ห้องสมุดออนไลน์ของวอชเทาเวอร์
ห้องสมุดออนไลน์
ของวอชเทาเวอร์
ไทย
  • คัมภีร์ไบเบิล
  • สิ่งพิมพ์
  • การประชุม
  • ต96 8/3 น. 19-24
  • ลูกของกบ

ไม่มีวีดีโอสำหรับรายการนี้

ขออภัย โหลดวีดีโอนี้ไม่ได้

  • ลูกของกบ
  • ตื่นเถิด! 1996
  • หัวเรื่องย่อย
  • เรื่องที่คล้ายกัน
  • งาน​ของ​ดิฉัน​ฐานะ​เป็น​เกอิชา
  • ใคร​คือ​แม่?
  • ลูก​ชาย​ใน​ยาม​สงคราม
  • พันธะ​หน้า​ที่​ด้าน​ครอบครัว
  • การ​จัด​หา​เพื่อ​เลี้ยง​ดู​ลูก​สาว
  • ศาสนา​กลาย​เป็น​ประเด็น
  • การ​เปลี่ยน​แปลง​ใน​ชีวิต
  • ดำเนิน​ชีวิต​สม​กับ​การ​อุทิศ​ตัว
  • จากผู้อ่านของเรา
    ตื่นเถิด! 1996
  • ขอบพระคุณพระยะโฮวาที่ทรงเกื้อหนุนมิได้ขาด
    หอสังเกตการณ์ประกาศราชอาณาจักรของพระยะโฮวา 1993
  • บอกให้รู้ว่าคุณรัก
    ประสบการณ์ของพยานพระยะโฮวา
  • ฉันจะรับมือกับปัญหาของการเป็นบุตรบุญธรรมได้อย่างไร?
    ตื่นเถิด! 2003
ดูเพิ่มเติม
ตื่นเถิด! 1996
ต96 8/3 น. 19-24

ลูก​ของ​กบ

“ลูก​ของ​กบ​ก็​ย่อม​เป็น​กบ.”

ภาษิต​ญี่ปุ่น​นี้​หมาย​ความ​ว่า เด็ก​เมื่อ​โต​ขึ้น​จะ​เหมือน​บิดา​หรือ​มารดา​ของ​ตน​ไม่​ผิด​เพี้ยน. คุณ​แม่​ของ​ดิฉัน​เป็น​เกอิชา.

ดิฉัน​เติบโต​ใน​สำนัก​เกอิชา​ซึ่ง​คุณ​แม่​เป็น​ผู้​ดำเนิน​กิจการ. ดัง​นั้น ตั้ง​แต่​เป็น​เด็ก​เล็ก ๆ ดิฉัน​จึง​ถูก​แวด​ล้อม​ไป​ด้วย​เหล่า​สตรี​สวย ๆ ซึ่ง​สวม​ชุด​กิโมโน​ราคา​แพง​ที่​สุด. ดิฉัน​รู้​ว่า​เมื่อ​โต​ขึ้น​ก็​คง​ต้อง​ร่วม​วง​ไพบูลย์​กับ​พวก​เขา. การ​ฝึก​ของ​ดิฉัน​เริ่ม​ใน​ปี 1928 ใน​วัน​ที่​หก​ของ​เดือน​ที่​หก​เมื่อ​อายุ​ได้​หก​ขวบ. มี​การ​พูด​กัน​ว่า​ตัว​เลข 666 เป็น​ตัว​เลข​ที่​รับประกัน​ความ​สำเร็จ.

ดิฉัน​ได้​ศึกษา​ศิลปะ​ตาม​ขนบ​ประเพณี​ญี่ปุ่น—เช่น การ​เต้น​รำ, การ​ร้อง​เพลง, การ​เล่น​เครื่อง​ดนตรี, พิธี​ชง​ชา และ​อื่น ๆ ทำนอง​นี้. ทุก​วัน​หลัง​กลับ​จาก​โรง​เรียน ดิฉัน​จะ​รีบ​กลับ​บ้าน เปลี่ยน​เสื้อ​ผ้า และ​ไป​เรียน​ศิลปะ​ดัง​กล่าว. ที่​นั่น​ดิฉัน​จะ​อยู่​กับ​เพื่อน​นัก​เรียน​อีก​ครั้ง​หนึ่ง เพราะ​พวก​เรา​ทั้ง​หมด​ต่าง​ก็​เป็น​ลูก​เกอิชา. มัน​เป็น​ช่วง​ที่​ได้​ทำ​โน่น​ทำ​นี่​ไม่​หยุด และ​ดิฉัน​ก็​ชอบ.

ใน​ช่วง​ก่อน​สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่​สอง การ​ศึกษา​ภาค​บังคับ​สิ้น​สุด​ที่​อายุ 12 ปี ตอน​นั้น​แหละ​ที่​ดิฉัน​เริ่ม​ทำ​งาน. ฐานะ​เป็น​เกอิชา​น้อง​ใหม่ ดิฉัน​สวม​ชุด​กิโมโน​งาม​หรู​โดย​มี​แขน​เสื้อ​ห้อย​ลง​ไป​เกือบ​ถึง​เท้า. ดิฉัน​รู้สึก​ตื่นเต้น​ดีใจ​เมื่อ​ออก​ไป​ทำ​งาน​มอบหมาย​ชิ้น​แรก.

งาน​ของ​ดิฉัน​ฐานะ​เป็น​เกอิชา

โดย​พื้น​ฐาน​แล้ว งาน​ของ​ดิฉัน​เกี่ยว​ข้อง​กับ​การ​ให้​ความ​บันเทิง และ​ทำ​หน้า​ที่​เสมือน​โฮสเตส. เมื่อ​พวก​ผู้​ชาย​มั่งคั่ง​วาง​แผน​จัด​งาน​เลี้ยง​อาหาร​เย็น ณ ภัตตาคาร​ชั้น​สูง พวก​เขา​จะ​โทรศัพท์​หา​สำนัก​เกอิชา และ​ขอ​เกอิชา​สอง​สาม​คน​มา​บริการ. เกอิชา​ได้​รับ​การ​คาด​หมาย​ที่​จะ​ทำ​ให้​เย็น​วัน​นั้น​มี​ชีวิต​ชีวา และ​ทำ​ให้​แน่​ใจ​ว่า​แขก​แต่​ละ​คน​จะ​กลับ​บ้าน​ด้วย​ความ​พอ​อก​พอ​ใจ โดย​รู้สึก​ว่า​ตน​ได้​รับ​ความ​สนุกสนาน​เพลิดเพลิน.

