-
ฉันพร้อมจะมีแฟนไหม?คำถามที่หนุ่มสาวถาม—คำตอบที่ได้ผล เล่ม 2
-
-
บท 1
ฉันพร้อมจะมีแฟนไหม?
“ใคร ๆ เขามีแฟนกัน ฉันก็อยากมีบ้าง. แถมหนุ่มหล่อ ๆ ยังมีอีกเพียบ.”—วิตนีย์
“สาว ๆ บางคนตื้ออยากเป็นแฟนผมและผมเองก็ชอบ. แต่ถ้าถามพ่อแม่ ผมว่าพวกเขาต้องไม่เห็นด้วยแน่ ๆ.”—ฟิลิป
คุณคงอยากมีคนพิเศษและอยากเป็น คนพิเศษสำหรับใครบางคน. ถึงแม้คุณอายุยังน้อย แต่ความรู้สึกนั้นรุนแรงมาก. เจนิเฟอร์บอกว่า “ฉันเริ่มอยากมีแฟนตอนอายุ 11.” บริตทานีก็บอกว่า “ที่โรงเรียน ถ้าไม่มีแฟน คุณจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนประหลาด.”
แล้วคุณล่ะ คุณ พร้อมจะมีแฟนไหม? ก่อนอื่น ให้เรามาพิจารณาคำถามต่อไปนี้.
แบบไหนถึงเรียกว่า “เป็นแฟนกัน”?
ให้ขีด ✔ หน้าคำตอบของคุณ.
ถ้าคุณออกไปเที่ยวกับเพศตรงข้ามคนเดิมเป็นประจำ. คุณกับเขาเป็นแฟนกันไหม?
□ ใช่
□ ไม่ใช่
คุณชอบกับเพศตรงข้ามคนหนึ่ง พวกคุณส่งเอสเอ็มเอสหรือโทรคุยกันวันละหลาย ๆ ครั้ง. คุณกับเขาเป็นแฟนกันไหม?
□ ใช่
□ ไม่ใช่
ทุกครั้งที่ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ คุณมักจับคู่กับเพศตรงข้ามคนเดิม. คุณกับเขาเป็นแฟนกันไหม?
□ ใช่
□ ไม่ใช่
คุณคงตอบคำถามข้อแรกได้ไม่ยาก. แต่สำหรับข้อสองและสาม คุณอาจต้องหยุดคิดสักนิด. จริง ๆ แล้วการเป็นแฟนกันหมายถึง อะไร? คือการที่คุณชอบคนคนหนึ่งแล้วคนนั้นก็ชอบคุณ และคุณทั้งสองอยากอยู่ใกล้ชิดกัน ไปเที่ยวหรือไปไหนต่อไหนด้วยกัน. ดังนั้น คำตอบสำหรับทั้งสามข้อก็คือใช่. ถ้าคุณกับเพื่อนต่างเพศชอบกันเป็นพิเศษและติดต่อกันเป็นประจำทางโทรศัพท์หรือพบหน้ากัน ไม่ว่าจะเปิดเผยหรือแอบ ๆ คุณทั้งสองก็เป็นแฟนกัน. คุณพร้อมไหม? เพื่อจะรู้คำตอบ ให้เรามาพิจารณาคำถามสามข้อต่อไปนี้.
ทำไมคุณอยากมีแฟน?
ในหลายวัฒนธรรม เป็นเรื่องปกติที่ชายหญิงจะคบกันเพื่อรู้จักกันมากขึ้น. แต่การคบกันเป็นแฟนต้องมีเป้าหมายที่ดีคือเพื่อช่วยหนุ่มสาวคู่นั้นให้ตัดสินใจได้ว่าเขาจะแต่งงานกันไหม.
แต่เพื่อนคุณบางคนอาจมองว่านี่เป็นเรื่องเล่น ๆ ไม่สำคัญอะไร. พวกเขาอยากมีคนพิเศษโดยไม่คิดจะแต่งงานด้วย. บางคนแย่กว่านั้น เขาถือว่าการมีแฟนเป็นเหมือนถ้วยรางวัลหรือเครื่องประดับที่มีไว้อวดใครต่อใคร. ความสัมพันธ์แบบนี้มักอยู่ได้ไม่นานเดี๋ยวก็เลิก. เฮเทอร์บอกว่า “หนุ่มสาวหลายคนคบกันแค่อาทิตย์สองอาทิตย์ก็เลิก. พวกเขาถือว่าเป็นแค่ความสัมพันธ์ชั่วคราว ถ้าเขาแต่งงานกันก็คงจะหย่ากันง่าย ๆ.”
ถ้าคุณคบคนหนึ่งเป็นแฟน แน่นอนว่าคุณกับคนนั้นคงรู้สึกผูกพันกัน. ดังนั้น อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล่น ๆ. ลองคิดดูว่า คุณอยากให้คนอื่นเล่นกับความรู้สึกของคุณเหมือนเป็นของเล่น พอเบื่อก็โยนทิ้งไปไหม? เชลซีบอกว่า “บางทีฉันก็อยากคบใครเล่น ๆ แต่ถ้าคนหนึ่งจริงจัง อีกคนเล่น ๆ คงต้องมีคนเจ็บ.”
คุณอายุเท่าไร แล้ว?
คุณคิดว่าน่าจะอายุเท่าไรถึงมีแฟนได้? ․․․․․
พ่อแม่คิดว่าน่าจะอายุเท่าไร? ․․․․․
คำตอบของคุณคงน้อยกว่าพ่อแม่. หรือถ้าคำตอบของคุณมากกว่าพ่อแม่แสดงว่าคุณเป็นคนรู้จักคิด อยากรอให้โตพอที่จะรู้จักตัวเองก่อนถึงจะมีแฟน. ดานเยลล์ อายุ 17 ตั้งใจทำอย่างนั้น. เธอบอกว่า “เมื่อเทียบกับสองปีที่แล้ว ความคิดของฉันในเรื่องคุณสมบัติของคนที่จะมาเป็นคู่ครองเปลี่ยนไปมาก. แม้แต่ตอนนี้ ฉันยังไม่ค่อยกล้าตัดสินใจด้วยซ้ำ. ฉันคิดว่าจะรออีกสักสองสามปีจนกว่าตัวเองจะมีอารมณ์ที่มั่นคงแล้วค่อยคิดเรื่องมีแฟน.”
นอกจากนั้น ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง. คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า ถ้าคิดจะแต่งงานควรให้ “เลยวัยหนุ่มสาวไป.” (1 โครินท์ 7:36) ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่มีความรู้สึกทางเพศและอารมณ์โรแมนติกรุนแรง. ถ้าคุณสนิทและไปไหนมาไหนกับเพศตรงข้ามคนหนึ่งบ่อย ๆ นั่นจะปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศให้มีมากขึ้นและอาจทำผิดศีลธรรมได้. เพื่อน ๆ คุณอาจไม่แคร์. หลายคนอยากลองมีเซ็กซ์. แต่คุณคงไม่คิดอย่างนั้น. (โรม 12:2) พระคัมภีร์เตือนเราให้ “หลีกหนีจากการผิดศีลธรรมทางเพศ.” (1 โครินท์ 6:18, ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) ถ้าคุณรอให้เลยวัยหนุ่มสาวไปก่อน คุณจะ “พ้นจากความทุกข์ยากลำบาก.”—ท่านผู้ประกาศ 11:10, ล.ม.
