กันยายน
วันจันทร์ที่ 1 กันยายน
ความสงสารนี้มาจากสวรรค์เหมือนกับแสงของวันใหม่—ลก. 1:78
พระยะโฮวาให้พลังอำนาจกับพระเยซูจัดการกับปัญหาทุกอย่างของมนุษย์ การอัศจรรย์ที่พระเยซูทำแสดงให้เห็นว่าท่านมีอำนาจที่จะแก้ไขปัญหาทุกอย่างที่มนุษย์เราไม่มีทางจัดการเองได้ เช่น พระเยซูมีพลังอำนาจที่จะกำจัดต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดของมนุษย์ซึ่งก็คือบาป รวมทั้งผลของบาป นั่นคือความเจ็บป่วยและความตาย (มธ. 9:1-6; รม. 5:12, 18, 19) การอัศจรรย์ของพระเยซูพิสูจน์ว่าท่านสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บ “ทุกชนิด” และถึงกับปลุกคนตายให้ฟื้นได้ (มธ. 4:23; ยน. 11:43, 44) นอกจากนั้น ท่านยังมีพลังอำนาจที่จะควบคุมพายุและขับไล่ปีศาจได้ (มก. 4:37-39; ลก. 8:2) เรารู้สึกสบายใจจริง ๆ ที่รู้ว่าพระยะโฮวาให้พลังอำนาจแบบนั้นกับพระเยซู นอกจากนั้น เรามั่นใจได้เต็มร้อยว่ารัฐบาลของพระเจ้าจะทำให้สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นอย่างที่พระองค์สัญญาไว้ การอัศจรรย์ของพระเยซูทำให้เรารู้ว่าท่านจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นตอนที่ท่านเป็นกษัตริย์ปกครองทั้งโลก ห23.04 15:5-7
วันอังคารที่ 2 กันยายน
พลังนั้นหยั่งรู้ทุกสิ่ง แม้แต่สิ่งลึกซึ้งของพระเจ้า—1 คร. 2:10
ถ้าคุณอยู่ในประชาคมใหญ่และมีพี่น้องยกมือเยอะมากจนทำให้คุณไม่ค่อยได้ตอบ คุณก็อาจรู้สึกอยากจะยอมแพ้แต่อย่าเลิกพยายามออกความเห็น การเตรียมคำตอบไว้หลาย ๆ ข้อในแต่ละส่วนการประชุมจะเป็นประโยชน์มาก ถ้าข้อแรก ๆ ผู้นำส่วนไม่ได้เรียกคุณตอบ คุณก็ยังมีโอกาสตอบข้ออื่น ๆ ได้ ตอนที่เตรียมหอสังเกตการณ์ให้ลองคิดว่าแต่ละข้อเกี่ยวข้องกันยังไงกับเรื่องหลักของบทความ ถ้าทำแบบนั้น คุณก็จะมีความเห็นดี ๆ มาตอบได้ทุกข้อ นอกจากนั้น คุณอาจเตรียมตอบข้อที่มีคำสอนลึกซึ้งในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ยากและไม่ค่อยมีใครตอบ แต่ถ้าคุณยังไม่ได้ตอบสักทีแม้จะพยายามหลายสัปดาห์แล้ว คุณจะทำยังไง? ให้บอกผู้นำส่วนก่อนการประชุมว่าคุณอยากตอบข้อไหน ห23.04 18:9-10
วันพุธที่ 3 กันยายน
โยเซฟ . . . ก็ทำตามที่ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาสั่งและแต่งงานกับมารีย์—มธ. 1:24
โยเซฟพร้อมจะเอาคำแนะนำของพระยะโฮวามาใช้ทันที และนั่นทำให้เขาเป็นสามีที่ดีขึ้น มีอย่างน้อย 3 ครั้งที่โยเซฟได้รับคำแนะนำจากพระยะโฮวาเกี่ยวกับครอบครัวของเขา และแต่ละครั้งเขาก็เชื่อฟังและทำตามคำสั่งทันทีแม้มันจะไม่ง่ายและทำให้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (มธ. 1:20; 2:13-15, 19-21) เมื่อโยเซฟทำตามคำแนะนำของพระยะโฮวา มันก็ทำให้เขาสามารถปกป้องและดูแลมารีย์ภรรยาของเขาได้ สิ่งที่โยเซฟทำคงต้องทำให้มารีย์รักและนับถือเขามากขึ้นกว่าเดิม พวกคุณที่เป็นสามี คุณจะเลียนแบบโยเซฟได้ไหมโดยหาคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว? เมื่อคุณเอาคำแนะนำนั้นมาใช้แม้มันจะทำให้คุณต้องเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง แต่นั่นก็แสดงว่าคุณรักภรรยาและคุณอยากให้ชีวิตคู่ของคุณมั่นคงและมีความสุขมากขึ้น พี่น้องหญิงคนหนึ่งในวานูอาตูที่แต่งงานมามากกว่า 20 ปีแล้วบอกว่า “พอสามีฉันหาคำแนะนำของพระยะโฮวาและเอามาใช้ ฉันก็นับถือเขามากขึ้นและมั่นใจในการตัดสินใจของเขาค่ะ ฉันรู้สึกมั่นคงและอุ่นใจจริง ๆ” ห23.05 23:5
วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน
จะมีทางหลวง ที่เรียกว่าทางบริสุทธิ์—อสย. 35:8
ชาวยิวที่กลับจากบาบิโลนจะกลายเป็น “ชนชาติบริสุทธิ์” ของพระยะโฮวา (ฉธบ. 7:6) แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองอีกแล้วเพื่อทำให้พระยะโฮวาพอใจชาวยิวส่วนใหญ่เกิดในบาบิโลน พวกเขาหลายคนก็เลยชินกับมาตรฐานการใช้ชีวิตแบบคนบาบิโลนและคิดเหมือนคนที่นั่น หลายสิบปีหลังจากที่ชาวยิวกลุ่มแรกกลับไปที่อิสราเอล ผู้ว่าราชการเนหะมีย์ก็ไปที่อิสราเอล เขาตกใจมากที่เห็นเด็กยิวที่เกิดในอิสราเอลพูดภาษาฮีบรูไม่ได้ (ฉธบ. 6:6, 7; นหม. 13:23, 24) แล้วเด็กพวกนี้จะรักพระยะโฮวาและนมัสการพระองค์ได้ยังไงถ้าไม่เข้าใจภาษาฮีบรูซึ่งเป็นภาษาหลักที่ใช้ในการเขียนคัมภีร์ไบเบิลตอนนั้น? (อสร. 10:3, 44) ดังนั้น ชาวยิวเหล่านี้ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ และมันก็ง่ายกว่าเยอะที่พวกเขาได้เปลี่ยนแปลงตัวเองตอนที่อยู่ในอิสราเอลซึ่งเป็นที่ ๆ การนมัสการบริสุทธิ์กำลังได้รับการฟื้นฟู—นหม. 8:8, 9 ห23.05 22:6-7