เพื่อ​จะ​ทำ​เช่น​นี้ เรา​ต้อง​คาด​ล่วง​หน้า​ถึง​ความ​ต้องการ​ของ​แขก​แต่​ละ​คน และ​จัด​หา​สิ่ง​นั้น​ให้—แม้​ก่อน​ที่​แขก​จะ​ตระหนัก​ถึง​ความ​ต้องการ​ของ​ตน​ด้วย​ซ้ำ. ดิฉัน​คิด​ว่า ส่วน​ที่​ยาก​ที่​สุด​ก็​คือ การ​ที่​จะ​ต้อง​ปรับ​ตัว​ตาม​การ​บอก​กล่าว​ประเดี๋ยว​นั้น. หาก​ทันที​ทันใด แขก​ต้องการ​ชม​การ​เต้น​รำ เรา​ก็​เต้น​รำ. หาก​อยาก​ฟัง​ดนตรี เรา​ก็​นำ​เครื่อง​ดนตรี​ออก​มา​และ​บรรเลง​ดนตรี​ตาม​คำ​ขอ หรือ​ร้อง​เพลง​อะไร​ก็​ตาม​ที่​ถูก​ขอ​ให้​ร้อง.

สิ่ง​หนึ่ง​ที่​คน​ทั่ว​ไป​เข้าใจ​ผิด​ก็​คือ เกอิชา​ทุก​คน​เป็น​นาง​โลม​ชั้น​สูง​ซึ่ง​มี​ค่า​ตัว​แพง. นั่น​ไม่​เป็น​ความ​จริง. แม้​จะ​มี​เกอิชา​ซึ่ง​หา​กิน​ด้วย​การ​ขาย​ตัว แต่​ไม่​จำเป็น​ที่​เกอิชา​จะ​ต้อง​ลด​ค่า​ตัว​เอง​ลง​เช่น​นั้น. ดิฉัน​ทราบ​ดี​เพราะ​ไม่​เคย​ทำ. เกอิชา​คือ​ผู้​ให้​ความ​บันเทิง และ​ถ้า​เธอ​ทำ​ได้​ดี ความ​ชำนาญ​ของ​เธอ​จะ​ทำ​ให้​เธอ​มี​งาน​ทำ, ได้​ของ​กำนัล​แพง ๆ, และ​ได้​ทิป​เหลือ​เฟือ​จาก​ลูก​ค้า.

แน่นอน มี​ไม่​กี่​คน​ที่​มี​ฝีมือ​ดี​พอ​จะ​เป็น​เกอิชา​ชั้น​ยอด. เกอิชา​ส่วน​ใหญ่​เป็น​ผู้​เชี่ยวชาญ​ใน​ศิลปะ​ตาม​ประเพณี​ของ​ญี่ปุ่น​เพียง​แขนง​เดียว​เท่า​นั้น. แต่​ดิฉัน​ได้​วุฒิบัตร​ใน​วิชา​ศิลปะ​ดัง​กล่าว​ถึง​เจ็ด​แขนง ซึ่ง​รวม​ทั้ง​การ​เต้น​รำ​แบบ​ญี่ปุ่น, การ​จัด​ดอกไม้, พิธี​ชง​ชา, การ​ตี​กลอง​ญี่ปุ่น​ที่​เรียก​ว่า​ทาอิโกะ, และ​การ​บรรเลง​ดนตรี​สาม​แบบ​ด้วย​เครื่อง​ดนตรี​สาม​สาย​ที่​เรียก​ว่า​ซา​มิ​เซ็ง. หาก​ไม่​มี​คุณวุฒิ​เหล่า​นี้ บาง​ที​ดิฉัน​อาจ​รู้สึก​ว่า​จำ​ต้อง​ทำ​อะไร​ก็​ตาม​ที่​ลูก​ค้า​ขอ เพียง​เพื่อ​ได้​เงิน​ประทัง​ชีวิต.

สมัย​เมื่อ​ญี่ปุ่น​ไม่​มี​เสถียรภาพ​ทาง​เศรษฐกิจ บาง​ครั้ง​พวก​ผู้​หญิง​สาว​ก็​เลือก​ที่​จะ​เป็น​เกอิชา​เพื่อ​เกื้อ​หนุน​จุนเจือ​ครอบครัว. พวก​เขา​กู้​ยืม​เงิน​เพื่อ​จ่าย​ค่า​ฝึก​วิชา​และ​ค่า​ชุด​กิโมโน. ส่วน​คน​อื่น ๆ ถูก​ครอบครัว​ของ​ตน​ขาย​ให้​กับ​สำนัก​เกอิชา. ผู้​ซื้อ​ได้​จ่าย​เงิน​ก้อน​โต ทำ​ให้​ผู้​หญิง​เหล่า​นั้น​ต้อง​หา​เงิน​ชด​ใช้. เหล่า​เกอิชา​ที่​ตก​อยู่​ใน​สภาพ​เช่น​นี้​เสีย​เปรียบ​อย่าง​มาก เพราะ​การ​ฝึก​อบรม​ของ​พวก​เขา​ไม่​ได้​เริ่ม​แต่​เนิ่น ๆ และ​พวก​เขา​เริ่ม​งาน​อาชีพ​ด้วย​การ​มี​ภาระ​หนี้สิน​พะรุงพะรัง. เกอิชา​เหล่า​นี้​หลาย​คน​หัน​เข้า​หา​หรือ​ไม่​ก็​จำ​ใจ​ต้อง​ประพฤติ​ผิด​ศีลธรรม​เพื่อ​รับมือ​กับ​ภาระ​รับผิดชอบ​เรื่อง​การ​เงิน.

การ​ให้​บริการ​ของ​ดิฉัน​กลาย​เป็น​ที่​ร่ำร้อง​หา​โดย​ผู้​มี​ชื่อเสียง​ใน​วงการ​กีฬา, บันเทิง, ธุรกิจ, และ​การ​เมือง. คณะ​รัฐมนตรี​และ​นายก​รัฐมนตรี​หลาย​ท่าน​ก็​อยู่​ใน​บรรดา​ลูก​ค้า​ของ​ดิฉัน. บุคคล​เหล่า​นี้​ปฏิบัติ​ต่อ​ดิฉัน​ด้วย​ความ​นับถือ​และ​ขอบ​อก​ขอบใจ​ใน​บริการ​ของ​ดิฉัน. แม้​ว่า​ดิฉัน​ไม่​ได้​ร่วม​วง​คุย​โน่น​คุย​นี่​นอก​จาก​ได้​รับ​การ​เชิญ แต่​บาง​ครั้ง​ก็​มี​การ​ถาม​ความ​เห็น​ของ​ดิฉัน. ดัง​นั้น ดิฉัน​จึง​อ่าน​หนังสือ​พิมพ์​และ​ฟัง​วิทยุ​ทุก​วัน เพื่อ​ตาม​ให้​ทัน​ข่าวสาร​ตลอด​เวลา. งาน​เลี้ยง​ที่​ดิฉัน​ไป​ให้​บริการ​มัก​ถูก​จัด​เพื่อ​เจรจา​ข้อ​ตก​ลง ดิฉัน​จึง​ต้อง​ระมัดระวัง​และ​ไม่​แพร่งพราย​สิ่ง​ที่​ได้​ยิน.

