บท 13
ผู้ประกาศราชอาณาจักรสู้คดีในศาล
1, 2. (ก) พวกหัวหน้าศาสนาทำอะไรเพื่อขัดขวางงานประกาศ แต่อัครสาวกมีท่าทีอย่างไร? (ข) ทำไมอัครสาวกไม่เชื่อฟังคำสั่งห้ามนั้น?
วันเพนเทคอสต์ปี ค.ศ. 33 เพิ่งผ่านไปไม่นาน ประชาคมคริสเตียนในกรุงเยรูซาเลมก่อตั้งได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ ซาตานเห็นว่าตอนนี้เป็นโอกาสทองที่จะลงมือ มันอยากทำลายประชาคมนั้นให้สิ้นซากก่อนที่จะเติบโตและเข้มแข็ง ซาตานใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ แบบที่พวกหัวหน้าศาสนาเคยทำมาเพื่อห้ามไม่ให้มีการประกาศเรื่องราชอาณาจักร แต่พวกอัครสาวกก็ประกาศต่อไปอย่างกล้าหาญ แล้วชายหญิงหลายคนก็ได้มาเป็น “ผู้ที่เชื่อถือองค์พระผู้เป็นเจ้า”—กิจ. 4:18, 33; 5:14
เหล่าอัครสาวกมีความยินดี “เพราะถือว่าที่พวกเขาได้รับความอัปยศเพื่อพระนามของพระเยซูนั้นแสดงว่าพระเจ้าพอพระทัยพวกเขา”
2 พวกผู้ต่อต้านโกรธแค้นและจับอัครสาวกทั้งหมดขังคุก แต่ในคืนนั้นเอง ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาก็มาเปิดประตูคุก และรุ่งเช้าอัครสาวกเหล่านั้นก็ออกไปประกาศ! พวกเขาถูกจับอีก แต่คราวนี้ถูกนำตัวไปพบพวกผู้ปกครองบ้านเมืองซึ่งกล่าวหาว่าพวกเขาฝ่าฝืนกฎหมายที่ห้ามเรื่องการประกาศ แต่เหล่าอัครสาวกพูดอย่างกล้าหาญว่า “พวกข้าพเจ้าต้องเชื่อฟังพระเจ้าในฐานะผู้มีอำนาจปกครอง ไม่ใช่เชื่อฟังมนุษย์” พวกผู้มีอำนาจโกรธแค้นมากจนอยาก “ฆ่า” พวกอัครสาวก แต่ในนาทีคับขันนั้น กามาลิเอลอาจารย์สอนกฎหมายที่ผู้คนเคารพนับถือก็เข้ามา เขาเตือนผู้มีอำนาจเหล่านั้นว่า “จงระวังให้ดี . . . อย่าไปยุ่งกับคนเหล่านี้ พวกเขาอยากทำอะไรก็ปล่อยให้ทำไป” แล้วก็แปลกมากที่ผู้มีอำนาจยอมทำตามคำแนะนำของกามาลิเอลและปล่อยอัครสาวกไป หลังจากถูกปล่อยตัวแล้วคนที่ซื่อสัตย์เหล่านี้ทำอะไร? แทนที่จะกลัวตาย พวกเขากลับ “สอนและประกาศข่าวดีเรื่องพระคริสต์ คือพระเยซูต่อไป . . . มิได้ขาด”—กิจ. 5:17-21, 27-42; สุภา. 21:1, 30
3, 4. (ก) วิธีอะไรที่ซาตานใช้มานานแล้วเพื่อต่อต้านขัดขวางประชาชนของพระเจ้า? (ข) เราจะเรียนอะไรในบทนี้และในอีก 2 บทถัดไป?
3 การพิจารณาคดีในศาลปี 33 นับว่าเป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองต่อต้านขัดขวางประชาคมคริสเตียน แต่นั่นไม่ใช่ครั้งสุดท้าย (กิจ. 4:5-8; 16:20; 17:6, 7) ในสมัยของเรา ซาตานก็ยังใช้ผู้ต่อต้านการนมัสการแท้กระตุ้นเจ้าหน้าที่รัฐให้สั่งห้ามงานประกาศ ผู้ต่อต้านกล่าวหาว่าประชาชนของพระเจ้าละเมิดกฎหมาย เช่น ก่อกวนหรือสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น เป็นพวกนักปลุกระดม และเป็นพวกพ่อค้าเร่ แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พี่น้องของเราก็สู้คดีเพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหาเหล่านั้นเป็นเรื่องเท็จ ผลของการสู้คดีเป็นอย่างไร? คำตัดสินของศาลเมื่อหลายสิบปีก่อนส่งผลต่อตัวคุณในเวลานี้อย่างไร? ให้เรามาพิจารณาบางคดีด้วยกัน แล้วดูว่าคดีเหล่านี้ช่วยให้ “การประกาศข่าวดีเป็นเรื่องถูกต้องตามกฎหมาย” อย่างไร—ฟิลิป. 1:7
4 บทนี้จะพูดถึงวิธีที่เราปกป้องสิทธิเสรีภาพในการประกาศ ส่วนอีก 2 บทถัดไปจะเป็นเรื่องการต่อสู้ทางกฎหมายที่เราพยายามทำมาตลอดเพื่อจะไม่เป็นส่วนของโลกและใช้ชีวิตตามมาตรฐานที่ราชอาณาจักรได้วางไว้
ไม่ได้ก่อความเดือดร้อน แต่สนับสนุนราชอาณาจักรของพระเจ้าอย่างภักดี
5. ช่วงปลายทศวรรษ 1930 ทำไมผู้ประกาศจึงถูกจับ และผู้ที่นำหน้าในองค์การของพระเจ้าทำอย่างไร?