คุณพร้อมจะแต่งงานไหม?
เพื่อจะรู้ว่าพร้อมหรือไม่ ให้พิจารณาตัวเองในเรื่องต่อไปนี้.
ความสัมพันธ์กับคนอื่น. คุณปฏิบัติกับพ่อแม่พี่น้องอย่างไร? คุณมักอารมณ์เสียแล้วพูดแรง ๆ หรือพูดประชดประชันพวกเขาไหม? พวกเขา พูดถึงคุณอย่างไรในเรื่องนี้? ตอนนี้คุณปฏิบัติกับคนในบ้านอย่างไรอีกหน่อยคุณก็จะปฏิบัติกับคู่ของคุณอย่างนั้น.—อ่านเอเฟโซส์ 4:31
นิสัย. คุณมองโลกในแง่ดีหรือแง่ร้าย? คุณเป็นคนมีเหตุผลหรือเอาแต่ใจตัวเอง? เมื่อเจอสภาพที่กดดัน คุณใจเย็นและอดทนไหม? ถ้าตอนนี้คุณพยายามปรับปรุงนิสัยให้ดีขึ้น ต่อไปคุณจะเป็นสามีหรือภรรยาที่ดี.—อ่านกาลาเทีย 5:22, 23
การเงิน. คุณบริหารจัดการเรื่องเงินได้ดีไหม? คุณเป็นหนี้บ่อยไหม? คุณเปลี่ยนงานบ่อยไหม? ถ้าใช่ เป็นเพราะอะไร? ปัญหาอยู่ที่งานไหมหรือเป็นเพราะนายจ้าง? หรือเพราะคุณมีนิสัยบางอย่างที่ต้องปรับปรุง? ถ้าคุณยังบริหารเงินของตัวเองไม่ได้ แล้วจะบริหารเงินของทั้งครอบครัวได้อย่างไร?—อ่าน 1 ติโมเธียว 5:8
ความสัมพันธ์กับพระเจ้า. ถ้าคุณเป็นพยานพระยะโฮวา ความสัมพันธ์ของคุณกับพระยะโฮวาเป็นอย่างไร? คุณอ่านพระคัมภีร์ ไปประชุม ไปประกาศเองโดยไม่ต้องให้พ่อแม่มาคอยกระตุ้นไหม? การมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าจะช่วยคุณให้เป็นคู่สมรสที่ดี.—อ่านท่านผู้ประกาศ 4:9, 10
คุณน่าจะทำอะไรก่อน?
การถูกกดดันให้มีแฟนทั้ง ๆ ที่ยังไม่พร้อมคล้ายกับการถูกบังคับให้สอบวิชาที่คุณเพิ่งเรียน. มันไม่แฟร์ใช่ไหม? ที่จริง คุณต้องมีเวลาศึกษาวิชานั้นให้เข้าใจก่อนจึงจะทำข้อสอบได้.
การมีแฟนก็เหมือนกันไม่ใช่เรื่องเล็ก. ดังนั้น ก่อนที่คุณจะมีแฟน คุณต้องมีเวลาศึกษา “วิชา” ที่สำคัญมาก คือวิธีสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น. แล้วเมื่อคุณพบคนที่ใช่ คุณก็พร้อมจะสร้างสายสัมพันธ์ที่มั่นคงกับเขา. ขอให้จำไว้ว่า เพื่อชีวิตสมรสจะมีความสุข ทั้งสองต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน.
การรอให้โตสักหน่อยแล้วค่อยมีแฟนไม่ได้ทำให้คุณขาดอิสระ. แต่กลับทำให้คุณมีอิสระมากขึ้น ที่จะ “ชื่นชมกับวัยหนุ่มสาว.” (ท่านผู้ประกาศ 11:9, ล.ม.) คุณจะได้มีเวลาปรับปรุงนิสัยใจคอและสายสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้าให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด.—บทเพลงร้องทุกข์ของยิระมะยา 3:27
ระหว่างนี้คุณก็คบเพื่อนที่เป็นเพศตรงข้ามได้. แต่จะคบอย่างไรล่ะ? ให้คบกันเป็นกลุ่มโดยมีผู้ใหญ่คอยดูแล. แทมมีบอกว่า “ฉันคิดว่าคบกันเป็นกลุ่มสนุกกว่า. การมีเพื่อนเยอะ ๆ ก็ดีกว่าด้วย.” โมนิกาก็รู้สึกอย่างนั้น เธอบอกว่า “การคบกันเป็นกลุ่มเป็นวิธีที่ดี ทำให้เรารู้จักคนหลากหลาย.”
แต่ถ้าคุณสนใจแค่คนคนเดียวตั้งแต่อายุยังน้อย คุณอาจอกหักได้. ดังนั้น อย่ารีบร้อน. ให้ใช้เวลาช่วงนี้ฝึกสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น. อีกหน่อยถ้าคุณคิดจะมีแฟน คุณก็จะรู้จักตัวเองดีขึ้นและรู้ว่าคุณอยากได้คู่ชีวิตแบบไหน.
เชิญอ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมได้ในเล่ม 1 บท 29 และ 30
คุณอยากมีแฟนโดยไม่ให้พ่อแม่รู้ไหม? การทำอย่างนั้นอันตรายกว่าที่คุณคิดไว้.
ข้อคัมภีร์หลัก
‘คนฉลาดย่อมมองดูทางเดินของตนด้วยความระวัง.’—สุภาษิต 14:15
ข้อแนะ
ถ้าคุณคิดจะมีแฟนและแต่งงาน ให้อ่าน 2 เปโตร 1:5-7 เลือกสักคุณลักษณะหนึ่งที่คุณควรปรับปรุง. เมื่อผ่านไปหนึ่งเดือน ให้ดูว่าคุณได้ปรับปรุงคุณลักษณะนั้นไปมากน้อยแค่ไหน.
คุณรู้ไหม . . . ?
จากการศึกษาวิจัยชี้ให้เห็นว่า คู่สมรสที่แต่งงานก่อนอายุ 20 ส่วนใหญ่มักหย่าร้างกันภายในห้าปี.
แผนปฏิบัติการ
ก่อนแต่งงาน ฉันต้องปรับปรุงคุณลักษณะต่อไปนี้ ․․․․․
ฉันจะปรับปรุงได้โดย ․․․․․
สิ่งที่ฉันอยากถามพ่อแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ․․․․․
คุณคิดอย่างไร?
● คุณจะคบเพศตรงข้ามอย่างไรถึงเหมาะสม?
● ถ้าน้องคุณอายุยังน้อยแต่อยากมีแฟน คุณจะหาเหตุผลกับเขาอย่างไร?