ใคร​คือ​แม่?

วัน​หนึ่ง​ใน​ปี 1941 เมื่อ​ดิฉัน​อายุ 19 ปี ดิฉัน​ถูก​เชิญ​ไป​ยัง​ร้าน​อาหาร​แห่ง​หนึ่ง​และ​พบ​ว่า​มี​หญิง​สอง​คน​คอย​อยู่. หนึ่ง​ใน​สอง​คน​นั้น​บอก​ว่า​เธอ​เป็น​แม่​ผู้​ให้​กำเนิด​ดิฉัน และ​มา​เพื่อ​นำ​ดิฉัน​กลับ​บ้าน. ผู้​หญิง​อีก​คน​หนึ่ง​เป็น​ผู้​ว่า​จ้าง​เกอิชา​ทำ​งาน​และ​เสนอ​งาน​ให้​ดิฉัน​ทำ. เธอ​คิด​ว่า​ดิฉัน​ควร​ทำ​งาน​เพื่อ​อุปถัมภ์​เลี้ยง​ดู​แม่​ผู้​ให้​กำเนิด แทน​ที่​จะ​อุปถัมภ์​จุนเจือ​แม่​บุญธรรม. ดิฉัน​ไม่​เคย​คิด​เลย​ว่า ผู้​ที่​เลี้ยง​ดู​ดิฉัน​มา​นั้น​ไม่​ใช่​แม่​ที่​แท้​จริง.

ด้วย​ความ​สับสน ดิฉัน​วิ่ง​กลับ​บ้าน​และ​เล่า​ให้​แม่​บุญธรรม​ฟัง​ถึง​เรื่อง​ที่​เกิด​ขึ้น. ท่าน​เป็น​คน​ที่​ควบคุม​อารมณ์​ความ​รู้สึก​ได้​ดี​เสมอ​มา แต่​บัด​นี้​น้ำตา​เอ่อ​ล้น​เบ้า​ตา​ของ​ท่าน. ท่าน​บอก​ว่า ท่าน​ต้องการ​เป็น​คน​บอก​ดิฉัน​เอง​ว่า เมื่อ​ดิฉัน​อายุ​ได้​หนึ่ง​ขวบ​ดิฉัน​ถูก​ยก​ให้​กับ​สำนัก​เกอิชา. เมื่อ​ได้​ทราบ​ความ​จริง ความ​ไว้​วางใจ​ของ​ดิฉัน​ต่อ​ผู้​คน​สูญ​สลาย​สิ้น และ​กลาย​เป็น​คน​เก็บ​ตัว​ไม่​พูด​กับ​ใคร ๆ.

ดิฉัน​ไม่​ยอม​รับ​แม่​ผู้​ให้​กำเนิด. จาก​การ​พบ​กัน​สั้น ๆ เห็น​ได้​ชัด​ว่า​เธอ​รู้​ถึง​ความ​สำเร็จ​ของ​ดิฉัน​และ​ต้องการ​ให้​ดิฉัน​ทำ​งาน​หา​เลี้ยง​เธอ. ดู​จาก​ทำเล​ที่​เธอ​ประกอบ​ธุรกิจ​อยู่ ดิฉัน​ทราบ​ว่า​งาน​ที่​นั่น​เกี่ยว​ข้อง​กับ​การ​ผิด​ศีลธรรม. ดิฉัน​ต้องการ​ขาย​วุฒิ​สามารถ​ด้าน​ศิลปะ ไม่​ใช่​ขาย​ตัว. ตอน​นั้น​ดิฉัน​คิด​อย่าง​นั้น และ​ยัง​คง​คิด​ว่า​ดิฉัน​ทำ​การ​ตัดสิน​ใจ​ถูก​ต้อง​แล้ว.

ถึง​แม้​ดิฉัน​ไม่​พอ​ใจ​แม่​บุญธรรม แต่​ก็​ต้อง​ยอม​รับ​ว่า​ท่าน​ได้​ฝึก​อบรม​ดิฉัน​เพื่อ​จะ​ทำ​งาน​หา​เลี้ยง​ชีพ​ได้​ตลอด​เวลา. ยิ่ง​คิด​เรื่อง​นี้​มาก​เท่า​ไร ก็​ยิ่ง​รู้สึก​เป็น​หนี้​บุญคุณ​ท่าน​มาก​เท่า​นั้น. ท่าน​เลือก​รับ​งาน​ให้​ดิฉัน​อย่าง​รอบคอบ​และ​เสมอ​ต้น​เสมอ​ปลาย​ตลอด​มา ป้องกัน​ดิฉัน​ไว้​จาก​พวก​ผู้​ชาย​ที่​ขอ​รับ​บริการ​จาก​เกอิชา​เพียง​เพื่อ​จุด​ประสงค์​อัน​ผิด​ศีลธรรม. จน​ทุก​วัน​นี้ ดิฉัน​ยัง​รู้สึก​ซาบซึ้ง​ใจ​ใน​เรื่อง​นั้น.

ท่าน​สอน​หลักการ​หลาย​อย่าง​ให้​ดิฉัน. หลักการ​หนึ่ง​ที่​ท่าน​เน้น​กับ​ดิฉัน​ก็​คือ ให้​คำ​ว่า​ใช่​คือ​ใช่​และ​ไม่​คือ​ไม่. ท่าน​ยัง​สอน​ดิฉัน​ให้​รู้​จัก​รับผิดชอบ และ​เป็น​คน​เข้มงวด​กับ​ตัว​เอง. ผล​จาก​การ​ปฏิบัติ​ตาม​หลักการ​ที่​ท่าน​สอน ดิฉันประสบ​ความ​สำเร็จ​ใน​การ​งาน. ดิฉัน​สงสัย​ว่า​จะ​ได้​รับ​ความ​ช่วยเหลือ​เช่น​นี้​จาก​แม่​ผู้​ให้​กำเนิด​หรือ​ไม่. อาจ​เป็น​ได้​ที่​การ​ถูก​รับ​เป็น​บุตร​บุญธรรม​ช่วย​ดิฉัน​ไว้​จาก​ชีวิต​ที่​ลำบาก​แสน​เข็ญ และ​ดิฉัน​รู้สึก​ดีใจ​มาก​ที่​เหตุ​การณ์​เป็น​ไป​เช่น​นั้น.

