กุมภาพันธ์
วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์
ทำงานรับใช้ของคุณให้สำเร็จครบถ้วน—2 ทธ. 4:5
พระเยซูสงสารผู้คนมาก และผู้คนก็รู้สึกได้ว่าท่านรักพวกเขา มันเลยทำให้พวกเขาอยากฟังเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า ถ้าเราพยายามเลียนแบบความเมตตาสงสารของพระเยซู เราจะทำงานรับใช้ได้ดีขึ้น อะไรจะช่วยให้เราแสดงความเห็นอกเห็นใจคนที่เราประกาศได้? เราต้องคิดว่าถ้าเราอยู่ในสถานการณ์อย่างเดียวกับเขา เราจะคิดและรู้สึกอย่างไร และให้คิดว่าถ้าเป็นเรา เราอยากให้คนอื่นทำกับเราอย่างไร (มธ. 7:12) คิดถึงความจำเป็นของคนที่เราคุยด้วย เราไม่ควรประกาศโดยใช้วิธีเดียวกันกับทุกคน แต่ควรพยายามเข้าใจสภาพการณ์และความคิดของแต่ละคน ใช้คำถามเพื่อจะเข้าใจเขามากขึ้น (สภษ. 20:5) ถ้าเป็นเรื่องที่เหมาะกับวัฒนธรรมของคุณ ให้ถามความคิดเห็นของเขา ถามเกี่ยวกับงานที่เขาทำ ครอบครัว และภูมิหลังของเขา เมื่อเราถามคำถาม มันจะช่วยเราให้รู้ว่าเรื่องอะไรที่เหมาะกับความจำเป็นของเขา นี่จะทำให้เราแสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างที่ตรงกับความจำเป็นของเขาได้และจะช่วยเขาอย่างเหมาะสมเหมือนที่พระเยซูทำ—เทียบกับ 1 คร. 9:19-23 ห19.03 น. 20 ว. 2; น. 22 ว. 8-9
วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์
ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ให้ฝากเรื่องนั้นไว้กับพระยะโฮวา แล้วแผนการของคุณจะสำเร็จ—สภษ. 16:3
อาดัมกับเอวาแสดงว่าไม่เห็นค่าสิ่งดีต่าง ๆ ที่พระยะโฮวาทำเพื่อพวกเขา เราทุกคนมีโอกาสแสดงว่าเราไม่เป็นเหมือนอาดัมกับเอวา เราเห็นค่าสิ่งดีต่าง ๆ ที่พระยะโฮวาทำเพื่อเรา การรับบัพติศมาแสดงให้พระยะโฮวาเห็นว่าเราเชื่อว่าพระองค์มีสิทธิ์ตั้งมาตรฐานว่าอะไรถูกอะไรผิด เราพิสูจน์ว่ารักและไว้วางใจพระยะโฮวาพ่อของเรา ข้อท้าทายอย่างหนึ่งที่เราต้องเจอหลังจากรับบัพติศมาแล้วก็คือ การใช้ชีวิตในแต่ละวันตามมาตรฐานของพระยะโฮวาไม่ใช่ของเราเอง หลายล้านคนกำลังทำแบบนั้นอยู่แล้ว คุณก็เป็นเหมือนพวกเขาได้ถ้าพยายามต่อไปที่จะเข้าใจคัมภีร์ไบเบิลให้ลึกซึ้งมากขึ้น คบหากับพี่น้องเป็นประจำ และช่วยคนอื่นให้เรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้าผู้เป็นพ่อที่รักของคุณ (ฮบ. 10:24, 25) ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจเรื่องอะไรในชีวิต ให้ฟังคำแนะนำจากพระยะโฮวาผ่านทางคัมภีร์ไบเบิลและองค์การของพระองค์ (อสย. 30:21) แล้วสิ่งที่คุณทำจะสำเร็จ—สภษ. 16:20 ห19.03 น. 6-7 ว. 17-18
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์
ของดี ๆ และสมบูรณ์ทุกอย่างมาจากเบื้องบน จากพระเจ้าผู้ทำให้เกิดดวงดาวที่ส่องแสงบนท้องฟ้า—ยก. 1:17
พระยะโฮวาให้ความรู้ที่เสริมความเชื่อกับเรามากมาย เช่น เราได้รับคำแนะนำที่มีประโยชน์ผ่านทางการประชุม วารสาร และเว็บไซต์ ตอนที่คุณได้ฟังคำบรรยายเรื่องหนึ่ง อ่านบทความหนึ่ง หรือดูรายการทีวี JW คุณเคยคิดไหมว่า ‘เรื่องนี้มันตรงกับฉันเป๊ะเลย’? เราจะแสดงความขอบคุณพระยะโฮวาสำหรับสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ได้อย่างไร? (โคโลสี 3:15) วิธีหนึ่งก็คือการอธิษฐานขอบคุณพระองค์เป็นประจำสำหรับของขวัญที่ยอดเยี่ยมทั้งหมดนี้ นอกจากนั้น เรายังแสดงว่าขอบคุณพระยะโฮวาเมื่อเราดูแลรักษาหอประชุมให้สะอาดเรียบร้อยเสมอ เราจะช่วยกันทำความสะอาดและบำรุงรักษาหอประชุมเป็นประจำ และพี่น้องที่ดูแลเครื่องเสียงจะใช้เครื่องเสียงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างระมัดระวัง เมื่อเราซ่อมแซมและดูแลรักษาหอประชุมอย่างเหมาะสม มันก็จะใช้ได้นานขึ้นและไม่ต้องซ่อมแซมอะไรมาก วิธีนี้ทำให้เราสามารถประหยัดเงินได้เยอะเพื่อจะเอาไปสร้างและปรับปรุงหอประชุมอื่น ๆ ทั่วโลก ห19.02 น. 18 ว. 17-18
วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์
สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของผลงานที่พระองค์ทำ เราได้ยินแค่เสียงกระซิบที่แผ่วเบาของพระองค์เท่านั้น—โยบ 26:14
