า ขณะที่ลูกวัยรุ่นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาอยู่ในช่วงที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงจะเป็นเด็กก็ไม่ใช่ ผู้ใหญ่ก็ไม่เชิง. ผู้เชี่ยวชาญให้ข้อสังเกตว่า ในช่วงเวลานี้วัยรุ่นมักมีพฤติกรรมสองอย่างสลับไปมา บางครั้งก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ บางครั้งก็ทำตัวเป็นเด็ก. ถ้าลูกคุณเป็นอย่างนี้ คุณจะทำอย่างไรโดยเฉพาะเมื่อเขาทำตัวเป็นเด็ก?
อย่าว่าลูกทันทีหรือเริ่มโต้เถียงกับเขาแบบเด็ก ๆ. แต่ให้หาเหตุผลกับลูกวัยรุ่นเหมือนเขาเป็นผู้ใหญ่. (1 โครินท์ 13:11) ตัวอย่างเช่น ถ้าลูกหาเรื่องคุณแบบเด็ก ๆ ว่า “ทำไมแม่ชอบจู้จี้กับหนูอยู่เรื่อย?” คุณคงอยากโต้กลับด้วยความโมโห. ถ้าทำอย่างนั้น คุณจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้และถูกลูกดึงเข้าสู่การโต้เถียง. ดังนั้น คุณอาจแค่พูดว่า “ดูเหมือนตอนนี้ลูกอารมณ์ไม่ดีนะ. รอให้ลูกอารมณ์ดีก่อนแล้วเราค่อยมาคุยกันดีไหม?” โดยวิธีนี้ คุณจะควบคุมสถานการณ์ได้ แล้วบรรยากาศก็จะเหมาะแก่การพูดคุยกัน ไม่ใช่โต้เถียงกัน.
ดูเล่ม 1 บท 1 และ 2
การวางกฎเกณฑ์
ฉันควรบังคับลูกให้กลับบ้านตามเวลาไหม?
เพื่อตอบคำถาม ขอให้นึกภาพเหตุการณ์นี้: ลูกชายคุณไม่กลับบ้านตามเวลากำหนด ตอนนี้ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว คุณได้ยินเสียงประตูค่อย ๆ แง้มออก. คุณคิดในใจ ‘ลูกคงคิดว่าฉันหลับไปแล้ว.’ แต่คุณยังไม่หลับและกำลังนั่งรอเขาอยู่ที่หน้าประตูตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว. ในที่สุดประตูก็เปิดออก คุณกับลูกต่างประจัญหน้ากัน. คุณควรพูดอะไร? คุณจะทำอย่างไร?
คุณเลือกได้. คุณจะทำให้ดูเป็นเรื่องเล็กโดยคิดว่า ‘เด็กผู้ชายก็เป็นอย่างนี้แหละ.’ หรือจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่และบอกว่า “คอยดูนะ จะไม่ให้เธอไปไหนเลยตลอดชีวิต.” อย่าผลุนผลันทำอะไร ให้ฟังลูกก่อน เผื่อจะมีเหตุผลที่ทำให้เขามาสาย. แล้วค่อยใช้เรื่องนี้สอนบทเรียนที่มีค่าแก่เขา. อย่างไรล่ะ?
คำแนะนำ: บอกลูกว่าคุณจะคุยเรื่องนี้พรุ่งนี้. แล้วเมื่อถึงเวลาที่เหมาะ ให้นั่งคุยกับเขาว่าคุณจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร. ถ้าลูกกลับบ้านเลยเวลากำหนด พ่อแม่บางคนจะเลื่อนเวลากลับบ้านให้เร็วขึ้นครึ่งชั่วโมงสำหรับคราวหน้า. แต่ถ้าลูกเคยพิสูจน์ว่าไว้ใจได้และกลับบ้านตรงเวลาเสมอ พ่อแม่ก็อาจให้อิสระเขามากขึ้นโดยเลื่อนเวลากลับบ้านให้ช้าออกไปอีก. ที่สำคัญคือคุณต้องบอกลูกให้ชัดเจนว่าเขาต้องกลับบ้านกี่โมง และถ้าไม่กลับตามนั้นจะถูกลงโทษอย่างไร. และคุณก็ต้องลงโทษตามนั้น.
คัมภีร์ไบเบิลยังบอกด้วยว่า “ให้คนทั้งปวงเห็นว่าท่านทั้งหลายเป็นคนมีเหตุผล.” (ฟิลิปปอย 4:5) ดังนั้น คุณควรคุยกับลูกก่อนจะกำหนดลงไปว่าจะให้เขากลับบ้านกี่โมง ให้เขาเสนอเวลาที่คิดว่าเหมาะพร้อมกับอธิบายเหตุผล. แล้วคุณลองพิจารณาดู. ถ้าลูกคุณเคยพิสูจน์ว่าเป็นคนรับผิดชอบและสิ่งที่เขาบอกมีเหตุผล คุณก็อาจให้ตามที่เขาขอ.
การตรงต่อเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก. การกำหนดเวลากลับบ้านไม่เพียงเป็นการปกป้องลูกจากปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น แต่ยังช่วยสอนเขาให้มีนิสัยที่ดีซึ่งจะติดตัวเขาไปตลอดหลังจากที่ออกไปอยู่เอง.—สุภาษิต 22:6
ดูเล่ม 1 บท 3 กับเล่ม 2 บท 22
จะทำอย่างไรเมื่อฉันกับลูกมีความคิดเห็นไม่ตรงกันในเรื่องเสื้อผ้า?
ให้ดูฉากเหตุการณ์ในหน้า 77 ของหนังสือนี้. ลองนึกภาพว่าเฮเทอร์เป็นลูกสาวคุณ. คุณเห็นลูกใส่ชุดที่ทั้งคับทั้งสั้น คุณเลยโพล่งออกมาว่า “ขึ้นไปเปลี่ยนชุดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นลูกจะออกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น.” ลูกสาวคุณไม่มีทางเลือก ต้องยอมทำตาม. แต่คุณจะสอนลูกให้เปลี่ยนทัศนะไม่ใช่แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าได้อย่างไร?
● ประการแรก จำไว้ว่า ลูกวัยรุ่นก็เหมือนคุณ คือไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเขาแต่งตัวไม่สุภาพ. ที่จริงแล้ว เขาไม่อยากถูกมองว่าแต่งตัวตลกหรือชอบเรียกร้องความสนใจ. ดังนั้น ค่อย ๆ ชี้แจงให้เขาเข้าใจว่า การแต่งตัวแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้ดูดีเลยและอธิบายว่าเพราะอะไร.b จากนั้น ลองเสนอวิธีแต่งตัวแบบอื่น.
● ประการที่สอง ให้มีเหตุผล. ถามตัวเองว่า ‘เสื้อผ้าที่ลูกใส่ขัดกับหลักการในพระคัมภีร์ไหม หรือขัดกับรสนิยมส่วนตัวของฉัน?’ (2 โครินท์ 1:24; 1 ติโมเธียว 2:9, 10) ถ้าเป็นเรื่องรสนิยม คุณจะยอมให้ลูกใส่ไหม?
