พฤศจิกายน
วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน
ลูกของเรา ขอให้ฉลาดขึ้นและทำให้เราดีใจ เพื่อเราจะตอบคนที่เยาะเย้ยเราได้—สภษ. 27:11
ซาตานดูถูกเยาะเย้ยพระเจ้าโดยบอกว่ามนุษย์รับใช้พระองค์ด้วยเหตุผลที่เห็นแก่ตัวเท่านั้น (โยบ 2:4, 5) ซาตานยังคงเป็นเหมือนเดิมตั้งแต่มันพูดในครั้งนั้น ตอนที่ซาตานถูกเหวี่ยงลงมาจากสวรรค์และมันก็ยังกล่าวหาผู้รับใช้ของพระเจ้า (วว. 12:10) ทุกวันนี้ ซาตานยังอ้างว่ามนุษย์รับใช้พระเจ้าด้วยเหตุผลที่เห็นแก่ตัวเท่านั้น มันชอบที่จะเห็นเราไม่ยอมรับอำนาจปกครองของพระเจ้า และเลิกรับใช้พระองค์ ตอนที่คุณต้องทนทุกข์เนื่องจากถูกทดสอบ ขอให้คุณนึกภาพเหตุการณ์ที่คุณมองไม่เห็น ซาตานและพวกปีศาจอยู่ข้างหนึ่ง พวกมันกำลังดูว่าคุณจะทำอะไร และพูดกันว่าคุณต้องยอมแพ้แน่ ๆ อีกข้างหนึ่ง คุณเห็นพระยะโฮวา เห็นพระเยซูกษัตริย์ของเรา เห็นผู้ถูกเจิมที่ฟื้นขึ้นจากตาย และเห็นทูตสวรรค์นับล้าน ๆ องค์ พวกเขาเห็นว่าคุณต้องทนทุกข์ขนาดไหน และพวกเขาก็เอาใจช่วยคุณ พวกเขาดีใจที่ได้เห็นว่าคุณอดทนได้และรักษาความซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาเสมอ จากนั้น คุณก็ได้ยินเสียงพระยะโฮวาบอกคุณอย่างที่เห็นในข้อคัมภีร์วันนี้ ห16.04 2:8, 9
วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน
ให้พาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย—มธ. 18:16
ถ้าคุณทำตามคำแนะนำและจัดการกับปัญหานั้นได้ คุณก็จะ “ได้ช่วยเขาให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง” จริง ๆ แต่ถ้าคุณพยายามคุยกับเขาหลายครั้งแล้วและก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ คุณถึงจะทำตามขั้นตอนต่อไปคือ บอกเรื่องนั้นกับผู้ดูแล ส่วนใหญ่แล้ว น่าดีใจที่เราไม่ต้องทำทั้งสามขั้นตอนในมัทธิว 18:15-17 ทำไมเราถึงบอกอย่างนั้นได้? เพราะคนที่ทำผิดส่วนใหญ่ยอมรับผิด และพยายามแก้ปัญหาที่เขาก่อไว้ เขาจึงไม่ต้องถูกตัดสัมพันธ์ ส่วนพี่น้องที่เสียหายก็ควรยกโทษให้เพื่อทำให้ความขัดแย้งจบลงด้วยดี ดังนั้น จากคำแนะนำของพระเยซู เราเห็นได้ว่าเราไม่ต้องรีบไปหาผู้ดูแล เราควรบอกผู้ดูแลก็ต่อเมื่อเราได้พยายามทำตามสองขั้นตอนแรกแล้ว และมีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่ามีการทำผิดจริง ห16.05 1:15, 16
วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน
พวกเขาไม่ได้เป็นคนของโลก—ยน. 17:16
เราสนับสนุนรัฐบาลของพระเจ้าเท่านั้น เราจึงสามารถประกาศได้อย่างสะดวกใจว่ารัฐบาลของพระเจ้าเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ของมนุษย์ได้ การที่ศาสนาเท็จไม่เป็นกลางทางการเมืองทำให้เกิดการแบ่งแยก แต่เนื่องจากเราเป็นกลาง เราจึงเป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่น้องทั่วโลก (1 ปต. 2:17) ยิ่งเราเข้าใกล้อวสานของโลกซาตาน ก็ยิ่งทำให้ยากขึ้นที่เราจะรักษาความเป็นกลาง เพราะผู้คนในทุกวันนี้เป็นคน “ไม่ยอมใคร” และ “หัวดื้อ” นี่ทำให้พวกเขาเกิดการแบ่งแยกกันมากขึ้น (2 ทธ. 3:3, 4) นอกจากนั้น มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างรวดเร็วในบางประเทศ ซึ่งทำให้พี่น้องของเราบางคนรักษาความเป็นกลางได้ยาก นี่เป็นเหตุผลที่เราต้องเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้ที่จะรักษาความเป็นกลาง เพราะถ้าเราไม่ทำอย่างนั้น เราก็อาจจะอะลุ่มอล่วยยอมเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ห16.04 4:3, 4
วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน
ใครหว่านอะไรไปก็ต้องเก็บเกี่ยวผลจากสิ่งนั้น—กท. 6:7
บางคนคิดว่าเขาจะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ แต่เราอยากทำให้พระยะโฮวามีความสุข ดังนั้น ก่อนที่เราจะตัดสินใจ เราต้องคิดก่อนว่าคัมภีร์ไบเบิลบอกอย่างไรและพยายามทำตาม ตัวอย่างเช่น คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่าพระเจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับการใช้เลือด เราจึงทำตามสิ่งที่เขียนไว้ในคัมภีร์ไบเบิล (ปฐก. 9:4; กจ. 15:28, 29) เราสามารถอธิษฐานขอให้พระยะโฮวาช่วยเราให้ตัดสินใจในแบบที่ทำให้พระองค์พอใจ การตัดสินใจมีผลกับตัวเราเอง ถ้าเราตัดสินใจถูก เราก็จะสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น แต่ถ้าเราตัดสินใจผิด ความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระองค์ก็จะแย่ลง การตัดสินใจของเรายังมีผลกับคนอื่น ๆ ด้วย เราไม่อยากทำอะไรให้พี่น้องของเราไม่สบายใจ ทำให้ความเชื่อของพวกเขาอ่อนลง หรือทำให้พี่น้องมีปัญหากัน ดังนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องตัดสินใจให้ดี—รม. 14:19 ห16.05 3:4, 5
วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน
เรายะโฮวาเป็นพระเจ้าของเจ้า เราสอนเจ้าก็เพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง—อสย. 48:17
พระยะโฮวาจะพอใจถ้าเรา “ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์มากที่สุด” เพื่ออ่านและศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและสิ่งพิมพ์ของเราเป็นประจำ (อฟ. 5:15, 16) แต่ในความเป็นจริง เราอาจไม่ได้ใช้เวลาเท่า ๆ กันในการศึกษาหนังสือทุกเล่มที่เราได้รับ ดังนั้น มีอันตรายบางอย่างที่เราต้องระวัง สิ่งนั้นคืออะไร? ถ้าเราไม่ระวัง เราอาจคิดว่าบางส่วนของคัมภีร์ไบเบิล หรือหนังสือขององค์การบางเล่มไม่ได้มีประโยชน์กับเรา ตัวอย่างเช่น ถ้ามีส่วนหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิลที่ดูเหมือนใช้ไม่ได้กับชีวิตของเราล่ะ เราจะทำอย่างไร? หรือถ้าเรารู้สึกว่าบทความนั้นไม่ได้เขียนสำหรับเราล่ะ เราจะแค่อ่านผ่าน ๆ หรือไม่อ่านเลยไหม? ถ้าเป็นอย่างนั้น เราอาจพลาดข้อมูลที่มีค่าและเป็นประโยชน์กับเรา เราต้องจำไว้ว่าข้อมูลทุกอย่างที่เราได้รับนั้นมาจากพระยะโฮวา ห16.05 5:5, 6
วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน
ถ้ามีใครกำลังก้าวไปผิดทางโดยไม่รู้ตัว ก็ให้คนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมพยายามช่วยคนนั้นให้กลับมาในทางที่ถูกต้องด้วยความอ่อนโยน—กท. 6:1
พระยะโฮวานวดปั้นเราโดยทางประชาคมและพวกผู้ดูแลด้วย ตัวอย่างเช่น ผู้ดูแลอาจสังเกตว่าเรามีจุดอ่อนอะไร และพยายามช่วยเรา แต่พวกเขาก็ไม่ได้ให้คำแนะนำโดยใช้ความคิดของตัวเอง แทนที่จะทำอย่างนั้น พวกเขาอธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยให้มีสติปัญญาและความเข้าใจ จากนั้น พวกเขาก็ค้นคว้าโดยใช้คัมภีร์ไบเบิลและหนังสือต่าง ๆ ขององค์การเพื่อหาข้อมูลที่จะช่วยเรา ถ้าเราเข้าใจว่าพระยะโฮวานวดปั้นเราอย่างไร ก็จะช่วยให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่น้องของเรามากขึ้น นอกจากนั้น เราก็จะมองผู้คนที่เราพบในเขตประกาศในแง่บวก ซึ่งรวมถึงนักศึกษาของเราด้วย พระองค์ไม่ได้บังคับให้แต่ละคนเปลี่ยนแปลง แต่ให้พวกเขารู้จักมาตรฐานของพระองค์ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาเป็นคนที่สะอาดในสายตาพระเจ้า และพวกเขาต้องตัดสินใจเองว่าจะเปลี่ยนแปลงตามหรือไม่ ห16.06 1:13 14
วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน
เจ้ากลับพยายามหาของใหญ่ให้ตัวเอง เลิกซะเถอะ—ยรม. 45:5
อัครสาวกยอห์นเตือนว่า ถ้าใครรักสิ่งของในโลก คือ “ความต้องการของร่างกายที่มีบาป ความต้องการที่เกิดจากตา หรือการโอ้อวดทรัพย์สมบัติ” “เขาก็ไม่ได้รักพระเจ้าผู้เป็นพ่อ” (1 ยน. 2:15, 16) ดังนั้น เราจำเป็นต้องตรวจสอบตัวเราเสมอว่าเรารักโลกหรือเปล่า เราอาจพบว่าเราเริ่มชอบความบันเทิงหรือสไตล์การแต่งตัวแบบโลก ชื่นชอบคนเด่นดัง หรืออาจอยากได้ “ของใหญ่” ด้วยการเรียนสูง ๆ โลกใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว เราต้องจดจำคำพูดของโมเสสที่อยู่ในเฉลยธรรมบัญญัติ 6:4 ไว้ เพราะถ้าเราเข้าใจและเชื่อจริง ๆ ว่า “พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าของเรา และพระยะโฮวามีเพียงองค์เดียวเท่านั้น” เราก็จะนมัสการพระองค์เพียงผู้เดียวและรับใช้พระองค์อย่างที่พระองค์ต้องการ—ฉธบ. 6:4, ฮบ. 12:28, 29 ห16.06 3:14
วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน
พวกคุณต้องให้ความสำคัญกับการปกครองของพระเจ้าเสมอ แล้วพระองค์จะให้พวกคุณมีสิ่งจำเป็นทั้งหมดนี้—ลก. 12:31
เราอาจเคยได้ยินคำพูดที่บอกว่า สิ่งจำเป็นของมนุษย์มีไม่กี่อย่าง แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการนั้นมีไม่สิ้นสุด ผู้คนจำนวนมากไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ต้องการกับสิ่งที่จำเป็นแตกต่างกันอย่างไร “สิ่งที่จำเป็น” คือสิ่งที่เราต้องมีเพื่อจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ เช่น อาหาร เสื้อผ้า และที่อยู่อาศัย แต่ “สิ่งที่ต้องการ” คือสิ่งที่เราอยากได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ สิ่งที่คนในประเทศยากจนอยากได้อาจแตกต่างกันมากกับคนในประเทศร่ำรวย ในบางส่วนของโลก ผู้คนอยากมีโทรศัพท์มือถือ มอเตอร์ไซค์ หรือที่ดินผืนเล็ก ๆ แต่ในที่อื่น ๆ ผู้คนอยากมีเสื้อผ้าแพง ๆ บ้านหลังใหญ่ หรือรถยนต์หรู ๆ แต่ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนหรือมีเงินแค่ไหน เราก็อาจเริ่มอยากได้สิ่งของที่ไม่จำเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่เราอาจจะไม่มีปัญญาซื้อสิ่งของเหล่านั้นก็ได้—ฮบ. 13:5 ห16.07 1:1-3
วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน
อย่าวางแผนเพื่อสนองความต้องการที่เป็นบาป—รม. 13:14
หลายคนในทุกวันนี้รู้สึกว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องรู้จักพระเจ้า (มธ. 5:3) พวกเขาทุ่มเทเวลาและกำลังเกือบทั้งหมดไปกับการแสวงหาสิ่งของมากมายที่โลกเสนอให้ (1 ยน. 2:16) เราต้องการให้พลังของพระเจ้ามีอิทธิพลต่อความคิดของเรา ไม่ใช่น้ำใจของโลก พระยะโฮวาใช้พลังของพระองค์ช่วยเราให้เข้าใจชัดเจนว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต (1 คร. 2:12) แต่เราต้องระวัง แม้แต่เรื่องธรรมดา ๆ ในชีวิตก็อาจทำให้เราไม่จดจ่ออยู่กับการรับใช้พระยะโฮวา (ลก. 21:34, 35) บางคนอาจบอกว่า เราโง่ที่เชื่อว่านี่เป็นสมัยสุดท้าย (2 ปต. 3:3-7) แต่เราต้องไม่ปล่อยให้คนเหล่านี้มาทำให้เราท้อใจ เรามีหลักฐานชัดเจนว่าอวสานใกล้เข้ามาแล้ว ถ้าเราอยากให้พลังของพระเจ้ามีอิทธิพลต่อเรา เราต้องประชุมกับพี่น้องเป็นประจำ ห16.07 2:13, 14
วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน
พระองค์ผู้ฟังคำอธิษฐาน คนทุกชนิดจะมาหาพระองค์ . . . พระองค์ให้อภัยความผิดของพวกเรา—สด. 65:2, 3
หลายคนอธิษฐานแค่เพราะมันทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจ แต่ไม่ได้เชื่อจริง ๆ ว่าพระเจ้าฟังคำอธิษฐานของพวกเขา พวกเขาต้องรู้ว่าพระยะโฮวาเป็น “ผู้ฟังคำอธิษฐาน” พระเยซูบอกพวกสาวกของท่านว่า “ถ้าพวกคุณขออะไรจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อในนามของผม พระองค์จะให้สิ่งนั้นกับพวกคุณ” (ยน. 16:23) นี่หมายความว่าเราจะอธิษฐานขออะไรก็ได้ที่พระยะโฮวาเห็นด้วย ยอห์นเขียนว่า “เรามั่นใจในพระเจ้าว่า ถ้าเราขออะไรก็ตามที่สอดคล้องกับความประสงค์ของพระองค์ พระองค์จะฟังเรา” (1 ยน. 5:14) ดีจริง ๆ ที่เราได้ช่วยคนอื่นให้รู้ว่าการอธิษฐานไม่ได้เป็นแค่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจ แต่เป็นวิธีเข้าหาพระยะโฮวา “ต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้าผู้มีความกรุณาที่ยิ่งใหญ่” (ฮบ. 4:16) เมื่อเราสอนคนอื่นให้รู้วิธีที่ถูกต้องในการอธิษฐาน รู้ว่าควรอธิษฐานถึงใคร และควรอธิษฐานเรื่องอะไร เราก็กำลังช่วยพวกเขาให้เป็นเพื่อนกับพระยะโฮวา และได้รับกำลังใจเมื่อมีปัญหา—สด. 4:1; 145:18 ห16.07 4:11, 12
วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน
ผู้ที่ภักดีต่อพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ พวกเขาจะประกาศว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ที่มีสง่าราศี และพูดถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เพื่อให้คนทั้งหลาย . . . รู้ว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่และสง่างาม—สด. 145:10-12
เราทุกคนที่รักพระยะโฮวาและซื่อสัตย์ต่อพระองค์อยากบอกคนอื่น ๆ ให้รู้เกี่ยวกับพระองค์ แต่ถ้าคุณเจ็บป่วยหรืออายุมากและออกประกาศไม่ได้มากอย่างที่ต้องการล่ะ? คุณต้องจำไว้เสมอว่า ทุกครั้งที่คุณพูดเกี่ยวกับพระยะโฮวาไม่ว่าจะกับหมอหรือพยาบาล คุณก็กำลังสรรเสริญพระองค์ หรือถึงคุณจะติดคุกเพราะความเชื่อ คุณก็มีโอกาสบอกคนอื่นเรื่องพระยะโฮวาได้ และพระองค์จะพอใจที่คุณทำอย่างนั้น (สภษ. 27:11) หรือถ้าครอบครัวคุณไม่ใช่พยานฯ แต่คุณก็พยายามรับใช้พระองค์ คุณก็กำลังทำให้พระองค์มีความสุขมาก (1 ปต. 3:1-4) ไม่ว่าสภาพการณ์ในชีวิตจะยุ่งยากลำบากแค่ไหน คุณก็สามารถสรรเสริญพระยะโฮวา ใกล้ชิดกับพระองค์ และก้าวหน้าขึ้นได้ พระยะโฮวาจะอวยพรเมื่อคุณช่วยคนอื่นให้เรียนรู้เกี่ยวกับคำสัญญาที่ดีเยี่ยมของพระองค์ ห16.08 3:19, 20
วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน
ให้ภรรยาเชื่อฟังสามีเหมือนที่เธอเชื่อฟังพระคริสต์ เพราะสามีเป็นผู้นำของภรรยาเหมือนที่พระคริสต์เป็นผู้นำของประชาคม—อฟ. 5:22, 23
