ลูกของกบ
“ลูกของกบก็ย่อมเป็นกบ.”
ภาษิตญี่ปุ่นนี้หมายความว่า เด็กเมื่อโตขึ้นจะเหมือนบิดาหรือมารดาของตนไม่ผิดเพี้ยน. คุณแม่ของดิฉันเป็นเกอิชา.
ดิฉันเติบโตในสำนักเกอิชาซึ่งคุณแม่เป็นผู้ดำเนินกิจการ. ดังนั้น ตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก ๆ ดิฉันจึงถูกแวดล้อมไปด้วยเหล่าสตรีสวย ๆ ซึ่งสวมชุดกิโมโนราคาแพงที่สุด. ดิฉันรู้ว่าเมื่อโตขึ้นก็คงต้องร่วมวงไพบูลย์กับพวกเขา. การฝึกของดิฉันเริ่มในปี 1928 ในวันที่หกของเดือนที่หกเมื่ออายุได้หกขวบ. มีการพูดกันว่าตัวเลข 666 เป็นตัวเลขที่รับประกันความสำเร็จ.
ดิฉันได้ศึกษาศิลปะตามขนบประเพณีญี่ปุ่น—เช่น การเต้นรำ, การร้องเพลง, การเล่นเครื่องดนตรี, พิธีชงชา และอื่น ๆ ทำนองนี้. ทุกวันหลังกลับจากโรงเรียน ดิฉันจะรีบกลับบ้าน เปลี่ยนเสื้อผ้า และไปเรียนศิลปะดังกล่าว. ที่นั่นดิฉันจะอยู่กับเพื่อนนักเรียนอีกครั้งหนึ่ง เพราะพวกเราทั้งหมดต่างก็เป็นลูกเกอิชา. มันเป็นช่วงที่ได้ทำโน่นทำนี่ไม่หยุด และดิฉันก็ชอบ.
ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง การศึกษาภาคบังคับสิ้นสุดที่อายุ 12 ปี ตอนนั้นแหละที่ดิฉันเริ่มทำงาน. ฐานะเป็นเกอิชาน้องใหม่ ดิฉันสวมชุดกิโมโนงามหรูโดยมีแขนเสื้อห้อยลงไปเกือบถึงเท้า. ดิฉันรู้สึกตื่นเต้นดีใจเมื่อออกไปทำงานมอบหมายชิ้นแรก.
งานของดิฉันฐานะเป็นเกอิชา
โดยพื้นฐานแล้ว งานของดิฉันเกี่ยวข้องกับการให้ความบันเทิง และทำหน้าที่เสมือนโฮสเตส. เมื่อพวกผู้ชายมั่งคั่งวางแผนจัดงานเลี้ยงอาหารเย็น ณ ภัตตาคารชั้นสูง พวกเขาจะโทรศัพท์หาสำนักเกอิชา และขอเกอิชาสองสามคนมาบริการ. เกอิชาได้รับการคาดหมายที่จะทำให้เย็นวันนั้นมีชีวิตชีวา และทำให้แน่ใจว่าแขกแต่ละคนจะกลับบ้านด้วยความพออกพอใจ โดยรู้สึกว่าตนได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน.
เพื่อจะทำเช่นนี้ เราต้องคาดล่วงหน้าถึงความต้องการของแขกแต่ละคน และจัดหาสิ่งนั้นให้—แม้ก่อนที่แขกจะตระหนักถึงความต้องการของตนด้วยซ้ำ. ดิฉันคิดว่า ส่วนที่ยากที่สุดก็คือ การที่จะต้องปรับตัวตามการบอกกล่าวประเดี๋ยวนั้น. หากทันทีทันใด แขกต้องการชมการเต้นรำ เราก็เต้นรำ. หากอยากฟังดนตรี เราก็นำเครื่องดนตรีออกมาและบรรเลงดนตรีตามคำขอ หรือร้องเพลงอะไรก็ตามที่ถูกขอให้ร้อง.
สิ่งหนึ่งที่คนทั่วไปเข้าใจผิดก็คือ เกอิชาทุกคนเป็นนางโลมชั้นสูงซึ่งมีค่าตัวแพง. นั่นไม่เป็นความจริง. แม้จะมีเกอิชาซึ่งหากินด้วยการขายตัว แต่ไม่จำเป็นที่เกอิชาจะต้องลดค่าตัวเองลงเช่นนั้น. ดิฉันทราบดีเพราะไม่เคยทำ. เกอิชาคือผู้ให้ความบันเทิง และถ้าเธอทำได้ดี ความชำนาญของเธอจะทำให้เธอมีงานทำ, ได้ของกำนัลแพง ๆ, และได้ทิปเหลือเฟือจากลูกค้า.
