มีนาคม
วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม
พระองค์ปกครองทุกสิ่ง—1 พศ. 29:12
เมื่อเราอ่านปฐมกาลบท 1 และ 2 เราเห็นว่าอาดัมกับเอวามีอิสระแบบที่คนทุกวันนี้ทำได้แค่ฝัน อาดัมกับเอวามีทุกสิ่งที่ต้องการ พวกเขาไม่ต้องกลัวอะไร และไม่มีใครมาทำกับเขาแบบไม่ยุติธรรม พวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารหรืองาน และไม่ต้องกังวลว่าจะต้องป่วยหรือตาย (ปฐมกาล 1:27-29; 2:8, 9, 15) ดังนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะจำไว้ว่า พระยะโฮวาเท่านั้นที่มีอิสระแบบไม่มีขีดจำกัด เพราะอะไร? เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างทุกสิ่งและเป็นผู้ปกครององค์ยิ่งใหญ่ซึ่งมีพลังอำนาจสูงสุดในเอกภพ (1 ทิโมธี 1:17; วิวรณ์ 4:11) ทุกสิ่งที่พระองค์สร้างไม่ว่าจะอยู่ในสวรรค์หรือโลกมีอิสระแบบมีขีดจำกัด พระยะโฮวาอยากให้เราเข้าใจว่ามีเพียงพระองค์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ตัดสินว่าข้อจำกัดไหนยุติธรรม จำเป็น และมีเหตุผล ที่จริง ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นที่พระยะโฮวาสร้างมนุษย์ พระองค์ได้ตั้งข้อจำกัดสำหรับพวกเขาไว้ มนุษย์เลยมีขีดจำกัดบางอย่าง ห18.04 น. 4 ว. 4, 6
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม
มีคนกำลังนำข่าวดีมา เท้าของเขางดงามจริง ๆ—อสย. 52:7
เรารู้ว่าชีวิตในสมัยนี้ยากลำบากมาก ที่เราอดทนได้เพราะพระยะโฮวาช่วย (2 คร. 4:7, 8) แต่ลองคิดถึงคนที่ต้องดิ้นรนเพื่อจะมีชีวิตอยู่แถมยังไม่รู้จักพระยะโฮวาและไม่สนิทกับพระองค์ เรารู้สึกสงสารพวกเขาและอยากประกาศ “ข่าวที่ดีกว่า” ให้พวกเขาฟังเหมือนที่พระเยซูทำ ดังนั้นให้อดทนกับคนที่เราสอน จำไว้ว่าคนที่เราคุยด้วยอาจไม่เคยรู้ความจริงจากคัมภีร์ไบเบิลเหมือนที่เรารู้ หลายคนรักสิ่งที่เขาเชื่อ เขาอาจรู้สึกว่าศาสนาของเขาสำคัญมากเพราะช่วยให้เขาใกล้ชิดกับครอบครัว ทำให้ผูกพันกับธรรมเนียมประเพณี และทำให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ก่อนที่เราจะให้นักศึกษาทิ้งความเชื่อ “เก่า” ที่เขานับถือมานาน เราต้องทำให้พวกเขามั่นใจความเชื่อ “ใหม่” ซึ่งเป็นคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลที่พวกเขาไม่คุ้นเคย พอพวกเขามั่นใจแล้ว พวกเขาถึงพร้อมที่จะทิ้งความเชื่อเดิม การช่วยให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนั้นอาจต้องใช้เวลา—รม. 12:2 ห19.03 น. 22 ว. 10; น. 23 ว. 12-13
วันอังคารที่ 3 มีนาคม
พ่อพอใจในตัวลูกมาก—มก. 1:11
