อนาคตของศาสนาจากการพิจารณาศาสนาในอดีต
ตอนที่ 18: ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา เมื่อ “คริสเตียน” กับ “ชนนอกรีต” มาบรรจบกัน
“ศาสนาอยู่ในหัวใจ ไม่ใช่ในหัวเข่า.” ดี. ดับบึลยู. เจอร์โรลด์ นักเขียนบทละครชาวอังกฤษแห่งศตวรรษที่ 19.
การงานมิชชันนารี เป็นเครื่องหมายที่เด่นชัดของศาสนาคริสเตียนสมัยแรก ซึ่งเป็นการกระทำตามพระบัญชาของพระเยซูที่ให้ “สั่งสอนคนทุกประเทศให้เป็นสาวก” และให้เป็นพยานถึงพระองค์ “จนกระทั่งถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก.”—มัดธาย 28:19, 20; กิจการ 1:8.
ในศตวรรษที่ 15 คริสต์ศาสนจักรได้ริเริ่มโครงการระดับโลกในการทำให้ “ชนนอกรีต” เปลี่ยนศาสนา. ศาสนาชนิดใดที่บรรดา “ชนนอกรีต” เหล่านั้นได้ถือปฏิบัติกันมาตลอดจนถึงเวลานั้น? และการเปลี่ยนมาถือศาสนาคริสเตียนในภายหลังมีผลกระทบหัวใจของพวกเขาไหม หรือว่าเพียงแต่ทำให้พวกเขาต้องยอมคุกเข่าลงพอเป็นพิธีเท่านั้น?
ในแอฟริกา มีเผ่าพื้นเมืองต่าง ๆ ประมาณ 700 เผ่าอยู่ทางทิศใต้ของทะเลทรายสะฮารา. แต่ละเผ่าต่างก็มีศาสนาประจำเผ่าอยู่แต่ดั้งเดิม ทั้ง ๆ ที่ความคล้ายคลึงกันของศาสนาเหล่านั้นแสดงให้รู้ว่ามีต้นตอเดียวกัน. ในทวีปออสเตรเลีย ทวีปอเมริกา และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ก็พบว่ามีศาสนาดั้งเดิมอื่น ๆ อยู่จำนวนมาก.
ศาสนาเหล่านี้ส่วนใหญ่เชื่อในพระเจ้าสูงสุดองค์เดียว กระนั้น สอดคล้องกับลัทธิที่เชื่อว่ามีพระเจ้าหลายองค์ ศาสนาเหล่านั้นก็ยังยอมรับพวกพระที่รองลงมาอีก—เช่น พระประจำตระกูล พระประจำเผ่าหรือพระของชุมชน. การศึกษาค้นคว้าครั้งหนึ่งเกี่ยวกับศาสนาประจำเผ่าแอสเท็คได้มีการทำรายการชื่อพระต่าง ๆ ทั้งที่เป็นชื่อเฉพาะและชื่อที่เกี่ยวพันกันซึ่งระบุไว้มากกว่า 60 ชื่อ.
ในทวีปแอฟริกา และอเมริกา ประชาชนที่นับถือศาสนา “ดั้งเดิม” ที่สุด เชื่อในบุคคลเหนือธรรมชาติซึ่งรู้จักกันฐานะเป็นจอมเล่ห์กล. บางครั้งก็มีพรรณนาว่าเป็นผู้สร้างเอกภพ หรือไม่ก็ว่าเป็นผู้ปรับปรุงการสร้างขึ้นใหม่ บุคคลนี้มักถูกมองเสมอว่าเจ้าเล่ห์ หลอกลวง ปลิ้นปล้อน และโลภตัณหาราคะ แม้จะไม่จำเป็นต้องมีเจตนาชั่วร้าย. พวกอินเดียนแดงเผ่านาวาโฮในอเมริกาเหนือบอกว่าบุคคลนี้เป็นผู้ลิขิตความตาย เผ่า โอกลาลา ลาโกตา สอนว่าบุคคลนี้เป็นทูตสวรรค์ที่หลงผิดผู้ซึ่งทำให้มนุษย์พวกแรกต้องถูกเนรเทศจากอุทยานโดยสัญญากับเขาว่าจะได้ชีวิตที่ดีกว่า ณ ที่อื่น. ดิ เอ็นไซโคลพีเดีย ออฟ รีลิจัน กล่าวว่า ผีจอมเล่ห์กลตนนี้มักปรากฏอยู่ใน “เรื่องเกี่ยวกับการทรงสร้าง” มีบทบาท “เป็นปฏิปักษ์กับพระผู้สร้าง ผู้เป็นวิญญาณ.”