วันศุกร์ที่ 5 กันยายน
พระยะโฮวาประคองทุกคนที่กำลังจะล้มและดึงทุกคนที่หมอบฟุบอยู่ให้ลุกขึ้น—สด. 145:14
ไม่ว่าเราจะมีแรงกระตุ้นที่อยากจะทำตามเป้าหมายมากขนาดไหนหรือเราเป็นคนมีวินัยมากแค่ไหน อาจมีบางอย่างที่ทำให้เราทำตามเป้าหมายไม่ได้สักที เช่น “เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด” อาจทำให้ใจเราไม่จดจ่ออยู่กับเป้าหมายและไม่มีเวลาที่จะทำอย่างที่ตั้งใจไว้ (ปญจ. 9:11) หรือเราอาจเจอปัญหาที่ทำให้เรารู้สึกท้อและหมดแรง (สภษ. 24:10) หรือเพราะการที่เราเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ เราเลยอาจทำผิดพลาดจนทำให้เราทำตามเป้าหมายไม่ได้ (รม. 7:23) หรือเราอาจแค่รู้สึกเหนื่อย (มธ. 26:43) แล้วอะไรจะช่วยเราได้? จำไว้ว่าถึงคุณยังทำตามเป้าหมายไม่ได้สักทีก็อย่าเพิ่งเลิกล้มความตั้งใจ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเราอาจต้องเจอปัญหาหลายอย่างและอาจล้มซ้ำแล้วซ้ำอีก ถ้าคุณยังพยายามต่อ ๆ ไปที่จะไปให้ถึงเป้าหมายแม้มันจะยากมาก คุณก็กำลังแสดงให้เห็นว่าคุณอยากทำให้พระยะโฮวามีความสุข และลองคิดดูว่าพระองค์จะภูมิใจขนาดไหนที่เห็นคุณทำอย่างนั้น ห23.05 24:14-15
วันเสาร์ที่ 6 กันยายน
เป็นตัวอย่างให้ฝูงแกะ—1 ปต. 5:3
การเป็นไพโอเนียร์จะช่วยให้วัยรุ่นรู้จักการทำงานร่วมกับพี่น้องที่มีความแตกต่างหลากหลาย รู้จักบริหารเงิน และไม่ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย (ฟป. 4:11-13) ถ้าคุณวางแผนจะรับใช้เต็มเวลา การสมัครเป็นไพโอเนียร์สมทบเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี การทำแบบนี้จะช่วยให้คุณพร้อมจะเป็นไพโอเนียร์ประจำ การเป็นไพโอเนียร์จะเปิดโอกาสที่น่าตื่นเต้นให้คุณได้รับใช้พระยะโฮวามากขึ้นในอีกหลายรูปแบบ เช่น เป็นอาสาสมัครก่อสร้างหรือรับใช้ในเบเธล พี่น้องชายควรมีเป้าหมายที่จะมีคุณสมบัติเป็นผู้ดูแลเพื่อจะรับใช้พี่น้องในประชาคม คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า คนที่พยายามจะได้ทำหน้าที่ผู้ดูแลก็ “อยากจะทำงานที่ดี” (1 ทธ. 3:1) แต่ก่อนอื่น คุณก็ต้องมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ช่วยงานรับใช้ก่อน ผู้ช่วยงานรับใช้จะคอยช่วยผู้ดูแลเอาใจใส่พี่น้อง และทั้งผู้ดูแลและผู้ช่วยงานรับใช้คอยช่วยเหลือพี่น้องอย่างถ่อมตัวและขยันทำงานประกาศ ห23.12 53:14-16
วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน
ตอนที่เขาอายุยังน้อยเขาเริ่มรับใช้พระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของเขา—2 พศ. 34:3
กษัตริย์โยสิยาห์เริ่มรับใช้พระยะโฮวาตั้งแต่ตอนเป็นวัยรุ่น เขาอยากเรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาและทำตามความต้องการของพระองค์ แต่ชีวิตของเขาไม่ง่ายเลย ตอนนั้นผู้คนส่วนใหญ่นมัสการรูปเคารพ โยสิยาห์ต้องมีความกล้าหาญมากเพื่อที่จะกำจัดการนมัสการเท็จออกไป แล้วเขาก็ลงมือทำจริง ๆ ก่อนที่โยสิยาห์จะอายุ 20 เขาเริ่มกวาดล้างการนมัสการเท็จออกไปจากแผ่นดินของเขา (2 พศ. 34:1, 2) ถึงคุณจะยังเป็นวัยรุ่น คุณก็เลือกเลียนแบบโยสิยาห์ได้โดยตั้งใจเรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาและคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมของพระองค์ การทำแบบนั้นจะช่วยให้คุณตั้งใจที่จะอุทิศตัวให้พระยะโฮวา การอุทิศตัวจะส่งผลยังไงต่อชีวิตของคุณในแต่ละวัน? ลุคซึ่งรับบัพติศมาตอนอายุ 14 บอกในวันที่เขาอุทิศตัวว่า “ตั้งแต่นี้ไปผมจะให้งานรับใช้พระยะโฮวาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต และผมตั้งใจจะทำให้พระองค์มีความสุข” (มก. 12:30) ลองคิดดูสิว่าถ้าคุณทำเหมือนลุค ชีวิตของคุณจะมีความสุขมากขนาดไหน ห23.09 38:12-13
วันจันทร์ที่ 8 กันยายน
นับถือคนที่ทำงานหนักในหมู่พวกคุณ พวกเขานำหน้าในงานของผู้เป็นนาย—1 ธส. 5:12