นี่ไม่ได้หมายความว่าภรรยาสำคัญน้อยกว่าสามี เพราะพระยะโฮวาพูดถึงบทบาทที่สำคัญของภรรยาด้วยว่า “ถ้าจะให้มนุษย์คนนั้นอยู่คนเดียวต่อไปก็ไม่เหมาะ เราจะให้เขามีผู้ช่วยคนหนึ่งมาเป็นคู่ที่เหมาะกับเขา มาเติมเต็มชีวิตให้เขา” (ปฐก. 2:18) ภรรยาควรสนับสนุนสามีให้เป็นผู้นำครอบครัวที่ดี ส่วนสามีก็ต้องเลียนแบบตัวอย่างการแสดงความรักของพระเยซูที่เป็น “ผู้นำของประชาคม” ถ้าสามีทำแบบนั้นภรรยาก็จะรู้สึกมั่นคงปลอดภัยและรู้สึกว่าง่ายขึ้นที่จะนับถือและสนับสนุนสามี คริสเตียนในทุกวันนี้เลียนแบบตัวอย่างของพระเยซู พวกเขารักกันเหมือนที่พระเยซูรักสาวก (ยน. 13:34, 35; 15:12, 13; อฟ. 5:25) สามีและภรรยาคริสเตียนน่าจะรักกันมากจนถึงขั้นที่ยอมตายแทนกันได้ ห16.08 2:3, 4
วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน
คำพูดที่ถูกกาลเทศะก็ดีจริง ๆ—สภษ. 15:23
คำพูดในแง่บวกของคุณสามารถให้กำลังใจคนอื่น ๆ และช่วยพวกเขาให้รับใช้พระยะโฮวาต่อ ๆ ไปได้ อย่าลืมว่าพี่น้องก็จะได้รับกำลังมากด้วยตอนที่คุณออกความคิดเห็นที่ให้กำลังใจในการประชุม โดยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา “มือ” ของเนหะมีย์และชาวยิวมีกำลังขึ้น พวกเขามีกำลังใจ และสร้างกำแพงกรุงเยรูซาเล็มเสร็จใน 52 วัน! (นหม. 2:18; 6:15, 16) เนหะมีย์ไม่ได้แค่ดูคนอื่นทำงาน แต่เขาลงมือช่วยสร้างกำแพงจริง ๆ (นหม. 5:16) คล้ายกัน ผู้ดูแลหลายคนเลียนแบบตัวอย่างของเนหะมีย์โดยช่วยในโครงการก่อสร้าง หรือทำความสะอาดและบำรุงรักษาหอประชุม นอกจากนั้น พี่น้องชายที่มีความรักเหล่านี้ให้กำลังใจพี่น้องที่ “กังวลใจ” โดยไปเยี่ยมพวกเขาหรือทำงานรับใช้ด้วยกันกับเขา—อสย. 35:3, 4 ห16.09 1:15, 16
วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน
ความรัก . . . ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว—1 คร. 13:4, 5
ประชาชนของพระเจ้าทุกคนพยายามที่จะทำตามคำแนะนำที่บอกว่า “ให้กำจัดแนวโน้มแบบโลกซึ่งอยู่ในอวัยวะของพวกคุณ คือการผิดศีลธรรมทางเพศ การกระทำที่ไม่สะอาด ความใคร่แบบที่ไม่มีการควบคุม” (คส. 3:2, 5) ก่อนหน้านี้พี่น้องบางคนเคยใช้ชีวิตแบบผิดศีลธรรม และถึงแม้ตอนนี้เขาไม่ได้ทำอย่างนั้นแล้ว แต่เขาก็ยังต้องต่อสู้กับความต้องการแบบนั้นอยู่ ดังนั้น ถ้าเราไม่ระวัง การแต่งตัวของเราก็อาจทำให้พี่น้องต่อสู้กับความต้องการของตัวเองได้ยากขึ้น และทำตามคำแนะนำในพระคัมภีร์ได้ยากขึ้นด้วย (1 คร. 6:9, 10) เราคงไม่อยากทำกับพี่น้องอย่างนั้น จริงไหม? การแต่งตัวของเราควรส่งเสริมความสะอาดทางศีลธรรม แม้เรามีอิสระจะเลือกใส่อะไรก็ได้ แต่เราก็มีหน้าที่ที่จะช่วยพี่น้องให้รักษาความคิด คำพูด และการกระทำของเขาให้สะอาดในสายตาพระเจ้าโดยการแต่งตัวของเรา—1 ปต. 1:15, 16 ห16.09 3:9, 10
วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน
ชายหนุ่มกับหญิงสาว . . . ขอให้ทั้งหมดสรรเสริญชื่อของพระยะโฮวา—สด. 148:12, 13
พ่อแม่คู่หนึ่งในฝรั่งเศสบอกว่า “พวกเรามีความเชื่อในพระยะโฮวา แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าลูกของเราจะมีความเชื่อด้วย ความเชื่อไม่ได้เป็นมรดกที่ตกทอดมาจากพ่อแม่ ลูก ๆ ของเราต้องค่อย ๆ มีความเชื่อมากขึ้น” พี่น้องชายคนหนึ่งในออสเตรเลียบอกว่า “การช่วยลูกให้มีความเชื่ออาจเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตของคุณ คุณอาจรู้สึกว่าต้องตอบคำถามที่ลูกสงสัยอยู่เรื่อย ๆ และพวกเขาก็มักจะกลับมาถามคำถามเดิมอีก คำตอบที่จุใจสำหรับลูกในตอนนี้อาจไม่พอสำหรับเขาในอนาคต” ตอนที่ลูก ๆ โตขึ้น พ่อแม่หลายคนเห็นว่าพวกเขาต้องอธิบายเรื่องที่เคยอธิบายไปแล้ว แถมยังต้องอธิบายละเอียดขึ้น และต้องใช้วิธีสอนหลาย ๆ แบบเพื่อช่วยให้ลูก ๆ รักพระยะโฮวา ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ คุณเคยสงสัยไหมว่า คุณจะสอนลูก ๆ ให้รักพระยะโฮวาและโตมารับใช้พระองค์ได้จริง ๆ ไหม? ที่จริง พวกเราทำเรื่องนี้ไม่ได้ด้วยตัวเอง (ยรม. 10:23) พวกเราต้องพึ่งพระยะโฮวา พระองค์ให้คำแนะนำมากมายกับพ่อแม่ ห16.09 5:1, 2
วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน
อย่ากีดกันสิ่งดี ๆ ไว้จากคนที่สมควรได้รับ—สภษ. 3:27
คนต่างด้าวต้องพยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมและประเทศใหม่ที่เขาย้ายไปอยู่ รูธวางตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ เธอทำอย่างไร? อย่างแรก รูธนับถือธรรมเนียมของประเทศที่เธอย้ายไปอยู่โดยการขออนุญาตเก็บข้าวตก (นรธ. 2:7) เธอไม่คิดเอาเองว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะทำอย่างนั้น หรือรู้สึกว่าคนอื่น ๆ ก็ควรจะให้เธออยู่แล้ว อย่างที่สอง รูธขอบคุณทันทีเมื่อได้รับความช่วยเหลือ (นรธ. 2:13) ถ้าคนต่างด้าวคิดและทำเหมือนกับรูธ พี่น้องท้องถิ่นก็จะให้เกียรติเขามากขึ้น เรามีความสุขจริง ๆ ที่พระยะโฮวาแสดงความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ และให้ทุกคนได้ยินข่าวดีไม่ว่าเขาจะมีพื้นเพอย่างไร บางคนอาจไม่สามารถเรียนคัมภีร์ไบเบิลหรือไปประชุมกับพยานพระยะโฮวาได้ในบ้านเกิดของเขา แต่ในตอนนี้ พวกเขามีโอกาสอยู่กับพวกเรา เราจึงควรช่วยพวกเขาเพื่อพวกเขาจะไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนแปลกหน้า ห16.10 1:17-19
วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน
ท่านยอมทนทุกข์และไม่คิดถึงความอับอายที่ต้องตายบนเสาทรมาน—ฮบ. 12:2
ผู้รับใช้หลายล้านคนของพระเจ้ากำลังทำตามตัวอย่างของพระเยซู พวกเขาคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับคำสัญญาต่าง ๆ ของพระเจ้า และรักษาความซื่อสัตย์ภักดีต่อพระองค์ถึงจะต้องเจอกับความยากลำบาก ให้เรามาดูตัวอย่างของรูดอล์ฟ ไกรเคน รูดอล์ฟเป็นคนเยอรมัน เขาเกิดในปี 1925 ตอนที่เป็นเด็ก พ่อแม่ของเขาแขวนรูปภาพที่เกี่ยวกับคำสัญญาในคัมภีร์ไบเบิลไว้บนผนังบ้าน เขาเล่าว่า “รูปหนึ่งเป็นรูปหมาป่ากับลูกแกะ เด็กกับเสือดาว ลูกวัวกับสิงโต สัตว์ทุกตัวอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขโดยมีเด็กตัวเล็ก ๆ เป็นผู้นำของพวกมัน” (อสย. 11:6-9) นี่ช่วยให้เรื่องเกี่ยวกับสวนอุทยานบนโลกอยู่ในใจรูดอล์ฟเสมอ และช่วยเขาให้มีความเชื่อเข้มแข็ง ผลคือ รูดอล์ฟรักษาความซื่อสัตย์ภักดีต่อพระยะโฮวาถึงแม้เขาต้องเจอกับการทดสอบอย่างโหดร้าย ซึ่งครั้งแรกพวกหน่วยเกสตาโปของนาซีข่มเหงเขา และต่อมาก็เจอการข่มเหงอีกจากสตาซี ตำรวจลับเยอรมันตะวันออก นอกจากนั้น รูดอล์ฟยังต้องเจอกับการทดสอบอื่น ๆ อีก แม่ของเขาเป็นไข้รากสาดใหญ่และตายในค่ายกักกันราเฟนส์บรึค ส่วนพ่อของเขายอมเซ็นเอกสารที่บอกว่าจะไม่เป็นพยานพระยะโฮวา ห16.10 3:12-14
วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน
เมื่อพวกคุณได้ยินคำสอนของพระเจ้า . . . พวกคุณยอมรับคำสอนนั้นไว้เหมือนเป็นคำสอนของพระเจ้าจริง ๆ—1 ธส. 2:13
เรานับถือคัมภีร์ไบเบิลมากเพราะเรารู้ว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือของพระเจ้า คัมภีร์ไบเบิลมีคำแนะนำที่ช่วยเราให้ไม่ต้องเจอกับปัญหา และถ้าเราทำผิด คัมภีร์ไบเบิลก็ช่วยเราให้ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น แต่ตัวเราเองล่ะ เราตอบรับคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลอย่างไร? ขอคิดถึงเหตุการณ์ในศตวรรษแรก มีพี่น้องหญิงผู้ถูกเจิม 2 คนชื่อยูโอเดียกับสินทิเค คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพวกเขาทะเลาะกัน เหตุการณ์แบบนี้อาจทำลายบรรยากาศของประชาคมและทำให้พี่น้องรู้สึกไม่สบายใจ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเปาโลเตือนพี่น้องหญิงสองคนนี้และสนับสนุนพวกเขาให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข พวกเขาคงจะฟังเปาโลและรับใช้พระยะโฮวาต่อ ๆ ไปอย่างมีความสุข (ฟป. 4:2, 3) ในทุกวันนี้ บางครั้งเราก็อาจมีปัญหากับพี่น้องในประชาคมเหมือนกัน แต่ถ้าเราทำตามคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลเราก็จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ หรืออาจทำให้เราไม่ต้องเจอกับปัญหาเลยก็ได้ นอกจากนั้น ถ้าเราเชื่อฟังสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอก เราก็กำลังแสดงให้เห็นว่าเรานับถือหนังสือของพระยะโฮวาจริง ๆ—สด. 27:11 ห16.11 3:1-3
วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน
ถ้าคุณท้อแท้ในวันที่ทุกข์ลำบาก กำลังเรี่ยวแรงของคุณก็จะน้อย—สภษ. 24:10
เราทุกคนต้องการกำลังใจ และเป็นเรื่องสำคัญมากที่พ่อแม่ต้องให้กำลังใจลูก ครูคนหนึ่งที่ชื่อทิโมธี อีแวนส์ อธิบายว่าเด็ก ๆ “ต้องการกำลังใจเหมือนกับต้นไม้ที่ต้องการน้ำ” เขายังบอกอีกว่า “ถ้าเด็กได้กำลังใจ พวกเขาก็จะรู้สึกว่าตัวเองมีความหมายและมีค่า” แต่เนื่องจากเราทุกคนมีชีวิตอยู่ใน “สมัยสุดท้าย” ผู้คนส่วนใหญ่เห็นแก่ตัวและ “ไม่รักญาติพี่น้อง” หรือคนในครอบครัว จึงไม่ค่อยมีการให้กำลังใจกัน (2 ทธ. 3:1-5) ซาตานรู้ดีว่าถ้ามันทำให้เราท้อแท้หมดกำลังใจ ความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระยะโฮวาก็อาจจะแย่ลง ซาตานพยายามทำให้โยบท้อแท้ โดยทำให้เขาเจอปัญหาหนักทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่แผนการของมันก็ล้มเหลว เพราะโยบยังรักษาความซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาอยู่เสมอ (โยบ 2:3; 22:3; 27:5) พวกเราก็เหมือนกัน เราสามารถต่อสู้กับซาตานและชนะมันได้ ทั้งเรากับครอบครัวและพี่น้องในประชาคมจะมีความสุขและสนิทกับพระยะโฮวา ถ้าเราให้กำลังใจพวกเขาต่อ ๆ ไป ห16.11 1:4, 6
วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน
[พระเจ้า] เรียกพวกคุณออกจากความมืดมาหาความสว่างที่มหัศจรรย์ของพระองค์—1 ปต. 2:9
ประมาณปี 1500 มีคนที่กล้าหาญบางคนพยายามแปลคัมภีร์ไบเบิลในภาษาที่คนทั่วไปใช้กัน พวกผู้นำกลัวว่าถ้าผู้คนสามารถอ่านคัมภีร์ไบเบิลในภาษาของตัวเองได้ พวกเขาก็จะเริ่มสงสัยเรื่องต่าง ๆ เช่น คำสอนเรื่องไฟชำระอยู่ที่ไหนในคัมภีร์ไบเบิล? แล้วเรื่องการทำพิธีมิสซาให้คนตายล่ะ? คัมภีร์ไบเบิลบอกเรื่องของโป๊ปกับคาร์ดินัลไว้ที่ไหน? คำสอนมากมายของคริสตจักรเป็นคำสอนที่ไม่ได้มาจากคัมภีร์ไบเบิล พวกผู้นำคริสตจักรจะโกรธมากถ้ามีใครสงสัยอะไรเกี่ยวกับคำสอนของพวกเขา คนที่ไม่เห็นด้วยก็จะถูกประหารชีวิต พวกผู้นำคริสตจักรพยายามทำให้คนทั่วไปไม่มีโอกาสได้อ่านคัมภีร์ไบเบิลจะได้ไม่ต้องสงสัยคำสอนของคริสตจักร และส่วนใหญ่พวกเขาก็ทำได้สำเร็จ แต่ก็มีคนที่กล้าหาญบางคนที่ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของบาบิโลนใหญ่ พวกเขาได้พบความจริงในคัมภีร์ไบเบิลและอยากรู้มากขึ้น ห16.11 4:13
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน
พยานที่ซื่อสัตย์จะไม่โกหก—สภษ. 14:5
เรารู้ว่าถ้าเราอยากรับใช้พระยะโฮวาเราต้องเป็นคนซื่อสัตย์ (อฟ. 4:25) เรารู้ว่าซาตานเป็น “พ่อของการโกหก” และรู้ว่าอานาเนียกับภรรยาต้องตายเพราะพูดโกหก เราจึงไม่อยากเป็นเหมือนพวกเขา (ยน. 8:44; กจ. 5:1-11) แต่การเป็นคนซื่อสัตย์ไม่ได้หมายถึงแค่การไม่พูดโกหก ถ้าเราเห็นคุณค่าความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าจริง ๆ เราก็จะซื่อสัตย์ในทุกเรื่อง ถึงเราจะไม่พูดโกหกเลย เราก็อาจเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ได้ ตัวอย่างเช่น พระยะโฮวาบอกชาวอิสราเอลว่า “อย่าขโมย อย่าหลอกลวงกัน และอย่าคดโกง” ทำไมชาวอิสราเอลต้องทำอย่างนั้น? พระยะโฮวาบอกว่า “พวกเจ้าต้องเป็นคนบริสุทธิ์ เพราะเรายะโฮวาพระเจ้าของพวกเจ้าเป็นพระเจ้าที่บริสุทธิ์” (ลนต. 19:2, 11) ถึงแม้เราไม่ได้พูดโกหก แต่ถ้าเราตั้งใจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดก็ถือว่าเราเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ ห16.12 1:17, 18
วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน
สันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจทุกอย่างจะปกป้องหัวใจและความคิดของพวกคุณไว้โดยทางพระคริสต์เยซู—ฟป. 4:7
ในคัมภีร์ไบเบิลเราได้อ่านเกี่ยวกับวิธีที่พระเยซูพูดกับผู้คน พวกเขาชอบฟังที่พระเยซูสอนเพราะคำพูดของท่านให้กำลังใจและช่วยให้รู้สึกสดชื่นหายเหนื่อย โดยเฉพาะคนที่รู้สึกอ่อนแอและซึมเศร้า (มธ. 11:28-30) พระเยซูเป็นห่วงว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไร (มก. 6:30-32) พระเยซูจะช่วยเราในทุกวันนี้เหมือนกับที่ท่านเคยสัญญาว่าจะช่วยอัครสาวกที่เดินทางกับท่าน ถึงเราไม่ได้อยู่กับพระเยซูแต่เราก็มั่นใจได้ว่าท่านจะช่วยเรา ท่านจะรักและดูแลเราต่อ ๆ ไปในฐานะที่ท่านเป็นกษัตริย์ในสวรรค์ ดังนั้น ถ้าคุณรู้สึกกังวล คุณมั่นใจได้ว่าพระเยซูจะอยู่กับคุณและช่วยคุณในเวลาที่ ‘คุณต้องการความช่วยเหลือ’ คำพูดของพระเยซูให้ความหวังและกำลังใจกับเราซึ่งสามารถช่วยเราให้เอาชนะความกังวลได้—ฮบ. 2:17, 18; 4:16 ห16.12 3:4, 6
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน
เราตัดสินใจแล้วว่าจะทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมด—ปฐก. 6:13
โนอาห์มีชีวิตอยู่ในโลกที่ ‘มีแต่ความรุนแรง’ และการทำผิดศีลธรรม (ปฐก. 6:4, 9-12) โนอาห์ประกาศคำเตือนของพระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์ แต่เขาไม่สามารถบังคับผู้คนให้ฟังและไม่สามารถทำให้น้ำมาท่วมก่อนเวลาที่กำหนดได้ โนอาห์ต้องวางใจว่าพระยะโฮวาจะรักษาสัญญาที่จะทำลายโลกชั่ว และเชื่อว่าพระองค์จะทำอย่างนั้นในเวลาที่เหมาะสม (ปฐก. 6:17) พวกเราก็เหมือนกัน เราอยู่ในโลกที่มีแต่ความชั่วและพระยะโฮวาสัญญาว่าจะทำลายความชั่วให้หมดไป (1 ยน. 2:17) เราไม่สามารถบังคับผู้คนให้ฟัง “ข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า” และไม่สามารถทำให้ “ความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่” มาก่อนเวลาที่กำหนดได้ (มธ. 24:14, 21) เหมือนกับโนอาห์ เราต้องมีความเชื่อที่เข้มแข็ง ต้องวางใจว่าพระเจ้าจะทำลายความชั่วทั้งหมดเร็ว ๆ นี้ (สด. 37:10, 11) เรามั่นใจว่าพระยะโฮวาจะไม่ยอมให้วันที่พระองค์กำหนดไว้ว่าจะทำลายโลกชั่วถูกเลื่อนออกไปแม้แต่วันเดียว—ฮบก. 2:3 ห17.01 1:5-7
วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน
เรายะโฮวา . . . สอนเจ้าก็เพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง เรานำทางเจ้าให้เดินในทางที่ถูกต้อง—อสย. 48:17
ทุกวันนี้บางคนใช้อิสระนั้นผิด ๆ อย่างเช่น ใช้มันทำร้ายคนอื่นหรือเลือกทำสิ่งที่ไม่ดี คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ในสมัยสุดท้าย” ผู้คนจะ “อกตัญญู” หรือไม่เห็นคุณค่า (2 ทธ. 3:1, 2) ดังนั้น เราจะแสดงอย่างไรว่าเราเห็นคุณค่าของขวัญนี้จากพระยะโฮวา? และเราจะหลีกเลี่ยงไม่ใช้ของขวัญนี้ในทางที่ผิดอย่างไร? เราทุกคนมีอิสระในการเลือกว่าจะคบใครเป็นเพื่อน จะแต่งตัวแบบไหน จะดูหนังฟังเพลงอะไร แต่เราอาจใช้อิสระในทางที่ผิดได้โดยใช้เป็นข้ออ้างในการเลือกทำสิ่งที่พระเจ้าไม่ชอบ หรือติดตามสิ่งที่คนทั่วไปในโลกทำกัน (1 เป. 2:16) แทนที่จะใช้อิสระเพื่อ “เป็นข้ออ้างที่จะปล่อยตัวตามความต้องการของร่างกายที่มีบาป” เราต้องพยายามใช้อิสระนั้นเพื่อ “ทำทุกสิ่งแบบที่จะทำให้พระเจ้าได้รับการยกย่องสรรเสริญ”—กท. 5:13; 1 คร. 10:31 ห17.01 2:12-14
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน
พอได้ยินอย่างนี้ ผมก็ . . . อดอาหารและอธิษฐานถึงพระเจ้าแห่งสวรรค์—นหม. 1:4
เหมือนกับเนหะมีย์ เมื่อเราได้รับหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้นหรือถูกเปลี่ยนงานมอบหมาย เราต้องเป็นคนเจียมตัว เราต้องไม่พึ่งความสามารถหรือประสบการณ์ของเราเอง คนเราจะเริ่มพึ่งตัวเองมากกว่าพระเจ้าได้อย่างไร? ตัวอย่างเช่น ผู้ดูแลคนหนึ่งอาจจัดการเรื่องในประชาคมโดยไม่อธิษฐานก่อน ส่วนพี่น้องอีกคนหนึ่งก็อาจตัดสินใจเองก่อนแล้วค่อยอธิษฐานขอให้พระยะโฮวาอวยพรการตัดสินใจนั้น แต่สำหรับคนที่เจียมตัว ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่เขาเคยทำมาหลายครั้งแล้ว เขาก็จะไม่พึ่งตัวเอง เขาจำไว้เสมอว่าไม่ว่าเขาจะเก่งขนาดไหนก็สู้พระยะโฮวาไม่ได้ (สภษ. 3:5, 6) ในโลกทุกวันนี้ ผู้คนมากมายเห็นแก่ตัวและพยายามอยู่เหนือคนอื่น แต่ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราไม่คิดว่าการมีหน้าที่รับผิดชอบจะทำให้เราดีกว่าคนในครอบครัวหรือในประชาคม เราไม่ได้มองว่าหน้าที่รับผิดชอบที่ได้รับเป็นการไต่เต้าเพื่อมีตำแหน่งสูงขึ้น แทนที่จะคิดอย่างนั้น เราต้องเข้าใจบทบาทของตัวเองในการจัดเตรียมของพระเจ้าและร่วมมือกับพี่น้องของเราซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าเหมือนกัน—1 ทธ. 3:15 ห17.01 4:7, 8
วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน
โลกนี้พระองค์ยกให้มนุษย์—สด. 115:16
พระยะโฮวาตั้งใจให้มนุษย์มีชีวิตตลอดไปบนโลก (ปฐก. 1:28; สด. 37:29) พระองค์เป็นพระเจ้าที่ใจดี พระองค์ให้ของขวัญที่มีค่าหลายอย่างกับอาดัมและเอวา (ยก. 1:17) พระยะโฮวาให้พวกเขามีอิสระที่จะตัดสินใจได้เองและมีความสามารถที่จะคิดหาเหตุผล รู้จักรักและมีความสุขกับมิตรภาพ พระเจ้าผู้สร้างพูดคุยกับอาดัมและสอนเขาให้ทำสิ่งที่ดี อาดัมยังได้เรียนเกี่ยวกับวิธีดูแลตัวเอง ดูแลสัตว์และโลก (ปฐก. 2:15-17, 19, 20) พระยะโฮวาให้อาดัมกับเอวามีประสาทสัมผัส เช่น การลิ้มรส ดมกลิ่น ได้ยิน สัมผัส และมองเห็นสิ่งดี ๆ มากมายที่พระองค์สร้างให้พวกเขา พวกเขาจึงมีความสุขกับชีวิตในโลกที่เป็นเหมือนบ้านที่สวยงามนี้ นอกจากนั้น อาดัมกับเอวามีงานที่น่าสนใจมากมาย พวกเขาสามารถเรียนรู้และค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ได้ไม่มีวันหมด พระยะโฮวาให้อาดัมกับเอวามีความสามารถที่จะมีลูกที่เป็นคนสมบูรณ์แบบ พระองค์ให้โลกนี้กับมนุษย์ และให้ทุกสิ่งที่ยอดเยี่ยมสวยงามในโลกกับพวกเขาด้วย โลกนี้จะเป็นบ้านของพวกเขาตลอดไป ห17.02 1:6, 7
วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน
เขาจะต้องเอากฎหมายนี้ . . . มาคัดลอกใส่ม้วนหนังสือ . . . และทำตามข้อกฎหมายและข้อกำหนดต่าง ๆ นี้ทุกอย่าง—ฉธบ. 17:18, 19