ศาสนาของชนพื้นเมืองบางศาสนาสอนเรื่องตรีเอกานุภาพซึ่งทำให้คิดโยงไปถึงบาบูโลนและอียิปต์ในอดีต. หนังสือ ดิ เอสกิโมส์ กล่าวว่า เทพแห่งอากาศ เทพแห่งทะเล และเทพแห่งดวงจันทร์ประกอบกันเป็นตรีเอกานุภาพซึ่ง “ในขั้นสุดท้ายควบคุมแทบทุกสิ่งที่อยู่ล้อมรอบชาวเอสกิโม.”
มนุษย์—“ไม่อาจถูกทำลายทางวิญญาณได้”
โรนัลด์ เอ็ม. เบิร์นดท์ ประจำมหาวิทยาลัยแห่งออสเตรเลียตะวันตกบอกให้เราทราบว่าชาวเผ่าพื้นเมืองของออสเตรเลียเชื่อว่า วงจรชีวิต “ดำเนินต่อไปภายหลังความตาย จากกายเนื้อหนังสู่กายวิญญาณโดยสิ้นเชิง ในเวลาอันควรจะกลับคืนสู่มิติของเนื้อหนัง.” นี้หมายความว่า “มนุษย์ไม่อาจถูกทำลายทางวิญญาณได้.”
ชาวแอฟริกาบางเผ่าเชื่อว่า คนธรรมดาเมื่อสิ้นชีวิตแล้วจะกลายเป็นผี แต่บุคคลที่มีฐานะสูงจะกลายเป็นเทพแห่งบรรพชน ควรแก่การให้เกียรติและยกย่อง ฐานะผู้นำที่ไม่ประจักษ์ด้วยตาแห่งชุมชน. ตามความเชื่อของเผ่าแมนุซแห่งเมลานีเซีย ผีผู้ชายหรือผีญาติใกล้ชิดที่เป็นผู้ชายจะควบคุมดูแลครอบครัวของเขาต่อไป.
พวกอเมริกันอินเดียนบางเผ่าเชื่อว่าจำนวนจิตวิญญาณมีจำกัดจึงจำเป็นที่พวกเขาต้อง “เกิดใหม่หมุนเวียนไปเรื่อย ๆ ในขั้นแรกเป็นมนุษย์ และแล้วก็เป็นกายวิญญาณหรือไม่ก็เป็นสัตว์.” ดิ เอ็นไซโคลพีเดีย ออฟ รีลิจัน อธิบายว่า “ความตายของมนุษย์ปลดปล่อยจิตวิญญาณไปเพื่อเป็นสัตว์หรือกายวิญญาณ และจะเป็นเช่นนี้ในทางกลับกันด้วยซึ่งเป็นการเชื่อมโยงมนุษย์ สัตว์ และกายวิญญาณไว้ในวัฏจักรแห่งการพึ่งพากันและกัน.”
ดังนั้น พวกนักสำรวจกลุ่มแรก ๆ จึงประหลาดใจที่พบว่าบิดามารดาชาวเอสกิโมไม่ค่อยเข้มงวดในการอบรมตีสอนลูก ๆ ของเขา กระทั่งยังเรียกลูก ๆ ด้วยถ้อยคำดังเช่น “แม่” หรือ “ปู่.” นักเขียน เออร์เนสท์ เอส. เบิร์ช จูเนียร์ อธิบายว่า นี่เป็นเพราะเด็กถูกตั้งชื่อตามญาติที่ระบุโดยถ้อยคำที่ใช้เรียกนั้น และบิดาชาวเอสกิโมก็ต้อง “ถอยกลับจากความคิดที่จะลงโทษย่าของเขา ถึงแม้ตอนนี้เธอได้ย้ายเข้าไปอยู่ในร่างของลูกชายของเขาแล้วก็ตาม.”
เรื่องของ “ชาติหน้า” ก็ได้มีการพรรณนาไว้โดยเผ่าอินเดียนในอเมริกาเหนือบางเผ่าว่าเป็น แหล่งล่าสัตว์อันหรรษา ซึ่งทั้งมนุษย์และสัตว์ที่ตายแล้วจะไปที่นั่น. ณ ที่นั้นพวกเขาจะอยู่ร่วมกันอีกครั้งกับบรรดาญาติ ๆ ที่รัก แต่ก็ยังต้องเผชิญกับพวกศัตรูแต่ปางก่อนด้วย. ชาวอินเดียนบางเผ่าถลกหนังศีรษะของศัตรูหลังจากสังหารแล้ว ด้วยความเชื่อว่าจะป้องกันพวกศัตรูไม่ให้เข้าไปสู่โลกวิญญาณ.
ความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง ภายหลังความตายซึ่งเป็นความคิดที่แพร่หลายอย่างกว้างขวางในท่ามกลางศาสนาพื้นเมืองทั้งหลายนั้นพิสูจน์ไหมว่าคริสต์ศาสนจักรเป็นฝ่ายถูกในการสอนเรื่องมนุษย์มีจิตวิญญาณอมตะ? เปล่าเลย. ในสวนเอเดนซึ่งเป็นที่เริ่มต้นศาสนาแท้นั้น พระเจ้าไม่ได้ตรัสถึงชีวิตภายหลังความตาย พระองค์ทรงให้ความหวังเกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ซึ่งตรงกันข้ามกับความตาย. แนวความคิดที่ว่าความตายคือประตูเข้าสู่ชีวิตที่ดีกว่านั้นถูกส่งเสริมโดยซาตาน และภายหลังก็มีการสอนกันในบาบูโลน.
ความต้องการของมนุษย์ หรือผลประโยชน์ของพระเจ้า?
ศาสนาพื้นเมืองเน้นความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยส่วนบุคคล หรือไม่ก็สวัสดิภาพของชุมชน. ด้วยเหตุนี้โรนัลด์ เบิร์นดท์ จึงเขียนเกี่ยวกับศาสนาของชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมของออสเตรเลียว่า “[ศาสนานั้น] แสดงให้เห็นความเป็นห่วงกังวลหลายหลากในชีวิตของผู้คนแต่ละวัน. ศาสนานั้นมุ่งความสนใจในความเกี่ยวพันทางสังคม ในวิกฤติการณ์ด้านการดำรงอยู่ของมนุษย์ และในสิ่งที่จะทำได้เพื่อการอยู่รอด.”
แบบแผนการนมัสการต่าง ๆ ที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์เท่านั้นได้เป็นที่รู้จักกันดังเช่น ลัทธิแอนิมิสท์ ลัทธิเฟติช และลัทธิชามานิสท์ ซึ่งมีอยู่ในสังคมต่าง ๆ ด้วยการผสมผสานหลายรูปแบบ และโดยมีความเข้มข้นที่ต่างกัน.
ลัทธิแอนิมิสท์ ถือว่าชีวิตที่มีจิตสำนึก และวิญญาณ สถิตในสสารวัตถุ เช่น พืช หรือก้อนหิน และแม้กระทั่งในปรากฏการณ์ธรรมชาติ ดังเช่น พายุฝนฟ้าคะนอง และแผ่นดินไหว. ลัทธินี้ยังอาจรวมถึงแนวความคิดในเรื่องมีวิญญาณที่ล่องลอยซึ่งมีอิทธิพลทั้งในทางดีหรือชั่วร้ายต่อผู้ที่มีชีวิต.
ลัทธิเฟติช คำนี้มาจากภาษาโปรตุเกสซึ่งบางครั้งใช้เพื่อพรรณนาถึงสสาร ที่คิดกันว่ามีพลังอำนาจเหนือธรรมชาติซึ่งให้การคุ้มครองหรือความช่วยเหลือแก่ผู้เป็นเจ้าของสิ่งเหล่านั้น. ฉะนั้น นักสำรวจชาวโปรตุเกสจึงใช้คำนั้นเพื่อระบุถึงของขลังและเครื่องรางที่เขาพบว่าชาวแอฟริกาตะวันตกใช้กันอยู่ในศาสนาของพวกเขา. ลัทธิเฟติชซึ่งมีหลายรูปแบบเกี่ยวพันใกล้ชิดกับการบูชารูปเคารพ. ยกตัวอย่าง ชาวอเมริกันอินเดียนบางพวกเข้าใจว่าขนนกมีพลังเหนือธรรมชาติถือกันว่าเป็นพาหนะทรงประสิทธิภาพในการทำให้คำอธิษฐาน หรือข่าวสาร “โบยบิน” สู่สวรรค์.
