กรกฎาคม
วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม
ทำตามที่สัญญาไว้เถอะค่ะ—วนฉ. 11:36
ลูกสาวของเยฟธาห์ยอมเสียสละความต้องการตามธรรมชาติที่จะแต่งงานและมีลูกเพื่อจะรับใช้พระยะโฮวา เราสามารถเลียนแบบตัวอย่างการเสียสละของเธอได้อย่างไร? พี่น้องคริสเตียนหนุ่มสาวหลายพันคนเต็มใจเสียสละโอกาสที่จะแต่งงานและมีลูกในตอนนี้ เพราะอะไร? เพราะพวกเขาอยากจะรับใช้พระยะโฮวามากขึ้น นอกจากนั้น ยังมีผู้สูงอายุบางคนเสียสละเวลาที่พวกเขาจะใช้กับลูก ๆ หลาน ๆ พวกเขาสละเวลาและกำลังให้พระยะโฮวา คนเหล่านี้บางคนได้ทำงานในโครงการก่อสร้าง เข้าร่วมโรงเรียนผู้ประกาศราชอาณาจักร และย้ายไปประชาคมที่มีความต้องการผู้ประกาศมากกว่า ส่วนคนอื่น ๆ ก็วางแผนที่จะรับใช้มากขึ้น พระเจ้าจะไม่มีทางลืมการเสียสละด้วยความรักของพี่น้องที่ซื่อสัตย์เหล่านี้ (ฮบ. 6:10-12) แล้วคุณล่ะ? คุณจะเสียสละเพื่อรับใช้พระยะโฮวามากขึ้นได้ไหม? ห16.04 1:16, 17
วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม
ทั้งหมดจะรวมเป็นฝูงเดียว และมีคนเลี้ยงคนเดียว—ยน. 10:16
พระเยซูเปรียบตัวท่านเป็นผู้เลี้ยงแกะ และคนที่ติดตามท่านเป็นแกะในฝูง ลองคิดดูสิ ถ้ามีแกะสองตัวอยู่บนเนินเขา อีกสองตัวอยู่ที่หุบเขา และอีกตัวหนึ่งก็อยู่ที่อื่น เราจะถือว่าแกะห้าตัวนั้นเป็นแกะฝูงเดียวกันไหม? ไม่แน่ ๆ เพราะแกะที่อยู่ฝูงเดียวกันจะต้องอยู่รวมกันและติดตามคนเลี้ยง คล้ายกัน เราไม่ควรแยกจากพี่น้องของเราไปอยู่คนเดียวโดยไม่ไปประชุม เราต้องอยู่ด้วยกันเป็น “ฝูงเดียว” และตาม “คนเลี้ยงคนเดียว” การประชุมของเราช่วยเราให้เป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนครอบครัวที่รักกัน (สด. 133:1) บางคนในประชาคมถูกตัดออกจากครอบครัว พ่อแม่พี่น้องหรือญาติเลิกสนใจเขา แต่พระเยซูสัญญาว่าจะให้ครอบครัวหนึ่งกับเขา ซึ่งเป็นครอบครัวที่รักและคอยดูแลพวกเขา (มก. 10:29, 30) ถ้าคุณไปประชุมเป็นประจำ คุณก็จะกลายเป็นเหมือนพ่อ แม่ พี่ น้องของบางคนในประชาคม เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เราจึงพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อไปประชุม ห16.04 3:9, 10
วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม
เมื่อคุณอธิษฐาน คุณต้องให้อภัยคนที่ทำให้คุณโกรธ แล้วพระเจ้าผู้เป็นพ่อของคุณที่อยู่ในสวรรค์ก็จะให้อภัยคุณด้วยเมื่อคุณทำผิด—มก. 11:25
ทุกวันนี้ เรานมัสการพระยะโฮวาโดยการอธิษฐาน ประกาศ และประชุม แต่ถ้าเราไม่มีสันติสุขกับพี่น้อง พระยะโฮวาจะไม่ยอมรับการนมัสการของเรา เราต้องให้อภัยคนอื่นเมื่อพวกเขาทำผิดต่อเรา ถ้าเรายังอยากเป็นเพื่อนกับพระยะโฮวา (ลก. 11:4; อฟ. 4:32) พระยะโฮวาอยากให้คนที่รับใช้พระองค์ทุกคนให้อภัยคนอื่นและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น เราควรถามตัวเองว่า “ฉันพร้อมจะให้อภัยพี่น้องไหม? ฉันจะเต็มใจเป็นเพื่อนกับเขาได้ไหม?” ถ้าคุณรู้สึกว่ายังต้องปรับปรุงตัวเองในเรื่องนี้ คุณน่าจะอธิษฐานอย่างถ่อมตัวขอให้พระยะโฮวาช่วยคุณ แล้วพระเจ้าผู้เป็นพ่อจะฟังและตอบคำอธิษฐานของคุณแน่นอน—1 ยน. 5:14, 15 ห16.05 1:6, 7
วันพุธที่ 4 กรกฎาคม
จะมีการประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า—มธ. 24:14
ควรมีการทำงานประกาศต่อไปอีกนานแค่ไหน? พระเยซูบอกว่าจะมีการประกาศจนถึงอวสาน พวกเราที่เป็นพยานพระยะโฮวาประกาศอย่างอดทนในสมัยสุดท้ายนี้ได้ก็เพราะพลังของพระเจ้า (กจ. 1:8; 1 ปต. 4:14) คนที่เคร่งศาสนาอาจอ้างว่าพวกเขาก็มีพลังที่มาจากพระเจ้า แต่พวกเขาสามารถทำงานที่พยานพระยะโฮวาทำในสมัยสุดท้ายได้ไหม? มีศาสนาบางกลุ่มพยายามประกาศในแบบที่เราทำ แต่พวกเขาก็ทำไม่สำเร็จ ส่วนคนอื่น ๆ ที่เรียกตัวเองว่าเป็นมิชชันนารีก็พยายามประกาศ แต่ก็ทำได้แค่ช่วงสั้น ๆ แล้วก็กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม นอกจากนั้น อาจมีบางคนที่พยายามจะประกาศตามบ้าน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า ดังนั้น คนพวกนั้นไม่ได้ทำงานเดียวกับที่พระเยซูทำ ห16.05 2:13, 16
วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม
พี่น้องครับ ขอให้ชื่นชมยินดีเสมอ ปรับความคิดของพวกคุณใหม่ มีกำลังใจ คิดสอดคล้องกัน และใช้ชีวิตอย่างสงบสุขต่อ ๆ ไป—2 คร. 13:11