● ถ้าคุณคบใครสักคนโดยไม่คิดจะแต่งงานด้วย คนนั้นจะรู้สึกอย่างไร?
[คำโปรยหน้า 18]
“ฉันคิดว่าคนที่จะเป็นแฟนฉันต้องเป็นคนพิเศษจริง ๆ และฉันอยากใช้ชีวิตอยู่กับเขาตลอดไป ต้องเป็นคนที่ฉันชอบจริง ๆ ไม่ใช่ใครก็ได้.”—แอมเบอร์
[ภาพหน้า 16, 17]
ถ้าคุณคบใครโดยไม่คิดจะแต่งงาน คุณก็เป็นเหมือนเด็กที่เห่อของเล่นใหม่ พอเบื่อก็ทิ้งไป
-
-
แอบคบกันเสียหายตรงไหน?คำถามที่หนุ่มสาวถาม—คำตอบที่ได้ผล เล่ม 2
-
-
บท 2
แอบคบกันเสียหายตรงไหน?
เจสซิกาลำบากใจไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร. เริ่มจากเพื่อนร่วมชั้นชื่อเจเรมีแสดงความสนใจเธอ. เธอเล่าว่า “เขาหล่อมาก แถมเพื่อน ๆ ยังบอกว่าฉันไม่มีทางได้เจอหนุ่มที่ดีกว่านี้อีกแล้ว. สาว ๆ หลายคนอยากเป็นแฟนเขาแต่เขาไม่สน เขาสนใจฉันคนเดียว.”
ไม่นานหลังจากนั้น เจเรมีก็เริ่มชวนเจสซิกาไปเที่ยว. เจสซิกาบอกเจเรมีว่าเธอเป็นพยานพระยะโฮวาและพ่อแม่ไม่ให้เธอคบกับคนที่ไม่มีความเชื่อ. เธอเล่าว่า “เจเรมีจึงเสนอให้เราแอบคบกันโดยไม่ต้องให้พ่อแม่รู้.”
ถ้าคนที่คุณ ชอบชวนคุณแบบนี้ คุณจะทำอย่างไร? คุณคงคิดไม่ถึงว่าเจสซิกาจะยอมทำตามแผนของเจเรมี. เจสซิกาบอกว่า “ถ้าฉันเป็นแฟนเขา ฉันคงช่วยเขาให้รู้จักพระยะโฮวาและรักพระองค์ได้แน่.” ผลเป็นอย่างไร? เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน. แต่ก่อนอื่นให้มาดูว่า ทำไมบางคนแอบคบกันแบบลับ ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ถูก.
ทำไมพวกเขาทำแบบนี้?
ทำไมบางคนถึงแอบ มีแฟน? เดวิดพูดได้ตรงจุดว่า “พวกเขาไม่บอกพ่อแม่เพราะรู้ว่าพ่อแม่จะไม่ยอม.” เจนพูดถึงอีกเหตุผลหนึ่งว่า “การแอบมีแฟนแสดงว่าคุณเป็นตัวของตัวเอง. คุณรู้สึกว่าตัวเองโตแล้วแต่พ่อแม่ยังทำเหมือนคุณเป็นเด็ก คุณจึงตัดสินใจว่าจะทำอะไรเองโดยไม่บอกพ่อแม่.”
คุณคิดว่ามีเหตุผลอะไรอีกที่ทำให้บางคนแอบมีแฟน?
․․․․․
คุณรู้ว่าพระคัมภีร์สั่งให้คุณเชื่อฟังพ่อแม่. (เอเฟโซส์ 6:1) และถ้าพ่อแม่ไม่ยอมให้คุณมีแฟน พวกเขาคงมีเหตุผลที่ดี. แต่บางครั้งคุณอาจรู้สึกอย่างนี้.
● ทุกคนมีแฟนกันหมด แต่ฉันไม่มี. ฉันไม่เหมือนเพื่อน ๆ.
● ฉันชอบคนที่ไม่ได้เป็นพยานฯ.
● ฉันอยากมีแฟนเป็นพยานฯ แต่ก็ยังเด็กเกินไป.
คุณคงรู้ว่าพ่อแม่จะว่าอย่างไรกับความคิดข้างบนและลึก ๆ คุณรู้ว่าพ่อแม่เป็นฝ่ายถูก. แต่คุณอาจรู้สึกเหมือนมานามิ เธอบอกว่า “เป็นไปไม่ได้ที่วัยรุ่นในทุกวันนี้จะไม่มี แฟน. ฉันเองก็อยากมีแฟน. ฉันจึงรู้สึกกดดันมาก จนบางครั้งเริ่มสงสัยว่าตัวเองคิดถูกไหมที่ไม่ยอมมีแฟน.” เมื่อเจอความกดดันแบบนี้ บางคนจึงเริ่มแอบมีแฟนโดยไม่ให้พ่อแม่รู้. เขาทำกันอย่างไร?
“ให้ปิดเป็นความลับ”
คำว่า “แอบคบกัน” แสดงว่าต้องมีการโกหกหลอกลวงรวมอยู่ด้วย ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ. บางคนแอบติดต่อกันทางโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ตโดยไม่ให้ใครรู้. เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น เขาจะทำเหมือนเป็นเพื่อนธรรมดา แต่เมื่อติดต่อกันทางโทรศัพท์ อีเมล หรือเอสเอ็มเอส กลับต่างกันอย่างลิบลับ.
อีกวิธีหนึ่งที่ทำกันคือ จัดไปเที่ยวหรือสังสรรค์กันเป็นกลุ่มจากนั้นค่อยแยกออกมาเป็นคู่. เจมส์เล่าว่า “ครั้งหนึ่งมีคนชวนพวกเราไปเที่ยวทั้งกลุ่ม พอไปถึงฉันจึงรู้ว่าพวกเขาทำอย่างนี้เพื่อช่วยเพื่อนสองคนให้ได้อยู่ด้วยกัน แล้วบอกพวกเราว่าให้ปิดเป็นความลับ.”
อย่างที่เจมส์บอก คนที่แอบคบกันมักมีเพื่อน ๆ คอยให้ความร่วมมือด้วย. แครอลบอกว่า “ส่วนใหญ่แล้ว มีเพื่อนอย่างน้อยหนึ่งคนที่รู้แผนการนั้นแต่ไม่ยอมบอกใครเพราะกลัวเพื่อนจะโกรธ.” บางครั้งก็มีการโกหกกัน. เบท อายุ 17 บอกว่า “หลายคนต้องโกหกเพื่อไม่ให้พ่อแม่รู้ว่าเขาแอบไปเที่ยวกับแฟน.” มิซากิ อายุ 19 เคยทำอย่างนั้น. เธอเล่าว่า “ฉันต้องระวังตอนโกหกพ่อแม่. ฉันบอกความจริงทุกอย่าง แค่ไม่ได้บอกว่ามีแฟนไปด้วยเพื่อพ่อแม่จะยังไว้ใจฉัน.”
อันตรายของการแอบคบกัน
ถ้าตอนนี้คุณแอบคบใครอยู่หรืออยากทำแบบนั้น ให้ถามตัวเองด้วยคำถามสองข้อต่อไปนี้.