5 ช่วงปลายทศวรรษ 1930 เจ้าหน้าที่ในเมืองและรัฐต่าง ๆ ทั่วสหรัฐอเมริกาพยายามบังคับพยานพระยะโฮวาให้ยื่นขอใบอนุญาตเพื่อเผยแพร่ศาสนา แต่พี่น้องของเราไม่ยอมทำอย่างนั้น เพราะใบอนุญาตอาจถูกเพิกถอนได้ และพี่น้องก็เชื่อว่าไม่มีรัฐบาลใดมีสิทธิ์ขัดขวางคำสั่งของพระเยซูที่ให้คริสเตียนประกาศข่าวเรื่องราชอาณาจักร (มโก. 13:10) ผลคือ ผู้ประกาศหลายร้อยคนถูกจับ ผู้ที่นำหน้าในองค์การจึงคิดจะสู้คดีในศาล พวกเขาอยากแสดงให้เห็นว่าบางรัฐบางเมืองได้วางข้อจำกัดหลายอย่างที่ขัดต่อกฎหมาย ซึ่งเป็นการริดรอนสิทธิเสรีภาพของพยานพระยะโฮวาในการทำกิจกรรมทางศาสนา และปี 1938 ก็เกิดเรื่องขึ้น ซึ่งกลายเป็นคดีสำคัญที่ต้องฟ้องร้องกันในศาล เรื่องอะไรล่ะ?
6, 7. เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวแคนท์เวล?
6 เช้าวันอังคารที่ 26 เมษายน 1938 นิวตัน แคนท์เวล วัย 60 ปี เอสเทอร์ภรรยาของเขา กับลูก ๆ คือ เฮนรี, รัสเซลล์ และเจสซี ครอบครัวไพโอเนียร์พิเศษทั้ง 5 คนนี้เตรียมตัวที่จะไปประกาศทั้งวันในเมืองนิวฮาเวน รัฐคอนเนตทิคัต ที่จริง พวกเขาเตรียมตัวเผื่อว่าอาจจะไม่ได้กลับบ้านในวันนั้น ทำไมล่ะ? เพราะพวกเขาเคยถูกตำรวจจับหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ก็อาจจะโดนอีก แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้ครอบครัวแคนท์เวลหมดกำลังใจที่จะประกาศข่าวสารเรื่องราชอาณาจักร พวกเขาไปที่นิวฮาเวนโดยใช้รถ 2 คัน นิวตันขับรถของครอบครัวที่มีทั้งเครื่องเล่นแผ่นเสียงแบบกระเป๋าหิ้วและหนังสือมากมาย ส่วนเฮนรีวัย 22 ปีขับรถกระจายเสียง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ พอประกาศได้ไม่ทันไรตำรวจก็มาจับพวกเขา
7 รัสเซลล์ที่อายุ 18 ปีถูกจับคนแรก ต่อมาก็นิวตันกับเอสเทอร์ เจสซีหนุ่มน้อยวัย 16 มองเห็นแต่ไกลตอนที่พ่อแม่กับพี่ชายถูกตำรวจคุมตัวไป ส่วนเฮนรีกำลังประกาศอยู่อีกที่หนึ่งในเมืองนั้น ตอนนี้จึงเหลือแต่เจสซีคนเดียว เขาถือกระเป๋าเครื่องเล่นแผ่นเสียงแล้วเดินประกาศต่อไป ชายชาวคาทอลิก 2 คนอนุญาตให้เจสซีเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่เป็นคำบรรยายของพี่น้องรัทเทอร์ฟอร์ดซึ่งมีหัวเรื่องว่า “พวกศัตรู” พอพวกเขาได้ฟังคำบรรยายนั้นก็โกรธจัดจนเกือบจะต่อยเจสซี เขาปลีกตัวออกไปได้แต่จากนั้นไม่นานก็ถูกตำรวจจับ พี่น้องนิวตันกับลูก ๆ ถูกตั้งข้อกล่าวหา ยกเว้นพี่น้องเอสเทอร์ แต่พวกเขาก็ได้รับการประกันตัวออกไปในวันเดียวกันนั้น
8. ทำไมศาลจึงตัดสินว่าเจสซี แคนท์เวลมีความผิดฐานก่อความวุ่นวาย?
8 ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น คือเดือนกันยายน 1938 ครอบครัวแคนท์เวลต้องไปขึ้นศาลในเมืองนิวฮาเวน ตอนนั้นนิวตัน รัสเซลล์ และเจสซีถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานเรี่ยไรเงินบริจาคโดยไม่มีใบอนุญาต ทั้ง ๆ ที่อุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดของรัฐคอนเนตทิคัต แต่เจสซีก็ยังถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานก่อความวุ่นวาย ทำไมล่ะ? เพราะชายชาวคาทอลิก 2 คนที่ฟังคำบรรยายจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงให้การต่อศาลว่า คำบรรยายนั้นลบหลู่ศาสนาและยั่วยุพวกเขาให้โกรธแค้น เพื่อแก้ข้อกล่าวหานั้น พี่น้องที่มีหน้าที่รับผิดชอบในองค์การของเราได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดของสหรัฐฯ
9, 10. (ก) ศาลสูงสุดของสหรัฐตัดสินคดีของครอบครัวแคนท์เวลอย่างไร? (ข) เรายังได้รับประโยชน์อย่างไรจากคำตัดสินนี้?