โยบใช้เวลาคิดถึงสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ ที่พระยะโฮวาสร้าง (โยบ 26:7, 8) เขารู้สึกประทับใจเมื่อคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับโลก ท้องฟ้า เมฆ และฟ้าร้อง แต่เขาก็รู้ตัวว่าแทบไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าสร้าง เขายังเห็นคุณค่าถ้อยคำของพระยะโฮวาด้วย เขาบอกว่า “ผมไม่เคยฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์ ผมทำมากกว่าที่พระองค์บอกด้วยซ้ำ” (โยบ 23:12) โยบประทับใจและเคารพยำเกรงพระยะโฮวามาก เขารักพระองค์และอยากให้พระองค์พอใจ เขาเลยตั้งใจรักษาความซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไป เราก็ต้องทำเหมือนโยบ เรามีความรู้มากกว่าสมัยของโยบเกี่ยวกับสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ ที่พระเจ้าสร้าง แถมเรายังมีคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่มซึ่งช่วยให้เรารู้จักพระยะโฮวาจริง ๆ ทุกสิ่งที่เราเรียนช่วยเราให้เคารพยำเกรงพระองค์ ถ้าเราประทับใจและเคารพยำเกรงพระยะโฮวา เราก็จะรักและเชื่อฟังพระองค์ และทำให้เราอยากรักษาความซื่อสัตย์ต่อพระองค์มากขึ้นเรื่อย ๆ—โยบ 28:28 ห19.02 น. 6 ว. 12
วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์
ผมจะไม่กลัวอะไร มนุษย์จะทำอะไรผมได้?—สด. 118:6
ตลอดประวัติศาสตร์มนุษย์ ผู้ปกครองที่เป็นมนุษย์ชอบข่มเหงประชาชนของพระยะโฮวา พวกเขากล่าวหาว่าเราเป็นพวกที่ “ทำผิดกฎหมาย” แต่ที่จริงเราเลือกที่จะ “เชื่อฟังพระเจ้ามากกว่ามนุษย์” (กจ. 5:29) เราอาจถูกเยาะเย้ย ติดคุก หรือแม้แต่ถูกทำร้ายร่างกาย แต่เพราะพระยะโฮวาช่วยเรา เราจึงไม่ตอบโต้ แต่จะสงบใจไว้แม้เจอการทดสอบ ลองดูตัวอย่างของเด็กหนุ่มชาวฮีบรู 3 คนที่เป็นเชลยในบาบิโลน คือฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ พวกเขาอธิบายอย่างอ่อนน้อมให้กษัตริย์ฟังว่าทำไมพวกเขาไม่นมัสการรูปเคารพที่กษัตริย์ทำขึ้น พวกเขาเต็มใจยอมรับทุกอย่างที่พระยะโฮวายอมให้เกิดขึ้น (ดนล. 3:1, 8-28) เมื่อเราภักดีต่อพระยะโฮวาตอนเจอการทดสอบ เรากำลังเลียนแบบชาวฮีบรู 3 คนนี้อย่างไร? เราถ่อมตัวและไว้วางใจว่าพระยะโฮวาจะดูแลเรา (สด. 118:7) เมื่อมีคนกล่าวหาเราว่าทำผิด เราจะตอบอย่างสุภาพและแสดงความนับถือ (1 ปต. 3:15) แต่เราจะไม่ยอมทำสิ่งที่ทำลายความสัมพันธ์ของเรากับพระยะโฮวาพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราแน่นอน ห19.02 น. 10-11 ว. 11-13
วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์
ขอให้กล้าหาญไว้—ยน. 16:33
เราจะมีความกล้าหาญมากขึ้นโดยคิดถึงความหวังของเรา ซึ่งค่าไถ่ของพระเยซูทำให้เราสามารถมีความหวังนั้นได้ (ยน. 3:16; อฟ. 1:7) ช่วงก่อนการประชุมอนุสรณ์เป็นโอกาสพิเศษที่เราจะเห็นคุณค่าของค่าไถ่เพิ่มขึ้น ช่วงนั้นให้เราอ่านคัมภีร์ไบเบิลในส่วนที่ให้อ่านสำหรับการประชุมอนุสรณ์ และคิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งด้วยความนับถือจากใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงการตายของพระเยซู และเมื่อเรามาประชุมอนุสรณ์ เราจะเข้าใจเต็มที่มากขึ้นถึงความสำคัญของเครื่องหมายที่ใช้ในการประชุมอนุสรณ์แต่ละอย่าง รวมทั้งความหมายของเครื่องหมายเหล่านั้น เมื่อเราเข้าใจสิ่งที่พระยะโฮวากับพระเยซูทำเพื่อเรา และรู้ว่ามันเป็นประโยชน์กับเราและคนที่เรารักอย่างไร เราก็จะมั่นใจในความหวังเกี่ยวกับอนาคตมากขึ้น นี่จะช่วยเราให้อดทนด้วยความกล้าหาญจนถึงที่สุด (ฮบ. 12:3) เรารู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่พระเยซูแสดงความถ่อมและความกล้าหาญในฐานะที่เป็นมหาปุโรหิตที่อ้อนวอนเพื่อพวกเรา (ฮบ. 7:24, 25) เพื่อแสดงว่าเราขอบคุณจากหัวใจ เราต้องเข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์อย่างภักดีเพื่อระลึกถึงการตายของท่านตามที่ท่านสั่งไว้—ลก. 22:19, 20 ห19.01 น. 22 ว. 8; น. 23-24 ว. 10-11
วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์
พระยะโฮวา ขอพระองค์พอใจคำสรรเสริญที่ผมให้ด้วยความสมัครใจ—สด. 119:108
พระยะโฮวาให้เราทุกคนมีสิทธิพิเศษที่จะสรรเสริญพระองค์ การออกความเห็นในการประชุมเป็นส่วนหนึ่งของ ‘การถวายเครื่องบูชาซึ่งก็คือคำสรรเสริญพระเจ้า’ และไม่มีใครทำแทนเราได้ (ฮีบรู 13:15) แต่พระยะโฮวาต้องการให้เราถวายเครื่องบูชาชนิดเดียวกันไหม หรืออยากให้เราออกความเห็นแบบเดียวกันหรือทำได้เท่ากันไหม? พระองค์ไม่ได้ต้องการแบบนั้นแน่นอน ให้คุณมองการประชุมเหมือนการกินข้าวกับเพื่อน ๆ ลองนึกภาพดู พี่น้องบางคนในประชาคมวางแผนจะเลี้ยงบาร์บีคิวและขอให้คุณเตรียมอาหารง่าย ๆ มา คุณจะทำอย่างไร? คุณอาจรู้สึกกังวลบ้าง แต่คุณจะทำดีที่สุดแน่นอนเพื่อให้ทุกคนชอบ พระยะโฮวาเป็นเจ้าภาพและเตรียมอาหารให้เราเต็มโต๊ะ พระองค์เตรียมสิ่งดี ๆ หลายอย่างเพื่อเราในการประชุม (สด. 23:5; มธ. 24:45) พระองค์จะดีใจถ้าเราเตรียมอาหารง่าย ๆ แต่ทำให้ดีที่สุดที่เราทำได้ ดังนั้น เตรียมการประชุมดี ๆ และตอบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าทำแบบนั้น คุณจะไม่ใช่แค่มากินอาหารที่โต๊ะของพระยะโฮวาเท่านั้น แต่จะเอาสิ่งดี ๆ มาแบ่งปันพี่น้องในประชาคมด้วย ห19.01 น. 8 ว. 3; น. 13 ว. 20
วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์
คนที่นมัสการพระอื่นมีแต่ความทุกข์มากขึ้น—สด. 16:4
ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล การผิดศีลธรรมทางเพศมักจะเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการเท็จ (โฮเชยา 4:13, 14) หลายคนเลยชอบการนมัสการเท็จเพราะมันทำให้เขาได้ทำผิดศีลธรรม แต่การนมัสการแบบนั้นทำให้พวกเขามีความสุขไหม? ไม่เลย ดาวิดบอกว่าคนที่นมัสการพระเท็จ “มีแต่ความทุกข์มากขึ้น” พวกเขาถึงกับเอาลูกของตัวเองไปเผาบูชายัญให้พระเท็จ (อิสยาห์ 57:5) มันเป็นเรื่องที่โหดเหี้ยมจริง ๆ และพระยะโฮวาก็เกลียดการทำแบบนี้มาก (เยเรมีย์ 7:31) ทุกวันนี้ศาสนาเท็จหลายศาสนายอมรับการผิดศีลธรรมทางเพศรวมทั้งการรักร่วมเพศด้วย การใช้ชีวิตแบบผิดศีลธรรมอาจทำให้หลายคนรู้สึกว่าพวกเขามีอิสระ แต่จริง ๆ แล้วพวกเขา “มีแต่ความทุกข์มากขึ้น” (1 โครินธ์ 6:18, 19) คุณเห็นพวกเขาเป็นแบบนั้นใช่ไหม? ดังนั้น เด็ก ๆ และวัยรุ่น ขอให้คุณฟังพระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์ ลองด้วยตัวคุณเองว่าการเชื่อฟังพระยะโฮวาเป็นสิ่งที่ดีที่สุด คิดถึงผลเสียต่าง ๆ ที่เกิดจากการผิดศีลธรรม แล้วคุณจะเห็นว่าผลเสียหายร้ายแรงของมันไม่คุ้มกันกับความสุขแค่ชั่วครั้งชั่วคราว—กาลาเทีย 6:8 ห18.12 น. 27-28 ว. 16-18
วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์
ผมบอกเธอว่า “คุณต้องอยู่กับผมไปอีกนาน อย่าได้ทำตัวสำส่อน ห้ามไปนอนกับผู้ชายคนอื่น ผมเองก็จะไม่นอนกับคุณ”—ฮชย. 3:3
ถ้ามีฝ่ายหนึ่งทำผิดศีลธรรมทางเพศ อีกฝ่ายที่ไม่ได้ทำผิดต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร พระเยซูบอกว่าฝ่ายที่ไม่ได้ทำผิดมีเหตุผลที่จะหย่าและแต่งงานใหม่ได้ (มัทธิว 19:9) แต่ก็ไม่ผิดถ้าเขาจะเลือกที่จะให้อภัยคู่ของตัวเอง โฮเชยาพาโกเมอร์กลับมาอยู่ด้วยกันอีก เขาบอกเธอว่าห้ามมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่นอีก เขาเองคงไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับโกเมอร์ระยะหนึ่ง (โฮเชยา 3:1-3) แต่ต่อมาเขาคงได้มีเพศสัมพันธ์กับเธอ เรื่องนี้เป็นภาพที่แสดงถึงการที่พระเจ้าเต็มใจรับชาวอิสราเอลกลับมาและมีความสัมพันธ์กับพวกเขาเหมือนที่เคยมี (โฮเชยา 1:11; 3:4, 5) เรื่องนี้สอนอะไรเราเกี่ยวกับชีวิตคู่ในทุกวันนี้? ถ้าฝ่ายที่ไม่ได้ทำผิดมีเพศสัมพันธ์กับคู่ของเขาที่เคยทำผิด ก็แสดงว่าเขาได้ให้อภัยแล้ว (1 โครินธ์ 7:3, 5) และเขาจึงไม่มีเหตุผลที่ถูกต้องที่จะหย่าได้อีกต่อไป หลังจากนั้น ทั้งสองคนควรช่วยกันทำให้ชีวิตคู่ดีขึ้นและมองชีวิตคู่เหมือนที่พระเจ้ามอง ห18.12 น. 13 ว. 13
วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์
คนฉลาดมองเห็นอันตรายแล้วหนีไปซ่อนตัว—สภษ. 22:3
ตอนที่เราศึกษาส่วนตัว เราต้องคิดว่าพระยะโฮวามองเรื่องต่าง ๆ อย่างไร เพราะมันจะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างฉลาด แล้วถ้าเราอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจทันที เราก็จะพร้อมและรู้ว่าต้องทำอย่างไร ตอนที่ภรรยาโปทิฟาร์ยั่วยวนโยเซฟ เขาปฏิเสธทันที นี่แสดงว่าโยเซฟคิดใคร่ครวญเรื่องนี้มาก่อนแล้ว เขารู้ว่าพระยะโฮวามองว่าคู่สมรสต้องซื่อสัตย์ต่อกัน (ปฐมกาล 39:8, 9) เขาบอกภรรยาโปทิฟาร์ว่า “จะให้ผมทำเรื่องชั่ว ๆ อย่างนี้ได้ยังไง? มันเป็นการทำบาปต่อพระเจ้า” นี่แสดงให้เห็นว่าเขาคิดเหมือนพระยะโฮวา แล้วเราล่ะ? เราจะทำอย่างไรถ้าเพื่อนในที่ทำงานมาจีบเรา? หรือเราจะทำอย่างไรถ้ามีคนส่งข้อความลามกหรือรูปโป๊มาให้เราทางมือถือ? ถ้าเราค้นคว้าไว้แล้วว่าพระยะโฮวาคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น คิดให้เหมือนพระองค์ และตัดสินใจไว้แล้วว่าถ้าเจอแบบนี้เราจะทำอย่างไร มันก็จะง่ายขึ้นที่เราจะซื่อสัตย์ภักดีต่อพระยะโฮวาเสมอ ห18.11 น. 25 ว. 13-14
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์
ผมก็จะยินดีเพราะพระยะโฮวา—ฮบก. 3:18
