-
ความกังวลเกิดขึ้นได้เสมอ!หอสังเกตการณ์ 2015 | 1 กรกฎาคม
-
-
จากปก | กังวล—จะทำอย่างไรดี?
ความกังวลเกิดขึ้นได้เสมอ!
“ผมตั้งใจจะไปซื้ออาหารแต่มีเพียงคุกกี้เท่านั้น แถมราคายังแพงกว่าปกติถึง 10,000 เท่า! พอวันถัดมาที่ห้างสรรพสินค้าก็ไม่มีอาหารขายเลยแม้แต่อย่างเดียว”—พอล จากซิมบับเว
“สามีนั่งคุยกับฉันแล้วก็บอกว่า จะเลิกกับฉัน ฉันรู้สึกเจ็บปวดมากที่ถูกเขาทรยศ ลูก ๆ ล่ะจะเป็นอย่างไร?”—แจเนต จากสหรัฐ
“เมื่อสัญญาณเตือนการยิงขีปนาวุธดังขึ้น ฉันก็รีบวิ่งหาที่หลบภัยและนอนราบอยู่บนพื้น แม้จะผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วมือฉันก็ยังสั่นไม่หาย”—อโลนา จากอิสราเอล
เราอยู่ในช่วงเวลาที่มีแต่ความกังวลเพราะเป็นช่วง “วิกฤตกาลซึ่งยากจะรับมือได้” (2 ติโมเธียว 3:1) หลายคนเจอปัญหาต่าง ๆ ถาโถมเข้ามาไม่ว่าจะเป็นวิกฤติเศรษฐกิจ ครอบครัวแตกแยก สงคราม โรคติดต่อร้ายแรงถึงตาย ภัยธรรมชาติ และภัยที่เกิดจากมนุษย์ นอกจากนั้น ยังมีเรื่องส่วนตัวที่ผู้คนกังวลด้วย เช่น ‘ก้อนเนื้อที่หมอตรวจเจอจะกลายเป็นมะเร็งไหม?’ ‘โลกในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ลูกหลานฉันจะอยู่ได้ไหม?’
ความกังวลเป็นเรื่องธรรมชาติ โดยปกติแล้วเราจะรู้สึกกังวลอยู่บ้างก่อนสอบ ก่อนขึ้นแสดง หรือก่อนถูกสัมภาษณ์งาน ความกลัวหรือความกังวลตามธรรมชาติยังปกป้องเราไว้จากอันตรายด้วย แต่การกังวลมากเกินไปหรือกังวลอยู่เรื่อย ๆ นั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อเร็ว ๆ นี้จากงานวิจัยในผู้ใหญ่มากกว่า 68,000 คนพบว่า แม้แต่ความกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เพิ่มอัตราความเสี่ยงของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ คำถามของพระเยซูจึงน่าคิด ที่ว่า “มีใครในพวกเจ้าไหมที่วิตกกังวลแล้วยืดชีวิตได้อีกสักศอกหนึ่ง?” จริงอย่างที่พระเยซูพูด ความกังวลไม่ได้ทำให้ใครมีอายุยืนยาวขึ้น ดังนั้น พระเยซูแนะนำว่า “จงเลิกวิตกกังวล” (มัดธาย 6:25, 27) แต่จะเลิกวิตกกังวลได้อย่างไร?
เพื่อจะเลิกกังวลได้เราต้องทำตามสติปัญญาที่ใช้ได้จริง แสดงความเชื่อแท้ในพระเจ้า และมีความหวังที่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคต ถึงแม้ตอนนี้เรายังไม่เจอสถานการณ์ที่เลวร้าย แต่เรื่องนี้อาจเกิดขึ้นกับเราได้ในอนาคต ให้เรามาดูว่าคำแนะนำเหล่านี้ช่วยพอล แจเนต และอโลนาให้รับมือกับความกังวลได้อย่างไร
-
-
กังวลเรื่องเงินหอสังเกตการณ์ 2015 | 1 กรกฎาคม
-
-
จากปก | กังวล—จะทำอย่างไรดี?