ลูก​ชาย​ใน​ยาม​สงคราม

ดิฉัน​ให้​กำเนิด​ลูก​ชาย​ใน​ปี 1943. ตาม​วัฒนธรรม​ญี่ปุ่น​ที่​สอน​สืบ​ทอด​กัน​มา ซึ่ง​ไม่​เชื่อ​เรื่อง “บาป” ดิฉัน​ไม่​คิด​ว่า​ตัว​เอง​ทำ​อะไร​ผิด​หรือ​น่า​ละอาย. ดิฉัน​รู้สึก​ตื่นเต้น​กับ​ลูก​ชาย. เขา​เป็น​สิ่ง​มี​ค่า​ที่​สุด​ที่​ดิฉัน​เคย​มี—เป็น​ใคร​คน​หนึ่ง​ที่​จะ​ทำ​งาน​และ​มี​ชีวิต​อยู่​เพื่อ​เขา.

ใน​ปี 1945 โตเกียว​ถูก​ระเบิด​ถล่ม​ชนิด​โง​หัว​ไม่​ขึ้น และ​ดิฉัน​ต้อง​หนี​ออก​จาก​ตัว​เมือง​พร้อม​กับ​ลูก​ชาย. มี​อาหาร​เพียง​เล็ก​น้อย​อีก​ทั้ง​ลูก​ก็​ป่วย​หนัก. ผู้​คน​เบียด​เสียด​ยัดเยียด​เต็ม​สถานี​รถไฟ​ด้วย​ความ​ชุลมุน​วุ่นวาย​อย่าง​มาก แต่​โดย​วิธี​ใด​วิธี​หนึ่ง​เรา​ก็​ได้​ขึ้น​รถไฟ​ไป​ทาง​เหนือ​ยัง​เมือง​ฟู​กู​ชิ​มา. คืน​นั้น​เรา​พัก​อยู่​ที่​นั่น​ใน​โรงแรม​เล็ก ๆ แห่ง​หนึ่ง แต่​ก่อน​ที่​ดิฉัน​สามารถ​พา​ลูก​น้อย​ไป​โรง​พยาบาล ลูก​ก็​เสีย​ชีวิต​เนื่อง​จาก​ขาด​สาร​อาหาร​และ​น้ำ. เขา​อายุ​แค่​สอง​ขวบ. ดิฉัน​โศก​เศร้า​ฟูม​ฟาย​อย่าง​หนัก. พนักงาน​ประจำ​ห้อง​ทำ​น้ำ​ร้อน​ที่​โรงแรม​ช่วย​เผา​ศพ​ลูก​ชาย​ดิฉัน​ใน​เตา​ไฟ​ที่​ใช้​ทำ​น้ำ​ร้อน.

จาก​นั้น​ไม่​นาน​สงคราม​ก็​สิ้น​สุด​ลง และ​ดิฉัน​ได้​กลับ​ไป​ยัง​โตเกียว. ตัว​เมือง​ราบ​เป็น​หน้า​กลอง​เพราะ​การ​ทิ้ง​ระเบิด. บ้าน​และ​ทุก​สิ่ง​ทุก​อย่าง​ที่​ดิฉัน​เคย​มี​เป็น​ของ​ตัว​เอง​อันตรธาน​ไป​สิ้น. ดิฉัน​ไป​ที่​บ้าน​เพื่อน. เธอ​ให้​ยืม​ชุด​กิโมโน และ​ดิฉัน​ก็​เริ่ม​ทำ​งาน​อีก​ครั้ง. แม่​บุญธรรม​ของ​ดิฉัน​ซึ่ง​ได้​อพยพ​ไป​ยัง​ที่​แห่ง​หนึ่ง​นอก​กรุง​โตเกียว เรียก​ร้อง​ให้​ดิฉัน​ส่ง​เงิน​และ​สร้าง​บ้าน​ให้​ท่าน​ใน​โตเกียว. การ​เรียก​ร้อง​เช่น​นั้น​ทำ​ให้​ดิฉัน​รู้สึก​อ้างว้าง​เดียว​ดาย​ยิ่ง​กว่า​ครั้ง​ใด ๆ เท่า​ที่​เคย​ประสบ​มา. ดิฉัน​ยัง​คง​โศก​เศร้า​ถึง​ลูก​ชาย และ​โหย​หา​การ​ปลอบ​ประโลม​ใจ แต่​ท่าน​ไม่​เคย​แม้​จะ​เอ่ย​ถึง​ลูก​ของ​ดิฉัน. ท่าน​เป็น​ห่วง​แต่​เรื่อง​ของ​ตัว​เอง​เท่า​นั้น.

พันธะ​หน้า​ที่​ด้าน​ครอบครัว

ประเพณี​สืบ​ทอด​สอน​ว่า​ทุก​สิ่ง​ที่​เรา​มี​นั้น เรา​เป็น​หนี้​บุญคุณ​บิดา​มารดา​อีก​ทั้ง​บรรพบุรุษ​ของ​เรา และ​เป็น​หน้า​ที่​ของ​ลูก​ที่​จะ​ตอบ​แทน​คุณ​บิดา​มารดา​โดย​เชื่อ​ฟัง​พวก​เขา​ด้วย​ความ​เต็ม​ใจ และ​ดู​แล​เอา​ใจ​ใส่​จน​กว่า​ชีวิต​พวก​เขา​จะ​หา​ไม่. ดัง​นั้น ดิฉัน​จึง​ทำ​ตาม​หน้า​ที่ แต่​แม่​บุญธรรม​ของ​ดิฉัน​เรียก​ร้อง​มาก​เหลือ​เกิน. ท่าน​ยัง​คาด​หมาย​ให้​ดิฉัน​อุปถัมภ์​ลูก​สอง​คน​ของ​น้อง​ชาย​ท่าน ซึ่ง​ท่าน​รับ​เป็น​ลูก​บุญธรรม. จน​กระทั่ง​อายุ 19 ปี​ดิฉัน​ก็​ยัง​คิด​ว่า​พวก​เขา​เป็น​น้อง​ชาย​น้อง​สาว​แท้ ๆ ของ​ดิฉัน.

เกอิชา​หลาย​คน​ไม่​แต่งงาน​เลย และ​พวก​เขา​เลี่ยง​ที่​จะ​มี​ลูก​เป็น​ของ​ตน​เอง. เขา​มัก​จะ​รับ​เด็ก​ผู้​หญิง​จาก​ครอบครัว​ยาก​จน​มา​เลี้ยง​เป็น​ลูก​บุญธรรม​และ​ฝึก​อบรม​ให้​เป็น​เกอิชา โดย​มี​จุด​ประสงค์​เดียว​เท่า​นั้น​คือ หวัง​จะ​ได้​การ​จุนเจือ​ทาง​การ​เงิน​เพื่อ​มี​ชีวิต​สะดวก​สบาย​ใน​ยาม​แก่​เฒ่า. น่า​เสียดาย ดิฉัน​เริ่ม​มอง​เห็น​ว่า​การ​ดู​แล​และ​การ​ฝึก​อบรม​ที่​ตัว​เอง​ได้​รับ​ก็​ด้วย​จุด​ประสงค์​นี้​เอง. การ​ดู​แล​อบรม​ดัง​กล่าว​เพียง​เพื่อ​จะ​มี​ความ​มั่นคง​ทาง​การ​เงิน​ใน​อนาคต​เท่า​นั้น.