จะมีผลอะไรตามมา? คุณตั้งใจจะแต่งงานกับคนนั้นเร็ว ๆ นี้ไหม? อีวาน อายุ 20 บอกว่า “การคบกันโดยไม่คิดจะแต่งงานเป็นเหมือนการโฆษณาของที่คุณไม่อยากขาย.” ผลเป็นอย่างไร? สุภาษิต 13:12 (ล.ม.) บอกว่า “ความคาดหมายที่ถูกเลื่อนออกไปทำให้ทุกข์ใจ.” คุณอยากให้คนที่คุณแคร์รู้สึกทุกข์ใจจริง ๆ ไหม? อันตรายอีกอย่างหนึ่งคือ พ่อแม่และผู้ใหญ่ที่เป็นห่วงคุณไม่รู้ว่าคุณแอบคบเพศตรงข้ามอยู่ พวกเขาจึงไม่ได้คอยชี้แนะทำให้คุณมีโอกาสทำผิดศีลธรรมทางเพศได้ง่าย.—กาลาเทีย 6:7
พระยะโฮวาพระเจ้ารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่ฉันทำ? พระคัมภีร์บอกว่า “ทุกสิ่งถูกเปิดเผยและปรากฏแจ้งแก่พระเนตรของพระองค์ผู้ซึ่งเราต้องให้การ.” (ฮีบรู 4:13) ถึงแม้คุณพยายามปิดเรื่องที่คุณหรือเพื่อนแอบมีแฟน แต่พระยะโฮวาก็รู้. และถ้าคุณโกหกจะยิ่งแย่เพราะพระยะโฮวาพระเจ้าเกลียดการโกหก. “ลิ้นพูดปด” อยู่ในอันดับต้น ๆ เมื่อพระคัมภีร์พูดถึงสิ่งที่พระองค์รังเกียจ.—สุภาษิต 6:16-19
อย่าปกปิดเลย
ถ้าตอนนี้คุณแอบคบใครอยู่ก็ควรบอกให้พ่อแม่หรือพี่น้องคริสเตียนที่คุณนับถือรู้. และถ้าเพื่อนคุณแอบมีแฟน ก็อย่าช่วยเขาปกปิด. (1 ติโมเธียว 5:22) ถ้าคุณช่วยเขาปกปิดแล้วมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น คุณจะรู้สึกอย่างไร? คุณต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วยมิใช่หรือ?
สมมุติว่าเพื่อนคุณเป็นเบาหวานและแอบกินของหวาน. คุณจะทำอย่างไรถ้าเพื่อนขอให้คุณช่วยเก็บเป็นความลับ? คุณจะช่วยเขาปกปิดหรือช่วยชีวิตเขาโดยลงมือทำอะไรบางอย่าง?
คล้ายกันคุณต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรถ้ารู้ว่าเพื่อนกำลังแอบมีแฟน. อย่ากลัวว่าจะเสียเพื่อน. เมื่อเวลาผ่านไป เพื่อนแท้จะรู้ว่าที่คุณทำแบบนั้นก็เพื่อประโยชน์ของเขา.—บทเพลงสรรเสริญ 141:5
แอบคบหรือเรื่องส่วนตัว?
การที่ชายหญิงคบกันอย่างไม่เปิดเผยไม่ได้เป็นการโกหกหลอกลวงเสมอไป เช่น บางคู่อยากรู้จักกันก่อนสักช่วงหนึ่งแต่ก็ไม่อยากให้หลายคนรู้. ทำไมล่ะ? อย่างที่โทมัสบอก อาจเพราะ “ไม่อยากถูกแซวว่า ‘เมื่อไรจะแต่งงานสักที?’”
การถูกคนอื่นกดดันจะทำให้เกิดผลเสีย. (เพลงไพเราะ 2:7) ในช่วงแรกที่คบกัน บางคนจึงตั้งใจไม่ให้คนอื่นรู้. (สุภาษิต 10:19) แอนนา อายุ 20 บอกว่า “การทำแบบนี้ทำให้ทั้งคู่มีเวลาตัดสินใจว่าจะเข้ากันได้ไหม. ถ้าคิดว่าเข้ากันได้ ค่อย บอกคนอื่น.”
ขณะเดียวกันก็ไม่ควรปิดบังพ่อแม่ของคุณหรือพ่อแม่ของแฟนเพราะพวกเขามีสิทธิ์จะรู้. ถ้าคุณไม่อยากบอก คุณน่าจะถามตัวเองว่าเพราะอะไร. หรือคุณรู้อยู่แก่ใจว่าถ้าบอกไป พ่อแม่คงไม่ยอมให้คบกันใช่ไหม?
‘ฉันรู้ว่าต้องทำอย่างไร’
ในตอนต้นเราพูดถึงเจสซิกาที่แอบคบกับเจเรมี แต่ต่อมาเธอเปลี่ยนใจหลังจากได้คุยกับคริสเตียนคนหนึ่งที่เคยแอบมีแฟนเหมือนเธอ. เจสซิกาเล่าว่า “เมื่อฉันได้ยินว่าพี่น้องคนนั้นเลิกกับแฟน ฉันรู้เลยว่าต้องทำอย่างไร.” การเลิกกันง่ายไหม? ไม่ง่ายเลย. เจสซิกาบอกว่า “ฉันไม่เคยชอบใครมาก่อน ฉันมีแค่เขาคนเดียว. ฉันร้องไห้ทุกวันเป็นอาทิตย์ ๆ.”
ถึงแม้เจสซิกาจะออกนอกลู่นอกทางบ้าง แต่จริง ๆ แล้วเธออยากทำสิ่งที่ถูกต้องเพราะเธอรักพระยะโฮวา. เมื่อเวลาผ่านไป บาดแผลจากการอกหักก็ค่อย ๆ หายไป. เธอบอกว่า “ตอนนี้ความสัมพันธ์ของฉันกับพระยะโฮวาดีกว่าแต่ก่อน. ขอบคุณพระองค์จริง ๆ ที่ช่วยชี้นำฉันในยามจำเป็น.”
ถ้าคุณพร้อมจะมีแฟนและได้พบคนที่ชอบแล้ว คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเขานี่แหละ “ใช่”?
ข้อคัมภีร์หลัก
“เราปรารถนาจะประพฤติตัวซื่อสัตย์ในทุกสิ่ง.”—ฮีบรู 13:18
ข้อแนะ
ไม่จำเป็นต้องประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่าคุณมีแฟน. แต่อย่างน้อยคุณควรบอกพ่อแม่ของคุณกับพ่อแม่ของแฟนเพราะพวกเขามีสิทธิ์จะรู้.
คุณรู้ไหม . . . ?
เพื่อจะคบกันได้นานต้องมีความไว้ใจกัน. การแอบคบกันทำให้พ่อแม่ไม่ไว้ใจคุณและยังทำลายสายสัมพันธ์ของคุณกับแฟนด้วย.