● ประการที่สาม อย่าแค่บอกว่าเสื้อผ้าแบบไหนที่ไม่ควร ใส่. แต่ให้ช่วยหาเสื้อผ้าที่เหมาะสม ด้วย. คุณน่าจะลองใช้แบบสอบถามในหน้า 82 และ 83 ของหนังสือนี้เพื่อหาเหตุผลกับลูก. คุณและลูกจะได้ประโยชน์แน่ ๆ.
ดูเล่ม 1 บท 11
ฉันควรยอมให้ลูกเล่นเกมอิเล็กทรอนิกส์ไหม?
เกมอิเล็กทรอนิกส์เปลี่ยนไปมากเมื่อเทียบกับสมัยที่คุณเป็นวัยรุ่น. คุณซึ่งเป็นพ่อแม่จะช่วยลูกให้รู้ถึงอันตรายและหลีกเลี่ยงอันตรายเหล่านั้นได้อย่างไร?
ไม่มีประโยชน์ที่คุณจะตำหนิหรือพูดเหมาว่าเกมอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดเป็นสิ่งไม่ดีและทำให้เสียเวลา. สิ่งที่ต้องจำคือ ใช่ว่าทุก เกมจะไม่ดีเสมอไป. แต่มันทำให้คุณติดได้. ดังนั้น ให้ดูว่าลูกคุณใช้เวลาเท่าไรในการเล่นเกมและชอบเล่นเกมแบบไหน. คุณอาจถามลูกแบบนี้.
● เกมไหนที่เพื่อน ๆ ชอบเล่นมากที่สุด?
● ในเกมนั้น คนเล่นต้องทำอะไรบ้าง?
● ลูกคิดว่าทำไมเพื่อน ๆ ชอบเล่นเกมนั้น?
คุณอาจพบว่าลูกรู้เรื่องเกมอิเล็กทรอนิกส์มากกว่าที่คุณคิดไว้เยอะ. เขาอาจเคยเล่นเกมที่คุณคิดว่าไม่เหมาะ. ถ้าเป็นอย่างนั้น อย่าว่าลูกเกินเหตุ. นี่เป็นโอกาสที่คุณจะช่วยลูกให้ฝึกใช้วิจารณญาณ.—ฮีบรู 5:14
คุณอาจใช้คำถามเพื่อช่วยลูกให้หาเหตุผลว่าทำไม เขาชอบเล่นเกมแบบนั้น. เช่น คุณอาจถามทำนองนี้
● ถ้าไม่ได้เล่นเกมแบบนั้น ลูกรู้สึกว่าตัวเองเข้ากับเพื่อนไม่ได้ใช่ไหม?
วัยรุ่นอาจเล่นเกมบางอย่างเพื่อจะคุยกับเพื่อนได้. ถ้าลูกคุณเป็นอย่างนั้น คุณก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายว่าเกมที่รุนแรงหรือเน้นเรื่องเพศนั้นไม่ดีอย่างไร.—โกโลซาย 4:6
แต่จะทำอย่างไรถ้าลูกคุณชอบ เล่นเกมที่เน้นเรื่องเพศหรือความรุนแรง? หนุ่มสาวบางคนจะแก้ตัวทันทีว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากเกม. เขาหาเหตุผลว่า ‘มันก็แค่ในเกม ชีวิตจริงผมไม่ได้ทำสักหน่อย.’ ถ้าลูกคุณเป็นอย่างนั้น ก็เปิดบทเพลงสรรเสริญ 11:5 ให้เขาอ่าน แล้วอธิบายว่าพระเจ้าไม่พอพระทัยคนที่ “นิยมในการร้าย” คือชอบ ความรุนแรง แม้จะไม่ได้เป็น คนรุนแรงก็ตาม. ในเรื่องการผิดศีลธรรมทางเพศหรือความชั่วอื่น ๆ ที่พระคำของพระเจ้าตำหนิก็ใช้หลักการเดียวกัน.—บทเพลงสรรเสริญ 97:10
ถ้าลูกคุณมีปัญหาเกี่ยวกับเกมอิเล็กทรอนิกส์ ให้ลองทำอย่างนี้
● อย่าปล่อยให้ลูกเล่นเกมในที่ที่ไม่มีใครเห็น เช่น ในห้องนอน.
● ให้วางกฎ เช่น ต้องทานข้าว หรือทำการบ้านและทำงานที่พ่อแม่สั่งให้เสร็จก่อน จึงจะเล่นเกมได้.
● เน้นประโยชน์ของการออกกำลังกาย.
● คุณควรอยู่ด้วยเมื่อลูกเล่นเกม หรือถ้าเล่นกับเขาบ้างก็ยิ่งดี.
แน่นอน เพื่อคุณจะแนะนำลูกในเรื่องเนื้อหาของเกมได้เต็มปาก คุณเองก็ต้องทำอย่างเดียวกัน. ดังนั้น ให้ถามตัวเองว่า ‘ฉันดูรายการทีวีหรือหนังประเภทไหน?’ ถ้าคุณมีมาตรฐานสองอย่าง ลูกคุณจะรู้อย่างแน่นอน.
ดูเล่ม 2 บท 30
ถ้าลูกคุณติดคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ จะทำอย่างไร?
ลูกวัยรุ่นของคุณใช้เวลามากเกินไปกับการออนไลน์ รับและส่งเอสเอ็มเอส หรือชอบฟังเอ็มพี 3 มากกว่าพูดคุยกับคุณไหม? ถ้าใช่ คุณจะทำอย่างไร?
คุณอาจยึดอุปกรณ์เหล่านั้น. แต่อย่าเหมาว่าสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทุกอย่างเป็นสิ่งชั่วร้าย เพราะคุณเองก็ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์บางอย่างที่พ่อแม่คุณ ไม่เคยใช้เหมือนกัน. ดังนั้น แทนที่จะแค่ยึดอุปกรณ์ของลูก (ถ้ามีเหตุผลพอ) คุณน่าจะใช้โอกาสนี้สอนลูกให้ใช้สิ่งเหล่านั้นอย่างฉลาดและสมดุล. ทำอย่างไรล่ะ?
ให้นั่งคุยเรื่องนี้กับลูก. ประการแรก บอกลูกว่าคุณเป็นห่วงที่เขาใช้เวลามากเกินไป. ประการที่สอง ให้ฟัง ลูกพูด. (สุภาษิต 18:13) ประการที่สาม ช่วยกันหาวิธีแก้. ให้วางข้อจำกัดที่แน่นอนและสมเหตุผล. วัยรุ่นที่ชื่อเอลเลนเล่าว่า “เมื่อฉันเอาแต่ส่งเอสเอ็มเอส พ่อแม่ไม่ได้ยึดโทรศัพท์ฉัน แต่ช่วยวางกฎบางอย่างให้. เมื่อพ่อแม่ทำอย่างนี้ ฉันจึงรู้จักควบคุมตัวเองไม่ใช้เวลากับเอสเอ็มเอสมากเกินไปแม้แต่ตอนที่พ่อแม่ไม่อยู่ด้วย.”