อัครสาวกเปาโลบอกคริสเตียนว่า “พวกคุณถูกสอนให้ทิ้งลักษณะนิสัยเก่าตามแบบที่เคยใช้ชีวิตมาก่อน ลักษณะนิสัยแบบนั้นมีแต่จะแย่ลงเพราะความต้องการผิด ๆ ที่ล่อลวงพวกคุณ และให้พวกคุณเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่อย่างต่อเนื่อง และปลูกฝังลักษณะนิสัยใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นตามที่พระเจ้าต้องการ ซึ่งเป็นไปตามความถูกต้องชอบธรรมและความภักดีแท้” (อฟ. 4:22-24) นี่หมายความว่าเรา “ปลูกฝังลักษณะนิสัยใหม่” ได้ต่อ ๆ ไป ดังนั้น ไม่ว่าเราจะรับใช้พระยะโฮวามานานแค่ไหนแล้ว เราก็สามารถเรียนรู้คุณลักษณะที่ดีของพระองค์ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ จากคัมภีร์ไบเบิล และถ้าเราออกความพยายามเราก็จะเลียนแบบพระองค์ได้มากขึ้นและเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีได้ เรามั่นใจว่าคัมภีร์ไบเบิลยังเปลี่ยนแปลงชีวิตเราได้จริง ๆ ห16.05 4:8, 9
วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม
พระยะโฮวารักใครพระองค์ก็ตักเตือนคนนั้น—สภษ. 3:12
ในตอนนี้ เรามีชีวิตอยู่ในอุทยานโดยนัยซึ่งเป็นที่ที่พิเศษสุดที่พระยะโฮวาให้เราเพื่อจะนวดปั้นเราหรือสอนเรา (อสย. 64:8) ในอุทยานนี้ เรารู้สึกมั่นคงปลอดภัยถึงแม้จะอยู่ในโลกชั่ว เราได้มารู้จักพระยะโฮวาและตอนนี้เราได้รับความรักจากพระองค์เหมือนลูกได้รับความรักจากพ่อ (ยก. 4:8) ในโลกใหม่ เราจะได้รับประโยชน์จากอุทยานโดยนัยอย่างเต็มที่ และเราจะมีความสุขที่ได้อยู่ในสวนอุทยานจริง ๆ ซึ่งปกครองโดยรัฐบาลของพระเจ้า ในตอนนั้น พระยะโฮวาจะยังนวดปั้นเราและสอนเราในแบบที่เราอาจนึกไม่ออกในตอนนี้ (อสย. 11:9) พระยะโฮวาจะทำให้ร่างกายและจิตใจของเราสมบูรณ์แบบ นี่ทำให้ง่ายขึ้นที่เราจะเข้าใจและเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระองค์อย่างครบถ้วน ดังนั้น ขอเรายอมให้พระยะโฮวานวดปั้นเราต่อ ๆ ไป และขอเราแสดงให้พระองค์เห็นว่าเราขอบคุณที่พระองค์แสดงความรักกับเราด้วยวิธีนี้ ห16.06 1:8, 9
วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม
ชาวอิสราเอล ฟังให้ดี พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าของเรา และพระยะโฮวามีเพียงองค์เดียวเท่านั้น—ฉธบ. 6:4
ถ้อยคำเหล่านี้อยู่ในคำบรรยายสุดท้ายที่โมเสสบรรยายให้ชาติอิสราเอลฟังในปี 1473 ก่อน ค.ศ. ซึ่งเป็นตอนที่พวกเขาอยู่ในแผ่นดินโมอับและพร้อมที่จะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปพิชิตแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญาไว้ (ฉธบ. 6:1) โมเสสเป็นผู้นำของพวกเขามา 40 ปีแล้ว โมเสสอยากให้พวกเขากล้าหาญเพื่อจะได้รับมือกับปัญหาที่กำลังจะมีมา พวกเขาจำเป็นต้องวางใจในพระยะโฮวาพระเจ้าของพวกเขา และซื่อสัตย์ต่อพระองค์ คำบรรยายสุดท้ายของโมเสสจะช่วยให้พวกเขาทำอย่างนั้นได้ พอโมเสสพูดถึงบัญญัติสิบประการและกฎหมายอื่น ๆ ของพระยะโฮวาแล้ว โมเสสก็ให้ข้อเตือนใจที่มีพลังมากกับพวกเขา ซึ่งเราอ่านได้ที่เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4, 5 ชาวอิสราเอลในสมัยโบราณรู้ว่า พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพระยะโฮวา “มีเพียงองค์เดียวเท่านั้น” ชาวอิสราเอลที่ซื่อสัตย์นมัสการพระเจ้าองค์เดียว ซึ่งเป็นพระเจ้าที่บรรพบุรุษของพวกเขานับถือ ห16.06 3:2, 3
วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม
วันเวลานั้นไม่มีใครรู้ แม้แต่ทูตสวรรค์หรือผมเองที่เป็นลูกของพระเจ้าก็ไม่รู้ มีแต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อเท่านั้นที่รู้—มธ. 24:36
พระเยซูพูดประโยคเหล่านี้ ตอนที่ท่านอยู่บนโลก แต่เนื่องจากพระเยซูจะเป็นผู้นำในสงครามอาร์มาเกดโดน จึงเป็นไปได้มากที่ตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าสงครามนั้นจะเริ่มขึ้นเมื่อไร (วว. 19:11-16) แต่เราเองไม่รู้วันเวลาที่อวสานจะมาถึง เพราะอย่างนี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราจะเฝ้าระวังอยู่เสมอ พระยะโฮวาได้กำหนดไว้แล้วว่าความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่จะเริ่มขึ้นเมื่อไร ซึ่งตอนนี้ก็ใกล้เข้ามาทุกที และ “จะไม่ช้าเกินไป” (ฮบก. 2:1-3) ทำไมเราถึงแน่ใจได้ขนาดนี้? คำพยากรณ์ของพระยะโฮวาเกิดขึ้นจริงตรงตามเวลาเสมอ พระยะโฮวาสัญญาว่าจะช่วยประชาชนของพระองค์ให้รอดผ่านความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่ และให้พวกเขามีชีวิตตลอดไปในโลกใหม่ เรามั่นใจได้ว่าคำสัญญาของพระองค์จะเป็นจริง ดังนั้น ถ้าเราอยากอยู่ในโลกใหม่นั้น เราต้องเฝ้าระวังอยู่เสมอ ห16.07 2:4-6
วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม
เปโตรบอกพระเยซูว่า “ถึงทุกคนจะทิ้งท่านไปหมด ผมก็จะไม่ทิ้งท่านเลย—มก. 14:29
