การเพ่งดูโลก
ค้นพบลูกวัวทองคำ
“รูปแกะสลักเล็ก ๆ ยืนยันเรื่องของโมเซกับชาวอิสราเอลที่บูชารูปเคารพ” ตามคำกล่าวในวารสารไทม์. จนถึงปัจจุบัน ไม่เคยพบรูปแกะสลักของลูกวัวที่ใช้ทางศาสนาจากสิ่งปรักหักพังของคะนาอันในสมัยก่อนการอพยพของอิสราเอล. แต่ในเดือนมิถุนายน 1990 ในสิ่งปรักหักพังของเมืองท่าโบราณคืออัศคะโลนประเทศอิสราเอล นักโบราณคดีได้ขุดพบรูปปั้นลูกวัวยาว 12.5 ซ.ม. ทำจากทองสัมฤทธิ์ ทองแดง และอาจมีส่วนผสมของตะกั่วและเงิน. ทองสัมฤทธิ์ถูกขัดให้ขึ้นเงาวาวดุจทองคำ. ลอเรนซ์ สเตเกอร์ หัวหน้าทีม รู้สึกว่าวัวตัวนั้นมีมาตั้งแต่ 1550 ก่อนส.ศ. ก่อนที่ชาวอิสราเอลตีคะนาอันได้. สเตเกอร์ออกความเห็นว่าลูกวัวอาจเคยใช้สำหรับบูชาพระนอกรีต เอลหรือบาละผู้เป็นบุตรและอาจเป็นต้นแบบของวัวทองคำที่มีกล่าวถึงในคัมภีร์ไบเบิล.
ไม่มีขาเพื่อใช้ยืน
นักวิวัฒนาการสันนิษฐานว่า งูวิวัฒน์มาจากพวกกิ้งก่า แต่ประสบความยากลำบากในการอธิบายว่าทำไมขาของมันสูญหายไป. ในปี 1973 การศึกษาค้นคว้าอันมีอิทธิพลของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอ้างว่าที่งูวิวัฒน์มาจากกิ้งก่าก็เพื่อประหยัดแรงโดยใช้การเลื้อยแทนการเดิน. อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ณ เออร์ไวน์ได้ทำการพิสูจน์ทดลองทฤษฎีนั้น. เขาติดหน้ากากออกซิเจนขนาดจิ๋วแก่งูดำ และใส่งูเหล่านั้นบนสายพานที่วิ่งอยู่กับที่ แล้ววัดดูแรงที่งูใช้จริง ๆ ในการเลื้อย. ผลคือ งูเหล่านั้นได้ใช้แรงเท่ากันหรือมากกว่า ถึงเจ็ดเท่า เมื่อเทียบกับกิ้งก่าที่มีขาในการเดินด้วยระยะทางเท่ากัน.
มลภาวะในระดับสูง
เครื่องบินที่บินในระดับสูงอาจก่อมลภาวะอย่างร้ายแรง ตามผลจากการค้นคว้าในเยอรมนีตะวันตก. ตามรายงานจากวารสาร โปรฟิล แห่งออสเตรเลีย สารพิษ เช่นคาร์บอนมอนอกไซด์ ไนทริกออกไซด์ และเขม่าออกฤทธิ์เป็นเวลาหลายปีเมื่อถูกปล่อยออกในระดับสูงกว่า 33,000 ฟุต ขณะที่สารเหล่านั้น จะสลายตัวบนพื้นดินภายในไม่กี่วัน. เครื่องบินพลเรือนกระจายกรดไนทริก 600,000 ตันทุก ๆ ปี เครื่องบินทหารกระจายมากกว่านั้นอีก. ในระดับสูงน้ำที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องไอพ่นจะเป็นน้ำแข็งทันทีและก่อตัวเป็นเมฆอันกอปรด้วยน้ำแข็งชิ้นเล็ก ๆ และกรดไนทริก ลอยอยู่ในระดับสูง. มีการสงสัยกันอย่างแพร่หลายว่าเมฆเหล่านี้มีส่วนในการทำลายชั้นโอโซนอันสำคัญของโลก.
ความก้าวหน้าที่น่าตะลึงงัน?
แทนการถ่ายเลือด เมื่อเร็ว ๆ นี้แพทย์ในประเทศญี่ปุ่นรักษาทารกที่คลอดก่อนกำหนดซึ่งโลหิตจาง โดยใช้ยาเอริโธรโปเอติน (erythropoietin) สารฮอร์โมนซึ่งกระตุ้นการสร้างเม็ดโลหิตแดง. ทารกคนนั้นมีน้ำหนักแค่ 793 กรัมตอนคลอด และ “สภาวะโลหิตจางเลวลงถึงขนาดที่ตามธรรมดาจะต้องเติมเลือด” ตามรายงานในหนังสือพิมพ์ อาซาฮิ ชิมบุน. อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบิดามารดาของทารกเป็นพยานพระยะโฮวา เขาปฏิเสธการใช้เลือดเพื่อทารกของเขา. ดังนั้น แพทย์จึงให้ยาเอริโธรโปเอติน ตั้งแต่วันที่ 39 ภายหลังการคลอด. ภายในหนึ่งสัปดาห์จำนวนเม็ดโลหิตแดงเริ่มเพิ่มขึ้น. ต่อมา ฮีโมโกลบินก็เพิ่มขึ้นด้วย. แพทย์ที่รับผิดชอบการรักษารายนี้กล่าวว่า “ถึงแม้ว่าเหตุผลในกรณีนี้เป็นทางศาสนา แต่วิธีรักษานี้คงจะมีการใช้อย่างกว้างขวางเพื่อเลี่ยงการเสี่ยงต่าง ๆ อาทิเช่น การติดเชื้อจากการถ่ายเลือด.”