ถ้าลูกคุณแสดงอาการไม่พอใจล่ะ? อย่าคิดว่าที่คุณแนะนำไปไม่มีประโยชน์. แต่ให้อดทนและให้เวลาลูกคิด. ลูกอาจเห็นด้วยกับคุณ แต่ต้องให้เวลาเขาปรับตัว. หนุ่มสาวหลายคนคล้ายกับเฮลีย์ ซึ่งบอกว่า “ทีแรกฉันไม่พอใจที่พ่อแม่บอกว่าฉันติดคอมพิวเตอร์. แต่พอคิดดูอีกที ฉันก็ยอมรับว่าพ่อแม่พูดถูก.”
ดูเล่ม 1 บท 36
การให้อิสระ
ฉันควรให้ลูกมีอิสระแค่ไหน?
เรื่องนี้ตัดสินใจลำบากเพราะเกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวด้วย. อย่างเช่น ถ้าลูกชายคุณปิดประตูอยู่ในห้องนอน คุณจะเปิดเข้าไปโดยไม่ต้องเคาะประตูไหม? หรือถ้าลูกสาวคุณรีบไปโรงเรียนแล้วลืมโทรศัพท์ไว้ คุณจะแอบดูเอสเอ็มเอสของลูกไหม?
คำถามเหล่านี้ตอบยาก. ในเมื่อคุณเป็นพ่อแม่ คุณย่อมมีสิทธิ์รู้ว่าลูกใช้ชีวิตอย่างไรและมีหน้าที่ปกป้องเขา. แต่คุณจะเป็นเหมือน ‘นักสืบ’ คอยตรวจสอบและติดตามลูกทุกฝีก้าวไม่ได้. คุณจะมีความสมดุลในเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ประการแรก จำไว้ว่า ที่หนุ่มสาวอยากมีความเป็นส่วนตัวไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำสิ่งผิดเสมอ. เมื่อโตขึ้น เป็นเรื่องปกติที่วัยรุ่นย่อมต้องการความเป็นส่วนตัว. นี่จะช่วยเขาให้มีโอกาสได้ใช้ชีวิตของเขาเอง เช่น ฝึกที่จะอยู่กับเพื่อนและคิดหาวิธีแก้ปัญหาด้วย “ความสามารถในการใช้เหตุผล” ของเขาเอง. (โรม 12:1, 2) นอกจากนั้น ความเป็นส่วนตัวยังช่วยวัยรุ่นให้ใช้ความสามารถในการคิดได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญที่จะช่วยเขาให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ. ความเป็นส่วนตัวยังทำให้เขามีโอกาสคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจหรือตอบปัญหายาก ๆ ด้วย.—สุภาษิต 15:28
ประการที่สอง การที่คุณพยายามจัดชีวิตให้ลูกวัยรุ่นแม้แต่ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จะทำให้เขาไม่พอใจและขัดขืนคุณ. (เอเฟโซส์ 6:4; โกโลซาย 3:21) นี่หมายความว่าคุณไม่ควรเข้าไปยุ่งกับชีวิตเขาไหม? ไม่ใช่ เพราะคุณยังเป็นพ่อแม่เขา. แต่เป้าหมายของคุณคือเพื่อช่วยลูกให้ฝึกใช้สติรู้สึกผิดชอบของตน. (พระบัญญัติ 6:6, 7; สุภาษิต 22:6) สรุปแล้ว การชี้แนะก็ดีกว่าการควบคุมทุกฝีก้าว.
ประการที่สาม ให้พูดคุยเรื่องนี้กับลูกและฟังความคิดเห็นของเขา. คุณจะยอมทำตามที่เขาขอบ้างได้ไหม? บอกลูกวัยรุ่นว่าคุณจะยอมให้เขามีความเป็นส่วนตัวบ้างถ้าเขาทำตัวน่าไว้ใจ. บอกลูกว่าถ้าเขาไม่เชื่อฟังจะได้รับผลอย่างไร แล้วลงโทษตามนั้น. โดยวิธีนี้ คุณสามารถปล่อยให้ลูกมีความเป็นส่วนตัวได้ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นพ่อแม่ที่เอาใจใส่ดูแลลูก.
ดูเล่ม 1 บท 3 และ 15
เมื่อไรฉันควรให้ลูกเลิกเรียนหนังสือ?
“ครูน่าเบื่อ!” “การบ้านเยอะเกินไป” “สอบแต่ละทีก็ยากมาก ไม่รู้จะเรียนไปทำไม.” นี่เป็นสิ่งที่หนุ่มสาวหลายคนบ่น ด้วยเหตุนี้บางคนจึงอยากเลิกเรียนก่อนจะมีความรู้พอที่จะเลี้ยงชีพได้. ถ้าลูกคุณอยากเลิกเรียน คุณจะทำอย่างไร? ลองทำอย่างนี้สิ.
● ตรวจสอบทัศนะของคุณเองในเรื่องการศึกษา. คุณเคยรู้สึกไหมว่า การไปโรงเรียนก็เสียเวลาเปล่าเหมือน ‘การติดคุก’ ซึ่งต้องทนกว่าจะได้ทำสิ่งที่คุณตั้งใจ? ถ้าใช่ ทัศนะของคุณก็มีผลต่อลูก. ที่จริงแล้ว การศึกษาที่ดีจะช่วยลูกให้มี “สติปัญญาที่ใช้ได้จริง” และมี “ความสามารถในการคิด” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเขาให้ไปถึงเป้าหมายได้.—สุภาษิต 3:21, ล.ม.
● หาวิธีช่วยลูกให้เรียนได้ดี. ถ้ามีสภาพแวดล้อมที่ดีและรู้วิธี เรียน เด็กบางคนจะเรียนได้ดีขึ้น. ลูกคุณน่าจะมีโต๊ะอ่านหนังสือที่เป็นระเบียบไม่มีของวางเกะกะ มีแสงสว่างเพียงพอและมีเครื่องมือให้ศึกษาค้นคว้า. คุณช่วยลูกให้ก้าวหน้าได้ทั้งในเรื่องการเรียนและเรื่องพระเจ้า โดยจัดให้มีที่ที่เหมาะสมที่เขาจะนั่งคิดอะไรได้เงียบ ๆ.—เทียบกับ 1 ติโมเธียว 4:15
● ใส่ใจการศึกษาของลูก. ให้คิดว่าครูประจำชั้นและครูที่ปรึกษาเป็นฝ่ายเดียวกับคุณ ไม่ใช่ศัตรู. ไปหาครูเหล่านั้นและพยายามรู้จักพวกเขา. พูดคุยกับเขาเรื่องเป้าหมายและปัญหาของลูก. ถ้าลูกมีผลการเรียนไม่ดี ให้หาสาเหตุ เช่น ลูกคิดไหมว่าการเรียนเก่งจะทำให้เพื่อนร่วมชั้นกลั่นแกล้ง? ลูกมีปัญหากับครูไหม? วิชาที่เรียนเป็นอย่างไร? ลูกน่าจะรู้สึกว่าหลักสูตรที่เรียนนั้นไม่ง่ายหรือยากเกินไป. ลูกคุณมีปัญหาสุขภาพไหม เช่น สายตาไม่ดีหรือบกพร่องในการเรียนรู้?