แน่นอน มีไม่กี่คนที่มีฝีมือดีพอจะเป็นเกอิชาชั้นยอด. เกอิชาส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญในศิลปะตามประเพณีของญี่ปุ่นเพียงแขนงเดียวเท่านั้น. แต่ดิฉันได้วุฒิบัตรในวิชาศิลปะดังกล่าวถึงเจ็ดแขนง ซึ่งรวมทั้งการเต้นรำแบบญี่ปุ่น, การจัดดอกไม้, พิธีชงชา, การตีกลองญี่ปุ่นที่เรียกว่าทาอิโกะ, และการบรรเลงดนตรีสามแบบด้วยเครื่องดนตรีสามสายที่เรียกว่าซามิเซ็ง. หากไม่มีคุณวุฒิเหล่านี้ บางทีดิฉันอาจรู้สึกว่าจำต้องทำอะไรก็ตามที่ลูกค้าขอ เพียงเพื่อได้เงินประทังชีวิต.
สมัยเมื่อญี่ปุ่นไม่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ บางครั้งพวกผู้หญิงสาวก็เลือกที่จะเป็นเกอิชาเพื่อเกื้อหนุนจุนเจือครอบครัว. พวกเขากู้ยืมเงินเพื่อจ่ายค่าฝึกวิชาและค่าชุดกิโมโน. ส่วนคนอื่น ๆ ถูกครอบครัวของตนขายให้กับสำนักเกอิชา. ผู้ซื้อได้จ่ายเงินก้อนโต ทำให้ผู้หญิงเหล่านั้นต้องหาเงินชดใช้. เหล่าเกอิชาที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เสียเปรียบอย่างมาก เพราะการฝึกอบรมของพวกเขาไม่ได้เริ่มแต่เนิ่น ๆ และพวกเขาเริ่มงานอาชีพด้วยการมีภาระหนี้สินพะรุงพะรัง. เกอิชาเหล่านี้หลายคนหันเข้าหาหรือไม่ก็จำใจต้องประพฤติผิดศีลธรรมเพื่อรับมือกับภาระรับผิดชอบเรื่องการเงิน.
การให้บริการของดิฉันกลายเป็นที่ร่ำร้องหาโดยผู้มีชื่อเสียงในวงการกีฬา, บันเทิง, ธุรกิจ, และการเมือง. คณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีหลายท่านก็อยู่ในบรรดาลูกค้าของดิฉัน. บุคคลเหล่านี้ปฏิบัติต่อดิฉันด้วยความนับถือและขอบอกขอบใจในบริการของดิฉัน. แม้ว่าดิฉันไม่ได้ร่วมวงคุยโน่นคุยนี่นอกจากได้รับการเชิญ แต่บางครั้งก็มีการถามความเห็นของดิฉัน. ดังนั้น ดิฉันจึงอ่านหนังสือพิมพ์และฟังวิทยุทุกวัน เพื่อตามให้ทันข่าวสารตลอดเวลา. งานเลี้ยงที่ดิฉันไปให้บริการมักถูกจัดเพื่อเจรจาข้อตกลง ดิฉันจึงต้องระมัดระวังและไม่แพร่งพรายสิ่งที่ได้ยิน.
ใครคือแม่?
วันหนึ่งในปี 1941 เมื่อดิฉันอายุ 19 ปี ดิฉันถูกเชิญไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งและพบว่ามีหญิงสองคนคอยอยู่. หนึ่งในสองคนนั้นบอกว่าเธอเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดดิฉัน และมาเพื่อนำดิฉันกลับบ้าน. ผู้หญิงอีกคนหนึ่งเป็นผู้ว่าจ้างเกอิชาทำงานและเสนองานให้ดิฉันทำ. เธอคิดว่าดิฉันควรทำงานเพื่ออุปถัมภ์เลี้ยงดูแม่ผู้ให้กำเนิด แทนที่จะอุปถัมภ์จุนเจือแม่บุญธรรม. ดิฉันไม่เคยคิดเลยว่า ผู้ที่เลี้ยงดูดิฉันมานั้นไม่ใช่แม่ที่แท้จริง.