เปโตรก็พูดหรือทำอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องในบางครั้ง ตัวอย่างเช่น เปโตรบอกว่าจะไม่มีวันทิ้งพระเยซูแม้คนอื่นจะทิ้งท่านไป (มก. 14:27-31, 50) แต่พอพระเยซูถูกจับ พวกอัครสาวกรวมทั้งเปโตรด้วยก็ทิ้งพระเยซูกันหมด แล้วเปโตรยังพูดถึงสามครั้งว่าเขาไม่รู้จักพระเยซู (มก. 14:53, 54, 66-72) แต่เปโตรเสียใจมากกับสิ่งที่เขาได้ทำ พระยะโฮวาจึงให้อภัยเขาและใช้เขาต่อไป ถ้าคุณเป็นสาวกในตอนนั้นและรู้ว่าเปโตรทำอะไร คุณจะยังคงวางใจพระยะโฮวาต่อไปไหม? คุณมองออกไหมว่าพระยะโฮวากำลังแสดงความเมตตาและอาจรอคอยให้ใครสักคนกลับใจก็ได้? แต่อาจมีบางครั้งที่คนทำบาปร้ายแรงไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เขาทำไป คุณเชื่อไหมว่าพระยะโฮวารู้เรื่องนี้และพระองค์จะทำอะไรบางอย่างเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม? พระองค์อาจถึงกับให้เขาออกจากประชาคมไปถ้าจำเป็น คุณเชื่อไหมว่าพระยะโฮวาจะทำสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรมเสมอ? ห16.06 4:8, 9
วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม
ขอให้พระองค์กับพระเยซูคริสต์ผู้เป็นนายของเรา ให้กำลังใจและช่วยพวกคุณให้แน่วแน่ในการพูดดีทำดีเสมอ—2 ธส. 2:16, 17
ดีจริง ๆ ที่พระยะโฮวาให้กำลังใจเราทุกครั้งที่เราท้อแท้ (สด. 51:17) ตอนที่คริสเตียนในเมืองเธสะโลนิกาถูกข่มเหง เปาโลได้เขียนข้อคัมภีร์ที่เราอ่านกันวันนี้ เราได้รับกำลังใจจริง ๆ ที่ได้รู้ว่าพระยะโฮวามีความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ พระองค์รักและเป็นห่วงเรา เนื่องจากเราเป็นมนุษย์ผิดบาป ถ้าพระยะโฮวาไม่ช่วยเรา เราก็ไม่มีความหวังอะไร (สด. 49:7, 8) แต่พระยะโฮวาให้ความหวังที่ยอดเยี่ยมกับเรา ความหวังนั้นคืออะไร? พระเยซูบอกว่า “พ่อของผมอยากให้ทุกคนที่ยอมรับและแสดงความเชื่อในลูกของพระองค์มีชีวิตตลอดไป” (ยน. 6:40) เพราะพระยะโฮวากรุณาต่อเรา เราจึงมีความหวังที่จะมีชีวิตตลอดไป เปาโลบอกว่า “พระเจ้าแสดงให้เห็นความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ซึ่งช่วยคนทุกชนิดให้รอด”—ทต. 2:11 ห16.07 3:14, 15
วันพุธที่ 11 กรกฎาคม
อย่าทรยศภรรยาที่อยู่กันมาตั้งแต่หนุ่มสาว—มลค. 2:15
ในทุกวันนี้ การนอกใจคู่สมรสเป็นเรื่องที่ผู้รับใช้ของพระยะโฮวายอมรับไม่ได้ สมมุติว่ามีพี่น้องที่รับบัพติศมาแล้วคนหนึ่งทำผิดศีลธรรมทางเพศและหย่ากับคู่ของตัวเองเพื่อจะไปแต่งงานใหม่กับคนนั้น ถ้าพี่น้องคนนี้ไม่กลับใจ เขาก็จะถูกตัดสัมพันธ์เพื่อจะรักษาประชาคมให้สะอาดบริสุทธิ์ (1 คร. 5:11-13) เขาต้อง ‘ทำให้เห็นว่าเขากลับใจจริง ๆ’ ก่อนที่จะถูกรับกลับมาในประชาคมอีกครั้ง (ลก. 3:8; 2 คร. 2:5-10) ไม่มีระยะเวลากำหนดที่บอกไว้แน่นอนว่าเขาจะต้องถูกตัดสัมพันธ์นานแค่ไหนถึงจะถูกรับกลับมา แต่ในกรณีแบบนี้อาจต้องใช้เวลา 1 ปีหรือมากกว่านั้นเพื่อคนที่ทำผิดจะพิสูจน์ว่าเขากลับใจจริง และถึงเขาจะถูกรับกลับมาแล้ว เขาก็ยังต้อง “ยืนต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้า” เพื่อให้การว่าเขากลับใจจริง ๆ หรือไม่—รม. 14:10-12 ห16.08 1:12, 13
วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม
ถ้าผู้ชายคนไหนพยายามจะได้ทำหน้าที่ผู้ดูแลก็แสดงว่าเขาอยากจะทำงานที่ดี—1 ทธ. 3:1
คำภาษากรีกที่แปลว่า “พยายามจะได้ทำหน้าที่” หมายถึง การเอื้อมแขนเพื่อไปเอาอะไรสักอย่างซึ่งปกติแล้วคุณหยิบไม่ถึง อัครสาวกเปาโลชี้ให้เห็นว่าเพื่อจะก้าวหน้าก็ต้องออกความพยายาม เขาใช้คำนี้เพื่อชมพี่น้องชายที่ “พยายามจะได้ทำหน้าที่ผู้ดูแล” ลองนึกถึงพี่น้องชายที่อยากมีคุณสมบัติเป็นผู้ช่วยงานรับใช้ดูสิ เขารู้ว่าเขาต้องพยายามพัฒนาลักษณะนิสัยแบบคริสเตียน จากนั้น เมื่อเขาเป็นผู้ช่วยงานรับใช้ เขาก็ต้องออกความพยายามต่อ ๆ ไปเพื่อจะมีคุณสมบัติเป็นผู้ดูแล เหมือนกัน พี่น้องชายหญิงบางคนก็กำลังพยายามปรับเปลี่ยนชีวิตเพื่อรับใช้พระยะโฮวามากขึ้น เช่น หลายคนอยากเป็นไพโอเนียร์ ทำงานในเบเธล หรือช่วยก่อสร้างหอประชุม ห16.08 3:3, 4
วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม
พวกเขาเป็นผู้รับใช้และเป็นประชาชนของพระองค์ เป็นผู้ที่พระองค์ไถ่กลับคืนมาด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่และด้วยกำลังอันเข้มแข็งของพระองค์—นหม. 1:10
ลองคิดถึงเนหะมีย์ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรตอนที่เดินทางมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม เขาเห็นพวกศัตรูจากต่างชาติข่มขู่ชาวยิว พวกเขาจึงหยุดสร้างกำแพงกรุงเยรูซาเล็ม เมืองยังไม่มีอะไรป้องกัน และชาวยิวก็หมดกำลังใจ เนหะมีย์รู้สึกอย่างไร? เขายอมให้ ‘มือของตัวเองอ่อนแรง’ และหมดกำลังใจไปอีกคนไหม? ไม่เป็นอย่างนั้น! เหมือนกับโมเสส อาสา และผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวาคนอื่น ๆ เนหะมีย์พึ่งพระยะโฮวาเสมอ (อพย. 17:8-13; 2 พศ. 14:8-13) และในเหตุการณ์นี้ก็เหมือนกัน เนหะมีย์อธิษฐานขอให้พระยะโฮวาช่วย และพระองค์ก็ตอบคำอธิษฐานของเขา พระองค์ใช้ “อำนาจอันยิ่งใหญ่” และมือที่มีพลังหรือ “กำลังอันเข้มแข็ง” เพื่อช่วยชาวยิว (นหม. 2:17-20; 6:9) แล้วคุณล่ะ? คุณเชื่อไหมว่าพระยะโฮวาจะช่วยคุณในแบบเดียวกัน? ห16.09 1:9
วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม
ทำทุกสิ่งแบบที่จะทำให้พระเจ้าได้รับการยกย่องสรรเสริญ—1 คร. 10:31
หนังสือพิมพ์ภาษาดัตช์เขียนอธิบายเรื่องการแต่งตัวของพวกผู้นำโบสถ์ตอนที่พวกเขาไปประชุมกันว่า “พวกเขาส่วนใหญ่ใส่ชุดลำลอง โดยเฉพาะตอนที่อากาศร้อน” และหนังสือพิมพ์นั้นก็บอกด้วยว่า แต่พยานพระยะโฮวาไม่ได้แต่งตัวแบบนั้น ในการประชุมใหญ่ของพวกเขา พยานพระยะโฮวาได้รับคำชมเชยบ่อย ๆ ว่าพวกเขาแต่งตัวสุภาพเรียบร้อย อัครสาวกเปาโลบอกคริสเตียนเกี่ยวกับการเลือกเสื้อผ้าว่าให้ “เป็นแบบสุภาพเรียบร้อยและมีวิจารณญาณที่ดี” ซึ่งเหมาะสมกับผู้รับใช้พระเจ้า (1 ทธ. 2:9, 10, เชิงอรรถ) ถึงแม้ในข้อความนี้เปาโลกำลังพูดถึงผู้หญิง แต่นี่ก็เป็นมาตรฐานสำหรับผู้ชายด้วย มาตรฐานที่ดีในการเลือกเสื้อผ้าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเราที่เป็นประชาชนของพระยะโฮวา และสำคัญสำหรับพระยะโฮวาพระเจ้าที่เรานมัสการด้วย (ปฐก. 3:21) คัมภีร์ไบเบิลทำให้เราเข้าใจชัดเจนว่าพระยะโฮวาผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในเอกภพมีมาตรฐานในเรื่องการแต่งตัวสำหรับผู้รับใช้ของพระองค์ ดังนั้น เสื้อผ้าที่เราเลือกใส่ควรเป็นแบบที่พระยะโฮวาพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดพอใจ ห16.09 3:1, 2
วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม
มนุษย์พูดสิ่งที่มาจากพระเจ้าตามที่พลังบริสุทธิ์ของพระองค์ชี้นำ—2 ปต. 1:21
บางคนชอบศึกษาเกี่ยวกับคำพยากรณ์ต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิล พวกเขาชอบเปรียบเทียบสิ่งที่เขียนในคัมภีร์ไบเบิลกับคำพูดของนักประวัติศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์หรือนักโบราณคดี ตัวอย่างเช่น ทันทีหลังจากที่อาดัมและเอวากบฏต่อต้านพระยะโฮวาและการปกครองของพระองค์ พระยะโฮวาให้คำพยากรณ์ที่สำคัญมากซึ่งอยู่ในปฐมกาล 3:15 คำพยากรณ์ในข้อนั้นเป็นข้อแรกที่ช่วยเราให้เข้าใจวิธีที่รัฐบาลของพระเจ้าจะพิสูจน์ว่าการปกครองของพระองค์ดีที่สุด และจะทำให้ความทุกข์หมดไปจริง ๆ คุณจะศึกษาปฐมกาล 3:15 ให้ลึกขึ้นได้อย่างไร? คุณน่าจะลองหาข้อคัมภีร์อื่น ๆ ที่ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าปฐมกาล 3:15 เกิดขึ้นจริงอย่างไร และเอาข้อคัมภีร์เหล่านั้นมาเรียงตามลำดับเวลาที่ถูกเขียน แล้วคุณก็จะเห็นว่าถึงผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลแต่ละคนมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ต่างกัน แต่สิ่งที่พวกเขาเขียนทำให้เราเข้าใจคำพยากรณ์นี้ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ นี่จะช่วยให้คุณเห็นหลักฐานว่าพลังบริสุทธิ์ของพระยะโฮวาชี้นำพวกเขาจริง ๆ ห16.09 4:8
วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม
ใครบอกว่าพวกคุณวิเศษกว่าคนอื่น?—1 คร. 4:7
เคยมีครั้งหนึ่งที่อัครสาวกเปโตรมีอคติกับคนที่ไม่ใช่ชาวยิว แต่เขาก็ค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะเอาชนะความคิดในแง่ลบแบบนั้น (กจ. 10:28, 34, 35; กท. 2:11-14) คล้ายกัน ถ้าเราสังเกตว่าตัวเรามีอคติ หรือมีความภูมิใจในเชื้อชาติของตัวเองแม้เพียงเล็กน้อย เราก็ต้องพยายามกำจัดความคิดแบบนั้นออกไป (1 เป. 1:22) อะไรจะช่วยเราให้ทำอย่างนั้นได้? ขอจำไว้ว่า ไม่ว่าเรามาจากประเทศไหนเราก็เป็นคนไม่สมบูรณ์แบบเหมือนกัน และไม่มีใครคู่ควรที่จะได้รับความรอด (รม. 3:9, 10, 21-24) ดังนั้น ไม่มีเหตุผลเลยที่จะคิดว่าเราดีกว่าคนอื่น เราควรคิดเหมือนกับเปาโล เขาบอกเพื่อนคริสเตียนว่าพวกเขา “ไม่ใช่คนแปลกหน้าหรือคนต่างชาติอีกต่อไป” แต่เป็น “สมาชิกครอบครัวของพระเจ้า” (อฟ. 2:19) เราต้องพยายามกำจัดอคติทุกอย่างที่เรามีเพื่อจะสามารถปลูกฝังลักษณะนิสัยใหม่ได้—คส. 3:10, 11 ห16.10 1:9
วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม
เขาอ่านกฎหมายของพระองค์ด้วยเสียงเบา ๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน—สด. 1:2