ถ้าคุณใส่ใจการศึกษาของลูกมากขึ้นทั้งในเรื่องการเรียนและเรื่องพระเจ้า ลูกคุณก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น.—บทเพลงสรรเสริญ 127:4, 5
ดูเล่ม 1 บท 19
ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกพร้อมจะจากบ้านไหม?
ในบท 7 ของหนังสือนี้พูดถึงเซรีนาซึ่งไม่กล้าออกไปอยู่เอง. เหตุผลคืออะไร? เธอบอกว่า “พ่อไม่ยอมให้ฉันจ่ายเงินเลย. พ่อบอกว่าเป็นหน้าที่พ่อ. ฉันเลยกลัวมากเมื่อคิดว่าจะต้องไปจ่ายค่านั่นค่านี่ด้วยตัวเอง.” แน่นอน พ่อของเซรีนามีเจตนาดี แต่คุณคิดว่าเขาช่วยเตรียมลูกสาวให้พร้อมจะออกไปอยู่เองไหม?—สุภาษิต 31:10, 18, 27
คุณปกป้องลูกมากเกินไปและไม่ได้เตรียมเขาให้พร้อมจะออกไปอยู่เองไหม? คุณจะรู้ได้อย่างไร? ให้ดูสี่จุดที่พูดถึงในบท 7 ภายใต้หัวเรื่อง “ฉันพร้อมหรือยัง?” แต่ตอนนี้ให้พิจารณาจากมุมของพ่อแม่.
จัดการเรื่องเงิน. ถ้าลูกคุณโตแล้ว เขารู้ไหมว่าแต่ละเดือนต้องเสียค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าบ้าน และค่าอาหารเป็นเงินเท่าไร? เขารู้วิธีควบคุมรายรับรายจ่ายและไม่ใช้เงินเกินตัวไหม? (ลูกา 14:28-30) เขารู้ไหมว่าการเป็นหนี้มีผลเสียมากมาย? (สุภาษิต 22:7) เขาเคยภูมิใจที่ได้หาเงินมาซื้อของที่เขาอยากได้ไหม? เขาเคยมีความสุขที่ได้ให้เวลาและทรัพย์สิ่งของเพื่อช่วยคนอื่นไหม?—กิจการ 20:35
ดูแลตัวเอง. ลูกสาวและ ลูกชายคุณรู้วิธีทำอาหารไหม? คุณสอนวิธีซักรีดเสื้อผ้าให้เขาไหม? ถ้าลูกคุณขับรถ เขารู้วิธีดูแลรักษารถ เช่น เปลี่ยนฟิวส์ ถ่ายน้ำมัน หรือเปลี่ยนยางไหม?
เข้ากับคนอื่นได้. เมื่อลูกวัยรุ่นทะเลาะกัน คุณต้องเป็นคนจัดการและตัดสินปัญหาทุกครั้งไหม? หรือคุณฝึกลูกให้รู้วิธีตกลงกันอย่างสันติแล้วค่อยมารายงานคุณ?—มัดธาย 5:23-25
เสริมสร้างความเชื่อ. คุณบอกลูกให้เชื่อตามคุณหรือหาเหตุผลโน้มน้าวให้เขาเชื่อ? (2 ติโมเธียว 3:14, 15) ถ้าลูกสงสัยอะไรเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อและศีลธรรม คุณมักตอบเขาไปเลยหรือสอนเขาให้หาเหตุผล? (สุภาษิต 1:4) คุณอยากให้ลูกศึกษาส่วนตัวเหมือนคุณ หรือมากกว่าคุณ?c
แน่นอน การฝึกลูกตามที่กล่าวไปต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก. แต่ก็คุ้มค่าเพราะเมื่อถึงวันที่ลูกลาคุณเพื่อออกไปอยู่เอง คุณจะภูมิใจที่ได้เตรียมเขาไว้แล้ว.
ดูเล่ม 1 บท 7
เรื่องเพศและการมีแฟน
ฉันควรพูดเรื่องเพศกับลูกไหม?
พระคัมภีร์บอกมานานแล้วว่า “สมัยสุดท้าย” จะเห็นได้ชัดจาก “วิกฤตกาลซึ่งยากจะรับมือได้” ซึ่งผู้คนจะ “ไม่มีการควบคุมตนเอง” และ “รักการสนุกสนานแทนที่จะรักพระเจ้า.” (2 ติโมเธียว 3:1, 3, 4) สิ่งหนึ่งที่แสดงว่าคำพยากรณ์นี้สำเร็จเป็นจริงก็คือ การมีเซ็กซ์แบบเล่น ๆ กลายเป็นที่นิยมมากขึ้น. เด็กในทุกวันนี้จึงรู้เรื่องเพศตั้งแต่อายุยังน้อยมาก.
สังคมในปัจจุบันต่างกันลิบลับจากสมัยที่คุณเป็นวัยรุ่น แต่ปัญหาก็ไม่เปลี่ยน. ดังนั้น อย่ารู้สึกกลัวหรือไม่รู้จะทำอย่างไรกับอิทธิพลที่ไม่ดีที่อยู่ล้อมรอบลูกคุณ. แต่คุณน่าจะช่วยเขาให้ทำตามคำแนะนำของอัครสาวกเปาโลที่บอกไว้เมื่อ 2,000 ปีมาแล้วที่ว่า “จงสวมยุทธภัณฑ์ครบชุดจากพระเจ้าเพื่อท่านทั้งหลายจะสามารถยืนหยัดต้านทานกลอุบายของพญามารได้.” (เอเฟโซส์ 6:11) น่าชมเชยที่หนุ่มสาวคริสเตียนหลายคนได้พยายามทำสิ่งที่ถูกต้องแม้ว่าจะมีอิทธิพลที่ไม่ดีอยู่รอบด้าน. คุณจะช่วยลูกอย่างไรให้ทำเหมือนหนุ่มสาวเหล่านั้น?