9 เริ่มตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 1940 ชาลส์ อี. ฮิวส์ หัวหน้าคณะผู้พิพากษาออกนั่งบัลลังก์พร้อมกับผู้พิพากษาอีก 8 คนเพื่อฟังคำโต้แย้งของพี่น้องเฮย์เดน คัฟวิงตันซึ่งเป็นทนายความฝ่ายพยานพระยะโฮวาa เมื่ออัยการฝ่ายรัฐคอนเนตทิคัตพยายามโต้แย้งว่าพยานฯเป็นพวกที่ก่อความไม่สงบให้บ้านเมือง ผู้พิพากษาคนหนึ่งถามขึ้นว่า “จริงไหมที่ว่า ข่าวสารที่พระคริสต์เยซูประกาศเป็นเรื่องที่ผู้คนในสมัยนั้นไม่ค่อยชอบ?” อัยการตอบว่า “จริงครับ และถ้าผมจำไม่ผิด พระคัมภีร์ยังบอกด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระเยซูเมื่อท่านประกาศข่าวสารนั้น” คำพูดนี้มัดตัวเขา! สิ่งที่อัยการคนนั้นหลุดปากออกมาแสดงว่าพยานฯเป็นฝ่ายเดียวกับพระเยซู ส่วนรัฐก็เป็นฝ่ายเดียวกับคนที่กล่าวหาพระเยซู ในวันที่ 20 พฤษภาคม 1940 ศาลได้ประกาศคำตัดสินอย่างเป็นเอกฉันท์ให้พยานฯชนะคดี
เฮย์เดน คัฟวิงตัน (คนกลางแถวหน้า) เกลน ฮาว (ซ้าย) และคนอื่น ๆ ออกจากศาลหลังชนะคดี
10 คำตัดสินของศาลในครั้งนี้สำคัญอย่างไร? คำตัดสินนี้ช่วยคุ้มครองสิทธิเสรีภาพด้านศาสนา ไม่ให้รัฐบาล สหพันธรัฐ หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นมาจำกัดเสรีภาพทางศาสนาได้ ศาลยังเห็นว่าความประพฤติของเจสซี “ไม่ได้ . . . เป็นภัยต่อความสงบสุขของบ้านเมือง” ดังนั้น คำตัดสินนี้จึงเป็นคำรับรองที่ชัดเจนว่าพยานพระยะโฮวาไม่ได้เป็นพวกที่ก่อความไม่สงบ นี่เป็นชัยชนะอย่างเด็ดขาดทางกฎหมายที่ประชาชนของพระเจ้าได้รับ! ชัยชนะครั้งนั้นยังมีผลดีต่อพวกเราในทุกวันนี้อย่างไร? พยานฯคนหนึ่งที่เป็นทนายความพูดว่า “พยานฯในทุกวันนี้ประกาศข่าวสารที่ให้ความหวังกับเพื่อนบ้านได้เพราะเราได้รับสิทธิเสรีภาพทางศาสนา เราจึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีการตั้งข้อจำกัดอย่างไม่เป็นธรรม”
ไม่ใช่นักปลุกระดม แต่เป็นผู้ประกาศความจริง
แผ่นพับควิเบกเกลียดชังพระเจ้า พระคริสต์ และเสรีภาพ นี่เป็นเรื่องน่าอายของคนแคนาดาทั้งประเทศ
11. พี่น้องในแคนาดาได้รณรงค์อะไร และทำไม?
11 ในช่วงทศวรรษ 1940 พยานพระยะโฮวาในแคนาดาถูกต่อต้านอย่างรุนแรง ดังนั้น ในปี 1946 พี่น้องที่นั่นรณรงค์แจกแผ่นพับเป็นเวลา 16 วันเพื่อให้ผู้คนได้รับรู้ว่ารัฐบาลเพิกเฉยเรื่องสิทธิเสรีภาพทางศาสนา แผ่นพับนั้นชื่อว่า ควิเบกเกลียดชังพระเจ้า พระคริสต์ และเสรีภาพ นี่เป็นเรื่องน่าอายของคนแคนาดาทั้งประเทศ (ภาษาอังกฤษ) แผ่นพับที่มี 4 หน้านี้เปิดโปงเรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่น้องของเราในควิเบกอย่างละเอียด เช่น การจลาจลที่มีพวกนักเทศน์นักบวชอยู่เบื้องหลัง การกระทำที่ป่าเถื่อนของตำรวจ และการก่อม็อบที่ใช้ความรุนแรง แผ่นพับนั้นบอกว่า “การจับกุมพยานพระยะโฮวาอย่างผิดกฎหมายยังมีอยู่เรื่อย ๆ พยานพระยะโฮวาในเมืองมอนทรีออลและเขตที่อยู่รอบ ๆ ถูกตั้งข้อกล่าวหาประมาณ 800 ข้อ”
12. (ก) ผู้ต่อต้านตอบโต้การรณรงค์แจกแผ่นพับอย่างไร? (ข) พี่น้องของเราถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาอะไร? (ดูเชิงอรรถ)
12 เพื่อเป็นการตอบโต้ มอรีส ดูเปสซีผู้ว่าการมณฑลควิเบกจึงร่วมมือกับวิลเยอเนอฟเวอซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองสันตะปาปาของโรมันคาทอลิก พวกเขาประกาศ “สงครามอย่างไร้ความปรานี” กับพยานฯการดำเนินคดีจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 800 เป็น 1,600 คดี พี่น้องหญิงคนหนึ่งที่เป็นไพโอเนียร์พูดว่า “เราถูกตำรวจจับจนนับครั้งไม่ถ้วน” พยานฯที่ถูกจับตอนแจกแผ่นพับก็ถูกฟ้องว่ามีความผิดทางอาญาข้อหาแจกสิ่งพิมพ์เถื่อนที่ “โฆษณาปลุกปั่นเพื่อล้มล้างรัฐบาล”b
13. ใครคือกลุ่มแรกที่ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาปลุกระดม และศาลชั้นต้นตัดสินอย่างไร?