อะไรจะช่วยเราให้รักษาความเชื่อให้เข้มแข็ง? พระยะโฮวาให้เรามีคัมภีร์ไบเบิลเพื่อสอนเราเกี่ยวกับคำสัญญาต่าง ๆ ของพระองค์ และสอนเราด้วยว่าต้องทำอะไรเพื่อจะมีความสุข นี่เป็นเหตุผลที่เราน่าจะอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวันและทำตามสิ่งที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิล (สด. 1:1-3; กิจ. 17:11) นอกจากนั้น พระยะโฮวายังให้เรามี ‘อาหารตามเวลาที่เหมาะสม’ โดยทาง “ทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม” (มธ. 24:45) เหมือนกับประชาชนของพระเจ้าในอดีต พวกเราต้องอ่านเกี่ยวกับคำสัญญาของพระเจ้าและคิดใคร่ครวญอย่างจริงจังเสมอ การทำอย่างนี้จะช่วยเราให้รักษาความซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้าและรอคอยเวลาที่รัฐบาลของพระองค์จะมาปกครองทั่วทั้งโลก (ฮบ. 11:1) มีอะไรอีกที่ช่วยผู้รับใช้ของพระยะโฮวาในอดีตให้มีความเชื่อที่เข้มแข็ง? พวกเขาอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา และพอพระองค์ตอบคำอธิษฐานของพวกเขา ความเชื่อของพวกเขาก็เข้มแข็งขึ้น—นหม. 1:4, 11; สด. 34:4, 15, 17; ดนล. 9:19-21 ห16.10 3:7, 8
วันพุธที่ 18 กรกฎาคม
ถ้าผม . . . มีความเชื่อมากถึงขนาดที่ย้ายภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ผมก็ไม่มีค่าอะไรเลย—1 คร. 13:2
พระเยซูบอกว่า การรักพระเจ้าเป็น “กฎหมายข้อที่สำคัญที่สุด” (มธ. 22:35-40) ทั้งความเชื่อและความรักเป็นคุณลักษณะที่สำคัญมาก ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลมักพูดถึงคุณลักษณะสองอย่างนี้ด้วยกัน เปาโลกระตุ้นพี่น้องให้ “เอาความเชื่อและความรักใส่เป็นเสื้อเกราะป้องกันอก” (1 ธส. 5:8) ยอห์นก็เขียนว่าข้อเรียกร้องของพระเจ้าก็คือ “ให้เราเชื่อศรัทธาในชื่อพระเยซูคริสต์ลูกของพระองค์ และให้เรารักกัน” (1 ยน. 3:23) แต่เปาโลยังเขียนอีกว่า “มี 3 สิ่งที่จะคงอยู่ต่อไปคือ ความเชื่อ ความหวัง ความรัก แต่ใน 3 สิ่งนี้ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด” (1 คร. 13:13) ในอนาคต เราไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อในคำสัญญาของพระเจ้าเกี่ยวกับโลกใหม่อีกต่อไป เพราะสิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นเรื่องจริง เราจะได้มีชีวิตที่ยอดเยี่ยมเหมือนกับที่คัมภีร์ไบเบิลบอกไว้ แต่เรายังจำเป็นต้องรักพระเจ้าและคนอื่นอยู่เสมอ ที่จริง ความรักที่เรามีจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดไป ห16.10 4:15-17
วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม
ประชาคมต่าง ๆ จึงมีความเชื่อเข้มแข็งขึ้น—กจ. 16:5
ในศตวรรษแรก พี่น้องชายบางคนไปเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ เพื่อ “แจ้งคำตัดสินของพวกอัครสาวกและผู้ดูแลในกรุงเยรูซาเล็ม” (กจ. 16:4) ประชาคมเหล่านั้นทำตามการชี้นำ จึงทำให้พวกเขา “มีความเชื่อเข้มแข็งขึ้นและมีคนเข้ามาเชื่อเพิ่มขึ้นทุกวัน” เราต้องเชื่อฟังคำแนะนำที่ได้รับจากองค์การของพระเจ้า ที่จริง คัมภีร์ไบเบิลหนังสือของพระยะโฮวาบอกให้พวกเราทุกคนเชื่อฟังคนที่นำหน้า (ฉธบ. 30:16; ฮบ. 13:7, 17) คนที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อพระยะโฮวาจะไม่ต่อต้านหรือบ่นเกี่ยวกับคำแนะนำที่เขาได้รับ เราจะไม่เป็นเหมือนกับดิโอเตรเฟสที่ไม่นับถือคนที่นำหน้า (3 ยน. 9, 10) ถ้าเราติดตามการชี้นำที่ได้รับ เราก็มีส่วนช่วยให้ประชาคมสงบสุขและเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้น ขอให้ถามตัวเองว่า ‘ฉันสนับสนุนให้พี่น้องซื่อสัตย์ภักดีต่อพระยะโฮวาไหม? ฉันทำตามคำแนะนำที่ได้รับจากองค์การของพระเจ้าทันทีไหม?’ ห16.11 2:10, 11
วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม
ให้พวกเจ้าอยู่อย่างสงบสุขในเมืองที่เราให้พวกเจ้าไปเป็นเชลยอยู่นั้น—ยรม. 29:7
เชลยชาวยิวที่ทำตามการชี้นำของพระยะโฮวาสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติ ชาวบาบิโลนอนุญาตให้พวกเขาจัดการเรื่องส่วนใหญ่ในชีวิตได้ด้วยตัวเอง พวกเขาสามารถเดินทางไปไหนก็ได้ในบาบิโลน ในตอนนั้นบาบิโลนเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจ เอกสารบันทึกโบราณแสดงให้เห็นว่าตอนที่ชาวยิวเป็นเชลย พวกเขาหลายคนเรียนรู้วิธีทำการค้า หลายคนกลายเป็นช่างฝีมือ ชาวยิวบางคนถึงกับร่ำรวยด้วยซ้ำ ชีวิตเชลยที่นั่นไม่ได้ลำบากเหมือนตอนที่พวกเขาตกเป็นทาสในอียิปต์หลายร้อยปีก่อนหน้านั้น (อพย. 2:23-25) แต่ชาวอิสราเอลจะกลับมานมัสการพระเจ้าตามรูปแบบที่พระองค์เรียกร้องได้อีกไหม? ในตอนนั้น ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้เลยเพราะบาบิโลนไม่เคยปล่อยตัวเชลย แต่พระยะโฮวาพระเจ้าได้สัญญากับประชาชนของพระองค์ว่าพวกเขาจะเป็นอิสระ และในที่สุด พวกเขาก็ถูกปล่อยจากการเป็นเชลยจริง ๆ คำสัญญาของพระเจ้าเป็นจริงเสมอ!—อสย. 55:11 ห16.11 4:3, 5
วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม
เราหลุดพ้นจากอำนาจของบาปแล้ว—รม. 6:2