ด้วยความสับสน ดิฉันวิ่งกลับบ้านและเล่าให้แม่บุญธรรมฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้น. ท่านเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้ดีเสมอมา แต่บัดนี้น้ำตาเอ่อล้นเบ้าตาของท่าน. ท่านบอกว่า ท่านต้องการเป็นคนบอกดิฉันเองว่า เมื่อดิฉันอายุได้หนึ่งขวบดิฉันถูกยกให้กับสำนักเกอิชา. เมื่อได้ทราบความจริง ความไว้วางใจของดิฉันต่อผู้คนสูญสลายสิ้น และกลายเป็นคนเก็บตัวไม่พูดกับใคร ๆ.
ดิฉันไม่ยอมรับแม่ผู้ให้กำเนิด. จากการพบกันสั้น ๆ เห็นได้ชัดว่าเธอรู้ถึงความสำเร็จของดิฉันและต้องการให้ดิฉันทำงานหาเลี้ยงเธอ. ดูจากทำเลที่เธอประกอบธุรกิจอยู่ ดิฉันทราบว่างานที่นั่นเกี่ยวข้องกับการผิดศีลธรรม. ดิฉันต้องการขายวุฒิสามารถด้านศิลปะ ไม่ใช่ขายตัว. ตอนนั้นดิฉันคิดอย่างนั้น และยังคงคิดว่าดิฉันทำการตัดสินใจถูกต้องแล้ว.
ถึงแม้ดิฉันไม่พอใจแม่บุญธรรม แต่ก็ต้องยอมรับว่าท่านได้ฝึกอบรมดิฉันเพื่อจะทำงานหาเลี้ยงชีพได้ตลอดเวลา. ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณท่านมากเท่านั้น. ท่านเลือกรับงานให้ดิฉันอย่างรอบคอบและเสมอต้นเสมอปลายตลอดมา ป้องกันดิฉันไว้จากพวกผู้ชายที่ขอรับบริการจากเกอิชาเพียงเพื่อจุดประสงค์อันผิดศีลธรรม. จนทุกวันนี้ ดิฉันยังรู้สึกซาบซึ้งใจในเรื่องนั้น.
ท่านสอนหลักการหลายอย่างให้ดิฉัน. หลักการหนึ่งที่ท่านเน้นกับดิฉันก็คือ ให้คำว่าใช่คือใช่และไม่คือไม่. ท่านยังสอนดิฉันให้รู้จักรับผิดชอบ และเป็นคนเข้มงวดกับตัวเอง. ผลจากการปฏิบัติตามหลักการที่ท่านสอน ดิฉันประสบความสำเร็จในการงาน. ดิฉันสงสัยว่าจะได้รับความช่วยเหลือเช่นนี้จากแม่ผู้ให้กำเนิดหรือไม่. อาจเป็นได้ที่การถูกรับเป็นบุตรบุญธรรมช่วยดิฉันไว้จากชีวิตที่ลำบากแสนเข็ญ และดิฉันรู้สึกดีใจมากที่เหตุการณ์เป็นไปเช่นนั้น.
ลูกชายในยามสงคราม
ดิฉันให้กำเนิดลูกชายในปี 1943. ตามวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่สอนสืบทอดกันมา ซึ่งไม่เชื่อเรื่อง “บาป” ดิฉันไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิดหรือน่าละอาย. ดิฉันรู้สึกตื่นเต้นกับลูกชาย. เขาเป็นสิ่งมีค่าที่สุดที่ดิฉันเคยมี—เป็นใครคนหนึ่งที่จะทำงานและมีชีวิตอยู่เพื่อเขา.