ดิฉัน​ยอม​รับ​สิ่ง​เหล่า​นี้​ทั้ง​หมด แม้​จะ​งุนงง​ที่​ว่า​นอก​จาก​แม่​บุญธรรม​แล้ว ทำไม​ดิฉัน​จะ​ต้อง​จุนเจือ “น้อง​ชาย” และ “น้อง​สาว” ด้วย ซึ่ง​ทั้ง​สอง​ก็​แข็งแรง​ดี​และ​สามารถ​ทำ​งาน​ได้. ถึง​กระนั้น ดิฉัน​ก็​เกื้อ​หนุน​จุนเจือ​ทั้ง​สาม​คน ทำ​ทุก​สิ่ง​ที่​พวก​เขา​ขอ. ใน​ที่​สุด วัน​ก่อน​วัน​ที่​ท่าน​จะ​เสีย​ชีวิต​ใน​ปี 1954 คุณ​แม่​คุกเข่า​บน​เตียง​ของ​ท่าน โค้ง​ศีรษะ​ลง และ​ขอบคุณ​ดิฉัน​อย่าง​เป็น​พิธี​การ. ท่าน​พูด​ว่า​ดิฉัน​ทำ​เพียง​พอ​แล้ว. การ​ยอม​รับ​และ​การ​กล่าว​ขอบคุณ​ครั้ง​เดียว​นี้​เป็น​การ​ชดเชย​ให้​ดิฉัน​หาย​เหนื่อย​จาก​งาน​หนัก​ที่​ทำ​มา​หลาย​ปี. ความ​พึง​พอ​ใจ​ที่​รู้​ว่า​ดิฉัน​ทำ​หน้า​ที่​รับผิดชอบ​ได้​ครบ​ถ้วน ยัง​กระทบ​ใจ​ดิฉัน​ถึง​กับ​น้ำตา​ไหล.

การ​จัด​หา​เพื่อ​เลี้ยง​ดู​ลูก​สาว

ใน​ปี 1947 ดิฉัน​ได้​เป็น​มารดา​ของ​ลูก​น้อย​คน​หนึ่ง และ​ดิฉัน​ตัดสิน​ใจ​ทำ​งาน​หนัก​เพื่อ​สะสม​ความ​มั่งคั่ง​ไว้​ให้​เธอ. ทุก​คืน​ดิฉัน​ออก​ไป​ทำ​งาน. ดิฉัน​ยัง​ได้​เริ่ม​งาน​แสดง​บน​เวที​ตาม​โรง​มหรสพ​ใหญ่ ๆ ใน​ญี่ปุ่น​อีก​ด้วย อย่าง​เช่น​คาบูกิซา ใน​ย่าน​กิน​ซา. งาน​นี้​ได้​ค่า​ตอบ​แทน​ไม่​เลว​เช่น​กัน.

ไม่​ว่า​จะ​เป็น​การ​เต้น​รำ​หรือ​การ​เล่น​ซา​มิ​เซ็ง ดิฉัน​จะ​เป็น​มือ​เอก​อยู่​เสมอ. กระนั้น ทั้ง ๆ ที่​ประสบ​ความ​สำเร็จ​ซึ่ง​เกอิชา​คน​อื่น ๆ ได้​แค่​ใฝ่ฝัน แต่​ดิฉัน​ก็​ไม่​มี​ความ​สุข. บาง​ที​ดิฉัน​คง​ไม่​ว้าเหว่​ขนาด​นี้​หาก​ได้​แต่งงาน แต่​ชีวิต​เกอิชา​กับ​การ​แต่งงาน​ไป​ด้วย​กัน​ไม่​ค่อย​ได้. สิ่ง​ปลอบ​ใจ​เพียง​อย่าง​เดียว​ที่​ดิฉัน​มี​ก็​คือ อาอิโกะ ลูก​น้อย และ​เธอ​เป็น​ศูนย์​รวม​แห่ง​ชีวิต​ของ​ดิฉัน.

โดย​ปกติ​ทั่ว​ไป เกอิชา​จะ​ฝึก​อบรม​ลูก​สาว​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​ลูก​แท้​หรือ​ลูก​บุญธรรม ให้​ทำ​งาน​เหมือน​กับ​ตน. ดิฉัน​ติด​ตาม​ขนบ​ประเพณี​นี้ แต่​ใน​ภาย​หลัง ดิฉัน​ก็​เริ่ม​คิด​ถึง​รูป​แบบ​ชีวิต​ที่​กำลัง​ตระเตรียม​เธอ​ไว้​สำหรับ​สิ่ง​นั้น. ถ้า​เป็น​อย่าง​นี้​ต่อ​ไป ก็​หมาย​ความ​ว่า​ชั่ว​อายุ​แล้ว​ชั่ว​อายุ​เล่า​จะ​ไม่​มี​วัน​รู้​ว่า​การ​มี​ครอบครัว​ที่​แท้​จริง​นั้น​เป็น​อย่าง​ไร. ดิฉัน​ต้องการ​ตัด​โซ่​เส้น​นี้. ดิฉัน​อยาก​ให้​อาอิโกะ​และ​ลูก​หลาน​ของ​เธอ​มี​ชีวิต​สมรส​และ​ชีวิต​ครอบครัว​แบบ​ปกติ. ดิฉัน​ไม่​ต้องการ​ให้​ลูก​ของ​กบ​ตัว​นี้​โต​เป็น​กบ!

เมื่อ​อาอิโกะ​ย่าง​เข้า​สู่​วัยรุ่น เธอ​กลาย​เป็น​คน​บังคับ​ควบคุม​ไม่​ได้. ตั้ง​แต่​แม่​บุญธรรม​ของ​ดิฉัน​เสีย​ชีวิต​ก่อน​หน้า​นี้​ไม่​กี่​ปี ผู้​ที่​อยู่​กับ​อาอิโกะ​ที่​บ้าน​จึง​มี​แค่​สาว​ใช้​ที่​ดิฉัน​จ้าง​ไว้. อาอิโกะ​ต้องการ​เวลา​และ​ความ​เอา​ใจ​ใส่​จาก​ดิฉัน​อย่าง​มาก. ดัง​นั้น ถึง​แม้​ดิฉัน​มี​อายุ 35 ปี​และ​กำลัง​อยู่​ใน​ช่วง​สุด​ยอด​ของ​งาน​อาชีพ แต่​ดิฉัน​ก็​ตัดสิน​ใจ​หัน​หลัง​ให้​กับ​วงการ​เกอิชา และ​รับ​แค่​งาน​แสดง​บน​เวที. ดิฉัน​ออก​จาก​วงการ​เพื่อ​อาอิโกะ. เรา​เริ่ม​รับประทาน​อาหาร​เย็น​ด้วย​กัน และ​เธอ​ว่า​นอน​สอน​ง่าย​ขึ้น​มา​แทบ​จะ​ทันที​ทันใด. การ​ให้​เวลา​กับ​เธอ​ได้​ผล​อย่าง​น่า​ประหลาด.