นักวิชาการบางคนเชื่อว่าข้อความนี้มีความหมายตรงตัวว่า “ผมจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจในผู้เป็นนาย ผมจะหมุนตัวอย่างมีความสุขในพระเจ้า” เรื่องนี้เป็นคำรับรองที่มีพลัง มันทำให้เราทุกคนมั่นใจและมีความสุขจริง ๆ พระยะโฮวาไม่ได้แค่ให้คำสัญญาที่ยอดเยี่ยมกับเรา แต่พระองค์รับรองกับเราด้วยว่าพระองค์จะทำให้มันเกิดขึ้นจริงเร็ว ๆ นี้ บทเรียนสำคัญที่เราได้จากหนังสือฮาบากุกก็คือเราต้องวางใจพระยะโฮวา (ฮาบากุก 2:4) เพื่อจะทำอย่างนั้นได้ต่อ ๆ ไป เราต้องสนิทกับพระองค์มากขึ้น ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำก็คือ (1) อธิษฐานถึงพระยะโฮวาต่อ ๆ ไป บอกพระองค์ทุกเรื่องที่เรากังวลและเป็นห่วง (2) ให้เราตั้งใจฟังสิ่งที่พระองค์บอกทางคัมภีร์ไบเบิลและทำตามคำแนะนำที่พระองค์ให้ทางองค์การ (3) เราต้องซื่อสัตย์ภักดีและอดทนรอให้พระองค์ทำตามสัญญา ฮาบากุกก็ได้ทำแบบนั้นด้วย แม้ช่วงแรก ๆ ที่เขาคุยกับพระยะโฮวาเขารู้สึกแย่มาก แต่พอคุยจบเขาก็ได้กำลังใจและมีความสุข ถ้าเราเลียนแบบฮาบากุก เราก็จะได้กำลังใจจากพระยะโฮวาผู้เป็นพ่อของเรา เราจะรู้สึกอุ่นใจเหมือนกับพระองค์กอดเราไว้ในอ้อมแขนของพระองค์ ไม่มีอะไรที่จะให้กำลังใจเรามากกว่านี้อีกแล้วตอนที่เรายังอยู่ในโลกชั่วนี้ ห18.11 น. 17 ว. 18-19
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์
พระคริสต์ตายเพื่อทุกคน เพื่อคนที่มีชีวิตอยู่จะไม่ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อท่านที่ตายแทนเขาและถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายแล้ว—2 คร. 5:15
เรารู้ว่าพระยะโฮวารักเราเพราะ “พระเจ้ารักโลกมาก จนถึงกับยอมสละลูกคนเดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่แสดงความเชื่อในท่านจะไม่ถูกทำลาย แต่จะมีชีวิตตลอดไป” (ยอห์น 3:16) เครื่องบูชาไถ่ของพระเยซูพิสูจน์ว่าท่านก็รักเราด้วย ความรักของท่านทำให้เรามีกำลังใจ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า แม้แต่ ‘ความยากลำบากหรือความทุกข์’ ก็ไม่มีทาง “ขัดขวางความรักที่พระเจ้าแสดงต่อเราผ่านทางพระคริสต์เยซูผู้เป็นนายของเราได้” (โรม 8:35, 38, 39) บางครั้งปัญหาในชีวิตอาจทำให้เราหมดแรง หมดกำลังใจ และรับใช้พระยะโฮวาอย่างไม่มีความสุข แต่การจำไว้ว่าพระเยซูรักเราขนาดไหนทำให้เรามีกำลังที่จะทนได้ (2 โครินธ์ 5:14) ความรักของพระเยซูทำให้เราอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อรับใช้พระยะโฮวา และช่วยให้เราไม่ยอมแพ้แม้เจอความทุกข์ยากลำบากเพราะภัยพิบัติ การข่มเหง ความผิดหวัง หรือความกังวล ห18.09 น. 14 ว. 8-9
วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์
ผมจะใช้ชีวิตตามแนวทางแห่งความจริงของพระองค์—สด. 86:11
เพื่อที่เราจะใช้ชีวิตตามความจริงต่อไป เราต้องยอมรับและเชื่อฟังทุกอย่างที่พระยะโฮวาบอก เราต้องให้ความจริงสำคัญที่สุดในชีวิตเราและทำตามหลักการของคัมภีร์ไบเบิลในทุกแง่มุมของชีวิต ดาวิดตั้งใจใช้ชีวิตตามความจริงต่อ ๆ ไป เราเองก็ต้องทำอย่างนั้นด้วย ไม่อย่างนั้นเราอาจเริ่มคิดถึงสิ่งที่ได้เสียสละไปและอาจถึงกับอยากได้บางอย่างกลับคืนมา ที่จริง เราเลือกไม่ได้ว่าความจริงในคัมภีร์ไบเบิลเรื่องไหนที่เราอยากยอมรับหรือไม่อยากยอมรับ เราต้องใช้ชีวิตตาม “ความจริงทั้งหมด” (ยอห์น 16:13) เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่ออกจากความจริงทีละเล็กทีละน้อย เราต้องใช้เวลาอย่างฉลาด ถ้าไม่ระวังเราอาจใช้เวลามากไปกับการเล่นอินเทอร์เน็ต ดูทีวี ทำงานอดิเรก หรือพักผ่อนหย่อนใจ เช่น เล่นกีฬา หรือไปเที่ยว แม้การทำสิ่งเหล่านี้อาจจะไม่ผิด แต่เราอาจเอาเวลาที่เคยใช้ศึกษาส่วนตัวและรับใช้พระยะโฮวาไปทำกิจกรรมเหล่านั้น ห18.11 น. 10 ว. 7-8
วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์
ผมทำจิตใจให้สงบ—สด. 131:2
บางครั้งชีวิตของเราก็อาจเจอการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ทันตั้งตัวเหมือนกัน ซึ่งทำให้เรารู้สึกเครียดและกังวลมาก (สุภาษิต 12:25) เมื่อเราเจอการเปลี่ยนแปลงที่รับได้ยาก อะไรจะช่วยเราให้สงบใจได้? (สดุดี 131:1-3) ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาหนักขนาดไหน “สันติสุขของพระเจ้า” จะช่วยปกป้อง “ความคิด” ของเราและทำให้เรารู้สึกสงบใจได้ (ฟีลิปปี 4:6, 7) ตอนที่เรารู้สึกกังวลและเครียด “สันติสุขของพระเจ้า” จะช่วยให้เรามีกำลังที่จะรับใช้พระยะโฮวาต่อ ๆ ไปและไม่ยอมแพ้ นอกจากนั้น พลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าสามารถช่วยเราให้สงบใจ และนึกถึงข้อคัมภีร์ที่ช่วยให้เราเข้าใจว่าอะไรสำคัญจริง ๆ ในชีวิต—ยอห์น 14:26, 27 ห18.10 น. 27 ว. 2; น. 28 ว. 5, 8
วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์
พูดความจริงต่อกัน—ศคย. 8:16
อะไรคือเครื่องมือที่ทำร้ายมนุษย์มากที่สุด? การโกหกนั่นเอง การโกหกคือการพูดเรื่องไม่จริงเพื่อหลอกลวงคนอื่น ใครเป็นผู้ที่โกหกครั้งแรก? มารซาตานนั่นเอง พระเยซูคริสต์เรียกมันว่า “พ่อของการโกหก” (ยอห์น 8:44) มันโกหกครั้งแรกเมื่อไร? มันโกหกครั้งแรกเมื่อหลายพันปีก่อนในสวนเอเดน ตอนนั้นอาดัมกับเอวามีความสุขในสวนอุทยานที่สวยงามซึ่งพระยะโฮวาสร้างให้พวกเขา พระองค์บอกว่าถ้าพวกเขากินผลจาก “ต้นไม้ที่ให้รู้ดีรู้ชั่ว” พวกเขาจะตาย แม้ซาตานจะรู้เรื่องนี้ แต่มันก็ยังใช้งูหลอกเอวาโดยพูดว่า “พวกคุณจะไม่ตายหรอก” นี่คือการโกหกครั้งแรก มันยังพูดอีกว่า “จริง ๆ แล้วพระเจ้าก็รู้ว่า ในวันที่พวกคุณกินผลของต้นนั้น พวกคุณจะตาสว่างและจะเป็นเหมือนพระเจ้า รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว”—ปฐมกาล 2:15-17; 3:1-5 ห18.10 น. 6 ว. 1-2
วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์
คนที่ใจบริสุทธิ์ก็มีความสุข เพราะเขาจะเห็นพระเจ้า—มธ. 5:8
เพื่อจะเป็นคนที่มีใจบริสุทธิ์ เราต้องคิดแต่เรื่องที่สะอาดและอยากทำแต่เรื่องที่ถูกต้อง นอกจากนั้น เราต้องกำจัดความคิดและความต้องการที่ไม่สะอาดออกไป เรื่องนี้สำคัญมากจริง ๆ ถ้าเราอยากให้พระยะโฮวายอมรับการนมัสการของเรา (2 โครินธ์ 4:2; 1 ทิโมธี 1:5) พระยะโฮวาบอกว่า “ไม่มีมนุษย์คนไหนที่เห็นเราแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้” (อพยพ 33:20) แล้วคนที่มีใจบริสุทธิ์จะ “เห็นพระเจ้า” ได้อย่างไร? คำภาษากรีกที่แปลว่า “เห็น” หมายถึงการนึกภาพ การรู้ หรือการเข้าใจ ดังนั้น การ “เห็นพระเจ้า” หมายถึงการเข้าใจว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าแบบไหนและรักคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์ (เอเฟซัส 1:18) เรายัง “เห็นพระเจ้า” ได้โดยเห็นจากประสบการณ์ในชีวิตของตัวเองว่าพระองค์ช่วยเราอย่างไร (โยบ 42:5) นอกจากนั้น เรา “เห็นพระเจ้า” ได้โดยคิดถึงคำสัญญาต่าง ๆ ของพระองค์เสมอ ซึ่งเป็นคำสัญญาที่พระองค์ให้กับคนที่รักษาความบริสุทธิ์สะอาดและรับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์ภักดี ห18.09 น. 20 ว. 13, 15-16
วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์
ขอให้เสาะหาสติปัญญา เพราะสติปัญญาสำคัญที่สุด—สภษ. 4:7
ถ้าเราทำสิ่งที่ถูกต้อง เราจะฉลาดและจะได้รับพรมากมายจากพระยะโฮวา แม้การมีสติปัญญาต้องอาศัยการมีความรู้ แต่การมีสติปัญญาไม่ใช่แค่การเข้าใจข้อเท็จจริงเท่านั้น มันเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของเราด้วย แม้แต่มดก็มีสติปัญญา มันเก็บสะสมอาหารสำหรับฤดูหนาว (สุภาษิต 30:24, 25) พระเยซูคริสต์มีสติปัญญามาก ท่านทำสิ่งที่พระเจ้าชอบเสมอ (1 โครินธ์ 1:24; ยอห์น 8:29) พระยะโฮวาจะให้รางวัลเรา ถ้าเราแสดงว่ามีสติปัญญาโดยเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องและเป็นคนถ่อมอยู่เสมอ (มัทธิว 7:21-23) ดังนั้น ให้พยายามรับใช้พระยะโฮวาด้วยความถ่อมตัว ถ้าคุณทำแบบนั้น คุณก็จะช่วยให้พี่น้องคนอื่นในประชาคมอยากถ่อมตัวรับใช้พระองค์เหมือนกัน แม้ต้องใช้เวลาและความอดทนเพื่อจะทำสิ่งที่รู้ว่าถูกต้อง แต่การทำแบบนี้แสดงว่าเราถ่อม และการเป็นคนถ่อมจะทำให้เรามีความสุขทั้งตอนนี้และตลอดไป ห18.09 น. 7 ว. 18
วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์
ให้แต่ละคนตรวจสอบดูสิ่งที่ตัวเองทำ . . . และอย่าเปรียบเทียบกับคนอื่น—กท. 6:4
ตอนที่พระยะโฮวาสร้างมนุษย์ พระองค์อยากให้พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมงานของพระองค์ ถึงตอนนี้มนุษย์จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ผู้รับใช้พระเจ้าที่ซื่อสัตย์ก็สามารถทำงานกับพระองค์ได้ทุกวัน เช่น เราเป็น “เพื่อนร่วมงานของพระเจ้า” ตอนที่เราประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระองค์และสอนคนให้เป็นสาวก (1 โครินธ์ 3:5-9) นี่เป็นสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ที่พระเจ้าผู้สร้างซึ่งมีพลังอำนาจสูงสุดเลือกเราให้ทำงานสำคัญนี้ แต่การประกาศไม่ใช่งานอย่างเดียวที่เราทำกับพระยะโฮวา เราจะทำงานกับพระองค์ได้ด้วยตอนที่เราช่วยคนในครอบครัวและพี่น้องในประชาคม ตอนที่เราแสดงน้ำใจ ตอนที่เราช่วยในโครงการต่าง ๆ ทั่วโลกขององค์การ และตอนที่เราทำงานรับใช้พระยะโฮวาเพิ่มขึ้น (โคโลสี 3:23) เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องจำไว้ว่าเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราต่างกันทั้งเรื่องอายุ สุขภาพ สภาพการณ์ และความสามารถ ดังนั้น อย่าเปรียบเทียบสิ่งที่คุณทำเพื่อพระยะโฮวากับสิ่งที่คนอื่นทำ ห18.08 น. 23 ว. 1-2
วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์
ขอให้เฝ้ารอต่อไป เพราะมันจะเกิดขึ้นแน่ ๆ—ฮบก. 2:3
พระยะโฮวาให้กำลังใจและพูดแบบอ่อนโยนให้ฮาบากุกมั่นใจว่าพระองค์จะตอบคำถามของเขา และอีกไม่นานเขาจะไม่ต้องกังวลอีกแล้ว มันเหมือนพระองค์บอกฮาบากุกว่า “ถึงเจ้าจะรู้สึกว่านาน แต่ขอให้วางใจเราและอดทนอีกหน่อย เราจะตอบคำอธิษฐานของเจ้าแน่นอน” พระยะโฮวาตัดสินใจไปแล้วว่าจะทำให้คำสัญญาของพระองค์เป็นจริงตอนไหน และพระองค์ก็บอกฮาบากุกให้นึกถึงเรื่องนี้ พระองค์จึงบอกให้ฮาบากุกเฝ้ารอต่อไป และในที่สุด เขาจะไม่ผิดหวังแน่นอน เราเองก็ต้องรอคอยให้พระยะโฮวาจัดการและตั้งใจฟังสิ่งที่พระองค์บอก แล้วเราก็จะมั่นใจในพระองค์ได้และมีความสงบใจแม้จะเจอปัญหาอะไรก็ตาม พระเยซูบอกว่าอย่าสนใจแต่เรื่อง “วันเวลา” ที่พระเจ้ายังไม่บอกเรา (กิจการ 1:7) เราต้องวางใจว่าพระองค์รู้ว่าเวลาไหนดีที่สุดที่จะจัดการ ดังนั้น เราต้องไม่ถอดใจ แต่ให้ถ่อมตัว อดทน และเชื่อในพระองค์ และระหว่างที่กำลังรอคอยพระองค์ เราต้องใช้เวลาอย่างฉลาดและรับใช้พระองค์ให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้—มาระโก 13:35-37; กาลาเทีย 6:9 ห18.11 น. 16 ว. 13-14
วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์
พระเจ้าทำให้ผมรู้แล้วว่าไม่ควรถือว่าคนอื่นไม่สะอาดไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม—กจ. 10:28
เปโตรถูกสอนแต่ไหนแต่ไรว่าคนต่างชาติไม่สะอาดตามกฎหมายของพระเจ้า แต่ก็มีบางอย่างเกิดขึ้นซึ่งทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป เช่น เขาได้เห็นนิมิตเรื่องหนึ่งจากพระเจ้า (กิจการ 10:9-16) เช่นเดียวกับเปโตร เราต้องคอยตรวจสอบตัวเองและยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่นเพื่อดูว่าเรายังมีอคติอยู่ไหม แล้วยังมีอะไรอีกไหมที่เราควรทำ? ถ้า “เราเปิดใจให้กว้าง” เราจะเอาความรักมาแทนที่อคติได้ (2 โครินธ์ 6:11-13) คุณชอบใช้เวลาและสนิทแต่กับคนที่มาจากประเทศเดียวกัน เชื้อชาติเดียวกัน เผ่าเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน หรือสีผิวเหมือนกันเท่านั้นไหม? ถ้าใช่ ลองสนิทและใช้เวลากับคนอื่นด้วยสิ คุณอาจชวนพี่น้องที่มีภูมิหลังต่างจากคุณมาประกาศด้วยกัน หรืออาจชวนมากินข้าวที่บ้านและสังสรรค์กัน (กิจการ 16:14, 15) ถ้าคุณทำแบบนี้ หัวใจคุณจะเต็มไปด้วยความรักและไม่มีที่ว่างให้กับอคติ ห18.08 น. 9 ว. 3, 6; น. 10 ว. 7
วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์
อย่าเป็นต้นเหตุให้ . . . ไม่สบายใจ—1 คร. 10:32
พยานฯ บางคนไม่ได้ทำตัวให้ต่างจากผู้คนทั่วไปในโลกอย่างชัดเจน เช่น ที่งานปาร์ตี้ บางคนชอบเต้นและทำตัวไม่เหมาะกับที่เป็นคริสเตียน ส่วนคนอื่นลงรูปตัวเองและแสดงความเห็นในโซเชียลมีเดียแบบที่คนทั่วไปในโลกพูดกัน พวกเขาอาจมีอิทธิพลไม่ดีต่อพี่น้องที่พยายามอย่างมากที่จะแตกต่างจากผู้คนทั่วไปในโลก (1 เปโตร 2:11, 12) ทุกอย่างในโลกถูกออกแบบมาเพื่อทำให้เราสนใจแต่ “ความต้องการของร่างกายที่มีบาป ความต้องการที่เกิดจากตา หรือการโอ้อวดทรัพย์สมบัติ” (1 ยอห์น 2:16) เราเป็นคนของพระยะโฮวา เราต้องแตกต่างจากพวกเขา เรา “ปฏิเสธการทำชั่วและความต้องการแบบโลก” และ “ใช้ชีวิตในยุคนี้อย่างมีเหตุผล ทำสิ่งที่ถูกต้อง และมีความเลื่อมใสพระเจ้า” (ทิตัส 2:12) ทุกอย่างที่เราทำในชีวิต ไม่ว่าจะกิน ดื่ม พูด แต่งตัว และทำงาน เราต้องให้ทุกคนเห็นว่าเราเป็นคนของพระยะโฮวา ห18.07 น. 25 ว. 13-14
วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์
พวกเราก็มองพระยะโฮวาพระเจ้าของพวกเรา จนกว่าพระองค์จะเมตตาพวกเรา—สด. 123:2