แผนปฏิบัติการ
ถ้าฉันแอบคบกับพยานฯ ด้วยกัน ฉันจะ ․․․․․
ถ้าเพื่อนฉันแอบมีแฟน ฉันจะ ․․․․․
สิ่งที่ฉันอยากถามพ่อแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ․․․․․
คุณคิดอย่างไร?
● ให้ย้อนไปดูหน้า 22 ที่พิมพ์ตัวหนา. ลองคิดดูว่า บางครั้งคุณ รู้สึกเหมือนข้อไหน?
● คุณจะแก้ปัญหานั้นอย่างไรโดยไม่แอบมีแฟน?
● คุณจะทำอย่างไรถ้ารู้ว่าเพื่อนแอบมีแฟน และทำไมคุณทำอย่างนั้น?
[คำโปรยหน้า 27]
“ฉันเลิกคบกับหนุ่มคนนั้นแล้ว. ทุกครั้งที่เห็นเขาที่โรงเรียน ฉันรู้สึกเจ็บปวดมาก. แต่ฉันก็รู้ว่าพระยะโฮวารู้ดีกว่า เราจึงควรไว้วางใจพระองค์.”—เจสซิกา
[ภาพหน้า 25]
เมื่อเพื่อนแอบมีแฟนแล้วเราช่วยปกปิด ก็เหมือนเราเห็นคนเป็นเบาหวานแอบกินของหวานแล้วช่วยปกปิด
-
-
คนนี้เหมาะกับฉันไหม?คำถามที่หนุ่มสาวถาม—คำตอบที่ได้ผล เล่ม 2
-
-
บท 3
คนนี้เหมาะกับฉันไหม?
ลองใช้เวลาสักนิดตอบคำถามข้างล่าง.
คุณคิดว่าคนที่จะเป็นคู่ครองของคุณควรเป็นคนอย่างไร? ให้เลือกสักสี่ข้อที่คุณคิดว่าสำคัญโดยขีด ✔.
□ หน้าตาดี □ มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า
□ เข้ากับคนง่าย □ ไว้ใจได้
□ เป็นคนป๊อบปูล่า □ ทำตามมาตรฐานของพระเจ้า
□ ขี้เล่น □ จริงจังกับเป้าหมาย
ตอนอายุน้อยกว่านี้ คุณเคยตกหลุมรักใครไหม? ตอนนั้นคุณคิดว่าอะไรสำคัญที่สุด ให้ขีด ×.
รายการที่ให้ไว้ข้างบนไม่มี ข้อไหนผิด. แต่ละข้อล้วนดีทั้งนั้น. เมื่อคุณตกหลุมรักใครสักคนตอนอายุยังน้อย คุณมักมองคนนั้นแค่ผิวเผิน คุณจึงเลือกคำตอบด้านซ้ายจริงไหม?
แต่เมื่อคุณอายุมากขึ้น คุณเริ่มรู้จักคิดและสังเกตอะไรลึกซึ้งขึ้น คุณจึงเลือกคำตอบด้านขวา เช่น คุณเริ่มเห็นว่าสาวสวยข้างบ้านไว้ใจไม่ค่อยได้ หรือหนุ่มที่ป๊อบปูล่าที่สุดในชั้นไม่ได้ทำตามมาตรฐานของพระเจ้า. เมื่อคุณผ่านวัยรุ่นไปแล้วและอยากรู้ว่า “คนนี้เหมาะกับฉันไหม?” คุณก็จะไม่มองแค่ผิวเผิน.
รู้จักตัวเองก่อน
ก่อนจะดูว่าใครเหมาะกับคุณ คุณต้องรู้จักตัวเองให้ดีเสียก่อน. เพื่อจะรู้จักตัวเองดีขึ้น ให้ตอบคำถามต่อไปนี้.
ฉันมีข้อดีอะไรบ้าง? ․․․․․
ฉันมีข้อเสียอะไรบ้าง? ․․․․․
ฉันอยากให้คู่ของฉันปฏิบัติต่อฉันอย่างไรและอยากมีสายสัมพันธ์แบบไหนกับพระเจ้า? ․․․․․
การรู้จักตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คำถามทำนองนี้จะช่วยคุณได้. เมื่อคุณรู้จักตัวเองดีขึ้น คุณจะรู้ว่าต้องเลือกคนแบบไหนถึงจะช่วยเสริมข้อดีของคุณแทนที่จะทำให้เห็นข้อเสียของคุณชัดขึ้น.a ถ้าคุณคิดว่าพบคนที่ใช่ล่ะจะทำอย่างไร?
คนไหนก็ได้ ไหม?
“เย็นนี้ไปทานข้าวด้วยกันไหม?” เมื่อได้ยินประโยคนี้ คุณอาจกลัวจนหัวหดหรือดีใจจนเนื้อเต้นขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนถาม. ถ้าคุณตอบตกลง เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคนนี้แหละเหมาะกับคุณ?
สมมุติว่าคุณอยากซื้อรองเท้าใหม่. คุณไปที่ร้านและปิ๊งอยู่คู่หนึ่ง. คุณหยิบมาลองแต่ต้องผิดหวังเพราะมันคับเกินไป. คุณจะทำอย่างไร? ยังไงก็จะซื้อไหมหรือหาคู่ใหม่? ไม่ต้องสงสัย คุณคงวางคู่นั้นลงแล้วหาคู่ใหม่. คุณคงไม่ดันทุรังจะใส่คู่นั้นให้ได้ใช่ไหม?
การเลือกคู่ก็เช่นกัน. คงมีเพื่อนต่างเพศหลายคนที่ถูกใจคุณ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเหมาะกับคุณ. คุณคงอยากเจอคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจเพราะเข้ากับคุณได้ดีทั้งด้านนิสัยและเป้าหมายในชีวิต. (เยเนซิศ 2:18; มัดธาย 19:4-6) คุณเจอคนแบบนี้หรือยัง? คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเหมาะกับคุณ?
อย่ามองแค่ภายนอก
เพื่อจะรู้ว่าเขาเหมาะกับคุณไหม คุณต้องมองคนนั้นตามความเป็นจริง. อย่าลืมว่า เรามักมองเห็นแต่สิ่งที่เราชอบ. ดังนั้น ให้ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ใช้เวลาสังเกตว่าจริง ๆ แล้วคนที่คุณชอบเป็นคนอย่างไร. สมมุติว่าคุณอยากซื้อรถสักคัน. คุณคงหาข้อมูลเกี่ยวกับรถที่จะซื้อใช่ไหม? คุณคงไม่ดูแต่สภาพภายนอกของรถคันนั้น แต่จะดูลึกลงไป เช่น ดูว่าเครื่องยนต์มีสภาพอย่างไรจริงไหม?