ใน​ที่​สุด เรา​ย้าย​ไป​ยัง​ย่าน​พัก​อาศัย​ที่​ไม่​อึกทึก ที่​ซึ่ง​ดิฉัน​ได้​เปิด​ร้าน​กาแฟ. อาอิโกะ​โต​ขึ้น และ​ดิฉัน​ก็​โล่ง​อก​ที่​เห็น​เธอ​ได้​แต่งงาน​กับ​คิมิฮิโร สุภาพ​บุรุษ​ผู้​หนึ่ง​ซึ่ง​มี​ความ​เข้าใจ​ต่อ​วิถี​ชีวิต​ของ​ดิฉัน.

ศาสนา​กลาย​เป็น​ประเด็น

ใน​ปี 1968 อาอิโกะ​ให้​กำเนิด​หลาน​คน​แรก​ของ​ดิฉัน. หลัง​จาก​นั้น​ไม่​นาน เธอ​ก็​เริ่ม​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​กับ​พยาน​พระ​ยะโฮวา. สิ่ง​นี้​ทำ​ให้​ดิฉัน​แปลก​ใจ เพราะ​เรา​มี​ศาสนา​อยู่​แล้ว. ดิฉัน​ได้​ติด​ตั้ง​แท่น​บูชา​ขนาด​ใหญ่​ใน​บ้าน​หลัง​จาก​แม่​บุญธรรม​เสีย​ชีวิต และ​ดิฉัน​จะ​คุกเข่า​ต่อ​หน้า​แท่น​เป็น​ประจำ​เพื่อ​สักการะ​ท่าน. อนึ่ง ดิฉัน​ได้​ไป​เยี่ยม​หลุม​ฝัง​ศพ​ประจำ​ครอบครัว​ทุก​เดือน​เพื่อ​รายงาน​ความ​เป็น​ไป​ทั้ง​หมด​ให้​ท่าน​ทราบ.

การ​นมัสการ​บรรพบุรุษ​ทำ​ให้​ดิฉัน​อิ่ม​ใจ​พอ​ใจ. ดิฉัน​รู้สึก​ว่า​ตัว​เอง​กำลัง​ทำ​สิ่ง​ที่​เหมาะ​สม​ใน​การ​เอา​ใจ​ใส่​บรรพบุรุษ​และ​แสดง​ความ​กตัญญู​ต่อ​พวก​เขา อีก​ทั้ง​ดิฉัน​ได้​อบรม​ให้​อาอิโกะ​ทำ​เช่น​เดียว​กัน. ดัง​นั้น ดิฉัน​สะดุ้ง​ตกใจ​เมื่อ​เธอ​บอก​ว่า​จะ​ไม่​เข้า​ส่วน​ร่วม​ใน​การ​นมัสการ​บรรพบุรุษ​อีก​ต่อ​ไป และ​จะ​ไม่​นมัสการ​ดิฉัน​ด้วย​เมื่อ​ดิฉัน​เสีย​ชีวิต. ดิฉัน​ถาม​ตัว​เอง​ว่า ‘ฉัน​เลี้ยง​ลูก​อย่าง​นี้​มา​ได้​ยัง​ไง และ​เธอ​เข้า​ร่วม​ศาสนา​ที่​สอน​ผู้​คน​ให้​อกตัญญู​ต่อ​บรรพบุรุษ​ถึง​ขนาด​นี้​ได้​ยัง​ไง?’ เป็น​เวลา​สาม​ปี​ต่อ​มา​ที่​ดิฉัน​รู้สึก​สลด​หดหู่​ราว​กับ​มี​เมฆ​ดำ​ทะมึน​ลอย​อยู่​เหนือ​ศีรษะ.

จุด​หักเห​ได้​มา​ถึง​เมื่อ​อาอิโกะ​รับ​บัพติสมา​เป็น​พยาน​พระ​ยะโฮวา. เพื่อน​พยาน​ฯ คน​หนึ่ง​ของ​อาอิโกะ ซึ่ง​รู้สึก​แปลก​ใจ​ที่​ดิฉัน​ไม่​อยู่​ร่วม ณ การ​รับ​บัพติสมา​ของ​ลูก​สาว ได้​บอก​กับ​อาอิโกะ​ว่า​เธอ​จะ​มา​เยี่ยม​ดิฉัน. ดิฉัน​เดือด​เป็น​ฟืน​เป็น​ไฟ แต่​เมื่อ​เธอ​มา ดิฉัน​ก็​ต้อนรับ​เธอ เพราะ​กิริยา​มารยาท​ที่​สุภาพ​ฝัง​ราก​ลึก​ใน​ตัว​ดิฉัน. ด้วย​เหตุ​ผล​เดียว​กัน ดิฉัน​ไม่​อาจ​ปฏิเสธ​เมื่อ​เธอ​บอก​ว่า​จะ​กลับ​มา​อีก​ใน​สัปดาห์​ถัด​ไป. การ​เยี่ยม​แบบ​นี้​ดำเนิน​ไป​หลาย​สัปดาห์ ทำ​ให้​ดิฉัน​เดือดดาล​มาก​จน​ตอน​แรก ๆ ไม่​ได้​เรียน​รู้​อะไร​เลย​จาก​สิ่ง​ที่​เธอ​พูด. กระนั้น ที​ละ​เล็ก​ที​ละ​น้อย​การ​สนทนา​ก็​ทำ​ให้​ดิฉัน​ได้​คิด.

ดิฉัน​เริ่ม​หวน​รำลึก​ถึง​สิ่ง​ที่​คุณ​แม่​เคย​พูด​ไว้. ถึง​แม้​ท่าน​ต้องการ​ได้​รับ​การ​นมัสการ​หลัง​จาก​ตาย แต่​ท่าน​ก็​ไม่​แน่​ใจ​เกี่ยว​กับ​ชีวิต​ภาย​หลัง​ความ​ตาย. ท่าน​จะ​พูด​ว่า สิ่ง​ที่​บิดา​มารดา​ปรารถนา​มาก​ที่​สุด​ก็​คือ ให้​ลูก ๆ กรุณา​พวก​เขาและ​คุย​กับ​พวก​เขา​ด้วย​ความ​อบอุ่น​ขณะ​ที่​พวก​เขา​ยัง​มี​ชีวิต​อยู่. เมื่อ​ดิฉัน​อ่าน​ข้อ​พระ​คัมภีร์​เช่น ท่าน​ผู้​ประกาศ 9:5,10 และ​เอเฟโซ 6:1,2 และ​เห็น​ว่า​คัมภีร์​ไบเบิล​สนับสนุน​เรื่อง​เดียว​กัน​นี้ ดิฉัน​รู้สึก​ราว​กับ​มี​เกล็ด​หลุด​จาก​ตา​ดิฉัน. สิ่ง​อื่น ๆ ที่​คุณ​แม่​ได้​สอน​ก็​อยู่​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล​ด้วย อย่าง​เช่น ให้​คำ​ว่า​ใช่​คือ​ใช่ ไม่​คือ​ไม่. (มัดธาย 5:37) ด้วย​นึก​สงสัย​ว่า​คัมภีร์​ไบเบิล​สอน​อะไร​อีก ดิฉัน​จึง​ตก​ลง​ที่​จะ​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​เป็น​ประจำ.