ในปี 1945 โตเกียวถูกระเบิดถล่มชนิดโงหัวไม่ขึ้น และดิฉันต้องหนีออกจากตัวเมืองพร้อมกับลูกชาย. มีอาหารเพียงเล็กน้อยอีกทั้งลูกก็ป่วยหนัก. ผู้คนเบียดเสียดยัดเยียดเต็มสถานีรถไฟด้วยความชุลมุนวุ่นวายอย่างมาก แต่โดยวิธีใดวิธีหนึ่งเราก็ได้ขึ้นรถไฟไปทางเหนือยังเมืองฟูกูชิมา. คืนนั้นเราพักอยู่ที่นั่นในโรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง แต่ก่อนที่ดิฉันสามารถพาลูกน้อยไปโรงพยาบาล ลูกก็เสียชีวิตเนื่องจากขาดสารอาหารและน้ำ. เขาอายุแค่สองขวบ. ดิฉันโศกเศร้าฟูมฟายอย่างหนัก. พนักงานประจำห้องทำน้ำร้อนที่โรงแรมช่วยเผาศพลูกชายดิฉันในเตาไฟที่ใช้ทำน้ำร้อน.
จากนั้นไม่นานสงครามก็สิ้นสุดลง และดิฉันได้กลับไปยังโตเกียว. ตัวเมืองราบเป็นหน้ากลองเพราะการทิ้งระเบิด. บ้านและทุกสิ่งทุกอย่างที่ดิฉันเคยมีเป็นของตัวเองอันตรธานไปสิ้น. ดิฉันไปที่บ้านเพื่อน. เธอให้ยืมชุดกิโมโน และดิฉันก็เริ่มทำงานอีกครั้ง. แม่บุญธรรมของดิฉันซึ่งได้อพยพไปยังที่แห่งหนึ่งนอกกรุงโตเกียว เรียกร้องให้ดิฉันส่งเงินและสร้างบ้านให้ท่านในโตเกียว. การเรียกร้องเช่นนั้นทำให้ดิฉันรู้สึกอ้างว้างเดียวดายยิ่งกว่าครั้งใด ๆ เท่าที่เคยประสบมา. ดิฉันยังคงโศกเศร้าถึงลูกชาย และโหยหาการปลอบประโลมใจ แต่ท่านไม่เคยแม้จะเอ่ยถึงลูกของดิฉัน. ท่านเป็นห่วงแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น.
พันธะหน้าที่ด้านครอบครัว
ประเพณีสืบทอดสอนว่าทุกสิ่งที่เรามีนั้น เราเป็นหนี้บุญคุณบิดามารดาอีกทั้งบรรพบุรุษของเรา และเป็นหน้าที่ของลูกที่จะตอบแทนคุณบิดามารดาโดยเชื่อฟังพวกเขาด้วยความเต็มใจ และดูแลเอาใจใส่จนกว่าชีวิตพวกเขาจะหาไม่. ดังนั้น ดิฉันจึงทำตามหน้าที่ แต่แม่บุญธรรมของดิฉันเรียกร้องมากเหลือเกิน. ท่านยังคาดหมายให้ดิฉันอุปถัมภ์ลูกสองคนของน้องชายท่าน ซึ่งท่านรับเป็นลูกบุญธรรม. จนกระทั่งอายุ 19 ปีดิฉันก็ยังคิดว่าพวกเขาเป็นน้องชายน้องสาวแท้ ๆ ของดิฉัน.
เกอิชาหลายคนไม่แต่งงานเลย และพวกเขาเลี่ยงที่จะมีลูกเป็นของตนเอง. เขามักจะรับเด็กผู้หญิงจากครอบครัวยากจนมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมและฝึกอบรมให้เป็นเกอิชา โดยมีจุดประสงค์เดียวเท่านั้นคือ หวังจะได้การจุนเจือทางการเงินเพื่อมีชีวิตสะดวกสบายในยามแก่เฒ่า. น่าเสียดาย ดิฉันเริ่มมองเห็นว่าการดูแลและการฝึกอบรมที่ตัวเองได้รับก็ด้วยจุดประสงค์นี้เอง. การดูแลอบรมดังกล่าวเพียงเพื่อจะมีความมั่นคงทางการเงินในอนาคตเท่านั้น.
ดิฉันยอมรับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด แม้จะงุนงงที่ว่านอกจากแม่บุญธรรมแล้ว ทำไมดิฉันจะต้องจุนเจือ “น้องชาย” และ “น้องสาว” ด้วย ซึ่งทั้งสองก็แข็งแรงดีและสามารถทำงานได้. ถึงกระนั้น ดิฉันก็เกื้อหนุนจุนเจือทั้งสามคน ทำทุกสิ่งที่พวกเขาขอ. ในที่สุด วันก่อนวันที่ท่านจะเสียชีวิตในปี 1954 คุณแม่คุกเข่าบนเตียงของท่าน โค้งศีรษะลง และขอบคุณดิฉันอย่างเป็นพิธีการ. ท่านพูดว่าดิฉันทำเพียงพอแล้ว. การยอมรับและการกล่าวขอบคุณครั้งเดียวนี้เป็นการชดเชยให้ดิฉันหายเหนื่อยจากงานหนักที่ทำมาหลายปี. ความพึงพอใจที่รู้ว่าดิฉันทำหน้าที่รับผิดชอบได้ครบถ้วน ยังกระทบใจดิฉันถึงกับน้ำตาไหล.