การเลือกคู่สำคัญกว่าการเลือกรถ. แต่หลายคนที่มีแฟนมักมองแค่ภายนอก. พวกเขามักชี้ว่าเขาทั้งคู่มีอะไรเหมือนกันบ้าง เช่น ‘เราชอบดนตรีเหมือนกัน.’ ‘เราชอบทำอะไรคล้าย ๆ กัน.’ ‘เราไม่เคย ขัดแย้งกันเลย.’ ถ้าคุณผ่านช่วงวัยรุ่นไปแล้ว คุณจะไม่มองแค่สิ่งที่เห็นภายนอก. คุณจะมองลึกลงไปถึง “ตัวตนที่อยู่ในใจ.”—1 เปโตร 3:4; เอเฟโซส์ 3:16
อย่าสนใจแค่ว่าคุณทั้งสองชอบอะไรเหมือนกัน ให้สังเกตด้วยว่าถ้าความคิดเห็นไม่ตรงกัน แต่ละคนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เช่น เขายังดึงดันจะทำตามวิธีของเขาและถึงกับ “บันดาลโทสะ” หรือ “พูดเสียดสี” ไหม? (กาลาเทีย 5:19, 20; โกโลซาย 3:8, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 1971) หรือเขาเป็นคนมีเหตุผล ยอมผ่อนปรนในเรื่องที่ไม่ขัดกับหลักการของพระเจ้า?—ยาโกโบ 3:17
อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องสังเกตคือ คนนั้นพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมให้คุณทำตามใจเขาไหม? เขาแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหรือขี้อิจฉาไหม? เขาต้องรู้หมดไม่ว่าคุณจะกระดุกกระดิกไปไหนไหม? นิโคลบอกว่า “ฉันเคยได้ยินบางคู่ทะเลาะกันเพราะฝ่ายหนึ่งรับไม่ได้ที่อีกฝ่ายไม่โทรมารายงานว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรอยู่. ฉันว่าอีกหน่อยต้องมีปัญหาแน่.”—1 โครินท์ 13:4
ที่พูดไปเป็นเรื่องของนิสัยและความประพฤติ. อีกเรื่องที่สำคัญคือชื่อเสียงของคนที่คุณชอบ. คนอื่นมองแฟนคุณอย่างไร? คุณน่าจะลองคุยกับบางคนในประชาคมที่รู้จักเขามานานพอสมควร. แล้วคุณจะรู้ว่าเขาถูก ‘กล่าวถึงในทางที่ดี’ หรือไม่.—กิจการ 16:1, 2
ถ้าอยากรู้ว่าคนที่คุณชอบเป็นคนอย่างไร เหมาะกับคุณจริง ๆ ไหม ให้สังเกตว่าเขาเป็นอย่างไรในเรื่องต่อไปนี้.
นิสัย ․․․․․
ความประพฤติ ․․․․․
ชื่อเสียง ․․․․․
เชิญอ่านกรอบ “เขาจะเป็นสามีที่ดีไหม?” ในหน้า 39 หรือ “เธอจะเป็นภรรยาที่ดีไหม?” ในหน้า 40. คำถามเหล่านั้นจะช่วยให้รู้ว่าเขาเหมาะจะเป็นคู่ครองของคุณไหม.
ถ้าพิจารณาแล้วและเห็นว่าเขาไม่เหมาะ กับคุณล่ะจะทำอย่างไร? คุณคงต้องคิดหนักว่า . . .
เราควรเลิกกันไหม?
บางครั้งการเลิกกันน่าจะดีกว่า. ลองมาฟังเรื่องของจิลล์. เธอเล่าว่า “ตอนแรกฉันดีใจที่แฟนคอยเป็นห่วงเป็นใยว่าฉันอยู่ที่ไหน ทำอะไร หรืออยู่กับใคร. แต่ต่อมาเขาเป็นมากถึงกับไม่ยอมให้ฉันอยู่กับใครเลยนอกจาก เขาคนเดียว. เขาอิจฉาแม้กระทั่งฉันจะอยู่กับครอบครัวโดยเฉพาะกับพ่อ. เมื่อเลิกกับเขา ฉันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก.”
ซาราก็เจอเรื่องคล้าย ๆ กัน. เธอเริ่มสังเกตว่าจอห์นหนุ่มที่เธอคบอยู่เป็นคนชอบประชดประชัน เอาแต่ใจตัวเอง และไม่มีมารยาท. เธอเล่าว่า “ครั้งหนึ่งเขามาสายไปสามชั่วโมง. พอแม่เปิดประตู เขาไม่ทักแม่สักคำ หันมาดุฉันว่า ‘ไปเร็ว เราสายแล้ว.’ เขาไม่ได้บอกว่า ‘ผมสาย’ แต่บอกว่า ‘เราสาย.’ เขาควรขอโทษหรืออธิบายเหตุผลที่เขามาสาย. ที่สำคัญเขาควรนับถือแม่ของฉัน.” จริงอยู่ การทำผิดเพียงครั้งเดียวไม่ใช่สาเหตุที่จะเลิกกัน. (บทเพลงสรรเสริญ 130:3) เมื่อซาราเห็นว่านี่ไม่ใช่ครั้งเดียวที่จอห์นแสดงอาการหยาบคายไม่มีมารยาทแต่เป็นนิสัยของเขา เธอจึงตัดสินใจเลิกกับจอห์น.
ถ้าคุณรู้สึกเหมือนจิลล์กับซาราว่าคนที่คบด้วยไม่เหมาะจะเป็นคู่ครองจะทำอย่างไร? อย่ามองข้ามความรู้สึกนั้น. แม้จะทำใจลำบาก แต่เลิกกันน่าจะดีกว่า. สุภาษิต 22:3 บอกว่า “คนฉลาดมองเห็นภัยแล้วหนีไปซ่อนตัว.” ดังนั้น ถ้าคนที่คุณคบมีนิสัยแย่ ๆ ตามที่บอกไว้ในหน้า 39 และ 40 คุณน่าจะเลิกกับเขาหรืออย่างน้อยให้หยุดความสัมพันธ์ไว้ชั่วคราวจนกว่าเขาจะปรับปรุงตัวได้. จริงอยู่ การเลิกกันไม่ใช่เรื่องง่าย. แต่การแต่งงานเป็นการผูกพันถาวร. ยอมทนเจ็บเสียตอนนี้ก็ดีกว่าจะต้องทนทุกข์ไปตลอดชีวิต.
วิธีบอกเลิก
คุณจะบอกเลิกเขาอย่างไร? อย่างแรก เลือกว่าจะคุยกันที่ไหน. ลองคิดว่าถ้าเป็นคุณ คุณ อยากให้อีกฝ่ายทำอย่างไร. (มัดธาย 7:12) คุณคงไม่อยากให้เขาประกาศต่อหน้าคนอื่นใช่ไหม? การบอกเลิกโดยฝากข้อความผ่านทางเครื่องรับโทรศัพท์ เอสเอ็มเอส หรืออีเมลก็ไม่เหมาะ นอกจากอีกฝ่ายจะเป็นคนรุนแรงหรือพูดคุยยากจริง ๆ. คุณควรเลือกเวลาและสถานที่ที่จะคุยเรื่องนี้ได้สะดวก.
