การเพ่งดูโลก
ป้องกันนักตบตา
หลังจากที่ใช้เวลา 17 ปีฐานะผู้สื่อข่าวเรื่องผู้บริโภคสำหรับสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นแห่งหนึ่งในบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ พอลา ไลอันส์ ได้รวบรวมรายการวิธีต่าง ๆ เพื่อเอาชนะ “ทักษะอันแยบยลและความไม่หยุดยั้งของนักตบตา.” ตามบทความหนึ่งในนิตยสารเลดีส์ โฮม เจอร์นัล คำแนะนำของไลอันส์รวมถึงสิ่งเหล่านี้: อย่าทำธุรกิจทางโทรศัพท์กับคนแปลกหน้าที่โทรฯ มาหาคุณ. อย่าลงทุนในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ. อย่าจ่ายเงินเพื่อจะได้ของขวัญ “ฟรี.” อย่าวางใจมากนักในการค้ำประกันเรื่องการจ่ายเงินคืนให้. หลีกเลี่ยงการบริจาคเพื่อการกุศลที่คุณไม่รู้จัก. อย่าซื้อรถยนต์มือสองก่อนที่จะให้ช่างอิสระตรวจ. “กฎเกณฑ์เหล่านี้อาจดูเหมือนค่อนข้างอนุรักษ์นิยม” ไลอันส์กล่าว แต่ “สิ่งเหล่านี้สามารถป้องกันคุณจากกิจปฏิบัติที่เลวร้ายที่สุดบางอย่างในวงการค้า.”
“ทำกับข้าวด้วยแก๊ส—และอาการหอบ”
ภายใต้หัวเรื่องนี้ วารสารไซเยนซ์ นิวส์รายงานว่า นักวิจัยชาวอังกฤษได้พบว่า “ผู้หญิงที่ทำกับข้าวด้วยแก๊สมีความเป็นไปได้ถึงสองเท่าที่จะประสบอาการหอบ, หายใจถี่, และอาการอื่น ๆ ของโรคหืดเมื่อเทียบกับผู้ที่เตรียมอาหารโดยใช้เตาไฟฟ้าและเตาอบ.” การศึกษาวิจัยนี้ซึ่งดำเนินการที่โรงพยาบาลเซนต์โทมัสในลอนดอน ตั้งข้อสังเกตว่า ถึงแม้มีการใช้พัดลมดูดอากาศ อาการก็ยังคงมีอยู่. และแม้ว่ามีการสำรวจทั้งชายและหญิง “ผลกระทบปรากฏเฉพาะในผู้หญิง—อาจเป็นเพราะพวกเขาใช้เวลาอยู่ในครัวมากกว่า.”
ถุงมือรั่ว
ถุงมือยางคู่เดียวอาจไม่พอสำหรับป้องกันผู้สวมจาก HIV หรือจากโรคตับอักเสบ วารสารนิว ไซเยนติสต์รายงาน. นั่นเป็นข้อสรุปที่ได้มาโดยนักวิจัย ณ วิทยาลัยแพทยศาสตร์แห่งวิสคอนซิน เมื่อพวกเขาพบว่า “ถุงมือทุกหนึ่งในสามคู่ไม่สามารถกันไวรัสที่เล็กขนาดเท่า HIV หรือโรคตับอักเสบ.” จอร์แดน ฟิงก์ หัวหน้าแผนกโรคภูมิแพ้ของวิทยาลัยนั้น ได้เริ่มทดสอบถุงมือยางหลังจากที่พวกแพทย์และพยาบาลบ่นถึงปฏิกิริยาภูมิแพ้ในปี 1992. นั่นเป็นปีที่รัฐบาลสหรัฐเริ่มเรียกร้องให้บุคลากรทางการแพทย์สวมถุงมือยาง หากมีโอกาสสัมผัสกับเลือดหรือของเหลวในร่างกายของผู้ป่วย. ตามคำกล่าวของฟิงก์ ผู้ที่ทำงานด้านการดูแลสุขภาพซึ่งมีแผลหรือรอยแตกอย่างอื่นบนผิวหนังของตน ควรพิจารณาสวมถุงมือมากกว่าหนึ่งคู่ วารสารนั้นกล่าว. แต่บุคลากรทางการแพทย์ที่ผิวหนังไม่เป็นแผลไม่ควรตกใจกลัวจนเกินเหตุ. “ผิวหนังที่ไม่เป็นแผลเป็นเครื่องป้องกันอย่างดี” ฟิงก์กล่าว.