ตัวอย่างของพระยะโฮวาที่แสดงความรักและเห็นค่าเตือนเราให้หาโอกาสให้กำลังใจคนอื่น (ยน. 5:20) เมื่อเราทำสิ่งดี ๆ แล้วคนที่เราแคร์มาชมเราและแสดงออกว่ารักเรา เราก็ได้กำลังใจและพยายามพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น พี่น้องในประชาคมและคนในครอบครัวของเราต้องการความรักและกำลังใจจากเราเหมือนกัน เมื่อเราชมพวกเขา เราก็ทำให้พวกเขามีความเชื่อเข้มแข็งและช่วยให้พวกเขารับใช้พระยะโฮวาอย่างภักดี เป็นเรื่องสำคัญเป็นพิเศษที่พ่อแม่ต้องให้กำลังใจลูก เมื่อพ่อแม่ชมลูกจากใจจริงและแสดงว่ารักลูก พวกเขาก็ทำให้ลูกพัฒนาตัวเองดีขึ้น “พ่อพอใจในตัวลูกมาก” คำพูดนี้แสดงว่าพระยะโฮวามั่นใจว่าพระเยซูจะทำตามความประสงค์ของพระองค์อย่างซื่อสัตย์ และเพราะพระองค์มั่นใจในตัวลูกชายของพระองค์มาก เราจึงมั่นใจเต็มร้อยในพระเยซูได้เหมือนกันว่าท่านจะทำให้คำสัญญาทุกเรื่องของพระยะโฮวาเกิดขึ้นจริง (2 คร. 1:20) เมื่อเราคิดถึงตัวอย่างของพระเยซู เราก็ยิ่งตั้งใจมากขึ้นที่จะเรียนรู้จากท่านและเลียนแบบท่าน—1 ปต. 2:21 ห19.03 น. 8 ว. 3; น. 9 ว. 5-6
วันพุธที่ 4 มีนาคม
พลังของพระเจ้าที่ทำให้คนเราใช้ชีวิตเป็นสาวกของพระคริสต์เยซูนั้นได้ทำให้คุณหลุดพ้นจากกฎของบาปและความตายแล้ว—รม. 8:2
ตอนที่เราได้รับของขวัญที่มีค่า เรารู้สึกขอบคุณและเห็นค่าคนที่ให้ของขวัญชิ้นนั้นกับเรา แต่ชาวอิสราเอลไม่เห็นค่าอิสระที่พระยะโฮวาให้กับพวกเขาเลย แค่ไม่กี่เดือนหลังจากพระองค์ปล่อยพวกเขาออกจากอียิปต์ พวกเขาเริ่มโหยหาอาหารที่เคยกินที่นั่น พวกเขาบ่นเรื่องมานาซึ่งเป็นอาหารที่พระยะโฮวาให้จนถึงกับอยากกลับไปอียิปต์ด้วยซ้ำ! สำหรับพวกเขา ‘ปลา แตงกวา แตงโม ต้นกระเทียม หัวหอม หัวกระเทียม’ สำคัญมากกว่าอิสระที่พระยะโฮวาให้ซึ่งทำให้พวกเขาได้นมัสการพระองค์ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมพระองค์ถึงโกรธพวกเขามาก (กันดารวิถี 11:5, 6, 10; 14:3, 4) เรื่องนี้ให้บทเรียนสำคัญกับเราจริง ๆ เปาโลเตือนคริสเตียนทุกคนว่าอย่าเป็นคนที่ไม่เห็นค่าอิสระที่พระยะโฮวาให้กับเราผ่านทางพระเยซูลูกชายของพระองค์—2 โครินธ์ 6:1 ห18.04 น. 9-10 ว. 6-7
วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม
พระองค์รักความถูกต้องและความยุติธรรม โลกเต็มไปด้วยความรักที่มั่นคงของพระยะโฮวา—สด. 33:5
เราทุกคนต้องการความรักและอยากให้คนอื่นปฏิบัติกับเราอย่างยุติธรรม ถ้าเราไม่ได้รับความรักและความยุติธรรมครั้งแล้วครั้งเล่า เราอาจรู้สึกไร้ค่าและไม่มีความหวัง พระยะโฮวารู้ว่าเราอยากได้รับความรักและความยุติธรรมมาก (สด. 33:5) เรามั่นใจได้ว่าพระเจ้ารักเรามากและอยากให้เราได้รับความยุติธรรม เราเห็นเรื่องนี้ได้จากกฎหมายที่พระยะโฮวาให้กับชาติอิสราเอลผ่านทางโมเสส ถ้าคุณรู้สึกสิ้นหวังเพราะไม่ได้รับความรักและความยุติธรรม ขอให้ดูว่ากฎหมายของโมเสสแสดงอย่างไรว่าพระยะโฮวารักและเป็นห่วงประชาชนของพระองค์ เมื่อเราศึกษากฎหมายของโมเสส เราจะเห็นถึงความรักของพระยะโฮวาพระเจ้าของเรา (โรม 13:8-10) เราบอกได้ว่ากฎหมายของโมเสสมีพื้นฐานมาจากความรัก เพราะพระยะโฮวาทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความรัก (1 ยน. 4:8) กฎหมายทุกข้อที่พระองค์ให้ผ่านทางโมเสสมีพื้นฐานมาจากกฎหมาย 2 ข้อ นั่นคือการรักพระเจ้าและการรักคนอื่น (ลนต. 19:18; ฉธบ. 6:5; มัทธิว 22:36-40) ดังนั้น เราคาดหมายได้ว่ากฎหมายทั้ง 600 ข้อรวมทั้งกฎหมายอื่น ๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายของโมเสสจะสอนเราเกี่ยวกับความรักของพระยะโฮวา ห19.02 น. 20-21 ว. 1-4
วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม
ทรัพย์สมบัติของคุณอยู่ที่ไหน ใจของคุณก็อยู่ที่นั่นด้วย—มธ. 6:21
โยบพยายามเชื่อฟังพระยะโฮวาทุกวัน เช่น เขาระวังตัวเมื่ออยู่กับผู้หญิงอื่น (โยบ 31:1) เขารู้ว่าไม่เหมาะสมที่จะสนใจผู้หญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาของตัวเองในเชิงชู้สาว ทุกวันนี้โลกรอบตัวเรามีแต่การล่อใจเรื่องเพศ เราเป็นเหมือนโยบไหมที่ไม่ให้ความสนใจอย่างไม่เหมาะสมกับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่ของเรา? นอกจากนั้น เราไม่ดูสื่อลามกทุกรูปแบบไหม? (มธ. 5:28) ถ้าเราควบคุมตัวเองแบบนี้ทุกวัน เราจะทำให้ตัวเองเข้มแข็งมากขึ้นเพื่อจะรักษาความซื่อสัตย์ได้ นอกจากนี้ โยบยังเชื่อฟังพระยะโฮวาในเรื่องการมองทรัพย์สมบัติด้วย เขารู้ว่าถ้าไว้ใจทรัพย์สมบัติ เขาคงจะทำบาปร้ายแรงและสมควรถูกลงโทษ (โยบ 31:24, 25, 28) ทุกวันนี้เราอยู่ในโลกที่สนใจแต่ทรัพย์สินเงินทอง ถ้าเรามีความคิดที่สมดุลเรื่องเงินและทรัพย์สมบัติอย่างที่คัมภีร์ไบเบิลสอน เราจะทำให้ตัวเองเข้มแข็งมากขึ้นเพื่อจะรักษาความซื่อสัตย์ได้—สภษ. 30:8, 9; มธ. 6:19, 20 ห19.02 น. 6-7 ว. 13-14
วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม
ผมรักพวกคุณเหมือนที่พ่อรักผม—ยน. 15:9
ทุกอย่างที่พระเยซูทำสะท้อนให้เห็นอย่างสมบูรณ์แบบว่าพระยะโฮวารักเราขนาดไหน (1 ยน. 4:8-10) ที่สำคัญที่สุดก็คือพระเยซูรักเราจากหัวใจโดยการที่ท่านสละชีวิตเพื่อเรา ไม่ว่าเราจะเป็นผู้ถูกเจิมหรือ “แกะอื่น” เราก็ได้รับประโยชน์จากความรักที่พระยะโฮวาและลูกชายของพระองค์แสดงออกโดยทางเครื่องบูชาไถ่ (ยน. 10:16; 1 ยน. 2:2) นอกจากนั้น เมื่อคิดถึงลักษณะของการประชุมอนุสรณ์ มันทำให้เราเห็นว่าพระเยซูรักและคิดถึงความรู้สึกของพวกสาวกมาก เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร? พระเยซูแสดงความรักต่อสาวกที่ถูกเจิมด้วยพลังบริสุทธิ์โดยการจัดการประชุมอนุสรณ์แบบเรียบง่าย ไม่ใช่พิธีกรรมที่ยุ่งยากซับซ้อน เมื่อเวลาผ่านไปพวกสาวกที่ถูกเจิมต้องจัดการประชุมอนุสรณ์ทุกปี ซึ่งอาจจัดขึ้นภายใต้สภาพการณ์ที่แตกต่างกัน เช่น อาจจัดในช่วงที่ต้องติดคุก (วว. 2:10) พวกเขาจะเชื่อฟังพระเยซูได้ไหม? พวกเขาทำได้ ตั้งแต่สมัยพระเยซูจนถึงปัจจุบันคริสเตียนแท้พยายามที่จะจัดการประชุมอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงการตายของพระเยซู ห19.01 น. 24 ว. 13-15
วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม
พวกคุณจะรู้ความจริง แล้วความจริงจะทำให้พวกคุณเป็นอิสระ—ยน. 8:32
เราขอบคุณพระยะโฮวา เป็นเพราะพระองค์เราเลยเป็นอิสระจากศาสนาเท็จ การไม่รู้ และการเชื่อโชคลาง ในอนาคตเรารอคอยที่จะมี “เสรีภาพที่งดงามแบบที่ลูกของพระเจ้ามี” (โรม 8:21) คุณเองก็มีอิสระแบบนี้ได้ในระดับหนึ่งตั้งแต่ตอนนี้ถ้าคุณทำตามที่พระเยซูสอน (ยน. 8:31) และถ้าทำอย่างนี้คุณจะ “รู้ความจริง” ไม่ใช่แค่จากการเรียนเท่านั้น แต่ด้วยการใช้ชีวิตตามความจริงด้วย ตอนที่เรายังอยู่ในโลกของซาตาน แม้แต่สิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่าชีวิตดี ๆ ก็อยู่ได้ไม่นาน ไม่มีมนุษย์คนไหนรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น (ยากอบ 4:13, 14) ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณทำได้ตอนนี้ก็คือ ให้เลือกสิ่งที่จะช่วยให้คุณได้ “ชีวิตแท้” ซึ่งก็คือชีวิตตลอดไปในโลกใหม่ที่ยอดเยี่ยมของพระเจ้า (1 ทิโมธี 6:19) พระองค์ไม่ได้บังคับใครให้มารับใช้พระองค์ เราทุกคนต้องเลือกเองว่าจะทำอย่างไรกับชีวิต ดังนั้น ขอคุณให้พระยะโฮวาเป็น “ส่วนแบ่ง” ของคุณโดยพยายามสนิทกับพระองค์มากขึ้นทุกวัน (สดุดี 16:5) ให้คุณรักและเห็นค่า “สิ่งดี ๆ” ทุกอย่างที่พระองค์ให้ (สดุดี 103:5) คุณจะมั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะช่วยให้คุณ “มีความสุข . . . ตลอดไป”—สดุดี 16:11 ห18.12 น. 28 ว. 19, 21
วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม
สามีก็ไม่ควรทิ้งภรรยา—1 คร. 7:11
คริสเตียนทุกคนควรนับถือการจัดเตรียมเรื่องชีวิตคู่เหมือนพระยะโฮวาและพระเยซู แต่บางคนไม่ได้ทำอย่างนั้นเพราะเราทุกคนไม่สมบูรณ์แบบ (โรม 7:18-23) จึงไม่แปลกที่คริสเตียนยุคแรกบางคนมีปัญหาในชีวิตคู่ เปาโลเขียนว่า “ภรรยาไม่ควรไปจากสามี” แต่ก็มีบางคู่ที่แยกกันอยู่ (1 โครินธ์ 7:10) เปาโลไม่ได้อธิบายว่าอะไรทำให้สามีภรรยาแยกกันอยู่ แต่เรารู้ว่าสาเหตุไม่ใช่เพราะการทำผิดศีลธรรมทางเพศ ไม่อย่างนั้นภรรยาก็มีเหตุผลที่จะหย่าหรือแต่งงานใหม่ได้ เปาโลบอกคนที่เป็นภรรยาที่แยกกันอยู่กับสามีว่า “อย่าแต่งงานใหม่ หรือไม่ก็ให้กลับไปคืนดีกับสามี” ดังนั้น แม้ทั้งสองคนจะแยกกันอยู่แต่พระเจ้ายังมองพวกเขาว่าเป็นสามีภรรยากัน เปาโลบอกว่าแม้สามีภรรยาจะเจอปัญหาร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าฝ่ายหนึ่งไม่ได้ทำผิดศีลธรรมทางเพศ ทั้งคู่ก็ควรมีเป้าหมายที่จะคืนดีกันโดยพยายามแก้ปัญหาและอยู่ด้วยกันต่อไป พวกเขาอาจขอคำแนะนำจากผู้ดูแล ห18.12 น. 13 ว. 14-15