คุณควรพูดอะไรบ้าง? อัครสาวกเปาโลเตือนคริสเตียนให้ “พูดความจริง” ต่อกัน. (เอเฟโซส์ 4:25) การพูดอย่างหนักแน่นแต่ไม่ทำให้เจ็บใจน่าจะดีที่สุด. บอกให้ชัดเจนว่าทำไมคุณรู้สึกว่าเป็นแฟนกันต่อไปไม่ได้. ไม่ควรตำหนิหรือพูดถึงข้อบกพร่องของเขายืดยาวเป็นหางว่าว. อย่าพูดว่า “คุณ ไม่เคย” ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ให้พูดถึงความรู้สึกของคุณ เช่น “ฉัน อยากอยู่กับคนที่ . . . ” หรือ “ฉัน คิดว่าเราควรเลิกกันเพราะ . . . ”
อย่ามัวแต่ลังเลหรือยอมทำตามที่เขาขอร้อง. จำไว้ว่า คุณมีเหตุผลหนักแน่นที่จะเลิกกับเขา. ถ้าแฟนคุณพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อชักจูงคุณให้เปลี่ยนใจ ก็อย่ายอม. ลอรีเล่าว่า “เมื่อเราเลิกกัน แฟนเก่าฉันทำท่าหมดอาลัยตายอยาก. ฉันคิดว่าเขาทำเพื่อให้ฉันสงสาร. แม้ตอนนั้นฉันจะสงสารเขาจริง ๆ แต่ฉันก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ.” เช่นเดียวกับลอรี คุณควรรู้ใจตัวเองและทำตามที่ตัดสินใจไว้. ให้คำว่าไม่ ของคุณ หมายความว่าไม่ จริง ๆ.—ยาโกโบ 5:12
หลังจากเลิกกัน
หลังจากเลิกกัน คุณอาจไม่สบายใจอยู่ระยะหนึ่ง นั่นเป็นเรื่องธรรมดา. คุณอาจรู้สึกเหมือนผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญที่บอกว่า “ข้าพเจ้าปวดจนต้องก้มตัวลง; ข้าพเจ้าคร่ำครวญไปวันยังค่ำ.” (บทเพลงสรรเสริญ 38:5, 6) เพื่อนที่หวังดีอาจพยายามช่วยโดยบอกว่าน่าจะลองให้โอกาสแฟนคุณอีกครั้ง. จำไว้ว่า ผู้ที่ต้องรับผลจากการตัดสินใจครั้งนี้คือตัวคุณ ไม่ใช่เพื่อนผู้หวังดี. ดังนั้น แม้คุณจะเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ให้มั่นคงไว้.
ในที่สุด ความรู้สึกเจ็บปวดจะหายไป. แต่ในช่วงนี้ให้ลองทำอย่างนี้เผื่อคุณจะรู้สึกดีขึ้น.
ให้ระบายความรู้สึกกับคนที่คุณไว้ใจ.b (สุภาษิต 15:22) บอกเรื่องนี้กับพระยะโฮวาโดยการอธิษฐาน. (บทเพลงสรรเสริญ 55:22) อย่าปล่อยให้ตัวเองว่าง. (1 โครินท์ 15:58) อย่าแยกตัวจากเพื่อน ๆ. (สุภาษิต 18:1) ให้เข้ากลุ่มกับเพื่อน ๆ ที่จะช่วยเสริมสร้างคุณและพยายามคิดแต่สิ่งดี ๆ.—ฟิลิปปอย 4:8
อีกหน่อยคุณคงได้เจอคนใหม่. คราวนี้คุณคงรู้ว่าจะคบกันอย่างไรถึงจะมีความสุขเพราะคุณมีประสบการณ์แล้ว. ถึงตอนนั้น คุณอาจมั่นใจว่าคนนี้แหละใช่เลย.
เชิญอ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมได้ในเล่ม 1 บท 31
ระหว่างที่เป็นแฟนกัน คุณทั้งสองจะแสดงความรักได้ถึงขนาดไหน?
[เชิงอรรถ]
a การพิจารณาคำถามในหัวข้อ “คุณพร้อมจะแต่งงานไหม?” ในบท 1 จะช่วยคุณให้รู้จักตัวเองดีขึ้น.
b พ่อแม่หรือผู้ใหญ่คนอื่น เช่น ผู้ปกครองคริสเตียน จะช่วยคุณได้. บางคนอาจเล่าให้คุณฟังว่าสมัยเขายังหนุ่มยังสาว เขาเคยเจอเรื่องที่ทำให้เจ็บปวดคล้าย ๆ กับคุณ.
ข้อคัมภีร์หลัก
“แม้จะเป็นเด็ก แต่ความประพฤติของเขาก็ทำให้มองออกว่าการกระทำของเขาสะอาดและซื่อตรงหรือไม่.”—สุภาษิต 20:11, ล.ม.
ข้อแนะ
ให้ทำกิจกรรมที่ช่วยให้เห็นนิสัยของกันและกัน เช่น
● ศึกษาพระคัมภีร์ด้วยกัน
● สังเกตว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นอย่างไรในเรื่องการประชุมและการประกาศ
● ทำความสะอาดหอประชุมและช่วยโครงการก่อสร้างหอประชุมด้วยกัน
คุณรู้ไหม . . . ?
จากการสำรวจพบว่า คู่สมรสที่นับถือศาสนาต่างกันมักมีโอกาสหย่าร้างกันมากกว่าคู่สมรสที่นับถือศาสนาเดียวกัน.
แผนปฏิบัติการ
ถ้าฉันชอบคนที่ไม่ได้เป็นพยานฯ ฉันจะ ․․․․․
เพื่อจะรู้ว่าคนที่ฉันชอบมีชื่อเสียงอย่างไร ฉันจะ ․․․․․
สิ่งที่ฉันอยากถามพ่อแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ․․․․․
คุณคิดอย่างไร?
● คุณมีข้อดีอะไรบ้างที่จะช่วยให้ชีวิตสมรสมีความสุข?
● คุณคิดว่าคู่สมรสของคุณต้องเป็นคนอย่างไร?
● ถ้าคุณแต่งงานกับคนที่ไม่ได้เป็นพยานฯ คุณจะเจอปัญหายุ่งยากอะไรบ้าง?
● คุณจะรู้จักนิสัย ความประพฤติ และชื่อเสียงของคนที่คุณชอบได้อย่างไร?
[คำโปรยหน้า 37]
“แฟนคุณปฏิบัติกับคนในครอบครัวอย่างไร อีกหน่อยเขาก็จะปฏิบัติกับคุณอย่างนั้น.”—โทนี
[กรอบหน้า 34]
“อย่าเข้าเทียมแอก”
คัมภีร์ไบเบิลที่ 2 โครินท์ 6:14 บอกว่า “อย่าเข้าเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อ.” คุณคงยอมรับว่าหลักการนี้ดี. แต่คุณก็ยังชอบคนที่ไม่เชื่อ. ทำไมล่ะ? อาจเพราะเขาสวยหรือหล่อ. มาร์กเล่าว่า “ตอนเรียนพละ ผมเจอสาวคนนี้ประจำ. เธอจะเดินมาหาผมและชวนผมคุยทุกครั้ง. เราเลยสนิทกัน.”