ตอนที่อัครสาวกเปาโลเขียนจดหมายถึงพี่น้องในเมืองเธสะโลนิกา ประชาคมที่นั่นเพิ่งตั้งมาได้ไม่ถึงปี ผู้ดูแลก็อาจยังขาดประสบการณ์และอาจทำผิดพลาด ถึงจะเป็นอย่างนั้น พวกเขาก็สมควรได้รับความนับถือจากพี่น้องคริสเตียน เมื่อความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่มาถึง เรายิ่งต้องพึ่งผู้ดูแลในประชาคมเพื่อชี้นำเรามากกว่าตอนนี้อีก ในช่วงเวลานั้นเราอาจติดต่อสำนักงานใหญ่หรือสำนักงานสาขาไม่ได้ ดังนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องเรียนรู้ที่จะรักและนับถือผู้ดูแลในประชาคมตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นให้เรามีสติอยู่เสมอ ไม่เอาแต่มองข้อผิดพลาดของพวกเขา แต่ให้สนใจว่าพระยะโฮวากำลังชี้นำพวกเขาผ่านทางพระเยซู เหมือนกับที่หมวกเกราะป้องกันหัวของทหาร ความหวังเรื่องความรอดก็ปกป้องความคิดของเรา เรารู้ว่าสิ่งที่โลกนี้เสนอให้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย (ฟป. 3:8) ความหวังจะช่วยให้เรายังคงสงบใจและหนักแน่นมั่นคง ห23.06 26:11-12
วันอังคารที่ 9 กันยายน
ผู้หญิงโง่ชอบเอะอะโวยวาย เธอไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย—สภษ. 9:13
คนที่ได้ยินคำชักชวนของ “ผู้หญิงโง่” มีทางเลือกว่าเขาจะทำหรือไม่ทำ มีเหตุผลหลายอย่างที่เราต้องไม่ทำผิดศีลธรรมทางเพศ “ผู้หญิงโง่” บอกว่า “น้ำที่ขโมยเขากินมีรสชาติดี” (สภษ. 9:17) “น้ำที่ขโมยเขากิน” คืออะไร? คัมภีร์ไบเบิลเปรียบเพศสัมพันธ์ของคู่สมรสว่าเป็นเหมือนน้ำที่ทำให้สดชื่น (สภษ. 5:15-18) คนที่เป็นสามีภรรยาที่แต่งงานกันอย่างถูกต้องเท่านั้นถึงจะมีเพศสัมพันธ์กันได้ซึ่งจะทำให้พวกเขามีความสุข แต่ต่างกันมากกับ “น้ำที่ขโมยเขากิน” ซึ่งอาจหมายถึงการทำผิดศีลธรรมทางเพศ การทำแบบนี้ต้องแอบทำเหมือนขโมยที่แอบขโมยของ “น้ำที่ขโมยเขากิน” อาจดูเหมือนรสชาติดีเพราะคนที่ทำผิดคิดว่าไม่มีใครจับได้ แต่มันไม่จริงเลย พระยะโฮวาเห็นทุกอย่าง ไม่มีอะไรเลวร้ายเท่ากับการทำให้พระองค์ไม่พอใจ ดังนั้น เราจะบอกว่ามันมี “รสชาติดี” ไม่ได้ เพราะมันมีแต่ความขมขื่น—1 คร. 6:9, 10 ห23.06 28:7-9
วันพุธที่ 10 กันยายน
ถึงผมจะไม่เต็มใจ ผมก็ยังต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ที่ผมได้รับมอบหมายมา—1 คร. 9:17
ถ้าเวลาผ่านไป แล้วคุณเริ่มรู้สึกว่าคุณอธิษฐานแบบซ้ำซากแล้วก็ไม่ค่อยมีความสุขกับงานรับใช้ล่ะ? อย่าเพิ่งคิดว่าคุณไม่ได้รับพลังบริสุทธิ์จากพระยะโฮวาแล้ว ที่จริงความรู้สึกแบบนี้เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ ถ้าคุณเริ่มรู้สึกว่าความกระตือรือร้นของคุณลดน้อยลง ขอให้คิดถึงตัวอย่างของอัครสาวกเปาโล ถึงเขาพยายามมากที่จะเลียนแบบพระเยซู แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่เขารู้สึกกระตือรือร้นที่จะทำงานรับใช้ เปาโลตั้งใจที่จะทำงานรับใช้ของเขาให้สำเร็จถึงแม้บางครั้งเขาไม่ค่อยอยากทำ เหมือนกัน อย่าให้อารมณ์ความรู้สึกมาเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร ขอให้คุณตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องต่อ ๆ ไปแม้ว่าคุณจะรู้สึกฝืนก็ตาม เพราะถ้าคุณพยายามทำสิ่งที่ถูกต้องต่อ ๆ ไป เมื่อเวลาผ่านไปคุณก็จะมีความสุขกับมันมากขึ้น—1 คร. 9:16 ห24.03 10:12-13
วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน
ขอแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพวกคุณรักพวกเขาจริง ๆ—2 คร. 8:24
เราแสดงความรักต่อพี่น้องได้โดยเป็นเพื่อนกับพวกเขาและใช้เวลากับพวกเขา (2 คร. 6:11-13) พี่น้องในประชาคมมีภูมิหลัง บุคลิก และนิสัยไม่เหมือนกัน เราจะรักพี่น้องทุกคนมากขึ้นถ้าเราพยายามมองที่ข้อดีของพวกเขา ถ้าเราฝึกที่จะมองคนอื่นเหมือนที่พระยะโฮวามอง เราก็กำลังแสดงว่าเรารักพวกเขาจริง ๆ ความรักสำคัญมากในช่วงความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่ ให้เราสังเกตว่าพระยะโฮวาจะปกป้องเรายังไงตอนที่เวลานั้นเริ่มต้นโดยดูว่าพระองค์สั่งให้คนของพระองค์ทำอะไรตอนที่บาบิโลนโบราณถูกโจมตี พระยะโฮวาบอกว่า “ไปเถอะ ประชาชนของเรา เข้าไปอยู่ในห้องข้างใน และปิดประตูดี ๆ ซ่อนตัวอยู่ที่นั่นสักพักหนึ่ง จนกว่าความโกรธของเราจะผ่านพ้นไป” (อสย. 26:20) ดูเหมือนว่าพวกเราก็ต้องทำตามคำสั่งนี้ด้วยเหมือนกันในช่วงความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่ ห23.07 29:14-16
วันศุกร์ที่ 12 กันยายน
โลกนี้กำลังเปลี่ยนไปเหมือนละครเปลี่ยนฉาก—1 คร. 7:31