วันอังคารที่ 10 มีนาคม
คุณต้องทำให้การปกครองของพระเจ้าและความถูกต้องชอบธรรมของพระองค์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต—มธ. 6:33
ทุกวันนี้ พระยะโฮวาอยากให้เราเป็นเพื่อนกับพระองค์และทุ่มเททำงานประกาศข่าวดีอย่างเต็มที่ (มัทธิว 28:19, 20; ยากอบ 4:8) แต่ก็อาจมีบางคนที่เจตนาดีพยายามทำให้เราท้อใจ เช่น เจ้านายอาจเสนองานที่ได้เงินเยอะขึ้น แต่คุณอาจต้องทำงานเยอะขึ้นด้วยซึ่งมันทำให้คุณไปประชุมหรือไปประกาศได้น้อยลง หรือถ้าคุณยังเรียนหนังสืออยู่ แล้วครูที่โรงเรียนเสนอโอกาสให้คุณไปเรียนที่อื่นแต่ทำให้ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ คุณจะทำอย่างไร? ตอนที่คุณเจอสถานการณ์แบบนั้น คุณยังต้องใช้เวลาอธิษฐาน ค้นคว้า และคุยกับคนอื่นก่อนตัดสินใจไหม? อย่ารอให้ต้องเจอกับสถานการณ์แบบนั้นก่อน แล้วค่อยมาทำสิ่งเหล่านี้ ดีกว่าที่คุณจะรู้ตั้งแต่ตอนนี้ว่าพระยะโฮวาคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้และคิดให้เหมือนพระองค์ แล้วพอคุณเจอเข้าจริง ๆ คุณก็จะไม่รู้สึกว่าสิ่งนั้นมันล่อใจคุณ และคุณรู้ว่าจะต้องทำอะไรเพราะได้ตัดสินใจไว้แล้วว่าจะใช้ชีวิตเพื่อรับใช้พระยะโฮวา ห18.11 น. 27 ว. 18
วันพุธที่ 11 มีนาคม
ให้ปกป้องหัวใจของคุณยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด—สภษ. 4:23
โซโลมอนเป็นกษัตริย์ตอนยังหนุ่ม ช่วงแรกที่เขาปกครอง พระยะโฮวามาหาเขาในความฝันและบอกว่า “ขอให้บอกมาว่าเจ้าอยากได้อะไร แล้วเราจะให้เจ้า” โซโลมอนบอกว่า “ผมอายุยังน้อยและไม่มีประสบการณ์ . . . โปรดช่วยผมให้เต็มใจเชื่อฟังเพื่อจะตัดสินคดีของประชาชนของพระองค์ได้” (1 พก. 3:5-10) โซโลมอนขอให้เขามีหัวใจที่ “เต็มใจเชื่อฟัง” นี่เป็นคำขอที่แสดงความเจียมตัวจริง ๆ จึงไม่แปลกที่พระยะโฮวารักโซโลมอน (2 ซม. 12:24) พระองค์ชอบมากที่โซโลมอนขอแบบนี้ พระองค์เลยให้เขามีหัวใจที่ “มีปัญญาและความเข้าใจ” (1 พก. 3:12) ช่วงที่โซโลมอนยังซื่อสัตย์ เขาได้พรหลายอย่าง เขาได้รับเกียรติให้สร้างวิหาร “เพื่อยกย่องชื่อของพระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอล” (1 พก. 8:20) เขามีชื่อเสียงเพราะสติปัญญาที่พระเจ้ามอบให้ นอกจากนั้น คำพูดของเขาที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าก็ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ 3 เล่มของคัมภีร์ไบเบิล หนึ่งในนั้นคือหนังสือสุภาษิต ห19.01 น. 14 ว. 1-2
วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม
เลิกเลียนแบบคนในโลกนี้—รม. 12:2
บางคนไม่ชอบให้ใครก็ตามมีอิทธิพลต่อความคิดของพวกเขา พวกเขาบอกว่า “ฉันคิดเองได้” ซึ่งมันอาจหมายความว่าพวกเขาอยากตัดสินใจเองและคิดว่ามีสิทธิ์จะทำอย่างนั้น พวกเขาไม่อยากให้ใครมาควบคุมหรือบังคับให้ทำเหมือนคนอื่น เราแน่ใจได้ว่าถ้าเราคิดเหมือนพระยะโฮวา เราก็ยังมีความคิดเป็นของตัวเองได้ 2 โครินธ์ 3:17 บอกว่า “คนที่ได้รับพลังของพระยะโฮวาก็มีอิสระ” พระยะโฮวาให้อิสระกับเราที่จะเลือกเองว่าเราอยากเป็นคนแบบไหน เรายังมีความชอบส่วนตัวได้และเลือกสิ่งที่เราสนใจได้ พระยะโฮวาสร้างเรามาแบบนี้ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีอิสระแบบไม่จำกัด (1 เปโตร 2:16) พระยะโฮวาอยากให้เราพึ่งคัมภีร์ไบเบิลเพื่อจะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ห18.11 น. 19 ว. 5-6
วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม
ดามาสทิ้งผม . . . เพราะเขารักโลกนี้—2 ทธ. 4:10
เมื่อเราเรียนความจริง เรารู้ว่าการรับใช้พระยะโฮวาสำคัญกว่าทรัพย์สมบัติ เรามีความสุขที่ได้สละสิ่งเหล่านั้นเพื่อความจริง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราอาจเห็นคนอื่นซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รุ่นล่าสุดและใช้เงินซื้อหรือทำสิ่งที่ชอบ มันเลยทำให้เรารู้สึกอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นเขา เรากลายเป็นคนไม่พอใจกับสิ่งที่มีอยู่และเริ่มทุ่มเทหาเงินมากกว่ารับใช้พระเจ้า นี่ทำให้เราคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับดามาส “เขารักโลกนี้” มากจนทิ้งงานมอบหมายกับอัครสาวกเปาโล ที่เป็นอย่างนั้นอาจเป็นเพราะเขารักทรัพย์สมบัติมากกว่าการรับใช้พระเจ้า หรือเขาอาจไม่อยากเสียสละตัวเองเพื่อรับใช้กับเปาโลอีกต่อไป บทเรียนที่เราได้จากเรื่องนี้คือ ในอดีตเราอาจเคยรักทรัพย์สมบัติเงินทองมาก และถ้าเราไม่ระวัง ความรู้สึกแบบนั้นจะกลับมาอีกและมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเราไม่รักความจริงอีกต่อไป ห18.11 น. 10 ว. 9
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม
พวกคุณจะไม่ตายหรอก—ปฐก. 3:4
การโกหกของซาตานเป็นการโกหกแบบมีเจตนาร้าย เพราะมันรู้ว่าถ้าเอวากินผลไม้ที่พระเจ้าห้าม เธอจะตาย และก็เป็นอย่างนั้นจริง เอวากินผลไม้และต่อมาอาดัมก็กินด้วย พวกเขาไม่เชื่อฟัง แล้วก็ต้องตาย (ปฐมกาล 3:6; 5:5) ไม่ใช่แค่นั้น เป็นเพราะอาดัมทำบาป “ความตายจึงลามไปถึงทุกคน” ที่จริง “ความตายมีอำนาจเหมือนกษัตริย์ . . . ถึงแม้พวกเขาไม่ได้ทำบาปเหมือนอาดัม” (โรม 5:12, 14) เราจึงกลายเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบและไม่มีชีวิตตลอดไปอย่างที่พระเจ้าตั้งใจไว้ เรามีอายุแค่ “70 ปี ถ้าแข็งแรงมากก็อยู่ได้ถึง 80 ปี” และ “เต็มไปด้วยความลำบากและความทุกข์” (สดุดี 90:10) สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นเพราะการโกหกของซาตาน พระเยซูพูดถึงซาตานว่า “มันไม่ได้ยึดมั่นในความจริง เพราะมันไม่มีความจริง” (ยอห์น 8:44) ซาตานยังมีนิสัยเดิมไม่เคยเปลี่ยน มันยังโกหกเพื่อ “หลอกลวงทั้งโลกให้หลงผิด” (วิวรณ์ 12:9) แต่เราไม่อยากถูกซาตานหลอกและเป็นเหมือนอาดัมกับเอวาที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกับพระยะโฮวา ห18.10 น. 6-7 ว. 1-4
วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม
คนที่สร้างสันติก็มีความสุข เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้า—มธ. 5:9
เมื่อเราริเริ่มสร้างสันติกับคนอื่นมันจะทำให้เรามีความสุข สาวกยากอบเขียนว่า “คนที่สร้างสันติสุขในสภาพที่สงบสุข ก็ทำให้เกิดผลเป็นความถูกต้องชอบธรรม” (ยากอบ 3:18) ถ้าคุณเข้ากับบางคนไม่ค่อยได้ เช่น คนในประชาคมหรือในครอบครัว คุณต้องอธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยให้คุณเป็นคนสร้างสันติ แล้วพระองค์จะให้พลังบริสุทธิ์ซึ่งจะช่วยให้คุณแสดงคุณลักษณะแบบคริสเตียน แล้วคุณจะมีความสุขมากขึ้น พระเยซูเน้นว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องริเริ่มสร้างสันติ ท่านบอกว่า “ดังนั้น ถ้าคุณเอาของถวายมาที่แท่นบูชาและนึกขึ้นได้ว่ามีคนโกรธคุณอยู่ ให้วางของถวายไว้หน้าแท่นบูชาก่อนและไปคืนดีกับเขา แล้วค่อยกลับมาถวายของนั้น”—มัทธิว 5:23, 24 ห18.09 น. 21 ว. 17
วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม
ผมให้กฎหมายใหม่กับพวกคุณ คือ ให้พวกคุณรักกัน ผมรักพวกคุณอย่างไร ก็ให้พวกคุณรักกันอย่างนั้นด้วย—ยน. 13:34
คืนสุดท้ายที่พระเยซูอยู่กับสาวก ท่านพูดถึงความรักเกือบ 30 ครั้ง ท่านบอกพวกเขาว่าต้อง “รักกัน” (ยอห์น 15:12, 17) ผู้คนจะต้องเห็นชัดเจนว่าพวกเขารักกัน ความรักที่พวกเขามีต่อกันต้องเด่นชัดจนผู้คนสังเกตได้ว่าพวกเขาเป็นสาวกแท้ของพระคริสต์ (ยอห์น 13:35) ความรักที่พระเยซูพูดถึงนี้ไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่เป็นคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมที่สุดซึ่งแสดงออกด้วยการเสียสละตัวเอง พระเยซูบอกว่า “ไม่มีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือที่คนหนึ่งยอมสละชีวิตเพื่อเพื่อนของเขา ถ้าพวกคุณทำตามที่ผมสั่ง พวกคุณก็เป็นเพื่อนของผม” (ยอห์น 15:13, 14) ใคร ๆ ก็รู้ว่าผู้รับใช้ของพระยะโฮวาทุกวันนี้มีความรักแท้ เต็มใจเสียสละเพื่อกันและกัน และเป็นหนึ่งเดียวกันจริง ๆ (1 ยอห์น 3:10, 11) ไม่ว่าเราจะมาจากเชื้อชาติไหน พูดภาษาอะไร อยู่ประเทศไหน หรือถูกเลี้ยงดูมาอย่างไร เราก็เป็นผู้รับใช้พระยะโฮวาทั่วโลกที่รักกันจริง ๆ ห18.09 น. 12 ว. 1-2