กังวลเรื่องเงิน
พอลซึ่งมีภรรยาและลูกอีกสองคนเล่าว่า “หลังจากเกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างหนักในประเทศของเรา อาหารกลายเป็นสิ่งหายากและราคาก็แพง เราต้องต่อแถวเป็นชั่วโมง ๆ เพื่อจะซื้ออาหาร แต่หลายครั้งอาหารมักจะขายหมดก่อนถึงคิวของเรา ผู้คนซูบผอมหิวโซและบางคนถึงกับเป็นลมกลางถนน ต่อมาสิ่งจำเป็นพื้นฐานมีราคาสูงเป็นล้าน แล้วก็เพิ่มเป็นพันล้าน ในที่สุดเงินกลายเป็นสิ่งไร้ค่า เงินในบัญชีธนาคาร เงินประกัน และเงินบำนาญที่ผมมีก็ไม่มีค่าอะไรเลย”
พอล
พอลจึงคิดได้ว่าเพื่อจะให้ครอบครัวของเขาอยู่รอดได้ เขาจำเป็นต้องทำตาม “สติปัญญา” ที่ใช้ได้จริง (สุภาษิต 3:21, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 1971 ) เขาเล่าว่า “ถึงผมจะเป็นผู้รับเหมางานไฟฟ้า แต่ผมก็ไม่เลือกงาน ผมทำงานทุกอย่างแม้จะได้เงินน้อยกว่าปกติก็ตาม บางคนจ่ายค่าจ้างผมด้วยอาหารหรือข้าวของเครื่องใช้แทนเงิน ถ้าผมได้สบู่ 4 ก้อน ผมจะเก็บไว้ใช้เอง 2 ก้อนและที่เหลือผมก็จะขาย ครั้งหนึ่งผมได้ลูกเจี๊ยบมา 40 ตัว ผมเลี้ยงมันจนโตแล้วก็เอาไปขายและผมก็ซื้อลูกเจี๊ยบมาเพิ่มอีก 300 ตัว ต่อมา ผมเอาไก่ 50 ตัวไปแลกกับเมล็ดข้าวโพดบดละเอียด 50 กิโลกรัม ทำให้ผมกับครอบครัวมีอาหารกินไปอีกพักใหญ่ ไม่ใช่แค่นั้นพวกเรายังแบ่งอาหารให้กับครอบครัวอื่น ๆ ได้ด้วย”
พอลยังรู้ด้วยว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่ใคร ๆ ก็ทำได้คือการเชื่อมั่นในพระเจ้า เมื่อเราทำตามสิ่งที่พระเจ้าบอก พระองค์จะช่วยเรา เมื่อพูดถึงสิ่งจำเป็นในชีวิต พระเยซูบอกว่า “จงเลิกวิตกกังวล . . . พระบิดาของเจ้าทั้งหลายทรงทราบว่าพวกเจ้าต้องมีสิ่งเหล่านี้”—ลูกา 12:29-31
ซาตานศัตรูตัวสำคัญของพระเจ้าทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกมีความกังวล ผู้คนเป็นห่วงกังวลมากเกี่ยวกับสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ แต่บางคนก็พยายามอย่างมากเพื่อจะได้สิ่งของที่บางครั้งก็ไม่จำเป็น หลายคนจึงเลือกที่จะกู้หนี้ยืมสินซึ่งเป็นทางเลือกที่ไม่ฉลาดเพราะ “คนมักยืมก็เป็นบ่าวทาสแก่ผู้ให้ยืมนั้น”—สุภาษิต 22:7
บางคนก็ตัดสินใจผิดพลาดด้วย พอลบอกว่า “เพื่อนบ้านหลายคนตัดสินใจทิ้งครอบครัวและเพื่อน ๆ เพื่อไป ‘ทำงานต่างประเทศ’ บางคนไปทั้ง ๆ ที่เอกสารคนเข้าเมืองยังไม่เรียบร้อย ในที่สุดก็หางานทำไม่ได้ พวกเขาต้องคอยหลบตำรวจแถมยังต้องนอนข้างถนนอีกด้วย พวกเขาไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า แต่ครอบครัวของเราอธิษฐานขอให้พระเจ้าช่วยและเราก็ต่อสู้ปัญหาด้านการเงินนี้ไปด้วยกัน”
ทำตามคำแนะนำของพระเยซู