13 ในปี 1947 พี่น้องอีเม บูเช กับชีเซลลูกสาววัย 18 ปีและลูซิลวัย 11 ปีเป็นกลุ่มแรกที่ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาปลุกระดม พวกเขาแจกแผ่นพับควิเบกเกลียดชัง อยู่ใกล้ ๆ ฟาร์มของเขาในแถบภูเขาทางใต้ของเมืองควิเบก แต่ลองนึกดูสิว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่ครอบครัวนี้เป็นผู้ก่อความไม่สงบ พี่น้องบูเชเป็นคนถ่อม ใช้ชีวิตเรียบง่าย และสุภาพมาก เขาอาศัยอยู่ในฟาร์มเล็ก ๆ นาน ๆ ครั้งถึงจะเข้าเมืองด้วยรถม้า แต่ครอบครัวของเขากลับต้องมาทนกับการกระทำที่โหดร้ายตามที่บอกไว้ในแผ่นพับนั้น ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่เกลียดพยานฯนอกจากจะไม่ยอมพิจารณาหลักฐานที่พิสูจน์ว่าครอบครัวบูเชเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว เขายังยอมรับคำฟ้องที่ว่าแผ่นพับนั้นปลุกปั่นให้เกิดความเป็นศัตรูกัน ครอบครัวบูเชจึงมีความผิด และนั่นแสดงว่าสำหรับผู้พิพากษาคนนี้ การพูดความจริงมีความผิดทางอาญา! อีเมกับชีเซลถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานโฆษณาปลุกปั่นเพื่อล้มล้างรัฐบาล แม้แต่ลูซิลลูกสาวคนเล็กของเขาก็ถูกขังคุกถึง 2 วัน พวกพี่น้องจึงยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดในแคนาดาซึ่งรับพิจารณาคดีนี้
14. พี่น้องในควิเบกทำอย่างไรตลอดช่วงที่มีการต่อต้านอย่างรุนแรง?
14 ขณะเดียวกัน พี่น้องชายหญิงที่กล้าหาญในควิเบกก็ยังประกาศข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรต่อ ๆ ไป แม้มีการต่อต้านอย่างรุนแรงแต่ก็เกิดผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ ตลอดช่วง 4 ปีหลังจากที่เริ่มรณรงค์แจกแผ่นพับในปี 1946 พยานพระยะโฮวาในควิเบกเพิ่มขึ้นจาก 300 คนเป็น 1,000 คน!c
15, 16. (ก) ศาลสูงสุดของแคนาดาตัดสินคดีของครอบครัวบูเชอย่างไร? (ข) ชัยชนะครั้งนี้มีผลต่อพี่น้องและประชาชนคนอื่น ๆ อย่างไร?
15 ในเดือนมิถุนายน 1950 ศาลสูงสุดของแคนาดาซึ่งมีองค์คณะผู้พิพากษาทั้งหมด 9 คนได้พิจารณาคดีของอีเม บูเช หกเดือนต่อมาคือในวันที่ 18 ธันวาคม 1950 ศาลตัดสินให้เราเป็นฝ่ายชนะคดี ทำไมล่ะ? พี่น้องเกลน ฮาวซึ่งเป็นทนายความฝ่ายพยานพระยะโฮวาอธิบายว่า ศาลสูงเห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของทนายฝ่ายจำเลยที่ว่า “การปลุกระดม” ต้องมีการยั่วยุให้เกิดความรุนแรงหรือก่อความวุ่นวายเพื่อต่อต้านรัฐบาล แต่แผ่นพับนั้น “ไม่ได้มีคำพูดที่เป็นการยั่วยุ และเสรีภาพในการพูดก็เป็นเรื่องที่ชอบด้วยกฎหมาย” พี่น้องฮาวพูดอีกว่า “ผมเห็นกับตาตัวเองเลยว่าพระยะโฮวาช่วยให้เราชนะ”d
16 คำตัดสินของศาลสูงสุดเป็นชัยชนะอย่างเด็ดขาดของราชอาณาจักรจริง ๆ คำตัดสินนี้เป็นตัวอย่างสำหรับอีก 122 คดีที่รอการตัดสินอยู่ ทำให้พยานฯในควิเบกที่ถูกฟ้องด้วยข้อหาโฆษณาปลุกปั่นเพื่อล้มล้างรัฐบาลพ้นข้อกล่าวหาทุกประการ คำตัดสินของศาลยังแสดงว่า ตอนนี้พลเมืองแคนาดาและเครือจักรภพของอังกฤษทั้งหมดมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเรื่องวิธีบริหารบ้านเมืองของรัฐบาล ชัยชนะครั้งนี้ยังเป็นการล้มล้างแผนการของคริสตจักรและรัฐบาลควิเบกที่ต้องการจำกัดเสรีภาพของพยานพระยะโฮวาe
ไม่ใช่พ่อค้าเร่ แต่เป็นผู้ประกาศเรื่องราชอาณาจักรที่ขยันขันแข็ง
17. รัฐบาลในบางประเทศพยายามควบคุมงานประกาศของพวกเราอย่างไร?