ลัทธิชามานิสท์ คำนี้มาจากคำทุนกูโซ-แมนจูเรียน ซึ่งหมายความว่า “ท่านผู้รู้” รวมจุดอยู่ที่ชามาน บุคคลซึ่งคิดกันว่าสามารถรักษาโรค และสามารถติดต่อกับแดนวิญญาณได้. หมอผี พ่อมด หรือผู้วิเศษ—แล้วแต่คุณจะเรียก—เป็นผู้ที่อ้างว่าจะรับประกันเรื่องสุขภาพ หรือฟื้นฟูความสามารถในการกำเนิดบุตร. อาจมีการกำหนดวิธีรักษา ดังที่ทำกันในชาวป่าอเมริกาใต้บางเผ่า ที่ให้คุณเจาะริมฝีปาก ผนังระหว่างรูจมูก หรือติ่งหู หรือให้คุณเอาสีทาตัว หรือให้คุณใส่เครื่องแต่งกายบางชนิด. หรือคุณอาจถูกบอกให้ใช้สารกระตุ้น หรือสารมึนเมา อย่างเช่น ยาสูบ หรือใบโคคา.
เนื่องจากอ่อนแอด้านหลักคำสอน ศาสนาต่าง ๆ ของชนพื้นเมือง จึงไม่สามารถให้ความรู้ถ่องแท้เรื่องพระผู้สร้าง. และโดยการยกเอาความต้องการของมนุษย์ไว้เหนือผลประโยชน์ของพระเจ้า พวกเขาชิงเอาสิ่งที่พระองค์สมควรจะได้รับ. ฉะนั้น เมื่อคริสต์ศาสนจักรได้เริ่มงานมิชชันนารีสมัยใหม่ขึ้น มีคำถามว่า “ศาสนาคริสเตียนจะสามารถชักนำหัวใจ “ชนนอกรีต” ให้เข้ามาใกล้พระเจ้ายิ่งขึ้นได้ไหม?
ในศตวรรษที่ 15 สเปนและโปรตุเกส เริ่มแผนการสำรวจและการขยายอาณานิคม. ขณะที่กองกำลังคาทอลิกค้นพบดินแดนใหม่ คริสต์จักรก็ลงมือทำการเปลี่ยนศาสนาของชนพื้นเมือง ปรับสภาพให้พวกเขาพร้อมจะรับรัฐบาล “คริสเตียน” ใหม่. สันตะปาปามีราชโองการมอบสิทธิแห่งงานมิชชันนารีในแอฟริกาและเอเชียแก่โปรตุเกส. แล้วต่อมาหลังจากค้นพบอเมริกา เส้นแบ่งเขตแดนที่สมมุติขึ้นได้ขีดลงตรงกึ่งกลางแอตแลนติกโดยสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่หก ได้ให้สิทธิในด้านตะวันตกแก่สเปน และด้านตะวันออกแก่โปรตุเกส.
ขณะเดียวกันนั้น พวกโปรเตสแตนต์ก็กำลังวุ่นเกินไปกับการคุ้มกันฐานะของตนในการต่อต้านนิกายคาทอลิกจนไม่มีเวลาที่จะมีแนวคิดเพื่อเปลี่ยนศาสนาคนอื่น ๆ อีกทั้งพวกนักปฏิรูปโปรเตสแตนต์ก็ไม่ได้เร่งเร้าให้ทำเช่นนั้นด้วย. ดูเหมือนว่าลูเทอร์กับเมลันช์ทอน เชื่อว่าอวสานของโลกใกล้จะถึงเต็มทีแล้วจึงเป็นการสายเกินไปที่จะเข้าถึง “ชนนอกรีต.”
อย่างไรก็ตาม ในช่วงศตวรรษที่ 17 มีกลุ่มหนึ่งของโปรเตสแตนต์ที่เรียกว่าไพอิติสท์ ได้พัฒนาขึ้น. กลุ่มนี้ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของการปฏิรูปเน้นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่มีต่อศาสนาแทนแบบแผนพิธีการ และให้ความสำคัญต่อการอ่านพระคัมภีร์และความเลื่อมใสศรัทธาในศาสนา. ตามคำพรรณนาของนักเขียนผู้หนึ่งที่กล่าวว่า “นิมิตเกี่ยวกับมวลมนุษย์ที่จำต้องรับทราบกิตติคุณของพระคริสต์” ของพวกเขา ในที่สุดก็ได้ช่วยส่งเสริมลัทธิโปรเตสแตนต์ให้อยู่บน “นาวา” แห่งกิจการมิชชันนารีในตอนท้ายของศตวรรษที่ 18.