เพื่อที่ใคร ๆ จะเห็นว่าเราเป็นคนมีเหตุผล ให้เราถามตัวเองว่า ‘ใคร ๆ รู้สึกไหมว่าฉันเป็นคนมีเหตุผลและยอมคนอื่น หรือพวกเขามองว่าฉันเป็นคนเข้มงวดยืนกรานและไม่ยอมใคร? ฉันฟังความเห็นคนอื่นและยอมทำตามที่เขาขอถ้ายอมได้ไหม?’ ยิ่งเราเป็นคนมีเหตุผลก็ยิ่งแสดงว่าเราเลียนแบบพระยะโฮวากับพระเยซู เป็นเรื่องสำคัญมากที่เราต้องเป็นคนมีเหตุผลและยืดหยุ่นเมื่อสภาพการณ์ในชีวิตเราเปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงในชีวิตอาจทำให้เราลำบากขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว เช่น เราอาจเจ็บป่วยกะทันหัน หรือประเทศที่เราอยู่มีวิกฤติเศรษฐกิจหรือมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองซึ่งส่งผลต่อชีวิตเราโดยตรง (ปญจ. 9:11) และแม้แต่การที่เราถูกเปลี่ยนงานมอบหมายหรือต้องย้ายไปทำงานมอบหมายที่อื่นก็อาจเป็นเรื่องยากสำหรับเราด้วย ถึงจะเป็นอย่างนั้น เราก็พร้อมจะปรับเปลี่ยนได้ถ้าเราทำตาม 4 ขั้นตอนต่อไปนี้ (1) ยอมรับความจริง (2) มองไปข้างหน้า (3) พยายามมองในแง่บวก และ (4) ทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อคนอื่น ห23.07 32:7-8
วันเสาร์ที่ 13 กันยายน
คุณเป็นคนที่พระเจ้าถือว่ามีค่ามาก—ดนล. 9:23
ผู้พยากรณ์ดาเนียลถูกชาวบาบิโลนพาตัวไปเป็นเชลยตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่น เขาถูกพาไปไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองมาก แต่ข้าราชสำนักบาบิโลนก็ประทับใจดาเนียล พวกเขามองที่ “รูปร่างหน้าตาภายนอก” และเห็นว่าดาเนียล “รูปร่างหน้าตาดี ไม่มีที่ติ” แถมยังมาจากครอบครัวที่เป็นชนชั้นสูง (1 ซม. 16:7) นี่เลยทำให้พวกบาบิโลนตั้งใจจะฝึกดาเนียลให้เป็นข้าราชสำนัก (ดนล. 1:3, 4, 6) พระยะโฮวารักดาเนียลเพราะสิ่งที่เขาเลือกจะเป็น ตอนที่พระยะโฮวาพูดถึงโนอาห์กับโยบ พระองค์พูดถึงดาเนียลด้วย และพระองค์บอกว่าทั้ง 3 คนมีความถูกต้องชอบธรรม ลองคิดดูสิ ตอนนั้นดาเนียลอาจอายุประมาณ 20 เท่านั้น แต่พระองค์ก็ถือว่าเขามีความถูกต้องชอบธรรมเหมือนกับโนอาห์และโยบซึ่งมีชื่อเสียงที่ดีว่ารับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์มานานหลายสิบปี (ปฐก. 5:32; 6:9, 10; โยบ 42:16, 17; อสค. 14:14) และพระยะโฮวาก็รักดาเนียลตลอดชีวิตของเขา—ดนล. 10:11, 19 ห23.08 33:1-2
วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน
เข้าใจความจริงครบทุกด้าน ทั้งความกว้าง ความยาว ความสูง และความลึก—อฟ. 3:18
เมื่อคุณจะซื้อบ้านหลังหนึ่ง คุณคงจะไปดูบ้านหลังนั้นให้เห็นกับตาและอยากดูบ้านหลังนั้นอย่างละเอียด เราก็ทำแบบเดียวกันได้ตอนที่เราอ่านและศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ถ้าคุณอ่านแบบรีบ ๆ ร้อน ๆ คุณก็จะได้เรียนแค่ “เรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับคำสอนของพระเจ้า” เท่านั้น (ฮบ. 5:12) ดังนั้น เหมือนที่คุณเข้าไปดูด้านในของบ้านอย่างละเอียด คุณก็ต้องศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างละเอียดเพื่อจะเข้าใจเต็มที่ วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งก็คือให้ดูว่าส่วนต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวข้องกันยังไง และไม่ใช่แค่พยายามเข้าใจความจริงที่คุณเชื่อ แต่คุณต้องพยายามเข้าใจเหตุผลว่าทำไมคุณถึงเชื่อแบบนั้นด้วย เพื่อจะเข้าใจความจริงในคัมภีร์ไบเบิลให้ครบทุกด้าน เราต้องศึกษาเรื่องที่ลึกซึ้งในคัมภีร์ไบเบิล อัครสาวกเปาโลกระตุ้นพี่น้องคริสเตียนในสมัยของเขาให้ขยันศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเพื่อจะ “เข้าใจความจริงครบทุกด้าน ทั้งความกว้าง ความยาว ความสูง และความลึก” แล้วพวกเขาก็จะ “ตั้งมั่นคงและยึดอยู่กับ” ความเชื่อ (อฟ. 3:14-19) เราเองก็ต้องทำแบบนั้นเหมือนกัน ให้เรามาดูกันว่าเราจะศึกษาค้นคว้าคัมภีร์ไบเบิลเพื่อจะเข้าใจเต็มที่และเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นได้ยังไง ห23.10 44:1-3
วันจันทร์ที่ 15 กันยายน
พี่น้องครับ พวกคุณควรเลียนแบบพวกผู้พยากรณ์ที่พูดในนามของพระยะโฮวา—ยก. 5:10