17 เหมือนกับคริสเตียนรุ่นแรก ๆ ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาในทุกวันนี้ “ไม่ใช่คนเร่ขายพระคำของพระเจ้า” (อ่าน 2 โครินท์ 2:17) แต่รัฐบาลในบางประเทศพยายามควบคุมงานประกาศโดยใช้กฎข้อบังคับต่าง ๆ ด้านการค้า ให้เรามาพิจารณา 2 คดีที่มีการตัดสินชี้ขาดว่าพยานพระยะโฮวาเป็นพ่อค้าเร่หรือว่าเป็นผู้ประกาศข่าวดีกันแน่
18, 19. เจ้าหน้าที่รัฐในเดนมาร์กพยายามขัดขวางงานประกาศอย่างไร?
18 เดนมาร์ก ในวันที่ 1 ตุลาคม 1932 เริ่มมีการบังคับใช้กฎหมายห้ามไม่ให้ขายสิ่งพิมพ์ใด ๆ โดยไม่มีใบอนุญาต แต่พี่น้องก็ไม่ยอมไปยื่นขอใบอนุญาต วันรุ่งขึ้นพี่น้อง 5 คนออกประกาศในเมืองรอสกิเลอ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงโคเปนเฮเกนไปทางทิศตะวันตกประมาณ 30 กว่ากิโลเมตร พอตกเย็น อูกุส เลมันน์ผู้ประกาศคนหนึ่งในกลุ่มนั้นก็หายตัวไป เขาถูกจับเพราะขายของโดยไม่มีใบอนุญาต
19 ในวันที่ 19 ธันวาคม 1932 อูกุส เลมันน์ไปขึ้นศาลและให้การว่า เขาไปเยี่ยมผู้คนเพื่อเสนอหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลแต่ไม่ได้เร่ขายของ ศาลชั้นต้นตัดสินให้เขาเป็นฝ่ายชนะและยังบอกว่า “จำเลย . . . ไม่ได้รับผลกำไรใด ๆ หรือแสดงว่ามีเจตนาที่จะค้ากำไร แต่สิ่งที่เขาทำกลับทำให้เขาเสียเงินด้วยซ้ำ” ศาลตัดสินให้พยานพระยะโฮวาชนะคดีและบอกว่าสิ่งที่เลมันน์ทำ “ไม่เข้าข่ายของการค้า” แต่พวกศัตรูก็ยังไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะขัดขวางงานประกาศทั่วประเทศ (เพลง. 94:20) พนักงานอัยการยื่นอุทธรณ์ไปจนถึงศาลสูงสุด แล้วพี่น้องของเราทำอย่างไร?
20. ศาลสูงสุดของเดนมาร์กได้ประกาศคำตัดสินอย่างไร และพี่น้องตอบรับอย่างไร?
20 ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ศาลสูงสุดจะพิจารณาคดีนั้น พยานฯทั่วเดนมาร์กได้ร่วมแรงร่วมใจกันออกประกาศมากขึ้น ในวันอังคารที่ 3 ตุลาคม 1933 ศาลสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าอูกุส เลมันน์ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย คำตัดสินนี้หมายความว่าพยานฯสามารถประกาศต่อไปได้อย่างเสรี และเพื่อแสดงความขอบคุณที่พระยะโฮวาช่วยพวกเขาให้ชนะคดี พี่น้องก็ยิ่งออกประกาศมากขึ้น ตั้งแต่ศาลมีคำตัดสินออกมา พี่น้องในเดนมาร์กก็ประกาศได้โดยไม่มีการขัดขวางจากรัฐบาล
พยานฯที่กล้าหาญในเดนมาร์ก ช่วงทศวรรษ 1930
21, 22. ศาลสูงสุดในสหรัฐตัดสินคดีของพี่น้องเมอร์ดอกอย่างไร?
21 สหรัฐ ในวันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 1940 ไพโอเนียร์คนหนึ่งที่ชื่อโรเบิร์ต เมอร์ดอก จูเนียร์และพยานฯอีก 7 คน ถูกจับกุมขณะที่ประกาศในเมืองเจนเน็ต ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองพิตส์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย พวกเขาถูกตัดสินว่ามีความผิดเพราะไม่ได้ขอใบอนุญาตสำหรับเสนอหนังสือ เมื่อมีการอุทธรณ์ ศาลสูงสุดของสหรัฐก็รับคำฟ้องเพื่อพิจารณาคดี
22 ในวันที่ 3 พฤษภาคม 1943 ศาลสูงสุดได้ประกาศคำตัดสินที่เป็นการคุ้มครองพยานพระยะโฮวา ศาลถือว่าข้อเรียกร้องที่ให้จ่ายเงินเพื่อขอใบอนุญาตสำหรับการแจกจ่ายสิ่งพิมพ์ทางศาสนาเป็นเรื่องที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลสูงสุดถึงกับสั่งให้เทศบัญญัติข้อนี้เป็นโมฆะ เนื่องจากกฎข้อนี้เป็น “การจำกัดเสรีภาพในการเสนอข่าวสารและเสรีภาพในการทำกิจกรรมทางศาสนา” เมื่ออ่านคำตัดสินของผู้พิพากษาเสียงข้างมาก วิลเลียม โอ. ดักลาสผู้พิพากษาคนหนึ่งได้กล่าวว่า กิจกรรมของพยานพระยะโฮวา “เป็นยิ่งกว่าการประกาศ ยิ่งกว่าการจำหน่ายจ่ายแจกหนังสือศาสนา แต่รวมถึงทั้งสองอย่างนั้น” เขาพูดต่อไปว่า “การทำกิจกรรมทางศาสนาแบบนี้ถือว่ามีเกียรติเท่ากับ . . . การนมัสการหรือการเทศน์ในโบสถ์”
23. ทำไมการชนะคดีในปี 1943 จึงสำคัญสำหรับพวกเราในทุกวันนี้?