พอลเล่าต่อว่า “พระเยซูเองก็เคยบอกไว้ว่า ‘อย่าวิตกกังวลกับพรุ่งนี้เลย เพราะว่าพรุ่งนี้ก็จะมีความวิตกกังวลของพรุ่งนี้ แต่ละวันมีความทุกข์พออยู่แล้ว’ ดังนั้นทุกวันเมื่อผมอธิษฐาน ผมไม่ได้ขอให้พวกเราอยู่รอดได้ แต่ผมขอพระเจ้าให้ ‘ประทานอาหารแก่พวกเราสำหรับวันนี้’ และพระองค์ก็ช่วยเราจริง ๆ อย่างที่พระเยซูสัญญาไว้ เราไม่ได้เลือกว่าเราอยากได้อะไร มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมไปต่อแถวซื้ออาหารโดยที่ไม่รู้ว่าเขาขายอะไร เมื่อถึงคิวผม ผมก็เห็นว่าเป็นโยเกิร์ตซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบโยเกิร์ตเลย แต่ถึงอย่างไรมันก็คืออาหาร คืนนั้นพวกเราทั้งครอบครัวกินโยเกิร์ตเป็นอาหารเย็น ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามากที่ถึงแม้จะอยู่ในช่วงวิกฤติแบบนี้แต่ครอบครัวของเราก็ไม่เคยเข้านอนโดยที่ยังหิวอยู่”a
พระเจ้าสัญญาว่า “เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้าและไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า”—ฮีบรู 13:5
“ตอนนี้สภาพการเงินของเราดีขึ้น แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้พวกเรารู้ว่าวิธีดีที่สุดที่จะรับมือกับความกังวลก็คือการไว้วางใจพระยะโฮวาพระเจ้าb พระองค์จะช่วยเราเสมอตราบใดที่เราทำตามความประสงค์ของพระองค์ เราได้เห็นว่าบทเพลงสรรเสริญ 34:8 เป็นจริงที่ว่า ‘ท่านทั้งหลายจงชิมดูจึงจะรู้ว่าพระยะโฮวาเป็นผู้ประเสริฐ ผู้ใดที่พึ่งอาศัยในพระองค์ก็เป็นสุข’ ผลก็คือ เราไม่กลัวถ้าจะต้องเจอกับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดีอีกครั้ง
พระเจ้าช่วยคนที่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ให้ ‘มีอาหารกินในวันนี้’
“ตอนนี้เราเข้าใจชัดเจนแล้วว่าสิ่งที่ช่วยให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้ไม่ใช่งานหรือเงิน แต่เป็นอาหารต่างหาก เรารอคอยอย่างใจจดใจจ่อให้ถึงเวลาที่พระเจ้าสัญญาว่า ‘จะมีธัญญาหารบริบูรณ์บนพื้นแผ่นดิน’ แต่ในระหว่างนี้ ‘เมื่อเรามีเครื่องอุปโภคบริโภคและที่อยู่อาศัย เราควรอิ่มใจกับสิ่งเหล่านี้’ เรายังได้รับกำลังใจจากข้อคัมภีร์ที่บอกว่า ‘จงให้วิถีชีวิตของพวกท่านปราศจากการรักเงิน และจงพอใจในสิ่งที่พวกท่านมีอยู่ เพราะพระองค์ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้าและไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า” เราจึงกล้าพูดว่า “พระยะโฮวาทรงเป็นผู้ช่วยข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า?”’”c
การที่พอลกับครอบครัวทำแบบนี้ได้ต้องมีความเชื่อแท้ในการ “ดำเนินกับพระเจ้า” (เยเนซิศ 6:9) ไม่ว่าเราจะเจอกับปัญหาทางการเงินในตอนนี้หรือในอนาคต ตัวอย่างของพอลที่แสดงความเชื่อในพระเจ้าและทำตามคำแนะนำที่ใช้ได้จริงสอนบทเรียนที่สำคัญให้เรา
แต่ถ้าปัญหาครอบครัวทำให้เรากังวลล่ะ จะทำอย่างไร?
a ดูมัดธาย 6:11, 34
b ยะโฮวา เป็นชื่อของพระเจ้าตามที่บอกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล
-
-
กังวลเรื่องครอบครัวหอสังเกตการณ์ 2015 | 1 กรกฎาคม
-
-
จากปก | กังวล—จะทำอย่างไรดี?