วิธีหนึ่งคือ พูดคุยกับลูกโดยเลือกบางบทจากตอนที่ 4 ในหนังสือนี้ กับตอนที่ 1 และตอนที่ 7 ในเล่ม 2. ในบทเหล่านั้นมีข้อคัมภีร์ที่กระตุ้นให้คิด. มีตัวอย่างจากชีวิตจริงของคนที่ยืนหยัดเพื่อทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วได้รับผลดี และคนที่ละเลยกฎหมายของพระเจ้าแล้วได้รับผลที่น่าเศร้า. นอกจากนั้น ยังมีหลักการจากพระคัมภีร์ที่เน้นให้เห็นว่าการดำเนินชีวิตตามกฎหมายของพระเจ้าเป็นสิทธิพิเศษอย่างยิ่งสำหรับทั้งคุณและลูก. คุณน่าจะคุยเรื่องนี้กับลูกตั้งแต่ตอนนี้.
ดูเล่ม 1 บท 23, 25 และ 32 กับเล่ม 2 บท 4-6, 28 และ 29
ฉันจะยอมให้ลูกมีแฟนได้เมื่อไร?
สักวันหนึ่ง ลูกคุณต้องมีแฟน. ฟิลิปบอกว่า “ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย. อยู่ดี ๆ สาว ๆ ก็ชวนผมไปเที่ยว ผมยืนงงอยู่ว่า ‘จะทำยังไงดีล่ะเรา?’ จะปฏิเสธก็ยากแต่ละคนสวย ๆ ทั้งนั้น.”
สิ่งที่คุณควรทำในฐานะพ่อแม่ก็คือ พูดคุยกับลูกวัยรุ่นเรื่องการมีแฟน อาจใช้บท 1 ในเล่ม 2 หาเหตุผลกับเขา. พยายามสังเกตว่าลูกคุณรู้สึกอย่างไรกับปัญหาที่เจอในโรงเรียนหรือที่ประชาคม. คุณพูดคุยเรื่องนี้ได้โดยไม่ต้องเป็นกิจจะลักษณะ เช่น คุยตอน “นั่งอยู่ในเรือน หรือเดินในหนทาง.” (พระบัญญัติ 6:6, 7) ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน จำไว้ว่าคุณควร “ไวในการฟัง ช้าในการพูด.”—ยาโกโบ 1:19
ถ้าลูกคุณแสดงความสนใจในเพศตรงข้าม ก็อย่าตกใจ. เด็กสาวคนหนึ่งพูดว่า “พอพ่อรู้ว่าฉันมีแฟน พ่อก็อารมณ์เสีย. พ่อถามฉันต่าง ๆ นานาเพื่อให้ฉันยอมรับว่ายังไม่พร้อมจะแต่งงาน แต่มันไม่ได้ผลกับวัยรุ่นหรอก กลับยิ่งทำให้เราอยากคบกันต่อไปเพื่อพิสูจน์ว่าพ่อแม่คิดผิด.”
ถ้าลูกวัยรุ่นรู้ว่ายังไงคุณก็ไม่ยอมให้เขามีแฟน เรื่องเศร้าก็อาจเกิดขึ้น ลูกคุณอาจแอบคบแฟนแบบลับ ๆ. เด็กสาวคนหนึ่งพูดว่า “เมื่อพ่อแม่กีดกันเกินไป ลูกก็จะยิ่งปิดบัง. เขาไม่ยอมเลิกหรอก แต่จะยิ่งทำอะไรหลบ ๆ ซ่อน ๆ.”
การพูดคุยกับลูกอย่างตรงไปตรงมาน่าจะดีกว่า. บริตทานี อายุ 20 บอกว่า “พ่อแม่มักเปิดอกคุยกับฉันเรื่องการมีแฟน. พ่อแม่อยากรู้ว่าฉันสนใจใครอยู่ ซึ่งฉันคิดว่าดีนะ. เพราะหลังจากรู้แล้ว พ่อจะไปคุยกับคนนั้น แล้วถ้ามีอะไรที่น่าเป็นห่วง พ่อแม่จะบอกฉัน. และฉันมักตัดสินใจว่าจะไม่สนใจเขาอีก แม้เรายังไม่ได้เริ่มเป็นแฟนกัน.”
หลังจากอ่านบท 2 ในเล่ม 2 คุณอาจสงสัยว่า ‘ลูกฉันแอบมีแฟนโดยไม่ให้ฉันรู้ไหม?’ ให้มาดูว่าทำไมหนุ่มสาวบางคนต้องแอบมีแฟนและลองพิจารณาคำถามที่อยู่ต่อจากนั้น.
“วัยรุ่นบางคนรู้สึกว่าไม่มีใครในบ้านเข้าใจเขา เขาจึงต้องหันไปหาแฟน.”—เวนดี
คุณซึ่งเป็นพ่อแม่จะแสดงอย่างไรว่าเข้าใจความรู้สึกและเอาใจใส่ลูกจริง ๆ? คุณจะปรับปรุงเรื่องนี้ได้ไหม? ถ้าได้ จะทำอะไรบ้าง?
“ตอนฉันอายุ 14 มีนักเรียนแลกเปลี่ยนคนหนึ่งอยากเป็นแฟนฉัน. ฉันตอบตกลงเพราะคิดว่าถ้ามีหนุ่มสักคนมากอดฉันน่าจะดี.”—ไดแอน
ถ้าไดแอนเป็นลูกสาวคุณ คุณจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?
“การมีมือถือทำให้แอบคบกันง่ายขึ้น. พ่อแม่ไม่มีทางรู้หรอก.”—แอนเนตต์
คุณคิดว่าจะควบคุมการใช้โทรศัพท์มือถือของลูกได้อย่างไร?
“ลูกจะแอบมีแฟนได้ถ้าพ่อแม่ไม่ได้คอยดูว่าลูกกำลังทำอะไรและอยู่กับใคร.”—โทมัส
คุณจะเอาใจใส่ลูกมากขึ้น แต่ก็ให้อิสระเขาพอสมควรได้ไหม?
“พ่อแม่มักปล่อยให้ลูกอยู่บ้านตามลำพัง หรือไว้ใจลูกยอมให้เขาไปไหนต่อไหนกับคนอื่นโดยไม่ซักถาม.”—นิโคลัส
คิดดูว่าลูกคุณสนิทกับใครมากที่สุด. เมื่อลูกอยู่กับคนนั้น คุณรู้ไหมว่าเขาทำอะไรกัน?
“ถ้าพ่อแม่เข้มงวดเกินไป ลูกจะแอบมีแฟนได้.”—พอล
แม้คุณจะไม่อะลุ่มอล่วยในเรื่องกฎหมายและหลักการในคัมภีร์ไบเบิล แต่คุณจะ ‘ให้คนอื่นเห็นว่าคุณเป็นคนมีเหตุผล’ ได้อย่างไร?—ฟิลิปปอย 4:5
“พอเริ่มเป็นวัยรุ่น ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีค่าและอยากให้คนอื่นสนใจ. ฉันเลยส่งอีเมลหาเด็กหนุ่มอีกประชาคมหนึ่งแล้วก็ตกหลุมรักเขา. เขาทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ.”—ลินดา
คุณคิดว่าครอบครัวของลินดาน่าจะทำอะไรบ้างเพื่อลินดาจะไม่รู้สึกขาด?