การจัดหาเพื่อเลี้ยงดูลูกสาว
ในปี 1947 ดิฉันได้เป็นมารดาของลูกน้อยคนหนึ่ง และดิฉันตัดสินใจทำงานหนักเพื่อสะสมความมั่งคั่งไว้ให้เธอ. ทุกคืนดิฉันออกไปทำงาน. ดิฉันยังได้เริ่มงานแสดงบนเวทีตามโรงมหรสพใหญ่ ๆ ในญี่ปุ่นอีกด้วย อย่างเช่นคาบูกิซา ในย่านกินซา. งานนี้ได้ค่าตอบแทนไม่เลวเช่นกัน.
ไม่ว่าจะเป็นการเต้นรำหรือการเล่นซามิเซ็ง ดิฉันจะเป็นมือเอกอยู่เสมอ. กระนั้น ทั้ง ๆ ที่ประสบความสำเร็จซึ่งเกอิชาคนอื่น ๆ ได้แค่ใฝ่ฝัน แต่ดิฉันก็ไม่มีความสุข. บางทีดิฉันคงไม่ว้าเหว่ขนาดนี้หากได้แต่งงาน แต่ชีวิตเกอิชากับการแต่งงานไปด้วยกันไม่ค่อยได้. สิ่งปลอบใจเพียงอย่างเดียวที่ดิฉันมีก็คือ อาอิโกะ ลูกน้อย และเธอเป็นศูนย์รวมแห่งชีวิตของดิฉัน.
โดยปกติทั่วไป เกอิชาจะฝึกอบรมลูกสาวไม่ว่าจะเป็นลูกแท้หรือลูกบุญธรรม ให้ทำงานเหมือนกับตน. ดิฉันติดตามขนบประเพณีนี้ แต่ในภายหลัง ดิฉันก็เริ่มคิดถึงรูปแบบชีวิตที่กำลังตระเตรียมเธอไว้สำหรับสิ่งนั้น. ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ก็หมายความว่าชั่วอายุแล้วชั่วอายุเล่าจะไม่มีวันรู้ว่าการมีครอบครัวที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร. ดิฉันต้องการตัดโซ่เส้นนี้. ดิฉันอยากให้อาอิโกะและลูกหลานของเธอมีชีวิตสมรสและชีวิตครอบครัวแบบปกติ. ดิฉันไม่ต้องการให้ลูกของกบตัวนี้โตเป็นกบ!
เมื่ออาอิโกะย่างเข้าสู่วัยรุ่น เธอกลายเป็นคนบังคับควบคุมไม่ได้. ตั้งแต่แม่บุญธรรมของดิฉันเสียชีวิตก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี ผู้ที่อยู่กับอาอิโกะที่บ้านจึงมีแค่สาวใช้ที่ดิฉันจ้างไว้. อาอิโกะต้องการเวลาและความเอาใจใส่จากดิฉันอย่างมาก. ดังนั้น ถึงแม้ดิฉันมีอายุ 35 ปีและกำลังอยู่ในช่วงสุดยอดของงานอาชีพ แต่ดิฉันก็ตัดสินใจหันหลังให้กับวงการเกอิชา และรับแค่งานแสดงบนเวที. ดิฉันออกจากวงการเพื่ออาอิโกะ. เราเริ่มรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน และเธอว่านอนสอนง่ายขึ้นมาแทบจะทันทีทันใด. การให้เวลากับเธอได้ผลอย่างน่าประหลาด.
ในที่สุด เราย้ายไปยังย่านพักอาศัยที่ไม่อึกทึก ที่ซึ่งดิฉันได้เปิดร้านกาแฟ. อาอิโกะโตขึ้น และดิฉันก็โล่งอกที่เห็นเธอได้แต่งงานกับคิมิฮิโร สุภาพบุรุษผู้หนึ่งซึ่งมีความเข้าใจต่อวิถีชีวิตของดิฉัน.