ทำไมเปาโลพูดแบบนั้นทั้ง ๆ ที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่? โดยทางค่าไถ่ พระยะโฮวาได้ให้อภัยบาปของเปาโลและพี่น้องคริสเตียนในศตวรรษแรกแล้ว พระองค์ใช้พลังบริสุทธิ์เจิมพวกเขาให้เป็นลูกของพระองค์ และถ้าพวกเขารักษาความซื่อสัตย์ พวกเขาก็จะมีชีวิตบนสวรรค์และร่วมปกครองกับพระคริสต์ แต่ตอนที่เปาโลพูดข้อความในโรม 6:2 พวกเขายังมีชีวิตอยู่บนโลก แล้วพวกเขาจะ “ตายจากบาปไปแล้ว” ได้อย่างไร? เปาโลเปรียบเทียบการตายของพระเยซูกับการที่พวกเขาเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างสิ้นเชิง เปาโลบอกว่าหลังจากที่พระเยซูตาย ท่านถูกปลุกให้มีร่างกายสำหรับสวรรค์ที่ไม่มีวันตาย นี่ทำให้ความตาย “ไม่มีอำนาจเหนือท่านอีกเลย” คล้ายกัน ถึงแม้คริสเตียนผู้ถูกเจิมจะยังมีชีวิตอยู่บนโลก แต่เมื่อพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงวิธีใช้ชีวิตของพวกเขาทั้งหมดและพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้พระเจ้าพอใจ ก็เหมือนกับว่าพวกเขาได้ตายจากชีวิตเดิม ๆ พวกเขาไม่ยอมให้ความต้องการที่จะทำบาปมีอำนาจควบคุมพวกเขาอีกต่อไป พวกเขา “หลุดพ้นจากอำนาจของบาปแล้ว และมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าในฐานะสาวกของพระคริสต์เยซู”—รม. 6:9, 11 ห16.12 1:9, 10
วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม
การสนใจแต่สิ่งที่เกี่ยวกับพลังของพระเจ้านั้นจะทำให้ได้ชีวิตและสันติสุข—รม. 8:6
นี่ไม่ได้หมายความว่าวัน ๆ เราต้องคิดต้องพูดแต่เรื่องพระยะโฮวาและคัมภีร์ไบเบิล ตัวอย่างเช่น ผู้รับใช้พระเจ้าในสมัยศตวรรษแรกก็ใช้ชีวิตประจำวันเหมือนคนทั่วไป พวกเขามีความสุขที่ได้กินและดื่ม แต่งงาน เลี้ยงดูครอบครัว และทำงาน (มก. 6:3; 1 ธส. 2:9) ถึงอย่างนั้น เปาโลและคริสเตียนในสมัยแรกไม่ยอมให้กิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องธรรมดา ๆ กลายมาเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต ตัวอย่างเช่น เรารู้ว่าเปาโลมีอาชีพเป็นช่างทำเต็นท์ แต่งานที่เขาทำก็ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต เปาโลสนใจและทุ่มเทให้กับงานประกาศและงานสอนผู้คน สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาก็คือการรับใช้พระเจ้า (กจ. 18:2-4; 20:20, 21, 34, 35) พี่น้องในกรุงโรมต้องเลียนแบบเปาโล และเราก็เหมือนกัน—รม. 15:15, 16 ห16.12 2:5, 15, 16
วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม
คนที่เมตตาคนจนก็เหมือนให้พระยะโฮวายืม พระองค์จะตอบแทนเขาสำหรับสิ่งที่เขาทำ—สภษ. 19:17
เรามั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาเห็นค่าทุกสิ่งที่เราทำเพื่อรับใช้พระองค์ บางครั้งเราอาจไม่มั่นใจในตัวเองหรือคิดว่าตัวเราไม่มีความสามารถ แต่พระยะโฮวาเข้าใจเรา พระองค์ห่วงใยเราจริง ๆ ตอนที่เรากังวลเกี่ยวกับเรื่องงานหรือการหาเลี้ยงครอบครัว นอกจากนั้น พระองค์ยังเข้าใจเราดีถ้าเราไม่สามารถรับใช้พระองค์ได้มากเหมือนเมื่อก่อนเพราะเราอาจกำลังเจ็บป่วยหรือซึมเศร้า เราสามารถมั่นใจได้เต็มร้อยว่าพระยะโฮวาเห็นค่าที่เราซื่อสัตย์แม้จะเจอปัญหา (ฮบ. 6:10, 11) ขออย่าลืมว่าพระยะโฮวาเป็น “ผู้ฟังคำอธิษฐาน” เราจึงมั่นใจได้ว่าถ้าเราอธิษฐานถึงพระองค์ พระองค์ก็จะฟังเรา (สด. 65:2) พระยะโฮวาผู้เป็น “พ่อที่มีความเมตตากรุณาและเป็นพระเจ้าที่คอยให้กำลังใจในทุกสถานการณ์” จะให้ทุกสิ่งที่เราต้องมีเพื่อจะใกล้ชิดกับพระองค์ วิธีหนึ่งก็คือโดยใช้พี่น้องร่วมความเชื่อของเรา (2 คร. 1:3) พระยะโฮวาดีใจที่เห็นเราเมตตาคนอื่น (มธ. 6:3, 4) และพระองค์สัญญาว่าจะให้รางวัลที่เราทำดี ห16.12 4:13, 14
วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม
คนที่ได้รับพลังของพระยะโฮวาก็มีอิสระ—2 คร. 3:17
ตอนที่พระเยซูอยู่บนโลกท่านก็เลือกที่จะปฏิเสธการล่อใจของซาตานหลายครั้ง (มธ. 4:10) และในคืนก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต พระเยซูบอกพระเจ้าผู้เป็นพ่อว่าท่านอยากทำตามสิ่งที่พระองค์ต้องการ พระเยซูยืนยันกับพ่อว่า “พ่อครับ ถ้าพ่อต้องการ ขอให้ถ้วยนี้ผ่านพ้นไปจากผมเถอะ แต่อย่าให้เป็นไปตามใจผมเลย ขอให้เป็นไปตามที่พ่อต้องการ” (ลก. 22:42) แล้วพวกเราล่ะ? เป็นไปได้ไหมที่เราจะเลียนแบบพระเยซูโดยใช้อิสระที่เรามีเพื่อให้เกียรติพระยะโฮวาและทำตามความต้องการของพระองค์? แน่นอน เราสามารถเลียนแบบพระเยซูได้เพราะเราก็ถูกสร้างตามแบบพระเจ้า (ปฐก. 1:26) ถึงอย่างนั้น พวกเราไม่สามารถมีอิสระแบบไม่มีขีดจำกัดเหมือนพระเจ้าได้ คัมภีร์ไบเบิลอธิบายว่าพระยะโฮวาให้เรามีอิสระแบบมีขีดจำกัดและพระองค์คาดหมายให้เราอยู่ในกรอบที่พระองค์วางไว้ ตัวอย่างเช่น ในครอบครัว ภรรยาต้องเชื่อฟังสามี และลูกก็ต้องเชื่อฟังพ่อแม่—อฟ. 5:22; 6:1 ห17.01 2:4, 5
วันพุธที่ 25 กรกฎาคม