23 คำตัดสินของศาลสูงสุดนี้เป็นชัยชนะทางกฎหมายครั้งสำคัญสำหรับประชาชนของพระเจ้า และเป็นการรับรองว่าเราไม่ใช่พ่อค้าเร่แต่เป็นคริสเตียนที่ประกาศข่าวดี ในวันที่น่าจดจำปี 1943 นั้น พยานพระยะโฮวาชนะคดีในศาลสูงสุด 12 ใน 13 คดี รวมทั้งคดีของเมอร์ดอก ด้วย คำตัดสินเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่มีน้ำหนักมากสำหรับคดีอื่น ๆ ที่พวกผู้ต่อต้านพยายามคัดค้าน เพื่อไม่ให้เรามีสิทธิในการประกาศข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรทั้งในที่สาธารณะและตามบ้านเรือน
“พวกข้าพเจ้าต้องเชื่อฟังพระเจ้าในฐานะผู้มีอำนาจปกครองไม่ใช่เชื่อฟังมนุษย์”
24. เราทำอย่างไรเมื่อรัฐบาลสั่งห้ามงานประกาศ?
24 พวกเราที่เป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวารู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่รัฐบาลต่าง ๆ ยอมให้เรามีสิทธิตามกฎหมาย ทำให้เราประกาศข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรได้อย่างเสรี แต่เมื่อรัฐบาลของประเทศใดห้ามงานประกาศ เราก็เพียงแต่ปรับเปลี่ยนวิธีเพื่อให้ทำงานต่อไปได้ เราทำเหมือนเหล่าอัครสาวกที่ “เชื่อฟังพระเจ้าในฐานะผู้มีอำนาจปกครอง ไม่ใช่เชื่อฟังมนุษย์” (กิจ. 5:29; มัด. 28:19, 20) ขณะเดียวกัน เราก็อุทธรณ์ต่อศาลเพื่อขอให้ยกเลิกคำสั่งห้ามกิจกรรมของเรา ให้เรามาดู 2 ตัวอย่าง
25, 26. มีเหตุการณ์อะไรในนิการากัวที่ทำให้พี่น้องยื่นคำร้องต่อศาลสูงสุด และผลเป็นอย่างไร?
25 นิการากัว ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 1952 ดอโนแวน มันสเตอร์มานซึ่งเป็นมิชชันนารีและผู้รับใช้สาขา ได้เข้าไปที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในมานากัว เมืองหลวงของนิการากัว เขาถูกเรียกให้ไปพบหัวหน้าสำนักงานนี้ซึ่งก็คือ ร้อยตำรวจเอกอาร์นอลโด การ์เซีย ตำรวจคนนี้พูดกับดอโนแวนว่า พยานพระยะโฮวาทุกคนในนิการากัว “ถูกห้ามไม่ให้เผยแพร่หลักคำสอนและไม่ให้ทำกิจกรรมทางศาสนาอีกต่อไป” เมื่อดอโนแวนถามว่าทำไมถึงห้าม ร้อยตำรวจเอกการ์เซียอธิบายว่ากระทรวงไม่อนุญาตให้ประกาศและพยานฯยังถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ แล้วใครกล่าวหาล่ะ? พวกนักเทศน์ของคริสตจักรโรมันคาทอลิกนั่นเอง
พี่น้องในนิการากัวในช่วงที่ถูกสั่งห้าม
26 พี่น้องมันสเตอร์มานยื่นอุทธรณ์ทันทีต่อรัฐบาลและกระทรวงศาสนา รวมทั้งประธานาธิบดีอะนาสตาซิโย โซโมซา การ์เซีย แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น พวกพี่น้องจึงปรับเปลี่ยนวิธีการบางอย่าง เช่น ปิดหอประชุม พบกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ พวกเขายังประกาศข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรต่อไป เพียงแต่เลิกวิธีประกาศตามท้องถนน พวกเขายื่นคำร้องต่อศาลสูงสุดของนิการากัวขอให้ยกเลิกคำสั่งห้ามงานประกาศ หนังสือพิมพ์รายงานข่าวกันอย่างคึกโครมเกี่ยวกับคำสั่งห้ามและเนื้อหาในคำร้องของพยานฯและศาลสูงสุดก็รับพิจารณาคดีนี้ ผลเป็นอย่างไร? ในวันที่ 19 มิถุนายน 1953 ศาลสูงสุดได้ตีพิมพ์คำตัดสินอย่างเป็นเอกฉันท์ให้พยานฯเป็นฝ่ายชนะ ศาลเห็นว่าคำสั่งห้ามนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญที่รับรองเสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในการทำตามความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และเสรีภาพในการแสดงความเชื่อทางศาสนา ศาลยังสั่งให้รัฐบาลนิการากัวฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพยานพระยะโฮวาด้วย
27. ทำไมชาวนิการากัวรู้สึกแปลกใจมากเมื่อศาลสูงสุดตัดสินให้พยานฯเป็นฝ่ายชนะ และพี่น้องมองชัยชนะครั้งนี้อย่างไร?