คุณน่าจะใช้บท 2 ในเล่ม 2 และภาคผนวกส่วนนี้พูดคุยกับลูก. วิธีดีที่สุดที่จะป้องกันไม่ให้ลูกคุณแอบทำอะไรก็คือ การพูดคุยกับลูกอย่างตรงไปตรงมาด้วยความรัก.—สุภาษิต 20:5
ปัญหาทางอารมณ์
ฉันควรทำอย่างไรถ้าลูกพูดถึงการฆ่าตัวตาย?
ในบางส่วนของโลก มักมีข่าวหนุ่มสาวฆ่าตัวตายอยู่บ่อย ๆ. ตัวอย่างเช่น ที่สหรัฐ สาเหตุสำคัญอันดับสามที่ทำให้หนุ่มสาวอายุ 15 ถึง 25 ปีเสียชีวิตคือการฆ่าตัวตาย. และในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการฆ่าตัวตายของเด็กอายุ 10 ถึง 14 ปีเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า. หนุ่มสาวที่มีแนวโน้มจะฆ่าตัวตายมากที่สุดคือ คนที่มีปัญหาทางจิต มีสมาชิกในครอบครัวฆ่าตัวตาย และคนที่พยายามฆ่าตัวตายมาแล้ว. สัญญาณเตือนที่บอกว่าหนุ่มสาวคนนั้นคิดจะฆ่าตัวตายมีหลายอย่าง เช่น
● ชอบเก็บตัว ไม่สุงสิงกับคนในครอบครัวและเพื่อน ๆ
● นิสัยการกินและการนอนเปลี่ยนไป
● ไม่สนใจกิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยชอบ
● บุคลิกเปลี่ยนไปมาก
● ใช้ยาเสพติดหรือติดแอลกอฮอล์
● ยกสมบัติมีค่าให้คนอื่น
● ชอบพูดแต่เรื่องความตายหรือสนใจเรื่องทำนองนั้น
ถ้าพ่อแม่มองข้ามสัญญาณเตือนเหล่านี้ เขาอาจต้องเสียใจภายหลัง. ถ้าลูกขู่ว่าจะฆ่าตัวตายให้ถือเป็นเรื่องจริงจังไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ. อย่า คิดเอาเองว่านั่นเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ เดี๋ยวก็หาย.
ถ้าลูกคุณเป็นโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรงหรือเป็นโรคจิตโรคประสาท อย่าอายที่จะขอความช่วยเหลือ. และถ้าคุณสงสัยว่าลูกกำลังคิดสั้น ก็ให้คุยกับเขา. มีการเข้าใจผิด ๆ ว่า ถ้าคุยเรื่องการฆ่าตัวตายกับวัยรุ่น นั่นจะกระตุ้นเขาให้ลงมือทำ. แต่หนุ่มสาวส่วนใหญ่รู้สึกโล่งที่พ่อแม่เป็นคนยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด. ถ้าลูกคุณยอมรับว่าคิดจะฆ่าตัวตาย ให้ดูว่าเขาวางแผนไว้หรือยังและละเอียดแค่ไหน. ถ้าเห็นว่าลูกคุณวางแผนไว้แล้วต้องรีบช่วยทันที และถ้าเห็นว่ามีการวางแผนอย่างละเอียดก็ยิ่งรอช้าไม่ได้.
อย่าคิดว่าลูกจะหายซึมเศร้าได้เอง. และถ้าดูเหมือน อาการเขาดีขึ้น อย่าคิดว่าปัญหาหมดไปแล้ว. ที่จริง นั่นอาจเป็นช่วงที่อันตรายที่สุด. ทำไมล่ะ? เพราะเมื่อถึงช่วงที่หนุ่มสาวซึมเศร้าสุด ๆ เขาจะหมดเรี่ยวหมดแรงไม่สามารถฆ่าตัวตายได้. แต่เมื่อผ่านช่วงนั้นไป พละกำลังของเขาจะกลับคืนมาแล้วเขาอาจทำตามที่วางแผนไว้.
น่าเศร้าจริง ๆ หนุ่มสาวบางคนรู้สึกสิ้นหวังจนถึงกับคิดสั้น. ดังนั้น เมื่อสังเกตเห็นอาการบางอย่าง ผู้ที่เป็นพ่อแม่และคนที่แคร์เขาควรจะรีบช่วยทันทีโดย “พูดปลอบโยนคนทุกข์ใจ” และพร้อมจะเป็นที่พึ่งพิงให้เขา.—1 เทสซาโลนิเก 5:14
ดูเล่ม 1 บท 13 และ 14 กับเล่ม 2 บท 26
ฉันควรปิดซ่อนความรู้สึกโศกเศร้าไม่ให้ลูกเห็นไหม?
การสูญเสียคู่ชีวิตทำให้คุณเจ็บปวดรวดร้าว. แต่ลูกวัยรุ่นก็ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ. ถ้าอย่างนั้น คุณจะช่วยลูกให้รับมือกับความโศกเศร้าและขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยตัวเองได้อย่างไร? ลองใช้วิธีต่อไปนี้.
● อย่าพยายามซ่อนความรู้สึก. ลูกเรียนรู้เรื่องสำคัญ ๆ ในชีวิตด้วยการสังเกตดูคุณ. เรื่องการรับมือกับความโศกเศร้าก็เช่นกัน. ดังนั้น อย่าคิดว่าคุณต้องปิดซ่อนความรู้สึกโศกเศร้าไว้และทำให้ลูกเห็นว่าคุณเข้มแข็ง. ถ้าทำอย่างนั้น ลูกจะทำตามคุณ. แต่ถ้าคุณแสดงความเจ็บปวดออกมา ลูกจะเรียนรู้ว่าการแสดงความรู้สึกออกมาก็ดีกว่าเก็บกดเอาไว้ และถ้าเขารู้สึกเศร้า หงุดหงิดหรือโกรธก็เป็นเรื่องปกติ.
● ช่วยลูกวัยรุ่นให้พูดออกมา. อย่ากดดันลูก แต่ช่วยเขาให้ระบายความรู้สึกออกมา. ถ้าดูเหมือนเขาไม่อยากพูด ก็ลองใช้บท 16 ในหนังสือนี้คุยกับเขา. ให้พูดถึงความทรงจำดี ๆ ของคุณกับผู้ตาย. บอกลูกว่าการที่คุณอยู่โดยไม่มีคู่ชีวิตนั้นลำบากขนาดไหน. เมื่อลูกได้ยินคุณพรรณนาความรู้สึกออกมา เขาจะทำอย่างเดียวกัน.