ผมจึงขอบอกพวกคุณทุกคนว่า อย่าคิดถึงตัวเองมากเกินไป—รม. 12:3
พวกเรามีชีวิตอยู่ในสมัยที่น่าตื่นเต้น องค์การของพระยะโฮวาบนโลกกำลังก้าวหน้าในหลาย ๆ ด้าน นี่หมายความว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกเรื่อย ๆ การเปลี่ยนแปลงบางอย่างอาจไม่ง่ายและมีผลกับเราเป็นส่วนตัว แต่เราควรจะถ่อมตัวและสนใจผลประโยชน์ของรัฐบาลพระเจ้าแทนที่จะสนใจผลประโยชน์ของตัวเราเอง ถ้าเราทำอย่างนั้นเราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกัน เปาโลเขียนถึงคริสเตียนในกรุงโรมว่า “เหมือนกับที่ร่างกายของเรามีอวัยวะหลายส่วน และอวัยวะแต่ละส่วนมีหน้าที่ต่างกัน ดังนั้น ถึงแม้เรามีกันหลายคน แต่ก็เป็นเหมือนร่างกายเดียวที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์” (รม. 12:3-5) ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาทุกคนต้องการสนับสนุนรัฐบาลของพระเจ้า และไม่ว่าถูกขอให้ทำงานอะไรพวกเขาก็จะทำ พี่น้องชายที่อายุมากกว่าควรฝึกคนที่อายุน้อยกว่า พี่น้องชายที่อายุน้อยกว่าก็ควรรับผิดชอบงานต่าง ๆ มากขึ้น เขาควรเจียมตัวและนับถือพี่น้องชายที่อายุมากกว่า พี่น้องชายทุกคนเห็นคุณค่าที่ภรรยาของพวกเขาร่วมมือและสนับสนุนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น พวกเธอควรเป็นเหมือนปริสสิลลาที่ให้ความร่วมมือกับอะควิลลาสามีของเธออย่างซื่อสัตย์—กจ. 18:2 ห17.01 5:15, 16
วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม
ผมยังไม่ใช่คนโดดเด่นอะไร—วนฉ. 6:15
กิเดโอนบอกว่า “วงศ์ตระกูลของผมก็เล็กที่สุดในตระกูลมนัสเสห์ แถมผมยังไม่ใช่คนโดดเด่นอะไรในบ้านของพ่อด้วย” แต่กิเดโอนวางใจพระยะโฮวาและยอมรับงานมอบหมายนั้น จากนั้นกิเดโอนทำบางอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าพระยะโฮวาอยากให้เขาทำอะไรและพระองค์อยากให้เขาทำงานนั้นจริง ๆ ไหม เขาอธิษฐานเพื่อขอการชี้นำจากพระเจ้า (วนฉ. 6:36-40) กิเดโอนเป็นคนเข้มแข็งและกล้าหาญ เขายังฉลาดและสุขุมรอบคอบด้วย (วนฉ. 6:11, 27) ต่อมา ผู้คนอยากให้กิเดโอนปกครองพวกเขา แต่กิเดโอนไม่ยอมทำอย่างนั้น หลังจากที่เขาได้ทำสิ่งที่พระยะโฮวาบอกให้ทำแล้ว กิเดโอนก็กลับไปบ้านของตัวเอง (วนฉ. 8:22, 23, 29) การเป็นคนเจียมตัวไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่รับงานมอบหมายใหม่เลยหรือไม่ยอมทำงานในประชาคมมากขึ้น คัมภีร์ไบเบิลสนับสนุนให้ผู้รับใช้ของพระเจ้ารับใช้พี่น้องมากขึ้นและพยายามก้าวหน้ามากขึ้น (1 ทธ. 4:13-15) แต่ความก้าวหน้าของเราขึ้นอยู่กับการได้รับงานมอบหมายใหม่ไหม? ไม่ เราทุกคนสามารถก้าวหน้ามากขึ้นได้โดยพัฒนาบุคลิกแบบคริสเตียนและพัฒนาความสามารถของเรา ถ้าเราทำแบบนี้ เราจะรับใช้พระเจ้าได้ดีขึ้นและช่วยคนอื่น ๆ ได้มากขึ้นด้วย ห17.01 3:15, 16
วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม
พระองค์ให้ลูกคนเดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อท่านจะเปิดโอกาสให้เราได้ชีวิต—1 ยน. 4:9
พระยะโฮวาจัดเตรียมค่าไถ่ที่มีราคาสูงมาก (1 ปต. 1:19) นี่แสดงว่าพวกเรามีค่ามากในสายตาของพระองค์ พระองค์ถึงเต็มใจให้ลูกชายที่พระองค์รักมากมาตายเพื่อพวกเรา ในแง่หนึ่ง พระเยซูจึงกลายเป็นพ่อของพวกเราแทนอาดัม (1 คร. 15:45) พระเยซูให้พวกเรามีโอกาสที่ดีมากมาย ไม่ใช่แค่มีชีวิตตลอดไป แต่ในที่สุดเราจะได้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวพระเจ้า เนื่องจากค่าไถ่พวกเราจึงมีโอกาสได้เป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ ซึ่งทำให้พระยะโฮวาสามารถยอมรับเรากลับมาในครอบครัวของพระองค์ได้โดยไม่ได้ฝ่าฝืนกฎของพระองค์เอง ลองคิดดูสิว่ามันจะดีขนาดไหนตอนที่ทุกคนที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อพระยะโฮวาจะกลายเป็นคนสมบูรณ์แบบ ในที่สุด ทุกคนในสวรรค์และโลกจะเป็นครอบครัวเดียวกัน เราทุกคนจะเป็นลูกของพระเจ้า (รม. 8:21) ถ้าเรารู้สึกขอบคุณสำหรับค่าไถ่ เราก็น่าจะบอกคนอื่นเกี่ยวกับของขวัญที่มีค่านี้ ห17.02 1:17, 19
วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม
ใครเป็นทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม?—มธ. 24:45