27 ชาวนิการากัวแปลกใจมากที่ศาลสูงสุดตัดสินให้พยานฯเป็นฝ่ายชนะคดี ก่อนหน้านั้น พวกนักเทศน์มีอิทธิพลมากจนศาลไม่อยากมีเรื่องขัดแย้งด้วย เจ้าหน้าที่ของรัฐก็มีอำนาจมากจนศาลแทบไม่กล้าตัดสินคดีแบบที่สวนทางกับพวกเขา พี่น้องจึงมั่นใจว่าที่เขาได้ชัยชนะครั้งนี้ก็เพราะกษัตริย์เยซูคอยปกป้อง และเพราะพวกเขาไม่เคยหยุดประกาศ—กิจ. 1:8
28, 29. กลางทศวรรษ 1980 มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นที่ซาอีร์?
28 ซาอีร์ กลางทศวรรษ 1980 มีพยานฯประมาณ 35,000 คนในซาอีร์ ปัจจุบันคือสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก สาขาได้ตัดสินใจสร้างอาคารใหม่หลายหลังเพื่อรองรับงานที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเดือนธันวาคม 1985 มีการประชุมนานาชาติที่เมืองหลวงชื่อกินชาซา ผู้เข้าร่วมประชุมจากที่ต่าง ๆ ทั่วโลก 32,000 คนนั่งกันอยู่เต็มสนามกีฬาของเมืองนี้ แต่หลังจากนั้นสภาพการณ์ก็เริ่มเปลี่ยนไป เกิดอะไรขึ้นกับพยานพระยะโฮวาที่นั่น?
29 พี่น้องมาร์เซล ฟิลโท มิชชันนารีจากควิเบกประเทศแคนาดาซึ่งเคยถูกข่มเหงในยุคดูเปสซี และตอนนั้นได้รับใช้ในซาอีร์ เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “วันที่ 12 มีนาคม 1986 พี่น้องที่มีหน้าที่รับผิดชอบได้รับจดหมายแจ้งว่าสมาคมของพยานพระยะโฮวาในซาอีร์เป็นสมาคมผิดกฎหมาย” คำสั่งห้ามนี้ลงนามโดยโมบูตู เซเซ เซโกซึ่งเป็นประธานาธิบดีของซาอีร์
30. ปัญหาใหญ่ที่คณะกรรมการสาขาต้องตัดสินใจคืออะไร และพวกเขาตัดสินใจอย่างไร?
30 วันต่อมา สถานีวิทยุแห่งชาติรายงานว่า “เราจะไม่ได้ยินอะไรเกี่ยวกับพยานพระยะโฮวาใน [ซาอีร์] อีกต่อไป” แล้วการข่มเหงเกิดขึ้นทันที หอประชุมถูกทำลาย พี่น้องของเราถูกปล้น ถูกจับ ถูกขังคุก และถูกซ้อม แม้แต่เด็กพยานฯก็ถูกขังคุกด้วย ในวันที่ 12 ตุลาคม 1988 รัฐบาลได้ยึดทรัพย์สินขององค์การ กองกำลังรักษาความมั่นคงเข้ายึดสาขา พี่น้องที่มีหน้าที่รับผิดชอบยื่นคำร้องต่อประธานาธิบดีโมบูตู แต่เขาไม่รับคำร้อง ถึงตอนนี้คณะกรรมการสาขาจึงมีปัญหาใหญ่มากที่ต้องตัดสินใจ “เราควรยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุด หรือรอดูสถานการณ์ไปก่อน?” ทิโมที โฮมส์มิชชันนารีและผู้ประสานงานสาขาในซาอีร์ตอนนั้น เล่าว่า “เราขอการชี้นำและสติปัญญาจากพระยะโฮวา” หลังจากคิดอย่างรอบคอบและอธิษฐานจากใจจริง คณะกรรมการเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่เราจะดำเนินการทางกฎหมาย แทนที่จะทำอย่างนั้น เราหันมาเอาใจใส่ดูแลพี่น้องและหาวิธีอื่น ๆ ที่ทำให้เราประกาศต่อไปได้
“ในระหว่างที่มีการฟ้องร้องคดีนี้ เราเห็นว่าพระยะโฮวาเปลี่ยนสถานการณ์ต่าง ๆ ได้”
31, 32. คำตัดสินของศาลสูงสุดในซาอีร์น่าทึ่งอย่างไร และคำตัดสินนี้มีผลต่อพี่น้องอย่างไร?
31 หลายปีผ่านไป มีการต่อต้านพยานฯน้อยลง และการนับถือสิทธิมนุษยชนในประเทศนี้ก็มีมากขึ้น สำนักงานสาขาจึงตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่จะร้องขอต่อศาลสูงสุดของซาอีร์ให้ยกเลิกคำสั่งห้าม น่าทึ่งมากที่ศาลสูงยอมพิจารณาคดีนี้ พอถึงวันที่ 8 มกราคม 1993 ซึ่งเป็นเวลาเกือบ 7 ปีหลังจากมีคำสั่งห้ามที่ลงนามโดยประธานาธิบดี ศาลได้ตัดสินว่าการต่อต้านที่รัฐบาลได้ทำกับพยานฯเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และต้องยกเลิกคำสั่งห้ามนั้น คิดดูสิ นี่หมายความว่าพวกผู้พิพากษายกเลิกคำสั่งของประธานาธิบดีแม้ว่าต้องเสี่ยงต่อชีวิตของพวกเขา! แต่พี่น้องโฮมส์บอกว่า “ในระหว่างที่มีการฟ้องร้องคดีนี้ เราเห็นว่าพระยะโฮวาเปลี่ยนสถานการณ์ต่าง ๆ ได้” (ดานิ. 2:21) ชัยชนะครั้งนี้ทำให้พี่น้องมีความเชื่อเข้มแข็งขึ้น พวกเขารู้สึกว่ากษัตริย์เยซูชี้นำประชาชนของท่านให้รู้ว่าจะใช้กฎหมายเมื่อไรและอย่างไร”
พยานฯในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกดีใจมากที่พวกเขามีเสรีภาพในการนมัสการพระยะโฮวา
32 เมื่อยกเลิกการสั่งห้ามแล้ว สำนักงานสาขาก็ได้รับอนุญาตให้มีมิชชันนารี สร้างสำนักงานใหม่อีกที่หนึ่ง และนำเข้าหนังสือต่าง ๆ เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลf ผู้รับใช้ของพระเจ้าทั่วโลกรู้สึกยินดีจริง ๆ ที่เห็นว่าพระยะโฮวาปกป้องประชาชนของพระองค์ให้มีความเชื่อที่เข้มแข็ง!—ยซา. 52:10
“พระยะโฮวาทรงเป็นผู้ช่วยข้าพเจ้า”
33. เราได้เรียนรู้อะไรเมื่อทบทวนคดีเหล่านี้?