กังวลเรื่องครอบครัว
แจเนตเล่าว่า “หลังจากที่พ่อฉันเสียได้ไม่นาน สามีบอกฉันว่าเขาจะไปอยู่กับผู้หญิงอื่น ไม่นาน เขาก็เก็บข้าวของเสื้อผ้าออกไป ทิ้งฉันกับลูกอีกสองคนไว้โดยไม่พูดอะไรสักคำ” แจเนตหางานทำ แต่รายได้ของเธอก็ยังไม่พอสำหรับค่าบ้าน เธอต้องรับมือไม่ใช่แค่ปัญหาทางการเงินเท่านั้น เธอบอกว่า “ฉันรู้สึกกังวลมากเพราะตอนนี้ฉันต้องรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างตามลำพัง ฉันยังรู้สึกผิดด้วยที่ไม่สามารถหาสิ่งต่าง ๆ ให้ลูกได้มากเหมือนพ่อแม่คนอื่น แม้แต่ตอนนี้ ฉันก็ยังกังวลว่าคนอื่นจะมองฉันกับลูก ๆ อย่างไร พวกเขาจะคิดไหมว่าทำไมฉันไม่พยายามรักษาชีวิตคู่ไว้ให้ได้?”
แจเนต
การอธิษฐานช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของแจเนตและยังทำให้เธอสนิทกับพระเจ้ามากขึ้นด้วย แจเนตบอกว่า “ตอนกลางคืนเป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุด พอทุกอย่างเริ่มเงียบ ความกังวลที่มีอยู่ข้างในก็จะผุดขึ้นมารบกวนใจฉัน เพื่อจะนอนหลับได้ฉันต้องอธิษฐานและอ่านคัมภีร์ไบเบิล ข้อคัมภีร์โปรดของฉันคือฟิลิปปอย 4:6, 7 ที่ว่า ‘อย่าวิตกกังวลกับสิ่งใด แต่จงทูลทุกสิ่งที่พวกท่านปรารถนาต่อพระเจ้าโดยการอธิษฐานและการวิงวอนพร้อมกับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเหนือกว่าความคิดทุกอย่างจะปกป้องหัวใจและจิตใจท่านทั้งหลายไว้’ ฉันต้องอธิษฐานอยู่หลายคืนกว่าจะรู้สึกได้ว่าพระยะโฮวาช่วยให้ฉันมีใจสงบและกังวลน้อยลง”
คำบรรยายที่มีชื่อเสียงของพระเยซูช่วยให้เรามั่นใจมากขึ้นเมื่ออธิษฐานไม่ว่าจะมีความกังวลเรื่องใดก็ตาม ท่านบอกว่า “พระบิดาของเจ้าทรงทราบว่าเจ้าต้องการอะไรก่อนเจ้าจะทูลขอพระองค์” (มัดธาย 6:8) พวกเราต้องอธิษฐานขอให้พระองค์ช่วย การอธิษฐานเป็นวิธีหลักที่เราจะ “เข้าไปใกล้พระเจ้า” ได้ แล้วพระองค์ก็จะ ‘เข้ามาใกล้พวกเรา’—ยาโกโบ 4:8
ที่จริง การอธิษฐานไม่ใช่แค่ทำให้เรารู้สึกสบายใจที่ได้ระบายความกังวลออกไปเท่านั้น พระยะโฮวา “ผู้สดับคำอธิษฐาน” ยังจะช่วย ทุกคนที่เชื่อมั่นและแสวงหาพระองค์ด้วย (บทเพลงสรรเสริญ 65:2) นี่จึงเป็นเหตุผลที่พระเยซูสอนสาวกของท่านให้ “อธิษฐานเสมอไม่ลดละ” (ลูกา 18:1) เราต้องหมั่นอธิษฐานขอการชี้นำและความช่วยเหลือจากพระเจ้าเสมอโดยมั่นใจว่าพระองค์จะช่วยเรา เราต้องไม่สงสัยว่าพระเจ้าอยากช่วยหรือมีความสามารถพอไหมที่จะช่วยเรา การ “อธิษฐานไม่หยุดหย่อน” เป็นการแสดงว่าเรามีความเชื่อแท้—1 เทสซาโลนิเก 5:17
จริง ๆ แล้วการมีความเชื่อหมายความว่าอย่างไร?