ถ้าคุณรู้จักตัวเองดี มั่นใจในมาตรฐานของพระเจ้า และมีเหตุผลพอที่จะไม่ทำอะไรตามอารมณ์ คุณคงรู้ว่าควรทำอย่างไร. ถึงแม้คนที่คุณชอบจะหน้าตาดี มีเสน่ห์ หรือนิสัยดีแค่ไหน เขาก็ช่วยให้คุณมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าไม่ได้.—ยาโกโบ 4:4
แน่นอน ถ้าคุณยอมสนิทกับเขาจนเป็นแฟนกัน แล้วคิดจะเลิกคงไม่ง่าย. ซินดีเจอเรื่องแบบนี้ เธอเล่าว่า “ฉันร้องไห้ทุกวัน. ฉันคิดถึงแต่หนุ่มคนนั้นแม้แต่ตอนประชุม. ฉันรักเขามากจนคิดว่าถ้าขาดเขาฉันขอตายดีกว่า.” แต่หลังจากนั้นไม่นาน ซินดีเริ่มเข้าใจว่าดีแล้วที่แม่แนะนำเธอไม่ให้คบกับคนที่ไม่มีความเชื่อ. เธอเล่าต่อว่า “ดีที่ฉันเลิกกับเขา. ฉันมั่นใจว่าพระยะโฮวาจะให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ฉัน.”
คุณตกอยู่ในสภาพเดียวกับซินดีไหม? ถ้าใช่ ก็อย่ารับมือเพียงลำพัง. คุณน่าจะคุยกับพ่อแม่. จิมทำอย่างนั้นเมื่อเขาหลงใหลสาวคนหนึ่งที่โรงเรียน. จิมบอกว่า “ผมขอให้พ่อแม่ช่วย นี่ทำให้ผมเอาชนะความรู้สึกนั้นได้.” ผู้ปกครองในประชาคมก็ช่วยคุณได้. ลองไปหาผู้ปกครองและเล่าเรื่องคุณให้เขาฟังสิ.—ยะซายา 32:1, 2
[กรอบ/ภาพหน้า 39]
แบบสอบถาม
เขาจะเป็นสามีที่ดีไหม?
เขาเป็นคนแบบไหน?
◻ เขาใช้อำนาจอย่างไร?—มัดธาย 20:25, 26
◻ เขามีเป้าหมายอะไร?—1 ติโมเธียว 4:15
◻ ตอนนี้เขาพยายามทำตามเป้าหมายนั้นไหม?—1 โครินท์ 9:26, 27
◻ เขาปฏิบัติกับคนในครอบครัวอย่างไร?—เอ็กโซโด 20:12
◻ เพื่อนเขาเป็นคนอย่างไร?—สุภาษิต 13:20
◻ เขาชอบคุยเรื่องอะไรบ้าง?—ลูกา 6:45
◻ เขาคิดอย่างไรในเรื่องเงินทอง?—ฮีบรู 13:5, 6
◻ เขาชอบความสนุกสนานประเภทไหน?—บทเพลงสรรเสริญ 97:10
◻ คุณเห็นว่าเขารักพระยะโฮวาไหม?—1 โยฮัน 5:3
ข้อดี
◻ เขาเป็นคนขยันไหม?—สุภาษิต 6:9-11
◻ เขามีความรับผิดชอบในเรื่องเงินไหม?—ลูกา 14:28
◻ เขามีชื่อเสียงดีไหม?—กิจการ 16:1, 2
◻ เขาเห็นอกเห็นใจคนอื่นไหม?—ฟิลิปปอย 2:4
นิสัยแย่ ๆ ที่ส่อปัญหา
◻ เขาโมโหง่ายไหม?—สุภาษิต 22:24
◻ เขาพยายามชักจูงคุณให้ทำผิดศีลธรรมทางเพศไหม?—กาลาเทีย 5:19
◻ เขาชอบลงไม้ลงมือหรือพูดจาหยาบคายไหม?—เอเฟโซส์ 4:31
◻ ถ้าไม่มีแอลกอฮอล์เขาคิดว่าไม่สนุกไหม?—สุภาษิต 20:1
◻ เขาเป็นคนขี้อิจฉาหรือคิดถึงแต่ตัวเองไหม?—1 โครินท์ 13:4, 5
[กรอบ/ภาพหน้า 40]
แบบสอบถาม
เธอจะเป็นภรรยาที่ดีไหม?
เธอเป็นคนแบบไหน?
◻ เธอเป็นคนยอมอยู่ใต้อำนาจไหมไม่ว่าในครอบครัวหรือในประชาคม?—เอเฟโซส์ 5:21, 22
◻ เธอปฏิบัติกับคนในครอบครัวอย่างไร?—เอ็กโซโด 20:12
◻ เพื่อนเธอเป็นคนอย่างไร?—สุภาษิต 13:20
◻ เธอชอบคุยเรื่องอะไรบ้าง?—ลูกา 6:45
◻ ธอคิดอย่างไรในเรื่องเงินทอง?—1 โยฮัน 2:15-17
◻ เธอมีเป้าหมายอะไร?—1 ติโมเธียว 4:15
◻ ตอนนี้เธอพยายามทำตามเป้าหมายนั้นไหม?—1 โครินท์ 9:26, 27
◻ เธอชอบความสนุกสนานประเภทไหน?—บทเพลงสรรเสริญ 97:10
◻ คุณเห็นว่าเธอรักพระยะโฮวาไหม?—1 โยฮัน 5:3
ข้อดี
◻ เธอเป็นคนขยันไหม?—สุภาษิต 31:17, 19, 21, 22, 27
◻ เธอมีความรับผิดชอบในเรื่องเงินไหม?—สุภาษิต 31:16, 18
◻ เธอมีชื่อเสียงดีไหม?—ประวัตินางรูธ 3:11
◻ เธอเห็นอกเห็นใจคนอื่นไหม?—สุภาษิต 31:20
นิสัยแย่ ๆ ที่ส่อปัญหา
◻ เธอชอบหาเรื่องชวนทะเลาะไหม?—สุภาษิต 21:19
◻ เธอพยายามชักจูงคุณให้ทำผิดศีลธรรมทางเพศไหม?—กาลาเทีย 5:19
◻ เธอชอบลงไม้ลงมือหรือพูดจาหยาบคายไหม?—เอเฟโซส์ 4:31
◻ ถ้าไม่มีแอลกอฮอล์เธอคิดว่าไม่สนุกไหม?—สุภาษิต 20:1
◻ เธอเป็นคนขี้อิจฉาหรือคิดถึงแต่ตัวเองไหม?—1 โครินท์ 13:4, 5
[ภาพหน้า 30]
ไม่ใช่คุณจะใส่รองเท้าได้ทุกไซส์ เช่นเดียวกันไม่ใช่ทุกคนจะเหมาะกับคุณ
[ภาพหน้า 31]
ถ้าจะซื้อรถ คุณคงไม่ดูแต่สภาพภายนอกใช่ไหม? เมื่อเลือกคู่ คุณยิ่งต้องมองลึกกว่าสิ่งที่เห็นภายนอก
-