ศาสนากลายเป็นประเด็น
ในปี 1968 อาอิโกะให้กำเนิดหลานคนแรกของดิฉัน. หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็เริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา. สิ่งนี้ทำให้ดิฉันแปลกใจ เพราะเรามีศาสนาอยู่แล้ว. ดิฉันได้ติดตั้งแท่นบูชาขนาดใหญ่ในบ้านหลังจากแม่บุญธรรมเสียชีวิต และดิฉันจะคุกเข่าต่อหน้าแท่นเป็นประจำเพื่อสักการะท่าน. อนึ่ง ดิฉันได้ไปเยี่ยมหลุมฝังศพประจำครอบครัวทุกเดือนเพื่อรายงานความเป็นไปทั้งหมดให้ท่านทราบ.
การนมัสการบรรพบุรุษทำให้ดิฉันอิ่มใจพอใจ. ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำสิ่งที่เหมาะสมในการเอาใจใส่บรรพบุรุษและแสดงความกตัญญูต่อพวกเขา อีกทั้งดิฉันได้อบรมให้อาอิโกะทำเช่นเดียวกัน. ดังนั้น ดิฉันสะดุ้งตกใจเมื่อเธอบอกว่าจะไม่เข้าส่วนร่วมในการนมัสการบรรพบุรุษอีกต่อไป และจะไม่นมัสการดิฉันด้วยเมื่อดิฉันเสียชีวิต. ดิฉันถามตัวเองว่า ‘ฉันเลี้ยงลูกอย่างนี้มาได้ยังไง และเธอเข้าร่วมศาสนาที่สอนผู้คนให้อกตัญญูต่อบรรพบุรุษถึงขนาดนี้ได้ยังไง?’ เป็นเวลาสามปีต่อมาที่ดิฉันรู้สึกสลดหดหู่ราวกับมีเมฆดำทะมึนลอยอยู่เหนือศีรษะ.
จุดหักเหได้มาถึงเมื่ออาอิโกะรับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวา. เพื่อนพยานฯ คนหนึ่งของอาอิโกะ ซึ่งรู้สึกแปลกใจที่ดิฉันไม่อยู่ร่วม ณ การรับบัพติสมาของลูกสาว ได้บอกกับอาอิโกะว่าเธอจะมาเยี่ยมดิฉัน. ดิฉันเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เมื่อเธอมา ดิฉันก็ต้อนรับเธอ เพราะกิริยามารยาทที่สุภาพฝังรากลึกในตัวดิฉัน. ด้วยเหตุผลเดียวกัน ดิฉันไม่อาจปฏิเสธเมื่อเธอบอกว่าจะกลับมาอีกในสัปดาห์ถัดไป. การเยี่ยมแบบนี้ดำเนินไปหลายสัปดาห์ ทำให้ดิฉันเดือดดาลมากจนตอนแรก ๆ ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากสิ่งที่เธอพูด. กระนั้น ทีละเล็กทีละน้อยการสนทนาก็ทำให้ดิฉันได้คิด.
ดิฉันเริ่มหวนรำลึกถึงสิ่งที่คุณแม่เคยพูดไว้. ถึงแม้ท่านต้องการได้รับการนมัสการหลังจากตาย แต่ท่านก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับชีวิตภายหลังความตาย. ท่านจะพูดว่า สิ่งที่บิดามารดาปรารถนามากที่สุดก็คือ ให้ลูก ๆ กรุณาพวกเขาและคุยกับพวกเขาด้วยความอบอุ่นขณะที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่. เมื่อดิฉันอ่านข้อพระคัมภีร์เช่น ท่านผู้ประกาศ 9:5,10 และเอเฟโซ 6:1,2 และเห็นว่าคัมภีร์ไบเบิลสนับสนุนเรื่องเดียวกันนี้ ดิฉันรู้สึกราวกับมีเกล็ดหลุดจากตาดิฉัน. สิ่งอื่น ๆ ที่คุณแม่ได้สอนก็อยู่ในคัมภีร์ไบเบิลด้วย อย่างเช่น ให้คำว่าใช่คือใช่ ไม่คือไม่. (มัดธาย 5:37) ด้วยนึกสงสัยว่าคัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรอีก ดิฉันจึงตกลงที่จะศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ.