ความเชื่อหมายถึงอะไร? ความเชื่อเกี่ยวข้องกับการ “รับความรู้” และรู้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริง (โยฮัน 17:3) ขั้นแรกเราต้องเข้าใจความคิดของพระเจ้าที่มีบอกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลและรู้ว่าพระองค์สนใจเราแต่ละคนเป็นส่วนตัวและต้องการจะช่วยเรา แต่ความเชื่อแท้ยังมีมากกว่าแค่รู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า ความเชื่อแท้ยังหมายถึงการมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับพระองค์และยกย่องนับถือพระองค์ เมื่อเรามีเพื่อนความสัมพันธ์ของเรากับเพื่อนก็ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ชั่วข้ามคืน ความเชื่อของเราก็เหมือนกันจะ “เพิ่มขึ้น” เรื่อย ๆ ก็ต่อเมื่อเรารู้จักพระองค์มากขึ้น “ทำสิ่งที่พระองค์ชอบพระทัยเสมอ” และประสบด้วยตัวเองว่าพระเจ้าช่วยเหลือเรา (2 โครินท์ 10:15; โยฮัน 8:29) ความเชื่อแบบนี้แหละที่ช่วยแจเนตให้รับมือกับความกังวลได้
แจเนตบอกว่า “สิ่งที่ช่วยให้ความเชื่อของฉันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือการได้เห็นว่าพระยะโฮวายื่นมือเข้ามาช่วยฉันกับลูกอยู่ตลอด หลายต่อหลายครั้งที่ฉันเจอเรื่องที่ไม่ยุติธรรมและดูเหมือนไม่มีทางแก้แล้ว แต่เมื่อฉันอธิษฐานบ่อย ๆ พระยะโฮวาก็ช่วยหาทางออกให้ในแบบที่ลำพังตัวฉันเองคงทำไม่ได้ เมื่อฉันขอบคุณพระองค์ทำให้ฉันสำนึกเสมอว่าพระองค์ช่วยฉันไว้มากจริง ๆ พระองค์มักช่วยเราในเวลาที่เหมาะและไม่สายเกินไป นอกจากนั้น พระองค์ยังให้เพื่อนแท้กับฉันซึ่งก็คือเพื่อนที่เป็นพยานพระยะโฮวา พวกเขามักจะอยู่เคียงข้างฉันเมื่อฉันต้องการความช่วยเหลือ และพวกเขายังเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก ๆ ของฉันอีกด้วยa
“ฉันรู้แล้วว่าทำไมพระยะโฮวาถึงบอกในมาลาคี 2:16 ว่า ‘เราเกลียดการหย่าร้างกัน’ เพราะสำหรับคู่ชีวิตที่ไม่มีความผิด มันช่างเป็นการทรยศที่แสนเจ็บปวด แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแล้วหลังจากที่สามีทิ้งฉัน บางครั้งฉันก็ยังรู้สึกโดดเดี่ยวและไร้ค่า เมื่อไรที่ฉันรู้สึกแบบนี้ ฉันจะพยายามทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยเหลือคนอื่นซึ่งเป็นการช่วยฉันไปในตัวด้วย” แจเนตทำตามคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลที่ไม่ให้แยกตัวอยู่คนเดียว และนี่ทำให้เธอกังวลน้อยลงb—สุภาษิต 18:1
พระเจ้าเป็น “บิดาของลูกกำพร้าพ่อและผู้ปกป้องของหญิงม่าย”—บทเพลงสรรเสริญ 68:5, ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย
แจเนตบอกว่า “สิ่งที่ให้กำลังใจฉันมากที่สุดก็คือการได้รู้ว่าพระเจ้าเป็น ‘บิดาของลูกกำพร้าพ่อและผู้ปกป้องของหญิงม่าย’ พระองค์จะไม่มีวันทอดทิ้งฉันเหมือนกับที่สามีทำ” (บทเพลงสรรเสริญ 68:5, ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย ) แจเนตรู้ว่าพระเจ้าไม่ได้ทดสอบเรา “ด้วยสิ่งชั่ว” แต่ในทางตรงกันข้ามพระองค์ให้สติปัญญา “แก่ทุกคนด้วยพระทัยกว้าง” และให้ “กำลังที่มากกว่าปกติ” เพื่อช่วยเรารับมือกับความกังวลได้—ยาโกโบ 1:5, 13; 2 โครินท์ 4:7
แต่ถ้ากังวลเพราะชีวิตเรากำลังตกอยู่ในอันตรายล่ะ จะทำอย่างไร?
b สำหรับคำแนะนำเพิ่มเติมที่จะช่วยเราให้รับมือกับความกังวลได้ ดูวารสารตื่นเถิด! ฉบับกรกฎาคม 2015 ในบทความชุด “คุณควบคุมชีวิตตัวเองได้ไหม?” มีให้ดาวน์โหลดที่ www.pr418.com/th
-
-
กังวลเรื่องอันตรายหอสังเกตการณ์ 2015 | 1 กรกฎาคม
-
-
จากปก | กังวล—จะทำอย่างไรดี?