จากประมาณหนึ่งในห้าของประชากรโลกในปี 1500 อัตราส่วนของผู้ที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนได้เพิ่มเป็นประมาณหนึ่งในสี่ในปี 1800 และเป็นประมาณหนึ่งในสามในปี 1900. บัดนี้หนึ่งในสามของโลกได้เป็น “คริสเตียน”!
พวกเขาได้ทำให้คนเป็นสาวก คริสเตียนจริง ๆ ไหม?
ร่องรอยของความจริงที่พบในศาสนาต่าง ๆ ของชนพื้นเมืองถูกลบล้างไปโดยองค์ประกอบเท็จมากมายแบบบาบูโลน แต่นั่นก็เป็นจริงพอ ๆ กันกับศาสนาคริสเตียนที่ออกหาก. ดังนั้น มรดกร่วมกันทางศาสนาที่ได้รับมานี้ทำให้เป็นการง่ายที่ “ชนนอกรีต” จะมาเป็น “คริสเตียน.” หนังสือ เดอะ มีโทโลจี ออฟ ออล เรเซส กล่าวว่า “ไม่มีแถบใดในอเมริกาที่มีพิธีมากมายหรือคล้ายคลึงกันอย่างน่าทึ่งกับพิธีและเครื่องหมายของคริสเตียนมากเท่ากับของอินเดียนแดงเผ่ามายา.” การบูชากางเขนรวมทั้งสิ่งอื่นที่มีความคล้ายคลึงกันในด้านพิธีกรรม “ได้ส่งเสริมให้มีการเปลี่ยนศาสนาโดยมีข้อขัดแย้งน้อยที่สุด.”
ชาวแอฟริกา ที่ถูกลักพาไปเป็นทาสรับใช้ในโลกใหม่โดยพวก “คริสเตียน” อยู่เรื่อย ๆ ตลอดระยะเวลาประมาณ 450 ปี ก็สามารถเปลี่ยนศาสนา “โดยมีข้อขัดแย้งน้อยที่สุดเช่นกัน.” เนื่องจากพวก “คริสเตียน” ก็เคารพบูชา “นักบุญ” ชาวยุโรปที่ตายไปแล้ว จะไปตำหนิการนมัสการวิญญาณบรรพชนของชาวแอฟริกาโดย “ชนคริสเตียนชาวนอกรีต” ได้อย่างไร? ด้วยเหตุนี้ ดิ เอ็นไซโคลพีเดีย ออฟ รีลิจัน ให้ข้อสังเกตว่า “วูดู . . . ศาสนาหนึ่งที่ผสมผสานศาสนาของชาวแอฟริกาตะวันตก วิชาพ่อมดหมอผี ศาสนาคริสเตียน และประเพณีพื้นเมืองเข้าด้วยกัน . . . ได้กลายเป็นศาสนาที่แท้จริงของประชาชนเป็นอันมากที่ไฮติ รวมทั้งคนเหล่านั้นที่เป็นคาทอลิกเพียงในนามด้วย.”
คอนไซส์ ดิกชันนารี ออฟ เดอะ คริสเตียน เวิลด์ มิชชัน ยอมรับว่าการเปลี่ยนศาสนาของชาวลาตินอเมริกา และฟิลิปปินส์นั้นเป็นแค่ผิวเผิน และเพิ่มเติมว่า “ศาสนาคริสเตียนของแถบนี้ในปัจจุบันจะเต็มไปด้วยความเชื่อถือทางไสยศาสตร์และความไม่รู้.” สำหรับเผ่าแอสเท็ค เผ่ามายา และเผ่าอินคาแล้ว “‘การเปลี่ยนศาสนา’ ก็เพียงแต่หมายถึงการรวมเอาเทพเจ้าอีกองค์เข้าไว้ในหมู่เทพเจ้าทั้งหลายของพวกเขาเท่านั้น.”
เกี่ยวกับชาวอะกัน ในกานา และโกตติวัวร์นั้น มิเชล กิลเบิร์ตประจำพิพิธภัณฑสถานแห่งประวัติศาสตร์ธรรมชาติพีบอดี กล่าวว่า “ศาสนาตามจารีตประเพณียังคงมีอยู่เพราะผู้คนส่วนใหญ่นั้นมองว่าเป็นระบบแห่งความเชื่อถือที่ก่อผลมากที่สุด เป็นสิ่งหนึ่งที่ยังหล่อเลี้ยงโลกให้มีความหมาย.”