ถ้อยคำของพระเจ้าชี้นำคนที่นำหน้าประชาชนของพระองค์อย่างไร? ลองคิดถึงตัวอย่างของกษัตริย์โยสิยาห์ หลังจากที่มีการค้นพบกฎหมายของโมเสส เขาให้เลขานุการอ่านกฎหมายนั้นให้ฟัง ถ้อยคำของพระเจ้ากระตุ้นใจโยสิยาห์ให้ทำลายรูปเคารพทั้งหมดในแผ่นดิน และจัดการฉลองปัสกาครั้งใหญ่ที่สุด (2 พก. 22:11; 23:1-23) เนื่องจากกษัตริย์โยสิยาห์และคนที่นำหน้าที่ซื่อสัตย์คนอื่น ๆ เชื่อฟังถ้อยคำของพระเจ้า พวกเขาจึงเต็มใจปรับเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ช่วยให้ชาวอิสราเอลกลับมาเชื่อฟังพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่กษัตริย์ทุกองค์ที่ปกครองประชาชนของพระเจ้าในอดีตจะทำตามการชี้นำของพระองค์ หลายครั้งพระยะโฮวาจึงว่ากล่าวแก้ไขพวกเขาหรือถอดพวกเขาออกจากตำแหน่ง (1 ซม. 13:13, 14) ต่อมา พระยะโฮวาได้แต่งตั้งคนหนึ่งให้เป็นผู้นำที่สมบูรณ์แบบ ห17.02 3:11, 12, 14
วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน
พระองค์สร้าง [มนุษย์] ให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์หน่อยหนึ่ง พระองค์ให้เขามีเกียรติยศและความสง่างาม—สด. 8:5
มนุษย์ถูกสร้างขึ้น “ตามแบบพระเจ้า” (ปฐก. 1:27) นี่หมายความว่าคนส่วนใหญ่สามารถแสดงคุณลักษณะเหมือนกับพระเจ้า ตัวอย่างเช่น มนุษย์สามารถแสดงความรัก ความเมตตากรุณา และความสงสาร มนุษย์ยังถูกสร้างให้มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีซึ่งช่วยเขาให้รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรดีอะไรไม่ดี อะไรควรทำและไม่ควรทำ (รม. 2:14, 15) ผู้คนส่วนใหญ่ชอบสิ่งที่สะอาดสวยงาม และอยากอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างสงบสุข เราไม่แปลกใจที่ผู้คนเป็นอย่างนี้ เพราะพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่มีระเบียบและมีสันติสุข ในเมื่อมนุษย์ทุกคนมีคุณลักษณะแบบพระเจ้าในระดับหนึ่ง ดังนั้น พวกเขาจึงสมควรได้รับเกียรติและได้รับความนับถือ ถึงเรารู้ว่าควรให้เกียรติมนุษย์ แต่ก็ไม่ง่ายที่เราจะรู้ว่าควรให้เกียรติพวกเขาแบบไหนและมากขนาดไหน นี่เป็นเพราะโลกของซาตานส่งผลอย่างมากกับความคิดของมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ส่วนใหญ่ ห17.03 1:5, 6
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน
[พระเจ้า] จึงเปลี่ยนใจไม่ทำลายพวกเขาอย่างที่พระองค์บอกไว้—ยนา. 3:10
พระยะโฮวาไม่เหมือนกับมนุษย์ส่วนใหญ่ พระองค์ไม่ได้ตัดสินใจแบบไม่คิดแม้กระทั่งตอนที่พระองค์โกรธ ลองสังเกตดูว่าพระองค์ทำอะไรกับชาวนีนะเวห์ในสมัยของโยนาห์ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “เมื่อพระเจ้าเที่ยงแท้เห็นว่าพวกเขาเลิกทำชั่ว พระองค์จึงเปลี่ยนใจไม่ทำลายพวกเขาอย่างที่พระองค์บอกไว้” เมื่อพระยะโฮวาเห็นว่าชาวนีนะเวห์เปลี่ยนแปลงตัวเองและเลิกทำสิ่งที่ไม่ดี พระองค์ก็เปลี่ยนการตัดสินใจ นี่แสดงให้เห็นว่าพระองค์เป็นพระเจ้าที่มีเหตุผล ถ่อมตัว และเห็นอกเห็นใจ บางครั้งอาจดีที่เราจะทบทวนการตัดสินใจของเรา เช่นตอนที่สภาพการณ์บางอย่างเปลี่ยนไป ขอจำไว้ว่าบางครั้งพระยะโฮวาก็เปลี่ยนการตัดสินใจเมื่อสภาพการณ์เปลี่ยนไปด้วยเหมือนกัน (1 พก. 21:20, 21, 27-29; 2 พก. 20:1-5) นอกจากนั้น เราอาจเปลี่ยนการตัดสินใจของเราตอนที่เราได้ข้อมูลใหม่ ลองคิดถึงกษัตริย์ดาวิดดูสิ เนื่องจากดาวิดได้ข้อมูลผิด ๆ เกี่ยวกับเมฟีโบเชทหลานชายของซาอูล ดาวิดก็เลยยกทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเมฟีโบเชทให้กับคนอื่น แต่พอเขาได้ข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้น เขาก็เปลี่ยนการตัดสินใจ—2 ซม. 16:3, 4; 19:24-29 ห17.03 2:14, 15
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน
ให้คนอื่นเห็นว่าพวกคุณเป็นคนมีเหตุผล—ฟป. 4:5
ตอนที่เราต้องตัดสินใจ สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือ ต้องคิดก่อนว่าในคัมภีร์ไบเบิลมีหลักการอะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเราจะใช้หลักการเหล่านั้นอย่างไร ลองคิดถึงเหตุการณ์นี้ดูสิ พี่น้องคนหนึ่งที่มีสามีที่ไม่ใช่พยานฯ กำลังวางแผนจะไปประกาศ (กจ. 4:20) แต่ปรากฏว่าวันนั้นสามีไม่อยากให้เธอไปประกาศ เขาบอกว่าช่วงนี้พวกเขาไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่ด้วยกันเลย เขาอยากพาเธอออกไปเที่ยว พี่น้องหญิงคนนี้คิดถึงข้อคัมภีร์บางข้อที่จะช่วยตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เธอรู้ว่าต้องเชื่อฟังพระเจ้า และพระเยซูก็สั่งให้เราทำงานช่วยคนให้เป็นสาวก (มธ. 28:19, 20; กจ. 5:29) แต่เธอก็จำได้ว่าภรรยาควรเชื่อฟังสามี และผู้รับใช้พระเจ้าต้องเป็นคนมีเหตุผล (อฟ. 5:22-24) จริง ๆ แล้วสามีของเธอตั้งใจขัดขวางไม่ให้เธอไปประกาศไหม? หรือเขาแค่อยากใช้เวลาวันนั้นกับเธอ? พวกเราทุกคนที่เป็นผู้รับใช้พระยะโฮวาอยากตัดสินใจอย่างมีเหตุผลและทำให้พระยะโฮวาพอใจ ห17.03 4:17