กังวลเรื่องอันตราย
อโลนาเล่าว่า “เมื่อฉันได้ยินสัญญาณเตือนว่าจะมีการยิงระเบิด หัวใจฉันเต้นรัว ฉันรีบวิ่งไปที่หลุมหลบภัย ถึงจะอยู่ในที่หลบภัยแล้วฉันก็ยังกังวลอยู่ดี มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่ฉันเดินอยู่บนถนน พอได้ยินเสียงสัญญาณ ฉันก็เริ่มร้องไห้จนหายใจไม่ออกเพราะไม่รู้จะไปหลบที่ไหน ฉันต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง ๆ กว่าจะรู้สึกดีขึ้น แต่พอดีขึ้นแล้วสัญญาณดังขึ้นอีก”
อโลนา
สงครามเป็นแค่อันตรายอย่างหนึ่งเท่านั้น ยังมีอันตรายอย่างอื่นด้วยที่ทำให้กังวล เช่น เมื่อคุณรู้ว่าตัวเองหรือคนที่คุณรักป่วยด้วยโรคร้ายแรงอาจทำให้คุณถึงกับช็อก ส่วนคนอื่นก็กลัวและกังวลเกี่ยวกับอนาคต พวกเขาเป็นห่วงว่า ‘ลูก ๆ จะเป็นอย่างไรถ้าต้องอยู่ในโลกที่มีแต่สงคราม โรคระบาด อาชญากรรม อากาศแปรปรวน และเต็มไปด้วยมลพิษ’ เราจะรับมือกับความกังวลแบบนี้ได้อย่างไร?
เมื่อรู้ว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น “คนฉลาดมองเห็นภัยแล้วหนีไปซ่อนตัว” (สุภาษิต 27:12) เหมือนกับที่เราพยายามดูแลสุขภาพร่างกายของเราให้ดี เราก็สามารถทำอะไรบางอย่างเพื่อปกป้องจิตใจและอารมณ์ความรู้สึกของเราได้ด้วย ความบันเทิงที่รุนแรงหรือแม้แต่ข่าวที่น่าสยดสยองมีแต่จะเพิ่มความกังวลให้กับตัวเราและลูกของเรา การที่เราไม่ดูภาพรุนแรงแบบนั้นไม่ได้หมายความว่าเราปิดหูปิดตาไม่รับรู้ข่าวสารอะไรเลย และพระเจ้าก็ไม่ได้ออกแบบเราให้คิดแต่เรื่องร้าย ๆ ดังนั้น แทนที่จะรับแต่เรื่องร้าย ๆ เราควรให้ใจเต็มไปด้วย ‘สิ่งที่จริง สิ่งที่ชอบธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก’ ถ้าเราทำอย่างนั้น “พระเจ้าแห่งสันติสุข” จะช่วยเราให้มีใจสงบ—ฟิลิปปอย 4:8, 9
ความสำคัญของการอธิษฐาน
ความเชื่อแท้ช่วยเรารับมือกับความกังวลได้ คัมภีร์ไบเบิลกระตุ้นเราให้ “เอาใจใส่ในการอธิษฐาน” (1 เปโตร 4:7) เราสามารถขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ขอสติปัญญาและความกล้าเพื่อจัดการกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างดีที่สุด เรามั่นใจได้ว่า “พระองค์จะทรงฟังไม่ว่าเราทูลขอสิ่งใด”—1 โยฮัน 5:15
กับอาวี สามีของเธอ
คัมภีร์ไบเบิลอธิบายว่า ซาตานเป็น “ผู้ปกครองโลก” และ “โลกทั้งโลกอยู่ในอำนาจตัวชั่วร้าย” (โยฮัน 12:31; 1 โยฮัน 5:19) เมื่อพระเยซูสอนเราอธิษฐาน ท่านเน้นด้วยว่าซาตานมีจริงและพระเจ้าก็จะช่วยเราจริง ๆ ท่านบอกว่า “ขอทรงช่วยพวกข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากตัวชั่วร้าย” (มัดธาย 6:13) อโลนาบอกว่า “ทุกครั้งที่สัญญาณดังขึ้น ฉันจะอธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยฉันให้มีสติ และสามีสุดที่รักก็โทรมาหาฉันและอธิษฐานด้วยกันทางโทรศัพท์ การอธิษฐานช่วยได้จริง ๆ” เป็นอย่างที่พระคัมภีร์บอกไว้ที่ว่า “พระยะโฮวาทรงสถิตอยู่ใกล้คนทั้งปวงที่ทูลต่อพระองค์ คือคนที่ทูลพระองค์ด้วยใจสัตย์ซื่อ”—บทเพลงสรรเสริญ 145:18