ความเศร้าเสียใจและความข้องขัดใจที่ดิฉันรู้สึกมาตลอดเวลาส่วนใหญ่ของชีวิตก็ค่อย ๆ มลายไปขณะที่ดิฉันก้าวหน้าในความรู้ด้านคัมภีร์ไบเบิล. เมื่อดิฉันเริ่มเข้าร่วมการประชุมของพยานพระยะโฮวา ดิฉันประทับใจอย่างลึกซึ้ง. ที่นั่นเป็นโลกที่ต่างออกไป. ผู้คนมีความจริงใจ กรุณา และเป็นมิตร หัวใจของดิฉันขานรับ. โดยเฉพาะอย่างยิ่งดิฉันซาบซึ้งใจเมื่อเรียนรู้ถึงความเมตตาของพระยะโฮวา. พระองค์ให้อภัยด้วยความรักต่อทุกคนที่ทำบาปแล้วกลับใจ. ใช่แล้ว พระองค์จะให้อภัยความผิดพลาดในอดีตทุกอย่างของดิฉัน และช่วยดิฉันให้ชื่นชมกับชีวิตใหม่!
การเปลี่ยนแปลงในชีวิต
ถึงแม้ดิฉันต้องการรับใช้พระยะโฮวา แต่ตัวเองก็ผูกพันแนบแน่นอยู่กับวงการบันเทิง. ตอนนั้น ดิฉันอายุ 50 ปีเศษ แต่ยังทำงานแสดงบนเวทีอยู่. ดิฉันยังเป็นตัวเอกและเป็นหนึ่งในสองของผู้จัดหานักดนตรีซามิเซ็ง สองคนอีกด้วยเมื่อดันจูโร อิชิกาวะ แสดงละครเรื่อง ซุเกโรกุ ที่โรงละครคาบูกิซา. เนื่องจากมีผู้เล่นซามิเซ็ง น้อยคนจริง ๆ ที่สามารถบรรเลงทำนองคาโตบูชิ ประกอบตามไป ซึ่งจำเป็นสำหรับละครเรื่องซุเกโรกุ คงไม่มีใครจะมาแทนที่ได้หากดิฉันออก. ดังนั้น ดิฉันรู้สึกว่าติดกับดัก.
อย่างไรก็ตาม พยานฯ สูงอายุคนหนึ่ง ซึ่งทำงานเกี่ยวข้องกับความบันเทิงตามขนบประเพณีของญี่ปุ่นรูปแบบหนึ่ง ถามดิฉันว่า ทำไมดิฉันจึงคิดว่าจะต้องเลิกอาชีพนี้. เขาอธิบายว่า “คนเราต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเอง.” เขาช่วยให้ดิฉันมองเห็นว่า ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิดหลักพระคัมภีร์ และดิฉันสามารถรับใช้พระยะโฮวาพร้อมกับทำงานแสดงต่อไปได้.
ดิฉันแสดงต่อไปชั่วระยะหนึ่งที่คาบูกิซา โรงมหรสพชั้นยอดของญี่ปุ่น. ต่อมา การแสดงก็เริ่มจะตรงกับคืนการประชุม ดิฉันจึงขอให้คนอื่นแทนในคืนเหล่านั้น. แต่ไม่นาน เวลาการประชุมของเราก็เปลี่ยน และดิฉันสามารถจัดเวลาลงตัวได้ทั้งการทำงานและการประชุม. กระนั้น เพื่อจะไปประชุมให้ตรงเวลา บ่อยครั้งดิฉันต้องกระโดดขึ้นรถแท็กซี่ที่จอดคอยอยู่ทันทีหลังจากการแสดงจบ แทนที่จะได้พักผ่อนร่วมกับนักแสดงคนอื่น ๆ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ. ในที่สุด ดิฉันตัดสินใจที่จะเลิกอาชีพนี้.