อาชญากรรมที่ต้องจ่ายแพง
กระทรวงยุติธรรมกะประมาณว่า มีการก่ออาชญากรรม 94,000 รายทุกวันในสหรัฐ. ประชากรสหรัฐต้องจ่ายเท่าไรสำหรับอาชญากรรมดังกล่าว? ตามคำพูดของ เอด รูเบนสไตน์ นักวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ ที่ต้องจ่ายโดยตรง—รวมทั้งการสูญเสียสมบัติส่วนตัว เช่น รถยนต์, เงินสด, และอัญมณี—เกือบถึง 500,000 ล้านบาทต่อปี. อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากนี้ก็มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย, ศาล, เรือนจำ, และระบบการปล่อยตัวโดยการทำทัณฑ์บน. ซึ่งทำให้ตัวเลขขึ้นถึงประมาณ 2.5 ล้านล้านบาท. อนึ่ง เนื่องจากผู้ที่เป็นเหยื่ออาชญากรรมบ่อยครั้งประสบความกลัว, ความบอบช้ำทางจิตใจ, หรือความซึมเศร้าเป็นพัก ๆ หลายคนจึงรับมือกับอารมณ์ในแง่ลบเหล่านี้โดยอยู่กับบ้านไม่ไปทำงาน. ดังนั้น การสูญเสียความสามารถในการผลิตอาจดัน “ค่าที่เหยื่ออาชญากรรมต้องจ่าย” ขึ้นตั้งแต่ “6.25 ถึง 12.5 ล้านล้านบาทแต่ละปี” รูเบนสไตน์กล่าว.
หิวโลหะหนัก
เมื่อโลหะหนัก เช่น นิกเกิล, ตะกั่ว, สังกะสี, และแคดเมียมทำให้ดินปนเปื้อน ดินนั้นจะเป็นอันตรายและใช้การไม่ได้. วิธีทำความสะอาดในปัจจุบันต้องขูดผิวดินออกและนำไปทิ้งในหลุมขยะ หรือการเอาดินที่ปนเปื้อนออกแล้วใส่กรดที่แรงซึ่งจะทำให้โลหะที่ติดอยู่ในดินหลุดออกไป. แต่วิธีทำความสะอาดดังกล่าวเสียค่าใช้จ่ายมาก. เดี๋ยวนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาวิธีที่ถูกกว่าและสะอาดกว่ามากเพื่อแก้ปัญหานี้. วิธีนี้เรียกว่าไฟโทเรเมดิเอชัน (วิธีแก้โดยพืช). วิธีนี้เกี่ยวข้องกับการใช้พืชให้ดูดซับโลหะหนักจากพื้นดินและถ่ายทอดไปยังใบ, ก้าน, และส่วนอื่นของพืชซึ่งอยู่เหนือดิน. ครั้นโลหะหนักถูกดูดซับออกจากดิน ก็สามารถนำพืชเหล่านั้นไปแปรรูปและนำโลหะที่มีค่ากลับไปใช้ใหม่ได้ วารสารไซเยนซ์กล่าว.
ปัญหาสุขภาพในบราซิล
ผู้อำนวยการศูนย์โรคติดต่อแห่งชาติประเทศบราซิล นายแพทย์เอดวาร์ดู เลฟว์โควิตส์ โอดครวญว่า “ประชาชนของเราเคราะห์ร้ายเนื่องจากประสบปัญหาด้านสุขภาพจากทั้งของประเทศอุตสาหกรรมซึ่งเป็นประเทศโลกที่หนึ่งและจากโรคที่ป้องกันได้แห่งประเทศโลกที่สาม.” หนังสือพิมพ์เดอะ เมดิคัล โพสต์ยกคำกล่าวของนายแพทย์เลฟว์โควิตส์ซึ่งระบุสาเหตุหลักเรื่องปัญหาสุขภาพท่ามกลางชาวบราซิล. ที่เป็นอันดับหนึ่งในรายการคือโรคเส้นเลือดหัวใจ, มะเร็ง, และโรคเกี่ยวกับการหายใจ. ถัดไปคือการเสียชีวิตจากอาชญากรรมรุนแรงและอุบัติเหตุ. ต่อจากโรคของ “ประเทศโลกที่หนึ่ง” คือโรคติดเชื้อซึ่งสืบเนื่องมาจากสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ดี. “กะประมาณกันว่าครึ่งหนึ่งของประชากรบราซิลเป็นโรคติดเชื้อจากปรสิตชนิดใดชนิดหนึ่ง” เดอะ เมดิคัล โพสต์ กล่าว. เฉพาะมาลาเรียทำให้ชาวบราซิล 500,000 คนป่วยทุกปี. โรคอื่น ๆ จากปรสิตที่พบทั่วไปในบราซิลคือโรคชากาส, สกิสโทโซไมอะซิส, พยาธิปากขอ, โรคลิชเมไนอะซิส, และโรคฟิลาไรอะซิส.