ความ​เศร้า​เสียใจ​และ​ความ​ข้องขัดใจ​ที่​ดิฉัน​รู้สึก​มา​ตลอด​เวลา​ส่วน​ใหญ่​ของ​ชีวิต​ก็​ค่อย ๆ มลาย​ไป​ขณะ​ที่​ดิฉัน​ก้าว​หน้า​ใน​ความ​รู้​ด้าน​คัมภีร์​ไบเบิล. เมื่อ​ดิฉัน​เริ่ม​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา ดิฉัน​ประทับใจ​อย่าง​ลึกซึ้ง. ที่​นั่น​เป็น​โลก​ที่​ต่าง​ออก​ไป. ผู้​คน​มี​ความ​จริง​ใจ กรุณา และ​เป็น​มิตร หัวใจ​ของ​ดิฉัน​ขาน​รับ. โดย​เฉพาะ​อย่าง​ยิ่ง​ดิฉัน​ซาบซึ้ง​ใจ​เมื่อ​เรียน​รู้​ถึง​ความ​เมตตา​ของ​พระ​ยะโฮวา. พระองค์​ให้​อภัย​ด้วย​ความ​รัก​ต่อ​ทุก​คน​ที่​ทำ​บาป​แล้ว​กลับ​ใจ. ใช่​แล้ว พระองค์​จะ​ให้​อภัย​ความ​ผิด​พลาด​ใน​อดีต​ทุก​อย่าง​ของ​ดิฉัน และ​ช่วย​ดิฉัน​ให้​ชื่นชม​กับ​ชีวิต​ใหม่!

การ​เปลี่ยน​แปลง​ใน​ชีวิต

ถึง​แม้​ดิฉัน​ต้องการ​รับใช้​พระ​ยะโฮวา แต่​ตัว​เอง​ก็​ผูก​พัน​แนบแน่น​อยู่​กับ​วงการ​บันเทิง. ตอน​นั้น ดิฉัน​อายุ 50 ปี​เศษ แต่​ยัง​ทำ​งาน​แสดง​บน​เวที​อยู่. ดิฉัน​ยัง​เป็น​ตัวเอก​และ​เป็น​หนึ่ง​ใน​สอง​ของ​ผู้​จัด​หา​นัก​ดนตรี​ซา​มิ​เซ็ง สอง​คน​อีก​ด้วย​เมื่อ​ดัน​จูโร อิชิกาวะ แสดง​ละคร​เรื่อง ซุเกโรกุ ที่​โรง​ละคร​คาบูกิซา. เนื่อง​จาก​มี​ผู้​เล่น​ซา​มิ​เซ็ง น้อย​คน​จริง ๆ ที่​สามารถ​บรรเลง​ทำนอง​คา​โต​บู​ชิ ประกอบ​ตาม​ไป ซึ่ง​จำเป็น​สำหรับ​ละคร​เรื่อง​ซุเกโรกุ คง​ไม่​มี​ใคร​จะ​มา​แทน​ที่​ได้​หาก​ดิฉัน​ออก. ดัง​นั้น ดิฉัน​รู้สึก​ว่า​ติด​กับดัก.

อย่าง​ไร​ก็​ตาม พยาน​ฯ สูง​อายุ​คน​หนึ่ง ซึ่ง​ทำ​งาน​เกี่ยว​ข้อง​กับ​ความ​บันเทิง​ตาม​ขนบ​ประเพณี​ของ​ญี่ปุ่น​รูป​แบบ​หนึ่ง ถาม​ดิฉัน​ว่า ทำไม​ดิฉัน​จึง​คิด​ว่า​จะ​ต้อง​เลิก​อาชีพ​นี้. เขา​อธิบาย​ว่า “คน​เรา​ต้อง​ทำ​งาน​หา​เลี้ยง​ตัว​เอง.” เขา​ช่วย​ให้​ดิฉัน​มอง​เห็น​ว่า ดิฉัน​ไม่​ได้​ทำ​อะไร​ผิด​หลัก​พระ​คัมภีร์ และ​ดิฉัน​สามารถ​รับใช้​พระ​ยะโฮวา​พร้อม​กับ​ทำ​งาน​แสดง​ต่อ​ไป​ได้.

ดิฉัน​แสดง​ต่อ​ไป​ชั่ว​ระยะ​หนึ่ง​ที่​คาบูกิซา โรง​มหรสพ​ชั้นยอด​ของ​ญี่ปุ่น. ต่อ​มา การ​แสดง​ก็​เริ่ม​จะ​ตรง​กับ​คืน​การ​ประชุม ดิฉัน​จึง​ขอ​ให้​คน​อื่น​แทน​ใน​คืน​เหล่า​นั้น. แต่​ไม่​นาน เวลา​การ​ประชุม​ของ​เรา​ก็​เปลี่ยน และ​ดิฉัน​สามารถ​จัด​เวลา​ลง​ตัว​ได้​ทั้ง​การ​ทำ​งาน​และ​การ​ประชุม. กระนั้น เพื่อ​จะ​ไป​ประชุม​ให้​ตรง​เวลา บ่อย​ครั้ง​ดิฉัน​ต้อง​กระโดด​ขึ้น​รถ​แท็กซี่​ที่​จอด​คอย​อยู่​ทันที​หลัง​จาก​การ​แสดง​จบ แทน​ที่​จะ​ได้​พักผ่อน​ร่วม​กับ​นัก​แสดง​คน​อื่น ๆ ตาม​ธรรมเนียม​ปฏิบัติ. ใน​ที่​สุด ดิฉัน​ตัดสิน​ใจ​ที่​จะ​เลิก​อาชีพ​นี้.