ในตอนนั้น เราได้ทำการซ้อมหลายครั้งแล้วสำหรับการแสดงซึ่งจะมีติดต่อกันหกเดือนตามเมืองใหญ่ ๆ ของญี่ปุ่น. ที่จะพูดเรื่องการลาออกคงต้องก่อความยุ่งยากมากมาย. ดังนั้น โดยไม่เอ่ยถึงความตั้งใจของดิฉัน ดิฉันได้เริ่มฝึกคนหนึ่งให้เป็นผู้สืบทอดวิชา. เมื่อการตระเวนแสดงเสร็จสิ้นลง ดิฉันได้อธิบายให้แต่ละคนที่เกี่ยวข้องทราบว่า ดิฉันได้ปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบสำเร็จลุล่วงแล้ว และจะเลิกอาชีพนี้. บางคนรู้สึกโกรธ. คนอื่น ๆ หาว่าดิฉันทะนงตนและจงใจทำให้พวกเขาลำบาก. สำหรับดิฉันแล้วไม่ใช่ช่วงเวลาที่ง่ายเลย แต่ดิฉันก็ยึดมั่นกับการตัดสินใจ และเลิกอาชีพหลังจากแสดงมา 40 ปี. นับตั้งแต่ตอนนั้น ดิฉันได้สอนการเล่นซามิเซ็ง และสิ่งนี้ช่วยให้ดิฉันมีรายได้บ้าง.
ดำเนินชีวิตสมกับการอุทิศตัว
ก่อนหน้านั้นสองสามปี ดิฉันได้อุทิศชีวิตแด่พระเจ้ายะโฮวาแล้ว และได้รับบัพติสมาวันที่ 16 สิงหาคม 1980. ความรู้สึกที่ดิฉันมีอย่างท่วมท้นในตอนนี้ก็คือ ความกตัญญูรู้คุณต่อพระยะโฮวา. ดิฉันเห็นว่าตัวเองค่อนข้างจะเหมือนกับหญิงชาวซะมาเรียที่มีการเอ่ยถึงในพระธรรมโยฮัน 4:7-42. พระเยซูตรัสกับนางด้วยความกรุณา และเธอได้กลับใจ. ทำนองคล้ายกัน พระยะโฮวาผู้ซึ่ง “ทอดพระเนตรดูว่าหัวใจเป็นอย่างไร” ทรงแสดงความกรุณาชี้ทางแก่ดิฉัน และเนื่องจากความเมตตาของพระองค์นี่เอง ดิฉันจึงสามารถเริ่มชีวิตใหม่ได้.—1 ซามูเอล 16:7, ล.ม.
ในเดือนมีนาคม 1990 เมื่อดิฉันอายุเกือบ 68 ปี ดิฉันได้เป็นผู้รับใช้เต็มเวลาของพระยะโฮวาซึ่งเรียกกันว่าไพโอเนียร์. อาอิโกะก็เป็นไพโอเนียร์ด้วย เช่นเดียวกับลูกสามคนของเธอ. พวกเขาโตขึ้นเป็นเหมือนแม่ตรงตามที่ภาษิตญี่ปุ่นว่าไว้: “ลูกของกบก็ย่อมเป็นกบ.” สามีของอาอิโกะเป็นคริสเตียนผู้ปกครองในประชาคม. ช่างเป็นพระพรสักเพียงไรที่ได้อยู่ท่ามกลางครอบครัวของดิฉัน ซึ่งทุกคนดำเนินในความจริง และที่ในประชาคมมีพี่น้องชายหญิงฝ่ายวิญญาณผู้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความรัก!
แม้ดิฉันจะขอบคุณบรรพบุรุษ แต่ดิฉันก็ขอบพระคุณพระยะโฮวามากที่สุด ผู้ทรงกระทำอะไร ๆ เพื่อดิฉันยิ่งกว่ามนุษย์คนใดอาจทำได้. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดิฉันรู้สึกเป็นหนี้พระคุณสำหรับความเมตตาและการปลอบประโลมใจอันอุดมล้นเหลือของพระองค์ ซึ่งกระตุ้นให้ดิฉันปรารถนาจะสรรเสริญพระองค์ตราบนิจนิรันดร์.—เล่าโดย ซาวาโกะ ทากาฮาชิ.
[รูปภาพหน้า 19]
กำลังฝึกขณะอายุแปดขวบ
[รูปภาพหน้า 20]
กับแม่บุญธรรมของดิฉัน
[รูปภาพหน้า 21]
ลูกสาวเป็นที่ภาคภูมิใจของดิฉัน
[รูปภาพหน้า 23]
ดิฉันบูชาคุณแม่หน้าแท่นบูชาประจำครอบครัวแท่นนี้
[รูปภาพหน้า 24]
กับลูกสาว, สามีของเธอ, และหลาน ๆ