ถ้าเรามองพระยะโฮวาเสมอ เราจะไม่ทำลายความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์และไม่โมโหในสิ่งที่คนอื่นทำ เรื่องนี้สำคัญมากโดยเฉพาะถ้าเรามีหน้าที่รับผิดชอบในองค์การของพระยะโฮวา ตัวอย่างของโมเสสเป็นบทเรียนสำหรับเรา แน่นอนว่าคริสเตียนทุกคนต้องพยายามอย่างมากและต้องเชื่อฟังพระองค์เพื่อจะรอด (ฟีลิปปี 2:12) แต่ยิ่งเรามีหน้าที่รับผิดชอบมาก พระยะโฮวาก็ยิ่งคาดหมายจากเรามาก (ลูกา 12:48) ถ้าเรารักพระยะโฮวาจริง ๆ มันก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราล้มพลาดได้ และไม่มีอะไรขัดขวางความรักที่พระเจ้าแสดงต่อเราได้ (สดุดี 119:165; โรม 8:37-39) เรามีชีวิตอยู่สมัยที่ยุ่งยากและมีแต่ปัญหา ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่เราจะมองพระยะโฮวาผู้ “นั่งบัลลังก์อยู่ในสวรรค์” และทำอย่างนั้นเสมอเพื่อจะเข้าใจว่าพระองค์อยากให้เราทำอะไร (สดุดี 123:1) เราไม่ควรยอมให้การกระทำของคนอื่นมาทำลายความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ ห18.07 น. 16 ว. 19-20
วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์
ให้คุณส่องแสงสว่างให้คนอื่นเห็น . . . พอเขาเห็น . . . เขาก็จะยกย่องสรรเสริญพระเจ้าผู้เป็นพ่อ—มธ. 5:16
เราตื่นเต้นและมีความสุขที่ได้รู้ว่าตอนนี้ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาส่องแสงสว่างมากขึ้น ในปี 2017 มีการนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลมากกว่า 10 ล้านราย และในการประชุมอนุสรณ์ก็มีคนสนใจหลายล้านคนมาเข้าร่วมและเรียนรู้เรื่องค่าไถ่ซึ่งเป็นของขวัญที่พระยะโฮวาให้เราด้วยความรัก (1 ยอห์น 4:9) พยานพระยะโฮวาตลอดทั่วโลกพูดหลายภาษาแตกต่างกัน แต่เราก็ยังสรรเสริญพระยะโฮวาอย่างเป็นหนึ่งเดียวและเป็นครอบครัวเดียวกัน (วิวรณ์ 7:9) ไม่ว่าเราจะพูดภาษาอะไรหรืออยู่ที่ไหน เราก็ “เป็นดวงสว่างที่ส่องแสงอยู่ท่ามกลางผู้คนในโลก” ได้ (ฟีลิปปี 2:15) งานรับใช้ของเรา การที่เราเป็นหนึ่งเดียวกัน และการที่เราคิดถึงความเร่งด่วน ทั้ง 3 อย่างนี้ทำให้คนอื่นยกย่องสรรเสริญพระยะโฮวา ห18.06 น. 21 ว. 1-3
วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์
กินอะไรหน่อยสิครับ อาจารย์—ยน. 4:31
คำตอบของพระเยซูแสดงว่าอาหารเป็นเรื่องสำคัญน้อยกว่าการได้พูดคุยเรื่องพระเจ้า การประกาศและการทำสิ่งที่พระเจ้าต้องการเป็นเหมือนอาหารสำหรับพระเยซู ซึ่งการประกาศกับผู้หญิงชาวสะมาเรียก็เป็นอย่างนั้นด้วย (ยอห์น 4:32-34) ยากอบกับยอห์นยังไม่เข้าใจบทเรียนสำคัญนี้ ตอนที่พวกสาวกเดินทางไปประกาศกับพระเยซูที่สะมาเรีย พวกเขาหาที่พักค้างคืนไม่ได้เพราะไม่มีชาวสะมาเรียคนไหนให้ที่พักกับพวกเขาเลย ตอนนั้นยากอบกับยอห์นโมโหมาก ถึงกับถามพระเยซูว่าอยากให้พวกเขาเรียกไฟจากฟ้าลงมาเผาทั้งหมู่บ้านให้สิ้นซากเลยไหม พระเยซูเลยว่าพวกเขาแรงมาก (ลูกา 9:51-56) จริง ๆ แล้วถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นที่กาลิลีบ้านเกิดของพวกเขาเอง ยากอบกับยอห์นอาจจะไม่โมโหมากขนาดนี้ก็ได้ ที่พวกเขาโมโหขนาดนี้ก็อาจเป็นเพราะว่าพวกเขามีอคติ ต่อมายอห์นได้ไปประกาศกับชาวสะมาเรียและมีหลายคนสนใจฟัง บางทีตอนนั้นเขาอาจรู้สึกอายเมื่อนึกย้อนหลังถึงสิ่งที่เขาทำก่อนหน้านี้—กิจการ 8:14, 25 ห18.06 น. 10-11 ว. 12-13
วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์
ให้ยืนหยัดไว้ เอาความจริงคาดเอวเป็นเข็มขัด—อฟ. 6:14
เนื่องจากความจริงในคัมภีร์ไบเบิลเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรา เราจึงทำตามที่คัมภีร์ไบเบิลบอกและพูดความจริงตลอด การโกหกเป็นอาวุธที่ได้ผลมากที่สุดอย่างหนึ่งของซาตาน คำโกหกทำลายทั้งคนที่พูดและคนที่เชื่อ (ยอห์น 8:44) ดังนั้น ถึงเราจะเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบ แต่เราก็จะพยายามสุดความสามารถที่จะไม่พูดโกหกเลย (เอเฟซัส 4:25) มันอาจจะยาก อะบีเกลอายุ 18 บอกว่า “บางทีการพูดความจริงอาจดูไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ โดยเฉพาะถ้าพูดโกหกแล้วมันทำให้เอาตัวรอดได้” แล้วทำไมถึงพยายามพูดความจริงล่ะ? วิกตอเรียอายุ 23 บอกว่า “เมื่อคุณพูดความจริงและแสดงให้คนอื่นเห็นว่าคุณมั่นใจในความเชื่อของคุณ คุณก็อาจจะโดนคนอื่นแกล้ง แต่มันก็คุ้มยิ่งกว่าคุ้มซะอีก เพราะว่าคุณจะมั่นใจในตัวเองมากขึ้น รู้สึกสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น และคนอื่นที่รักคุณก็จะนับถือคุณ” คุณคงเห็นแล้วใช่ไหมว่าทำไมคุณต้อง “เอาความจริงคาดเอวเป็นเข็มขัด” ไว้ตลอด? ห18.05 น. 28 ว. 3, 5
วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์
ให้เฝ้าระวังอยู่เสมอ—มธ. 24:42