ความหวังของเราในเรื่องอนาคต
ในคำบรรยายที่มีชื่อเสียงของพระเยซู ท่านสอนเหล่าผู้ติดตามให้อธิษฐานว่า “ขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์มาเถิด” (มัดธาย 6:10) ราชอาณาจักรของพระเจ้าซึ่งก็คือรัฐบาลของพระองค์จะกำจัดความกังวลทุกชนิดให้หมดไป และโดยทางพระเยซู “องค์สันติราช” พระเจ้าจะ “ปราบปรามการสงครามให้สงบเงียบตลอดถึงปลายแผ่นดินโลก” (ยะซายา 9:6; บทเพลงสรรเสริญ 46:9) “พระองค์ [พระเจ้า] จะทรงวินิจฉัยความระหว่างประชาชนเป็นอันมาก . . . ประเทศต่อประเทศจะไม่ยกดาบขึ้นต่อสู้กัน . . . และจะไม่มีอะไรมาทำให้เขาสะดุ้งกลัว” (มีคา 4:3, 4) ครอบครัวที่มีความสุขจะ “สร้างบ้านและได้อยู่อาศัย เขาจะปลูกสวนองุ่นและได้กินผลของมัน” (ยะซายา 65:21, ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย ) “จะไม่มีใครที่อาศัยอยู่ที่นั่นพูดว่า ‘ข้าพเจ้าป่วยอยู่’”—ยะซายา 33:24
ในทุกวันนี้ การเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าไม่ได้ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้เสมอไป หรือไม่ใช่ว่าจะไม่เจอเรื่องร้ายเลย (ท่านผู้ประกาศ 9:11) เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้วที่สงคราม ความรุนแรง และโรคระบาดได้ทำให้คนดี ๆ จำนวนมากต้องตาย มีความหวังอะไรไหมสำหรับเหยื่อผู้บริสุทธิ์เหล่านี้?
พระเจ้าจะทำให้คนที่ตายไปจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งอยู่ในความทรงจำของพระองค์กลับมามีชีวิตอีก พวกเขาจะไม่มีวันเลือนหายไปจากความทรงจำที่ไม่มีขีดจำกัดของพระเจ้า จนกว่าจะถึงวันที่ “ทุกคนซึ่งอยู่ในอุโมงค์ฝังศพจะ . . . ออกมา” (โยฮัน 5:28, 29) เมื่อพูดถึงความหวังที่คนเราจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง คัมภีร์ไบเบิลรับรองว่า “เรามีความหวังนี้เป็นดุจสมอสำหรับชีวิต ทั้งแน่นอนและมั่นคง” (ฮีบรู 6:19) และพระเจ้า “ให้หลักฐานยืนยันเรื่องนี้แก่คนทั้งปวงโดยทรงปลุก [พระเยซู] ให้เป็นขึ้นจากตาย”—กิจการ 17:31
แม้กระทั่งตอนนี้ คนที่พยายามทำให้พระเจ้าพอใจก็ยังมีความกังวลอยู่ แต่พอล แจเนต และอโลนาสามารถรับมือกับความกังวลได้สำเร็จเพราะพวกเขาทำตามคำแนะนำที่ใช้ได้จริง ใกล้ชิดสนิทกับพระเจ้าโดยการอธิษฐาน และมีความเชื่อที่มั่นคงเกี่ยวกับความหวังในอนาคตที่มีบอกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล เหมือนอย่างที่พระเจ้าได้ช่วย 3 คนนี้ “ขอให้พระเจ้าผู้เป็นแหล่งของความหวัง ช่วยเติมให้คุณเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ไปด้วยความชื่นชมยินดีและสันติสุข ตามที่คุณได้รักษาความไว้วางใจของคุณไว้ในพระองค์”—โรม 15:13, ฉบับอ่านเข้าใจง่าย
-