ใน​ตอน​นั้น เรา​ได้​ทำ​การ​ซ้อม​หลาย​ครั้ง​แล้ว​สำหรับ​การ​แสดง​ซึ่ง​จะ​มี​ติด​ต่อ​กัน​หก​เดือน​ตาม​เมือง​ใหญ่ ๆ ของ​ญี่ปุ่น. ที่​จะ​พูด​เรื่อง​การ​ลา​ออก​คง​ต้อง​ก่อ​ความ​ยุ่งยาก​มาก​มาย. ดัง​นั้น โดย​ไม่​เอ่ย​ถึง​ความ​ตั้งใจ​ของ​ดิฉัน ดิฉัน​ได้​เริ่ม​ฝึก​คน​หนึ่ง​ให้​เป็น​ผู้​สืบ​ทอด​วิชา. เมื่อ​การ​ตระเวน​แสดง​เสร็จ​สิ้น​ลง ดิฉัน​ได้​อธิบาย​ให้​แต่​ละ​คน​ที่​เกี่ยว​ข้อง​ทราบ​ว่า ดิฉัน​ได้​ปฏิบัติ​หน้า​ที่​รับผิดชอบ​สำเร็จ​ลุ​ล่วง​แล้ว และ​จะ​เลิก​อาชีพ​นี้. บาง​คน​รู้สึก​โกรธ. คน​อื่น ๆ หา​ว่า​ดิฉัน​ทะนง​ตน​และ​จงใจ​ทำ​ให้​พวก​เขา​ลำบาก. สำหรับ​ดิฉัน​แล้ว​ไม่​ใช่​ช่วง​เวลา​ที่​ง่าย​เลย แต่​ดิฉัน​ก็​ยึด​มั่น​กับ​การ​ตัดสิน​ใจ และ​เลิก​อาชีพ​หลัง​จาก​แสดง​มา 40 ปี. นับ​ตั้ง​แต่​ตอน​นั้น ดิฉัน​ได้​สอน​การ​เล่น​ซา​มิ​เซ็ง และ​สิ่ง​นี้​ช่วย​ให้​ดิฉัน​มี​ราย​ได้​บ้าง.

ดำเนิน​ชีวิต​สม​กับ​การ​อุทิศ​ตัว

ก่อน​หน้า​นั้น​สอง​สาม​ปี ดิฉัน​ได้​อุทิศ​ชีวิต​แด่​พระเจ้า​ยะโฮวา​แล้ว และ​ได้​รับ​บัพติสมา​วัน​ที่ 16 สิงหาคม 1980. ความ​รู้สึก​ที่​ดิฉัน​มี​อย่าง​ท่วมท้น​ใน​ตอน​นี้​ก็​คือ ความ​กตัญญู​รู้​คุณ​ต่อ​พระ​ยะโฮวา. ดิฉัน​เห็น​ว่า​ตัว​เอง​ค่อนข้าง​จะ​เหมือน​กับ​หญิง​ชาว​ซะมาเรีย​ที่​มี​การ​เอ่ย​ถึง​ใน​พระ​ธรรม​โยฮัน 4:7-42. พระ​เยซู​ตรัส​กับ​นาง​ด้วย​ความ​กรุณา และ​เธอ​ได้​กลับ​ใจ. ทำนอง​คล้าย​กัน พระ​ยะโฮวา​ผู้​ซึ่ง “ทอด​พระ​เนตร​ดู​ว่า​หัวใจ​เป็น​อย่าง​ไร” ทรง​แสดง​ความ​กรุณา​ชี้​ทาง​แก่​ดิฉัน และ​เนื่อง​จาก​ความ​เมตตา​ของ​พระองค์​นี่​เอง ดิฉัน​จึง​สามารถ​เริ่ม​ชีวิต​ใหม่​ได้.—1 ซามูเอล 16:7, ล.ม.

ใน​เดือน​มีนาคม 1990 เมื่อ​ดิฉัน​อายุ​เกือบ 68 ปี ดิฉัน​ได้​เป็น​ผู้​รับใช้​เต็ม​เวลา​ของ​พระ​ยะโฮวา​ซึ่ง​เรียก​กัน​ว่า​ไพโอเนียร์. อาอิโกะ​ก็​เป็น​ไพโอเนียร์​ด้วย เช่น​เดียว​กับ​ลูก​สาม​คน​ของ​เธอ. พวก​เขา​โต​ขึ้น​เป็น​เหมือน​แม่​ตรง​ตาม​ที่​ภาษิต​ญี่ปุ่น​ว่า​ไว้: “ลูก​ของ​กบ​ก็​ย่อม​เป็น​กบ.” สามี​ของ​อาอิโกะ​เป็น​คริสเตียน​ผู้​ปกครอง​ใน​ประชาคม. ช่าง​เป็น​พระ​พร​สัก​เพียง​ไร​ที่​ได้​อยู่​ท่ามกลาง​ครอบครัว​ของ​ดิฉัน ซึ่ง​ทุก​คน​ดำเนิน​ใน​ความ​จริง และ​ที่​ใน​ประชาคม​มี​พี่​น้อง​ชาย​หญิง​ฝ่าย​วิญญาณ​ผู้​ซึ่ง​เปี่ยม​ไป​ด้วย​ความ​รัก!

แม้​ดิฉัน​จะ​ขอบคุณ​บรรพบุรุษ แต่​ดิฉัน​ก็​ขอบพระคุณ​พระ​ยะโฮวา​มาก​ที่​สุด ผู้​ทรง​กระทำ​อะไร ๆ เพื่อ​ดิฉัน​ยิ่ง​กว่า​มนุษย์​คน​ใด​อาจ​ทำ​ได้. โดย​เฉพาะ​อย่าง​ยิ่ง ดิฉัน​รู้สึก​เป็น​หนี้​พระคุณ​สำหรับ​ความ​เมตตา​และ​การ​ปลอบ​ประโลม​ใจ​อัน​อุดม​ล้น​เหลือ​ของ​พระองค์ ซึ่ง​กระตุ้น​ให้​ดิฉัน​ปรารถนา​จะ​สรรเสริญ​พระองค์​ตราบ​นิจ​นิรันดร์.—เล่า​โดย ซาวาโกะ ทากาฮาชิ.

[รูป​ภาพ​หน้า 19]

กำลัง​ฝึก​ขณะ​อายุ​แปด​ขวบ

[รูป​ภาพ​หน้า 20]

กับ​แม่​บุญธรรม​ของ​ดิฉัน

[รูป​ภาพ​หน้า 21]

ลูก​สาว​เป็น​ที่​ภาคภูมิ​ใจ​ของ​ดิฉัน

[รูป​ภาพ​หน้า 23]

ดิฉัน​บูชา​คุณ​แม่​หน้า​แท่น​บูชา​ประจำ​ครอบครัว​แท่น​นี้

[รูป​ภาพ​หน้า 24]

กับ​ลูก​สาว, สามี​ของ​เธอ, และ​หลาน ๆ

    หนังสือภาษาไทย (1971-2026)
    ออกจากระบบ
    เข้าสู่ระบบ
    • ไทย
    • แชร์
    • การตั้งค่า
    • Copyright © 2025 Watch Tower Bible and Tract Society of Pennsylvania
    • เงื่อนไขการใช้งาน
    • นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
    • การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
    • JW.ORG
    • เข้าสู่ระบบ
    แชร์