ม้าน้ำที่ซื่อสัตย์
นักสัตววิทยาจากออกซฟอร์ด อมันดา วินเซนต์ ได้พบว่า ม้าน้ำจะคงซื่อสัตย์ต่อคู่ของตนตลอดชีวิต. เมื่อศึกษาวิจัยพันธุ์ Hippocampus whitei ที่มีความยาวสิบเซนติเมตร ซึ่งอยู่นอกชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย ดร. วินเซนต์ถึงกับตะลึงงันเนื่องจากพบความซื่อสัตย์เช่นนั้นในหมู่ปลา หนังสือพิมพ์เดอะ ไทมส์ แห่งลอนดอนให้ข้อสังเกต. มีการสังเกตว่าทุกเช้าตัวผู้จะคอยคู่ของตน ณ ที่ซึ่งกำหนดไว้ล่วงหน้า. เมื่อพบกันม้าน้ำจะเปลี่ยนสีสันแล้วเต้นรำกัน. การให้กำเนิดลูกนับเป็นประสบการณ์ร่วม. ตัวเมียวางไข่และใส่ในถุงไข่ตอนส่วนหางของตัวผู้. แล้วตัวผู้จึงฉีดน้ำเชื้อออกมาผสมและไข่จะอยู่ในถุงจนกว่าจะฟักเป็นตัว. หากคู่ของตนตาย ม้าน้ำที่มีชีวิตอยู่จะจับคู่กับม้าน้ำอีกตัวหนึ่งที่ไร้คู่เท่านั้น. น่าเศร้า การอยู่รอดของสัตว์ที่น่ารักเหล่านี้ตกอยู่ในอันตราย เนื่องจากหลายล้านตัวถูกจับทุกปีสำหรับใส่ในตู้ปลาและสำหรับใช้ทำยาแผนโบราณทางแถบเอเชีย.
เพื่อนบ้านราคาแพง
ในบริเตนเมื่อมีการขายบ้าน เจ้าของบ้านมีพันธะทางกฎหมายที่ต้องเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการมีปากเสียงกับเพื่อนบ้านของตนในอดีต หนังสือพิมพ์เดอะ ซันเดย์ ไทมส์แห่งลอนดอนรายงาน. หญิงม่ายวัย 80 ปีคนหนึ่ง ผู้ซึ่งไม่ได้แจ้งแก่ผู้ซื้อว่าเธอเคยร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสองครั้งเกี่ยวกับเพื่อนบ้านที่ก่อเสียงหนวกหู ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ไม่ได้แจ้งข้อเท็จจริง. เดี๋ยวนี้เธอประสบภาวะล้มละลายหลังจากถูกตัดสินว่าต้องจ่าย 1,125,000 บาท. เจ้าของใหม่อยู่ในบ้านนั้นหกปี แต่ก็พบว่าชีวิตความเป็นอยู่กับคนที่อยู่ข้างบ้านไม่อาจรับได้และไม่มีทางเลือกนอกเสียจากขาย พวกเขาได้กล่าวต่อหน้าศาล. เพื่อเลี่ยงปัญหาดังกล่าว ผู้ซื้อบางคนถึงกับจ้างนักสืบเอกชนเพื่อตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ที่คาดว่าจะเป็นเพื่อนบ้านของตน. การตรวจสอบอย่างผิวเผินอาจจ่ายแค่ 1,875 บาท แต่ผู้ซื้อบางคนพร้อมจะจ่าย 37,500 บาทสำหรับการตรวจสอบอย่างละเอียด.
ขาดแคลนอวัยวะ
ในปี 1994 “จำนวนผู้ที่ต้องการการปลูกถ่ายอวัยวะ” ในสหรัฐ “มีมากกว่าผู้บริจาคเกือบหนึ่งในสาม” วารสารแพทยสมาคมแห่งอเมริกา กล่าว. ตั้งแต่ปี 1988 ถึง 1994 จำนวนผู้ที่รับการปลูกถ่ายอวัยวะเพิ่มขึ้น 49 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ผู้บริจาคอวัยวะเพิ่มขึ้นเพียง 37 เปอร์เซ็นต์. เนื่องจากความต้องการอวัยวะมีมากกว่าปริมาณที่มีอยู่ ผู้ป่วยหนักบางคนจึงเสียชีวิตขณะรอคอยเพื่อจะได้อวัยวะ. วารสารนิว ไซเยนติสต์ออกความเห็นเกี่ยวกับสภาพจนตรอกนี้ว่า “เมื่อการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะกลายเป็นกิจวัตรประจำมากขึ้น ผู้คนจำนวนเพิ่มขึ้นต้องการปลูกถ่ายอวัยวะและทำให้รายชื่อผู้ต้องการยาวขึ้น.” รายงานนั้นจึงบอกว่า “การปลูกถ่ายอวัยวะตกเป็นเหยื่อความสัมฤทธิผลของตนเอง.”