คัมภีร์ไบเบิลมีตัวอย่างของหลายคนที่เป็นคนอดทน ทำไมไม่ลองศึกษาค้นคว้าตัวอย่างของพวกเขาดูล่ะ? เช่น ถึงดาวิดจะได้รับการเจิมให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอลตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เขาก็ต้องรออีกหลายปีกว่าที่จะได้เป็นกษัตริย์จริง ๆ นอกจากนั้น ยังมีตัวอย่างของสิเมโอนและอันนาด้วย ตอนที่พวกเขารอคอยที่จะได้เห็นเมสสิยาห์ตามคำสัญญา พวกเขาก็ยังรับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์ (ลก. 2:25, 36-38) ในระหว่างที่คุณศึกษาตัวอย่างของคนที่แสดงความอดทน ขอให้ถามตัวเองว่า ‘อะไรช่วยให้เขาเป็นคนอดทน? เขาได้รับประโยชน์อะไรจากการเป็นคนอดทน? ฉันจะเลียนแบบเขาได้ยังไง?’ นอกจากนั้น คุณยังจะได้ประโยชน์จากการศึกษาตัวอย่างของคนที่ไม่แสดงความอดทนด้วย (1 ซม. 13:8-14) คุณอาจถามตัวเองว่า ‘อะไรทำให้เขาเป็นคนไม่อดทน? และเขาได้รับผลเสียอะไรบ้าง?’ ห23.08 35:15
วันอังคารที่ 16 กันยายน
พวกเราเชื่อและรู้แล้วว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า—ยน. 6:69
อัครสาวกเปโตรเป็นคนที่ภักดี เขาไม่ยอมให้อะไรมาทำให้เขาเลิกติดตามพระเยซู เราเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนในตอนที่พระเยซูพูดบางอย่างที่พวกสาวกไม่เข้าใจ (ยน. 6:68) สาวกหลายคนเลิกติดตามพระเยซูทันทีโดยไม่คิดขอคำอธิบายจากท่าน แต่เปโตรไม่ได้ทำแบบนั้น เขายังภักดีต่อพระเยซูและบอกว่าพระเยซูเท่านั้นที่มี “คำสอนที่ให้ชีวิตตลอดไป” ท่านรู้อยู่แล้วว่าเปโตรกับพวกอัครสาวกจะทิ้งท่าน แต่ท่านก็ยังบอกเปโตรว่าท่านมั่นใจว่าเปโตรจะกลับมาและซื่อสัตย์กับท่านต่อ ๆ ไป (ลก. 22:31, 32) พระเยซูรู้ว่า “ใจสู้ก็จริง แต่ร่างกายยังอ่อนแอ” (มก. 14:38) ดังนั้น พอเปโตรปฏิเสธว่าไม่รู้จักพระเยซู ท่านก็เลยไม่หมดหวังในตัวเปโตร และพอพระเยซูฟื้นขึ้นจากตาย ท่านก็ปรากฏตัวให้เปโตรเห็นซึ่งดูเหมือนว่าตอนนั้นเปโตรจะอยู่คนเดียวด้วย (มก. 16:7; ลก. 24:34; 1 คร. 15:5) ลองคิดดูว่าเปโตรที่ตอนนั้นคงกำลังเสียใจมากจะรู้สึกได้กำลังใจขนาดไหน และนั่นคงช่วยให้เขาไม่ยอมแพ้แน่ ๆ ห23.09 40:9-10
วันพุธที่ 17 กันยายน
คนที่ได้รับการยกโทษความผิด และบาปของเขาถูกปิดคลุมไว้แล้วก็มีความสุข—รม. 4:7
ถ้าใครมีความเชื่อในพระยะโฮวา พระองค์จะยกโทษความผิดหรือปิดคลุมบาปของเขา พระองค์จะให้อภัยเขาจริง ๆ และไม่มองว่าเขาเป็นคนบาปอีกต่อไป (สด. 32:1, 2) พระองค์จะมองว่าเขาไม่มีตำหนิ เป็นคนที่พระองค์ยอมรับเพราะเขามีความเชื่อ ถึงแม้ว่าอับราฮัม ดาวิด และผู้รับใช้คนอื่นของพระยะโฮวาถูกเรียกว่าคนที่พระเจ้ายอมรับ แต่พวกเขาก็ยังเป็นคนบาปที่ไม่สมบูรณ์แบบ ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็มีความเชื่อเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ที่ไม่มีความเชื่อเลย ซึ่งนี่เองทำให้พระเจ้ามองว่าพวกเขาเป็นคนที่ไม่มีตำหนิ (อฟ. 2:12) อย่างที่เราได้เห็นในจดหมายของอัครสาวกเปาโล ความเชื่อเป็นสิ่งสำคัญมากเพื่อที่เราจะสนิทกับพระเจ้า อับราฮัมกับดาวิดได้เป็นเพื่อนกับพระเจ้าเพราะพวกเขามีความเชื่อในพระองค์ เราเองก็สามารถเป็นเพื่อนกับพระเจ้าได้ถ้าเรามีความเชื่อ ห23.12 50:6-7
วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน
ถวายเครื่องบูชา . . . เสมอซึ่งก็คือคำสรรเสริญพระเจ้า เป็นคำพูดที่ออกจากปากเราซึ่งประกาศชื่อของพระองค์อย่างเปิดเผย—ฮบ. 13:15
คริสเตียนในทุกวันนี้มีสิทธิพิเศษที่ได้ถวายเครื่องบูชาให้พระยะโฮวาโดยใช้เวลา กำลัง และทรัพย์สินเงินทองเพื่อรัฐบาลของพระเจ้า เราสามารถแสดงว่าเห็นค่าสิทธิพิเศษที่ได้นมัสการพระยะโฮวาโดยทำทุกอย่างที่ทำได้ให้พระองค์ อัครเปาโลพูดถึงบางอย่างที่เราต้องทำเสมอในการนมัสการพระยะโฮวา (ฮบ. 10:22-25) สิ่งเหล่านี้คือการอธิษฐานถึงพระยะโฮวา ประกาศกับคนอื่น ไปประชุม ให้กำลังใจกัน “และทำสิ่งเหล่านี้ให้มากขึ้นเมื่อเห็นว่า [วันของพระยะโฮวา] ใกล้มาถึงแล้ว” นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก เราเห็นได้จากตอนท้ายของหนังสือวิวรณ์ที่ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาพูดถึงสองครั้งว่า “นมัสการพระเจ้าเถอะ” (วว. 19:10; 22:9) ขอเราอย่าลืมความจริงที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับวิหารโดยนัยที่ยิ่งใหญ่ของพระยะโฮวา และขอให้เราเห็นค่าสิทธิพิเศษที่ได้นมัสการพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ของเรา ห23.10 45:17-18
วันศุกร์ที่ 19 กันยายน
ให้เรารักกันเรื่อยไป—1 ยน. 4:7