ตอนนี้เราต้องเฝ้าระวังอยู่เสมอยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา โลกกำลังแย่ลงเรื่อย ๆ แต่เรารู้ว่าอวสานจะมาอย่างที่พระยะโฮวากำหนดไว้แน่นอน (มัทธิว 24:42-44) ระหว่างนี้เราต้องอดทน คิดถึงอนาคตไว้เสมอ อ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน และไม่เลิกอธิษฐานถึงพระยะโฮวา (1 เปโตร 4:7) นอกจากนั้น เราต้องเรียนรู้จากพี่น้องที่รับใช้พระยะโฮวามานานหลายปี ถ้าเราพยายามขยันทำงานรับใช้ ทำดีกับคนอื่น และใช้เวลาอยู่กับพี่น้อง เราก็จะมีความสุขและรู้สึกว่าเวลาดูเหมือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว (เอเฟซัส 5:16) แม้เราจะทำผิดพลาดหลายครั้ง แต่พระยะโฮวาก็ยังให้เรารับใช้พระองค์อยู่ พระองค์ช่วยเราโดยให้ “ของขวัญที่เป็นมนุษย์” ซึ่งก็คือผู้ดูแลประชาคม (เอเฟซัส 4:8, 11, 12) ถ้าผู้ดูแลมาเยี่ยมเรา ให้พยายามได้ประโยชน์จากการเยี่ยมของเขาให้มากที่สุด ให้เราเรียนรู้จากสติปัญญาและคำแนะนำของเขา ห18.06 น. 24-25 ว. 15-18
วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์
ถ้าพวกคุณทำตามที่ผมสั่ง พวกคุณจะเป็นที่รักของผมเสมอ—ยน. 15:10
พระเยซูบอกสาวกของท่านว่าพวกเขาต้อง ‘ทำตัวเป็นที่รักของท่านเสมอ’ ทำไมพระเยซูถึงพูดแบบนั้น? ก็เพราะท่านรู้ว่าเพื่อจะใช้ชีวิตแบบคริสเตียนแท้ได้ พวกสาวกจะต้องอดทน ที่จริงในยอห์น 15:4-10 พระเยซูใช้คำว่า “เสมอ” หลายครั้งเพื่อช่วยให้สาวกรู้ว่าพวกเขาต้องอดทน เราต้องทำตัวอย่างไรเพื่อแสดงให้เห็นว่าเราอยากเป็นที่รักของพระเยซูเสมอ? ก็โดยการเชื่อฟังท่านนั่นเอง พระเยซูไม่เคยขอให้เราทำสิ่งที่ท่านเองไม่เคยทำ ท่านบอกว่า “ผมทำตามคำสั่งของพระเจ้าผู้เป็นพ่อและเป็นที่รักของพระองค์เสมอ” พระเยซูเป็นตัวอย่างให้พวกเราจริง ๆ (ยอห์น 13:15) คำสั่งของพระเยซูมาจากพระยะโฮวา ดังนั้น เมื่อเราเชื่อฟังคำสั่งของพระเยซูที่ให้ไปประกาศ ก็แสดงว่าเรารักพระยะโฮวาด้วย (มัทธิว 17:5; ยอห์น 8:28) และเมื่อเราแสดงให้ทั้งพระยะโฮวาและพระเยซูเห็นว่าเรารักพระองค์ พระองค์ทั้งสองก็จะรักเราเสมอ ห18.05 น. 18-19 ว. 5-7
วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์
แผนการของคนขยันจะสำเร็จแน่—สภษ. 21:5
ตอนเป็นวัยรุ่น คุณมีหลายเรื่องที่ต้องตัดสินใจ เช่น จะเรียนอะไรหรือจะทำงานอะไรและก็ยังมีเรื่องอื่นอีกหลายอย่าง การตัดสินใจเรื่องพวกนี้เป็นเหมือนการอยู่ที่สี่แยก ถ้าคุณรู้ว่าจะไปที่ไหน คุณก็ตัดสินใจได้ง่าย ๆ ว่าจะไปทางไหน เหมือนกันถ้าคุณรู้ว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร คุณจะตัดสินใจอย่างฉลาดได้ง่ายกว่า ยิ่งคุณตั้งเป้าหมายได้เร็วเท่าไรคุณก็จะประสบความสำเร็จได้เร็วเท่านั้น เด็ก ๆ และวัยรุ่นหลายแสนคนทั่วโลกกำลังทำดีมากและสมควรได้รับคำชมเชย พวกเขาให้ความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระยะโฮวาและเป้าหมายของคริสเตียนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต พวกเขามีความสุขมากและในเวลาเดียวกันพวกเขาก็เรียนรู้ที่จะทำตามคำแนะนำของพระยะโฮวาทุกเรื่อง ซึ่งรวมถึงเรื่องครอบครัวด้วย กษัตริย์โซโลมอนบอกว่า “ขอให้วางใจพระยะโฮวาสุดหัวใจ” และยังบอกอีกว่า “คิดถึงพระองค์เสมอไม่ว่าจะทำอะไร แล้วพระองค์จะทำให้ชีวิตราบรื่น” (สุภาษิต 3:5, 6) เด็ก ๆ และวัยรุ่น พระยะโฮวารักคุณมาก! คุณมีค่าจริง ๆ สำหรับพระองค์ พระองค์จะปกป้อง ชี้นำ และอวยพรคุณแน่นอน ห18.04 น. 26 ว. 7; น. 27 ว. 9
วันเสาร์ที่ 29 กุมภาพันธ์
ให้พวกคุณรักกัน ผมรักพวกคุณอย่างไร ก็ให้พวกคุณรักกันอย่างนั้นด้วย—ยน. 13:34
อัครสาวกยอห์นเป็นคนที่นำหน้าประชาคมคริสเตียนในยุคแรก เขาเป็นคนที่เขียนหนังสือข่าวดีเกี่ยวกับงานรับใช้ของพระเยซู ซึ่งหนังสือนี้เป็นหนังสือที่ให้กำลังใจคริสเตียนตลอดหลายร้อยปีต่อมาจนถึงสมัยของเราด้วย เช่น มีแค่ในหนังสือยอห์นเท่านั้นที่บอกว่าความรักเป็นสิ่งที่ทำให้รู้ว่าใครเป็นสาวกแท้ของพระเยซู (ยอห์น 13:35) นอกจากนั้น จดหมายทั้ง 3 ฉบับที่ยอห์นเขียนมีความรู้ที่มีค่ามาก เช่น ถ้าเราหมดกำลังใจเพราะว่าทำผิด เราจะได้รับกำลังใจเมื่อได้อ่านว่า ค่าไถ่ของพระเยซู “ลบล้างบาปทั้งหมดของเรา” (1 ยอห์น 1:7) หรือถ้าเรายังรู้สึกผิดไม่หาย เราก็สบายใจขึ้นเมื่อได้อ่านว่า “พระเจ้าก็รู้จักตัวเราดีกว่าที่เรารู้จักตัวเอง” (1 ยอห์น 3:20) ยอห์นเป็นผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลคนเดียวที่เขียนว่า “พระเจ้าเป็นความรัก” (1 ยอห์น 4:8, 16) และจดหมายฉบับที่ 2 และฉบับที่ 3 ของเขาก็ชมเชยคริสเตียนที่ “ใช้ชีวิตตามความจริง”—2 ยอห์น 4; 3 ยอห์น 3, 4 ห18.04 น. 18 ว. 14-15