● ยอมรับขีดจำกัดของตัวเอง. ในช่วงที่ลำบากเช่นนี้ แน่นอนคุณคงอยากจะเกื้อหนุนลูก. แต่อย่าลืมว่า ตัวคุณเองก็ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการสูญเสียคนรัก. ตอนนี้ร่างกาย จิตใจและอารมณ์ของคุณคงไม่เข้มแข็งเท่าไร. (สุภาษิต 24:10) ดังนั้น คุณอาจต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เช่น คนในครอบครัวและเพื่อน ๆ. การทำอย่างนี้แสดงว่าคุณเป็นคนรอบคอบ. สุภาษิต 11:2 บอกว่า “ปัญญาย่อมอาศัยอยู่กับผู้ถ่อมลง.”
พระยะโฮวาพระเจ้าเป็นผู้ที่เกื้อหนุนคุณได้ดีที่สุด พระองค์สัญญากับผู้ที่นมัสการพระองค์ว่า “เรา, ยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า, กำลังยึดมือข้างขวาของเจ้าอยู่, กำลังกล่าวแก่เจ้าว่า, ‘อย่ากลัวเลย, เราจะช่วยเจ้า.’”—ยะซายา 41:13
ดูเล่ม 1 บท 16
ถ้าลูกหมกมุ่นแต่เรื่องไดเอ็ต ฉันจะช่วยเขาได้อย่างไร?
ถ้าลูกคุณมีความผิดปกติด้านการกิน คุณจะทำอย่างไร? ประการแรก ให้พยายามเข้าใจว่าทำไม เขาถึงมีพฤติกรรมแบบนี้.
มีการสังเกตว่า หลายคนที่มีความผิดปกติด้านการกินมักไม่พอใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง ต้องการให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ และคาดหมายจากตัวเองสูงเกินไป. ดังนั้น คุณต้องระวังอย่าทำให้ลูกคิดอย่างนั้น แต่ควรช่วยเขาให้มีความมั่นใจในตัวเอง.—1 เทสซาโลนิเก 5:11
ลองสังเกตทัศนะของคุณเองในเรื่องอาหารและน้ำหนักตัว. คุณเน้นเรื่องพวกนี้มากเกินไปทั้งในคำพูดและการกระทำโดยไม่รู้ตัวไหม? จำไว้ว่า หนุ่มสาวเซ็นซิทีฟมากในเรื่องรูปร่างหน้าตาของตน. ดังนั้น การล้อลูกว่า “ตุ้ยนุ้ย” หรือพูดว่าเขาโตเร็วผิดปกติอาจทำให้เขาฝังใจกับความคิดนี้ไปตลอด.
เมื่อคุณอธิษฐานและคิดเรื่องนี้อย่างรอบคอบแล้ว ก็ให้เปิดอกคุยกับลูก. เพื่อจะทำอย่างนั้นได้ คุณควร
● คิดให้ดีว่าคุณจะพูดอะไรและพูดเมื่อไร
● อธิบายให้ชัดเจนว่า คุณเป็นห่วงและอยากช่วยเขา.
● อย่าแปลกใจถ้าลูกไม่ยอมรับฟังในตอนแรก
● ฟังด้วยความอดทน
ที่สำคัญที่สุด ทั้งครอบครัวต้องร่วมใจทำงานกันเป็นทีม เพื่อช่วยลูกให้เอาชนะปัญหานี้ได้.
ดูเล่ม 1 บท 10 กับเล่ม 2 บท 7
เรื่องความเชื่อ
เมื่อลูกโตเป็นวัยรุ่นแล้ว ฉันจะยังสอนเรื่องพระเจ้าแก่เขาได้อย่างไร?
คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าติโมเธียวได้รับการฝึกอบรมให้รักพระเจ้า “ตั้งแต่เป็นทารก” และคุณซึ่งเป็นพ่อแม่คงได้สอนลูกแบบนั้นมาแล้ว. (2 ติโมเธียว 3:15) แต่ตอนนี้ลูกคุณโตเป็นวัยรุ่น คุณต้องปรับเปลี่ยนวิธีอบรมให้เข้ากับสภาพการณ์ใหม่. เมื่อเด็กโตขึ้น เขาจะเริ่มเข้าใจเรื่องที่ลึกซึ้งและซับซ้อนมากขึ้น. ดังนั้น ตอนนี้แหละคุณต้องช่วยเขาให้มี “ความสามารถในการใช้เหตุผล.”—โรม 12:1
เมื่อเขียนถึงติโมเธียว เปาโลพูดถึงสิ่งที่ติโมเธียวได้ ‘เรียนรู้และได้รับการช่วย ให้เชื่อมั่นว่าเป็นความจริง.’ (2 ติโมเธียว 3:14) ตอนนี้ลูกวัยรุ่นจำเป็นต้อง “ได้รับการช่วยให้เชื่อมั่น” ในความจริงของพระคัมภีร์ที่เขาเรียนมาตั้งแต่เป็นทารก. เพื่อเข้าถึงหัวใจของลูก แค่คุณบอกว่าเขาต้องทำอะไรหรือเชื่ออะไรเท่านั้นไม่พอ. เขาต้องหาเหตุผลด้วยตัวเอง. คุณจะช่วยได้อย่างไร? โดยให้เขามีเวลาคิดหาเหตุผลเกี่ยวกับคำถามต่าง ๆ และมาพูดคุยกับคุณ. คุณอาจให้เขาถามตัวเองดังนี้:
● อะไรทำให้ฉันเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง?—โรม 1:20
● ฉันรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่พ่อแม่สอนฉันจากพระคัมภีร์เป็นความจริง?—กิจการ 17:11
● อะไรทำให้ฉันเชื่อว่ามาตรฐานของพระคัมภีร์มีประโยชน์ต่อฉัน?—ยะซายา 48:17, 18
● ฉันรู้ได้อย่างไรว่าคำพยากรณ์ที่มีบอกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลจะสำเร็จเป็นจริง?—ยะโฮซูอะ 23:14
● อะไรทำให้ฉันเชื่อว่า ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเทียบได้กับ “คุณค่าอันเลิศล้ำแห่งความรู้เรื่องพระคริสต์เยซู”?—ฟิลิปปอย 3:8
● เครื่องบูชาไถ่ของพระคริสต์สำคัญต่อฉัน อย่างไร?—2 โครินท์ 5:14, 15; กาลาเทีย 2:20
คุณอาจลังเลที่จะถามลูกวัยรุ่นด้วยคำถามเหล่านี้เพราะกลัวเขาตอบไม่ได้. ถ้าอย่างนั้น ก็เหมือนคุณลังเลไม่กล้าดูหน้าปัดรถเพราะกลัวจะเห็นว่าน้ำมันหมด. ที่จริง ถ้าคุณรู้ก่อนตอนที่ยังแก้ไขได้น่าจะดีกว่า. ทำนองเดียวกัน ตอนนี้เมื่อลูกวัยรุ่นยังอยู่กับคุณ คุณน่าจะช่วยเขาให้ค้นคว้าหาคำตอบในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อและ ‘ช่วยเขาให้เชื่อมั่น.’d
จำไว้ว่า ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรถ้าลูกคุณสงสัยว่า “สิ่งที่ฉันเชื่อเป็นความจริง ไหม?” ไดแอน อายุ 22 จำได้ว่าเธอเคยสงสัยแบบนี้ตอนเป็นวัยรุ่น. เธอเล่าว่า “ฉันอยากมั่นใจว่าฉันเชื่อถูกต้อง. ฉันเลยพยายามหาคำตอบที่ชัดเจนและหนักแน่น ในที่สุดการทำอย่างนี้ทำให้ฉันอยาก เป็นพยานพระยะโฮวา. เมื่อมีคนถามว่าทำไมฉันไม่ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ฉันจะไม่ตอบว่า ‘ศาสนา ฉันไม่ให้ทำ’ แต่จะตอบว่า ‘ฉัน คิดว่ามันไม่ถูก ฉันเลยไม่ทำ.’ ฉันเชื่อมั่นว่าสิ่งที่พระคัมภีร์บอกถูกต้องเสมอ.”