เอ็ม. เอฟ. ซี. โบดิลลอนประจำมหาวิทยาลัยแห่งซิมบับเว กล่าวเกี่ยวกับ “ความอ่อนไหวผันแปรทางศาสนา” ในหมู่สมาชิกของศาสนาโชนา โดยอธิบายว่า “แบบแผนหลายหลากของศาสนาคริสเตียนพร้อมด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีมากมาย ทั้งหมดนี้ได้จัดให้มีแหล่งรวมแห่งการตอบสนองทางศาสนาซึ่งแต่ละคนสามารถเลือกเอาจากที่นั่นได้ตามความต้องการของตนในขณะนั้น.”
แต่หากว่า “ชนคริสเตียนชาวนอกรีต” เป็นที่รู้จักด้วยลักษณะที่ถือศาสนาแบบผิวเผิน ความไม่รู้ การเชื่อถือทางไสยศาสตร์ และการเชื่อพระเจ้าหลายองค์ หากพวกเขามองดูศาสนาแบบจารีตประเพณีว่ามีประสิทธิผลมากกว่าศาสนาคริสเตียน หากพวกเขาสนใจศาสนาเพียงแต่เป็นเรื่องของความสะดวกสบาย หรือความเหมาะสมเฉพาะกาลซึ่งอำนวยความสะดวกแก่การย้ายจากศาสนาหนึ่งไปอีกศาสนาหนึ่งตามแต่สถานการณ์จะบังคับแล้ว จะถือได้ไหมว่าคริสต์ศาสนจักรได้ทำคนให้เป็นสาวกคริสเตียนอย่างแท้จริง?
หากไม่ใช่สาวก พวกเขาเป็นอะไร?
เป็นความจริงที่ว่า พวกมิชชันนารีแห่งคริสต์ศาสนจักรได้ตั้งโรงเรียนขึ้นหลายร้อยแห่งเพื่อให้การศึกษาแก่ผู้ไม่รู้หนังสือ. พวกเขาได้สร้างโรงพยาบาลหลายแห่งเพื่อรักษาคนเจ็บป่วย. และพวกเขาได้ส่งเสริมให้มีความนับถือต่อคัมภีร์ไบเบิลและหลักการต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ถึงระดับหนึ่ง.
แต่ “ชนนอกรีต” ได้รับการเลี้ยงดูด้วยอาหารแข็งฝ่ายวิญญาณแห่งพระคำของพระเจ้าหรือเพียงแค่เศษอาหารของศาสนาคริสเตียนที่ออกหาก? ความเชื่อและกิจปฏิบัติ “แบบนอกรีต” ถูกทอดทิ้งไปหรือเพียงแต่ถูกอำพรางไว้ในเปลือกหุ้ม “คริสเตียน” เท่านั้น? พูดให้ตรงจุดก็คือ พวกมิชชันนารีแห่งคริสต์ศาสนจักรได้เข้าถึงหัวใจพวกเขาเพื่อรับเอาพระเจ้าหรือว่าเพียงบีบบังคับ “ชนนอกรีต” ให้คุกเข่าลงต่อหน้าแท่นบูชา “คริสเตียน”?
คนที่เปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสเตียนที่ออกหากเพิ่มความบาปใหม่แห่งการเป็นศาสนาคริสเตียนที่หน้าซื่อใจคดเข้ากับความบาปที่มีอยู่เดิมเกี่ยวกับความไม่รู้ ฉะนั้นจึงทำให้ความผิดของเขาเพิ่มทวีคูณ. ด้วยเหตุนั้น คำตรัสของพระเยซูจึงนับว่าเหมาะกับคริสต์ศาสนจักร ที่ว่า“พวกเจ้าท่องเที่ยวค้นหาไปตามทางทะเลและบนบกเพื่อทำให้สักคนเปลี่ยนมานับถือศาสนา และแล้วทำให้เขาเป็นผู้ที่สาสมแก่ความพินาศยิ่งกว่าเจ้าเองถึงสองเท่า.”—มัดธาย 23:15, ฟิลลิปส์.
คริสต์ศาสนจักรประสบความล้มเหลวอย่างเห็นได้ชัดในการรับมือกับการท้าทายที่ให้ทำคนเป็นสาวกคริสเตียน. คริสต์ศาสนจักรได้ประสบผลดีกว่านั้นไหมในการรับมือกับสิ่งท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของโลก? บทความ “คริสต์ศาสนจักรดิ้นรนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก” ในฉบับต่อไปจะตอบปัญหานี้.
[รูปภาพหน้า 21]
มิชชันนารีคริสเตียนแท้ในสาธารณรัฐโดมินิกัน เข้าถึงหัวใจผู้คนไม่ใช่เพียงหัวเข่า.