เราทุกคนอยาก “รักกันเรื่อยไป” แต่เป็นเรื่องสำคัญด้วยที่เราต้องจำคำเตือนของพระเยซูที่ว่า “ความรักของคนส่วนใหญ่ [จะ] ลดน้อยลง” (มธ. 24:12) พระเยซูไม่ได้หมายความว่าสาวกของท่านส่วนใหญ่จะเลิกรักกัน แต่ทุกวันนี้เราอยู่ในโลกของซาตานที่มีแต่คนไม่รักกัน ดังนั้น เราต้องระวังที่จะไม่ให้ความคิดของพวกเขามีอิทธิพลต่อเรา ตอนที่คิดถึงเรื่องนี้ ให้เรามาคุยกันเกี่ยวกับคำถามหนึ่งนั่นคือ เราจะรู้ได้ยังไงว่าเรายังรักพี่น้องเสมอหรือเปล่า? วิธีหนึ่งที่จะดูว่าเรายังรักพี่น้องเสมอหรือเปล่า ก็คือดูว่าเมื่อมีสถานการณ์บางอย่างเกิดขึ้น เราทำยังไง (2 คร. 8:8) เปโตรบอกว่า “ที่สำคัญที่สุดคือ รักกันให้มาก ๆ เพราะความรักปิดคลุมบาปไว้มากมาย” (1 ปต. 4:8) ดังนั้น เมื่อเราเห็นนิสัยที่ไม่ดีบางอย่างของพี่น้องหรือเมื่อพี่น้องทำให้เราเจ็บ เราทำยังไง? สิ่งที่เราทำจะแสดงให้เห็นว่าเรายังรักพี่น้องเสมอหรือเปล่า ห23.11 47:12-13
วันเสาร์ที่ 20 กันยายน
ให้พวกคุณรักกัน—ยน. 13:34
เราจะบอกว่าเราเชื่อฟังคำสั่งของพระเยซูไม่ได้เลยถ้าเรารักแค่บางคนในประชาคม และถึงจะไม่ใช่เรื่องผิดที่เราจะสนิทกับบางคนมากกว่าเพราะพระเยซูเองก็สนิทกับสาวกบางคนมากเป็นพิเศษด้วย แต่อัครสาวกเปโตรก็เตือนเราว่าเราต้อง “มีความรัก . . . แบบพี่น้อง” กับทุกคนในประชาคมเหมือนพวกเขาเป็นคนในครอบครัวของเรา (1 ปต. 2:17; ยน. 13:23; 20:2) เปโตรยังบอกให้เรา “รักกันอย่างสุดหัวใจ” ด้วย (1 ปต. 1:22) ในภาษาเดิมคำว่า “สุด” หัวใจในท้องเรื่องนี้หมายถึงการทำเกินจากที่ปกติเราจะทำ ตัวอย่างเช่น ถ้าพี่น้องทำให้เราเจ็บหรือทำบางอย่างที่เราไม่ชอบ ปกติแล้วเราคงไม่ได้รู้สึกอยากแสดงความรักกับเขาแต่คงอยากเอาคืนมากกว่า แต่เปโตรได้เรียนจากพระเยซูว่าถ้าเราเอาคืน พระเจ้าจะไม่พอใจเรา (ยน. 18:10, 11) เปโตรเขียนว่า “อย่าทำชั่วตอบแทนความชั่ว อย่าด่าตอบแทนการด่า แต่ให้ตอบแทนด้วยคำอวยพร” (1 ปต. 3:9) ดังนั้น ถ้าคุณรักอย่างสุดหัวใจ คุณก็จะทำดีและเห็นอกเห็นใจคนอื่น ห23.09 41:9-11
วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน
ส่วนผู้หญิงก็เหมือนกัน ควรเป็นคน . . . รู้จักประมาณตน และซื่อสัตย์ในทุกสิ่ง—1 ทธ. 3:11
เรารู้สึกทึ่งจริง ๆ ที่เห็นเด็ก ๆ โตไวมาก นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่การเป็นคริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยอัตโนมัติ (1 คร. 13:11; ฮบ. 6:1) เพื่อจะก้าวหน้าเป็นคริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ เราต้องสนิทกับพระยะโฮวา นอกจากนั้น เราต้องมีพลังบริสุทธิ์ของพระองค์ด้วยเพื่อจะช่วยเราพัฒนาคุณลักษณะดี ๆ ฝึกทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็น และเตรียมพร้อมสำหรับหน้าที่รับผิดชอบในอนาคต (สภษ. 1:5) พระยะโฮวาสร้างมนุษย์ให้เป็นผู้ชายและผู้หญิง (ปฐก. 1:27) ผู้ชายกับผู้หญิงไม่ได้แค่มีลักษณะทางกายภาพที่ต่างกันเท่านั้น แต่ยังมีอย่างอื่นที่ต่างกันด้วย ตัวอย่างเช่น พระยะโฮวาสร้างผู้ชายและผู้หญิงให้มีหน้าที่ต่างกัน พวกเขาเลยต้องมีคุณลักษณะและทักษะบางอย่างที่จะช่วยพวกเขาให้ทำหน้าที่ของตัวเองได้—ปฐก. 2:18 ห23.12 52:1-2
วันจันทร์ที่ 22 กันยายน
ให้พวกคุณไปสอนคนทุกชาติให้เป็นสาวก ให้พวกเขารับบัพติศมาในนามพระเจ้าผู้เป็นพ่อ ในนามลูกของพระองค์—มธ. 28:19
พระเยซูอยากให้คนอื่นใช้ชื่อของพระยะโฮวาพ่อของท่านไหม? แน่นอน แต่พวกผู้นำศาสนาในสมัยพระเยซูเชื่อว่าชื่อของพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าที่จะเอามาพูดถึงได้ แต่พระคัมภีร์ไม่ได้บอกแบบนี้ ท่านเลยไม่ยอมให้เรื่องนี้มาทำให้ท่านไม่ได้ยกย่องสรรเสริญชื่อของพระยะโฮวา เช่น หลังจากที่พระเยซูรักษาผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกปีศาจสิงในเขตแดนของชาวเกราซา ผู้คนที่นั่นพากันหวาดกลัวแล้วก็ขอร้องให้พระเยซูออกไปจากเมืองนั้น พระเยซูก็เลยต้องไป (มก. 5:16, 17) แต่เพราะท่านอยากให้คนที่นั่นรู้จักชื่อของพระยะโฮวา ท่านก็เลยมอบหมายให้ผู้ชายคนนั้นไปเล่าให้คนอื่น ๆ ฟังว่าพระยะโฮวาทำอะไรแทนที่จะบอกว่าท่านทำอะไร (มก. 5:19) ทุกวันนี้พระเยซูก็อยากให้เราช่วยคนทั่วโลกรู้จักชื่อของพระยะโฮวา (มธ. 24:14; 28:20) ถ้าเราทำแบบนี้ เราก็กำลังทำให้พระเยซูกษัตริย์ของเราพอใจ ห24.02 6:10
วันอังคารที่ 23 กันยายน
คุณอุตส่าห์ทนกับความลำบากเพื่อเห็นแก่ชื่อของผม—วว. 2:3