ในหอสังเกตการณ์ 15 กรกฎาคม 2013 อธิบายว่า “ทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม” คือพี่น้องชายกลุ่มเล็ก ๆ ที่รวมกันเป็นคณะกรรมการปกครองคณะกรรมการปกครองตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ ด้วยกันตอนที่พวกเขาประชุมกันในแต่ละสัปดาห์ การประชุมแบบนี้ช่วยให้พวกเขาได้มีโอกาสปรึกษาหารือกันและเป็นหนึ่งเดียวกัน (สภษ. 20:18) ไม่มีสมาชิกของคณะกรรมการปกครองคนไหนสำคัญกว่าคนอื่น ดังนั้น ทุกปีพวกเขาจะสลับสับเปลี่ยนกันนำการประชุม (1 ปต. 5:1) นอกจากนั้น ยังมีคณะกรรมการต่าง ๆ อีก 6 คณะ และจะมีการจัดการประชุมโดยที่สมาชิกคณะกรรมการปกครองที่ดูแลแต่ละคณะจะสลับกันนำการประชุม ไม่มีสมาชิกคณะกรรมการปกครองคนไหนคิดว่าเขาเป็นผู้นำพี่น้อง พวกเขาแต่ละคนก็เป็น “คนรับใช้” เหมือนกับพี่น้องคนอื่น ๆ พวกเขาจำเป็นต้องได้รับความรู้ที่ช่วยเสริมความเชื่อและต้องทำตามการชี้นำของทาสที่ซื่อสัตย์ด้วยเหมือนกัน คณะกรรมการปกครองเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบและไม่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า พวกเขาอาจทำผิดพลาดเมื่ออธิบายความรู้จากคัมภีร์ไบเบิลและเมื่อชี้นำองค์การของพระเจ้าได้ ห17.02 4:10-12
วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม
[พระเจ้า] ไม่ได้หวงแม้แต่ลูกของพระองค์เอง แต่ยอมให้ลูกมาตายเพื่อเราทุกคน—รม. 8:32
วิธีหนึ่งที่เราจะแสดงว่าเรารู้สึกขอบคุณค่าไถ่ก็คือการอุทิศชีวิตของเราให้พระยะโฮวาและรับบัพติศมา การทำอย่างนี้เป็นการแสดงว่าเรามีความเชื่อในค่าไถ่และแสดงว่า “เราก็เป็นคนของพระยะโฮวา” (รม. 14:8) ทุกอย่างที่พระยะโฮวาทำล้วนมาจากความรักของพระองค์ พระองค์อยากให้ผู้นมัสการทุกคนเลียนแบบพระองค์และรักกัน (1 ยน. 4:8-11) ถ้าเรารักคนอื่น เราก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเราอยากเป็น “ลูกแท้ ๆ ของพระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์” (มธ. 5:43-48) กฎหมายข้อที่สำคัญที่สุดสองข้อก็คือ เราต้องรักพระยะโฮวาและรักคนอื่น (มธ. 22:37-40) วิธีที่จะแสดงว่าเรารักคนอื่นก็คือการสอนเขาเกี่ยวกับข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า ถ้าเราเชื่อฟังกฎหมายที่ให้รักคนอื่นโดยเฉพาะรักพี่น้องคริสเตียน ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าก็จะ “สมบูรณ์ครบถ้วน”—1 ยน. 4:12, 20 ห17.02 2:13, 14
วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม
ถ้าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ก็นมัสการพระองค์เถอะ แต่ถ้าพระบาอัลเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ก็นมัสการพระบาอัลเลย!—1 พก. 18:21
คุณอาจคิดว่าการตัดสินใจเรื่องนี้ไม่เห็นยากเลย เพราะการนมัสการพระยะโฮวาคือสิ่งที่ดีที่สุดเสมออยู่แล้ว ไม่มีคนฉลาดคนไหนอยากนมัสการพระเท็จที่ไม่มีชีวิต แต่พวกประชาชนในตอนนั้นกลับตัดสินใจกันไม่ได้ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าชาวอิสราเอล “ทำตัวสองฝักสองฝ่าย” แต่เอลียาห์ไม่เหมือนกับคนพวกนี้ เขาฉลาดและสนับสนุนให้ประชาชนเลือกรับใช้พระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้ ทำไมชาวอิสราเอลรู้สึกว่ายากที่จะตัดสินใจเรื่องนี้? อย่างแรก พวกเขาไม่มีความเชื่อในพระยะโฮวาและไม่เชื่อฟังพระองค์ พวกเขาไม่วางใจในพระยะโฮวา ไม่ได้ใช้เวลาเรียนมากขึ้นเกี่ยวกับพระองค์ เกี่ยวกับความคิดและสติปัญญาของพระองค์ ที่จริง ถ้าพวกเขาทำอย่างนั้นก็จะช่วยพวกเขาให้ตัดสินใจอย่างฉลาด (สด. 25:12) อย่างที่สอง ชาวอิสราเอลเริ่มทำตามคนต่างชาติและนมัสการพระเท็จ ที่จริง พระยะโฮวาเตือนพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้นานหลายปีก่อนหน้านั้น—อพย. 23:2 ห17.03 2:6, 7
วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม
[เฮเซคียาห์] ยังทำลายรูปงูทองแดงที่โมเสสทำไว้ด้วย—2 พก. 18:4
เราสามารถเลียนแบบเฮเซคียาห์ในด้านไหนได้อีก? อาจมีบางอย่างขัดขวางไม่ให้เราใกล้ชิดกับพระยะโฮวา หรือแย่งเวลาเราจากการรับใช้พระองค์ ตัวอย่างเช่น หลายคนในทุกวันนี้ยกย่องผู้คนเหมือนกับว่ากำลังนมัสการคนคนนั้น พวกเขาชื่นชอบคนที่มีชื่อเสียงหรือคนอื่น ๆ ที่เขาไม่รู้จักจริง ๆ เลยด้วยซ้ำ หลายคนใช้เวลาเยอะมากดูรูปหรืออ่านเรื่องราวเกี่ยวกับคนที่มีชื่อเสียง นอกจากนั้น หลายคนชอบใช้สื่อสังคมออนไลน์หรือเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อติดต่อกับผู้คนทางอินเทอร์เน็ต แน่นอน เราชอบใช้เครื่องมือเหล่านั้นเพื่อติดต่อกับครอบครัวหรือเพื่อนสนิท แต่เราอาจเสียเวลากับสิ่งเหล่านี้มากเกินไป ยิ่งกว่านั้น การใช้สื่อสังคมออนไลน์อาจจะทำให้เรากลายเป็นคนที่ภูมิใจในตัวเองมากเกินไปก็ได้ เช่น ถ้าเราลงรูปหรือข้อความในอินเทอร์เน็ต แล้วมีหลายคนชอบหรือมากดไลค์ เราอาจจะรู้สึกภูมิใจ แต่พอไม่ค่อยมีคนมาสนใจสิ่งที่เราโพสต์ เราก็อาจรู้สึกโกรธหรือรู้สึกแย่มาก ลองนึกถึงอัครสาวกเปาโลและอะควิลลากับปริสสิลลา พวกเราน่าจะถามตัวเองว่า ‘ฉันระวังที่จะไม่ยกย่องหรือติดตามผู้คนเหมือนกับว่ากำลังนมัสการคนคนนั้นไหม? ฉันพยายามที่จะไม่ใช้เวลามากเกินไปกับสิ่งที่จริง ๆ แล้วไม่สำคัญไหม?’—อฟ. 5:15, 16 ห17.03 3:14, 17