คำแนะนำ: เพื่อช่วยลูกวัยรุ่นให้หาเหตุผลเกี่ยวกับมาตรฐานของพระคัมภีร์ คุณอาจให้เขาสวมบทบาทเป็นพ่อแม่เพื่อจัดการกับปัญหา. ตัวอย่างเช่น ถ้าลูกคุณขอไปงานปาร์ตีซึ่งคุณ (และอาจจะลูกด้วย) รู้ว่าไม่ควรไป. แทนที่จะบอกว่าไม่ให้ไป คุณน่าจะพูดแบบนี้ ‘ลูกลองมาเป็นพ่อ (แม่) สิ. ทีนี้ให้คิดถึงงานปาร์ตีที่ลูกอยากไปและลองค้นคว้าดู (อาจใช้บท 37 ในเล่มนี้กับบท 32 ในเล่ม 2) แล้วพรุ่งนี้เรามาคุยกัน. พ่อ (แม่) จะแสดงเป็นลูกและขอไปงานปาร์ตี แล้วให้ลูกมาแสดงเป็นพ่อ (แม่) และบอกว่าควรไปงานปาร์ตีไหม.’
ดูเล่ม 1 บท 38 กับเล่ม 2 บท 34-36
ถ้าตอนนี้ลูกวัยรุ่นไม่ค่อยสนใจความจริง เราจะทำอย่างไร?
ประการแรก อย่าด่วนสรุปว่าลูกวัยรุ่นทิ้งความเชื่อไปแล้ว. ในกรณีส่วนใหญ่ มักมีปัญหาซ่อนอยู่. ตัวอย่างเช่น วัยรุ่นอาจ
● เจอความกดดันจากเพื่อนจึงไม่กล้าทำตามหลักการในพระคัมภีร์เพราะกลัวจะไม่เหมือนคนอื่น
● เห็นหนุ่มสาวคนอื่น (หรือพี่น้องของตน) ก้าวหน้าดี และคิดว่าตัวเองทำอย่างนั้นไม่ได้
● รู้สึกเหงาที่ไม่มีเพื่อนเพราะเข้ากับพี่น้องคริสเตียนไม่ได้
● เห็นหนุ่มสาว “คริสเตียน” บางคนใช้ชีวิตแบบตีสองหน้า
● พยายามค้นหาตัวเองว่าต้องการอะไรจริง ๆ แล้วเริ่มสงสัยสิ่งที่พ่อแม่เชื่อ
● เห็นเพื่อนนักเรียนทำผิดแล้วไม่ได้รับผลเสียอะไร
● อยากเอาใจพ่อหรือแม่ที่ไม่เชื่อ
เห็นได้ชัดว่า ปัญหาที่พูดถึงนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลักคำสอน. แต่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเขา ทำให้เขารู้สึกว่าการทำตามความเชื่อในช่วงนี้ก็ยาก. ดังนั้น คุณจะช่วยลูกได้อย่างไร?
โอนอ่อนผ่อนตาม แต่ไม่อะลุ่มอล่วย. ให้พยายามเข้าใจว่าอะไรทำให้ลูกท้อใจ และปรับเปลี่ยนปัจจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อลูกคุณจะสบายใจและก้าวหน้าขึ้น. (สุภาษิต 16:20) ตัวอย่างเช่น คุณอาจใช้ “แผนรับมือกับความกดดันจากเพื่อน ๆ” ที่อยู่ในเล่ม 2 หน้า 132 และ 133 เพื่อช่วยลูกให้มั่นใจมากขึ้นและกล้ายืนหยัดทำตามหลักการในพระคัมภีร์โดยไม่แคร์เพื่อน. หรือถ้าลูกคุณรู้สึกเหงา คุณอาจต้องช่วยเขาหาเพื่อนดี ๆ.
หาคนช่วยลูก. บางครั้ง ถ้ามีคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวมาช่วยหนุนกำลังใจหนุ่มสาวก็จะดี. คุณรู้จักใครไหมที่รักพระเจ้าซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้ลูกคุณได้? ลองขอเขาช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกคุณดีไหม? แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะโยนหน้าที่รับผิดชอบให้คนอื่น. ลองคิดถึงติโมเธียวสิ. ท่านได้รับประโยชน์มากมายจากตัวอย่างของอัครสาวกเปาโล และเปาโลเองก็ได้รับประโยชน์อย่างมากจากการมีติโมเธียวเป็นเพื่อน.—ฟิลิปปอย 2:20, 22
ตราบใดที่ลูกยังอยู่กับคุณ คุณมีสิทธิ์บอกเขาให้เข้าร่วมกิจกรรมคริสเตียนกับคุณ. แต่สิ่งสำคัญคือ การช่วยลูกให้รักพระเจ้าจากหัวใจ ไม่ใช่ทำตามคุณเหมือนหุ่นยนต์. คุณควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเพื่อเขาจะรับเอาศาสนาแท้. อย่าคาดหมายจากลูกมากเกินไป. ช่วยหาพี่เลี้ยงและเพื่อนดี ๆ ที่เสริมสร้างลูก. แล้วสักวัน ลูกวัยรุ่นของคุณจะพูดเหมือนกับผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญที่ว่า “พระยะโฮวาเป็นศิลา, เป็นป้อม, และผู้ช่วยข้าพเจ้า ให้รอด.”—บทเพลงสรรเสริญ 18:2
ดูเล่ม 1 บท 39 กับเล่ม 2 บท 37 และ 38
[เชิงอรรถ]
a แต่อย่าทำให้ลูกรู้สึกผิดเพื่อกระตุ้นเขาให้เชื่อฟังคุณ.
b ลูกวัยรุ่นมักรู้สึกไวเมื่อมีคนทักเรื่องรูปร่าง ดังนั้น ระวังอย่าพูดในเชิงตำหนิเกี่ยวกับรูปร่างของเขา.
c ดูหน้า 315-318.
d บท 36 ในเล่ม 2 จะช่วยลูกวัยรุ่นให้หาเหตุผลจนเขามั่นใจว่าพระเจ้ามีอยู่จริง.