33 การทบทวนเรื่องการสู้คดีเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพระเยซูรักษาคำสัญญาที่ว่า “เราจะให้พวกเจ้ารู้จักพูดอย่างมีสติปัญญา ซึ่งคนทั้งปวงที่ต่อต้านพวกเจ้าจะไม่อาจคัดค้านหรือโต้แย้งได้” (อ่านลูกา 21:12-15) ในทุกวันนี้ บางครั้งพระยะโฮวาก็ใช้คนอื่น ๆ ซึ่งเหมือนกับกามาลิเอลให้ปกป้องประชาชนของพระองค์ หรืออาจกระตุ้นผู้พิพากษาและนักกฎหมายให้รักษาความยุติธรรม พระยะโฮวาทำให้อาวุธของพวกผู้ต่อต้านใช้การไม่ได้ (อ่านยะซายา 54:17) การต่อต้านไม่อาจหยุดงานของพระเจ้าได้
34. ทำไมชัยชนะทางกฎหมายจึงน่าทึ่งจริง ๆ? (ดูกรอบ “ชัยชนะในศาลสูงที่ช่วยให้งานประกาศก้าวหน้า”)
34 ทำไมชัยชนะทางกฎหมายจึงน่าทึ่งจริง ๆ? ลองคิดดูสิ พยานพระยะโฮวาไม่ใช่คนดัง ไม่ใช่ผู้มีอิทธิพล เราไม่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ไม่ไปฟังนักการเมืองหาเสียง ไม่ได้วิ่งเต้นให้นักการเมืองช่วยเหลือ และพยานฯที่ต้องขึ้นศาลส่วนใหญ่ก็ถูกมองว่าเป็น “สามัญชนที่เรียนมาน้อย” (กิจ. 4:13) ในสายตาของมนุษย์ แทบไม่มีแรงจูงใจอะไรเลยที่ทำให้ศาลอยากตัดสินให้เราเป็นฝ่ายชนะ แถมอาจทำให้มีเรื่องบาดหมางกับพวกผู้ต่อต้านทั้งในแวดวงศาสนาและการเมืองด้วยซ้ำ แต่ศาลก็ยังตัดสินให้เราชนะคดีครั้งแล้วครั้งเล่า! ชัยชนะทางกฎหมายพิสูจน์ว่าเราเป็น “สาวกพระคริสต์” ที่ “อยู่ในสายพระเนตรพระเจ้าเสมอ” (2 โค. 2:17) เราจึงมั่นใจเหมือนกับอัครสาวกเปาโลที่พูดว่า “พระยะโฮวาทรงเป็นผู้ช่วยข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว”—ฮีบรู 13:6
a คดีระหว่างแคนท์เวลกับรัฐคอนเนตทิคัต เป็นคดีแรกใน 43 คดีที่พี่น้องเฮย์เดน คัฟวิงตันยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดของสหรัฐฯเพื่อปกป้องพี่น้องของเรา เขาเสียชีวิตในปี 1978 โดโรทีภรรยาของเขารับใช้อย่างซื่อสัตย์จนเสียชีวิตในปี 2015 ด้วยอายุ 92 ปี
b ข้อหานี้อาศัยกฎหมายที่ออกในปี 1606 ซึ่งอนุญาตให้ลูกขุนประกาศความผิดของบุคคลใด ๆ ที่เขาเห็นว่าได้พูดปลุกปั่นให้เกิดความเป็นศัตรูกันแม้สิ่งนั้นจะเป็นความจริงก็ตาม
c ในปี 1950 มีผู้รับใช้เต็มเวลา 164 คนในควิเบก ซึ่งรวมถึงนักเรียนกิเลียด 63 คนที่เต็มใจไปทำงานที่นั่นทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะเจอการต่อต้านอย่างรุนแรงในวันข้างหน้า
d พี่น้องดับเบิลยู. เกลน ฮาวเป็นทนายความที่กล้าหาญ เขาสู้คดีนับร้อยคดีเพื่อพยานพระยะโฮวาในแคนาดาและประเทศอื่น ๆ ตั้งแต่ปี 1943-2003
e รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีนี้อยู่ในบทความ “การรบนั้นไม่ใช่เรื่องของท่าน แต่เป็นของพระเจ้า” ในตื่นเถิด! 22 เมษายน 2000 หน้า 18-24 (ภาษาอังกฤษ)
f ในที่สุดกองกำลังรักษาความมั่นคงก็ถอนกำลังออกจากสาขา แต่สาขาได้สร้างสำนักงานใหม่ในพื้นที่อื่นแล้ว