เป็นพรสำหรับเราจริง ๆ ที่ได้อยู่ในองค์การของพระยะโฮวาในสมัยสุดท้ายที่ยากลำบากนี้ ถึงโลกนี้กำลังแย่ลงเรื่อย ๆ แต่พระยะโฮวาให้เรามีพี่น้องซึ่งเป็นเหมือนครอบครัวของเรา (สด. 133:1) พระองค์ช่วยเราให้มีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข (อฟ. 5:33–6:1) และพระยะโฮวายังให้เรามีสติปัญญาและความเข้าใจเพื่อจะช่วยให้เรามีความสงบใจ ถึงอย่างนั้น เราก็ต้องพยายามเต็มที่ที่จะรับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไป เพราะอะไร? เพราะบางครั้งเราอาจรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่คนอื่นพูดและทำ และเราอาจผิดหวังกับตัวเองที่ทำผิดพลาดเรื่องเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก เราต้องอดทนรับใช้พระยะโฮวาต่อไป (1) เมื่อพี่น้องทำให้เราผิดหวัง (2) เมื่อคู่ของเราทำให้เราผิดหวัง และ (3) เมื่อเราผิดหวังกับตัวเอง ห24.03 11:1-2
วันพุธที่ 24 กันยายน
ไม่ว่าเราก้าวหน้าถึงขั้นไหนแล้ว ก็ให้เราก้าวหน้าแบบนั้นต่อไปเรื่อย ๆ เหมือนที่เคยทำมา—ฟป. 3:16
ที่ผ่านมาคุณคงได้เห็นพี่น้องหลายคนพยายามทำงานรับใช้มากขึ้น เช่น บางคนอาจจะเข้าโรงเรียนผู้ประกาศราชอาณาจักร (SKE) หรือย้ายไปในเขตที่มีความจำเป็นมากกว่า ถ้าคุณจัดชีวิตเพื่อทำแบบนั้นได้ การตั้งเป้าหมายแบบนี้ก็ดีมาก ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาทุกคนก็อยากรับใช้พระองค์มากขึ้น (กจ. 16:9) แต่ถ้าตอนนี้คุณยังทำอย่างนั้นไม่ได้ล่ะ? ขออย่าคิดว่าคุณแย่กว่าพี่น้องที่ทำได้ สิ่งสำคัญสำหรับคริสเตียนก็คือการอดทนและรักษาความซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไป (มธ. 10:22) อย่าลืมว่าพระยะโฮวาจะมีความสุขเมื่อคุณรับใช้พระองค์อย่างดีที่สุดเท่าที่สภาพการณ์ของคุณจะทำได้ นี่แหละเป็นวิธีที่คุณจะติดตามพระเยซูเรื่อยไป—สด. 26:1 ห24.03 10:11
วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน
พระองค์ยกโทษให้เราสำหรับความผิดทุกอย่าง—คส. 2:13
พระยะโฮวาพ่อในสวรรค์ของเราสัญญาว่าจะให้อภัยเราถ้าเรากลับใจ (สด. 86:5) ดังนั้น ถ้าเราเสียใจจริง ๆ ที่เราเคยทำผิด เราก็มั่นใจในคำสัญญาของพระยะโฮวาได้ว่าพระองค์จะให้อภัยเราจริง ๆ ให้จำไว้ว่าพระยะโฮวาไม่ใช่พระเจ้าที่ไม่มีเหตุผล พระองค์ไม่เคยเรียกร้องให้เราทำมากกว่าที่เราจะให้ได้ พระองค์เห็นค่าทุกอย่างที่เราทำเพื่อพระองค์สุดความสามารถ นอกจากนั้น ให้คิดถึงตัวอย่างของคนในคัมภีร์ไบเบิลที่รับใช้พระยะโฮวาสุดหัวใจ เช่น ตัวอย่างของอัครสาวกเปาโล เปาโลรับใช้พระยะโฮวาเต็มที่นานหลายปี เดินทางหลายพันกิโลเมตร และตั้งหลายประชาคม แต่พอเขาอยู่ในสภาพที่รับใช้ไม่ได้มากเหมือนเดิม เขาคิดว่าพระยะโฮวาไม่พอใจในตัวเขาไหม? ไม่เลย เพราะเขาพยายามทำทุกสิ่งที่ทำได้ต่อไปและพระยะโฮวาก็อวยพรเขาจริง ๆ (กจ. 28:30, 31) เหมือนกัน สิ่งที่เราทำให้พระยะโฮวาได้อาจเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่สิ่งสำคัญสำหรับพระยะโฮวาก็คือเหตุผลที่เรารับใช้พระองค์ ห24.03 13:7, 9
วันศุกร์ที่ 26 กันยายน
พอเช้ามืด พระเยซูก็ตื่นนอน แล้วออกจากบ้านไปอธิษฐานในที่ห่างไกลผู้คน—มก. 1:35
พระเยซูเป็นตัวอย่างที่ดีให้สาวกในเรื่องการอธิษฐาน ตลอดช่วงที่ทำงานรับใช้บนโลกท่านอธิษฐานบ่อยมาก และท่านก็ต้องจัดเวลาอธิษฐานด้วยเพราะท่านงานยุ่งและมักจะมีคนมากมายมาหาท่านเสมอ (มก. 6:31, 45, 46) พระเยซูตื่นแต่เช้ามืดเพื่อจะมีเวลาอธิษฐานคนเดียว มีอย่างน้อยครั้งหนึ่งที่พระเยซูอธิษฐานทั้งคืนก่อนจะตัดสินใจเรื่องสำคัญ (ลก. 6:12, 13) และท่านก็อธิษฐานหลายครั้งในคืนสุดท้ายที่ท่านมีชีวิตอยู่ก่อนจะทำส่วนที่ยากที่สุดในงานมอบหมายของท่านให้สำเร็จ (มธ. 26:39, 42, 44) ตัวอย่างของพระเยซูสอนเราว่าไม่ว่าเราจะยุ่งขนาดไหน เราก็ต้องจัดเวลาอธิษฐานให้ได้ เราอาจต้องทำเหมือนกับพระเยซูคือต้องจัดเวลาเป็นประจำเพื่ออธิษฐาน บางทีเราอาจต้องตื่นแต่เช้ามืด หรืออาจต้องเลื่อนเวลานอนไปอีกสักหน่อยเพื่อจะมีเวลาอธิษฐานมากขึ้น ถ้าเราทำแบบนี้ เราก็จะทำให้พระยะโฮวาเห็นว่าเราเห็นค่าสิทธิพิเศษในการอธิษฐานจริง ๆ ห23.05 20:4-5
วันเสาร์ที่ 27 กันยายน
พระเจ้าเติมความรักในหัวใจเราโดยทางพลังบริสุทธิ์ที่เราได้รับจากพระองค์—รม. 5:5
หนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่งเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลพูดถึงคำว่า “เติม” ในข้อคัมภีร์ประจำวันนี้ โดยบอกว่า “คำนี้ทำให้คิดถึงสายน้ำที่หลั่งไหล” ภาพเปรียบเทียบนี้ทำให้เรานึกออกเลยว่าพระยะโฮวารักผู้ถูกเจิมขนาดไหน และผู้ถูกเจิมก็รู้ด้วยว่าพระยะโฮวารักพวกเขา (ยด. 1) ยอห์นพูดถึงความรู้สึกของผู้ถูกเจิมว่า “ดูสิว่าพระเจ้าผู้เป็นพ่อแสดงความรักต่อเรามากขนาดไหน พระองค์ถึงกับยอมให้เราถูกเรียกว่าลูกของพระเจ้า” (1 ยน. 3:1) แต่พระยะโฮวารักแค่ผู้ถูกเจิมเท่านั้นไหม? ไม่ใช่ พระยะโฮวารักเราทุกคน อะไรคือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุดถึงความรักของพระยะโฮวาที่มีต่อคุณ? ค่าไถ่นั่นเอง ไม่มีใครอีกแล้วในเอกภพที่รักเราและทำเพื่อเราได้ขนาดนี้—ยน. 3:16; รม. 5:8 ห24.01 4:9-10
วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน
ศัตรูของผมจะล่าถอยในวันที่ผมร้องขอให้พระองค์ช่วย ผมมั่นใจว่าพระเจ้าอยู่ฝ่ายผม—สด. 56:9
ข้อคัมภีร์วันนี้พูดถึงวิธีหนึ่งที่ช่วยดาวิดให้เอาชนะความกลัวได้ ถึงแม้ชีวิตของดาวิดตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย แต่เขาใช้เวลาเพื่อคิดใคร่ครวญถึงสิ่งที่พระยะโฮวาจะทำเพื่อเขา ดาวิดรู้ว่าเมื่อถึงเวลาพระยะโฮวาจะช่วยเขาแน่นอนเพราะพระองค์สัญญาว่าดาวิดจะได้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล (1 ซม. 16:1, 13) สำหรับดาวิดแล้ว เขามั่นใจว่าไม่ว่าพระยะโฮวาจะสัญญาเรื่องอะไรก็จะเกิดขึ้นจริงแน่นอน พระยะโฮวาสัญญาว่าจะทำอะไรบ้างเพื่อคุณ? เราไม่ได้คาดหมายว่าพระยะโฮวาจะปกป้องเราไม่ให้เจอกับปัญหาอะไรเลย แต่ในสมัยสุดท้ายนี้ ไม่ว่าเรากำลังเจอปัญหาหรือความยากลำบากอะไร ให้จำไว้ว่าพระยะโฮวาสัญญาว่าจะกำจัดสิ่งเหล่านั้นให้หมดไปในโลกใหม่ (อสย. 25:7-9) พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าผู้สร้าง พระองค์มีอำนาจมากพอที่จะปลุกคนตายให้ฟื้นได้ ช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่าง และทำลายทุกคนที่ต่อต้านข่มเหงเรา—1 ยน. 4:4 ห24.01 1:12-13
วันจันทร์ที่ 29 กันยายน
คนที่ได้รับการยกโทษความผิด และบาปของเขาถูกปิดคลุมไว้แล้วก็มีความสุข—สด. 32:1
คิดว่าทำไมคุณถึงอุทิศตัวให้พระยะโฮวาและรับบัพติศมา คุณตัดสินใจทำแบบนั้นเพราะคุณอยากอยู่ฝ่ายพระยะโฮวาใช่ไหม? ดังนั้น ให้ลองคิดดูว่าตอนนั้นอะไรช่วยคุณให้มั่นใจว่าคุณพบความจริงแล้ว คุณได้รู้จักพระยะโฮวา นับถือและรักพระองค์เหมือนเป็นพ่อในสวรรค์ของคุณ คุณมีความเชื่อมากขึ้นซึ่งกระตุ้นให้คุณกลับใจ คุณเลิกทำสิ่งที่พระยะโฮวาเกลียดและใช้ชีวิตอย่างที่พระองค์พอใจ และเมื่อคุณเห็นว่าพระยะโฮวาให้อภัยคุณแล้ว คุณก็ยิ่งสบายใจ (สด. 32:1, 2) คุณเข้าร่วมการประชุมคริสเตียน และเริ่มเล่าสิ่งดี ๆ ที่คุณได้เรียนในคัมภีร์ไบเบิลให้คนอื่นฟัง หลังจากนั้นคุณก็อุทิศตัวและรับบัพติศมา และตอนนี้คุณก็กำลังเดินอยู่บนทางซึ่งนำไปถึงชีวิต และตั้งใจว่าจะไม่ออกจากทางนี้ (มธ. 7:13, 14) เมื่อคุณตั้งใจอุทิศตัวให้พระยะโฮวาและอยากเชื่อฟังพระองค์ ก็ขอให้คุณมั่นคงไว้ อย่าหวั่นไหว ห23.07 31:14, 19
วันอังคารที่ 30 กันยายน
พระเจ้าซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ปล่อยให้คุณถูกล่อใจจนทนไม่ไหว และเมื่อคุณถูกล่อใจ พระองค์จะมีทางออกให้ด้วยเพื่อคุณจะทนได้—1 คร. 10:13
การคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับคำอธิษฐานตอนอุทิศตัวจะช่วยให้คุณต้านทานการล่อใจได้ ตัวอย่างเช่น คุณจะจีบคู่สมรสของคนอื่นไหม? คุณไม่ทำแบบนั้นแน่ ๆ เพราะคุณสัญญากับพระยะโฮวาไว้แล้วว่าจะไม่ทำให้พระองค์เสียใจ ถ้าคุณไม่ปล่อยใจให้ตัวเองมีความรู้สึกแบบนั้น คุณก็ไม่ต้องมาเหนื่อยกับการกำจัดความคิดที่ไม่เหมาะสมแบบนั้นออกไป และคุณจะไม่เข้าไปใน “ทางของคนชั่ว” (สภษ. 4:14, 15) พระเยซูตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำให้พ่อของท่านพอใจเสมอ เหมือนกัน เนื่องจากคุณอุทิศตัวให้พระยะโฮวาแล้ว ถ้าคุณรู้ว่ามีอะไรที่ทำให้พระยะโฮวาไม่ชอบ คุณก็จะทำเหมือนกับพระเยซูโดยปฏิเสธมันทันทีและไม่ลังเล (มธ. 4:10; ยน. 8:29) ที่จริงเมื่อคุณเจอกับการล่อใจหรือความยากลำบาก นั่นเป็นโอกาสที่คุณจะแสดงให้เห็นว่าคุณตั้งใจจะติดตามพระเยซู “เรื่อยไป” และคุณมั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะช่วยคุณแน่นอน ห24.03 10:8-10