วันอังคารที่ 17 มีนาคม
ถ้าใครไม่เลี้ยงดูคนที่อยู่ในความดูแลของเขา โดยเฉพาะสมาชิกในครอบครัวของเขาเอง คนนั้นก็ปฏิเสธความเชื่อ—1 ทธ. 5:8
พระยะโฮวาต้องการให้เราเอาใจใส่ครอบครัว เช่น คุณอาจทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว คนที่เป็นแม่ก็ต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก และถ้าเรามีพ่อแม่ที่อายุมากหรือป่วย เราก็ต้องดูแลท่าน หน้าที่ต่าง ๆ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งจำเป็น ถ้าคุณมีหน้าที่รับผิดชอบหลายอย่างในครอบครัว คุณอาจไม่สามารถทำงานรับใช้พระยะโฮวาได้มากอย่างที่อยากทำ แต่อย่าเพิ่งท้อ การที่คุณเอาใจใส่ครอบครัวทำให้พระยะโฮวาพอใจ (1 โครินธ์ 10:31) ถ้าคุณไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบที่หนักมากในครอบครัว คุณจะช่วยพี่น้องที่ป่วย อายุมาก หรือต้องการความช่วยเหลือได้ไหม? หรือคุณอาจช่วยพี่น้องที่ต้องดูแลคนอื่นในครอบครัวได้ไหม? ลองดูว่ามีใครบ้างในประชาคมของคุณที่ต้องการความช่วยเหลือ ถ้าทำแบบนี้ คุณก็อาจกำลังทำงานกับพระยะโฮวาในการตอบคำอธิษฐาน—1 คร. 10:24 ห18.08 น. 24 ว. 3, 5
วันพุธที่ 18 มีนาคม
พระเจ้าอยู่กับโยเซฟ และช่วยเขาให้พ้นจากความยากลำบากทั้งหมด—กจ. 7:9, 10
ขอให้คิดถึงตัวอย่างของโยเซฟ เขาเป็นลูกที่ยาโคบรักที่สุด นี่เลยทำให้พวกพี่ชายอิจฉาเขามากและขายเขาไปเป็นทาสในอียิปต์ตอนอายุ 17 (ปฐมกาล 37:2-4, 23-28) ตลอดประมาณ 13 ปีที่โยเซฟต้องอยู่ไกลจากพ่อที่เขารักมาก เขาต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ตอนแรกต้องเป็นทาส ต่อมาก็กลายเป็นนักโทษ สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังและเคียดแค้นก็ได้ แต่เขาไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย อะไรช่วยเขาให้รับมือได้? ตอนที่โยเซฟติดคุก เขาคงต้องคิดเสมอว่าพระยะโฮวาช่วยเขาอย่างไร (ปฐมกาล 39:21; สดุดี 105:17-19) เขาอาจคิดถึงความฝันที่เป็นคำพยากรณ์ซึ่งเขาเคยฝันตอนเป็นวัยรุ่นด้วย และนี่ทำให้เขามั่นใจว่าพระยะโฮวาอยู่กับเขา (ปฐมกาล 37:5-11) นอกจากนั้น เขาคงอธิษฐานบ่อย ๆ บอกพระยะโฮวาทุกเรื่องที่อยู่ในใจ (สดุดี 145:18) พระองค์เลยตอบคำอธิษฐานโดยทำให้เขามั่นใจว่าพระองค์ “อยู่กับ” เขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห18.10 น. 28 ว. 3-4
วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม
คนจนแม้แต่เพื่อนบ้านก็ยังรังเกียจเขา แต่คนรวยมีเพื่อนเยอะ—สภษ. 14:20
เป็นไปได้ที่เราอาจมองคนที่ความรวยหรือความจน ความรวยหรือความจนส่งผลต่อวิธีที่เรามองคนอื่นอย่างไร? โซโลมอนได้รับการดลใจให้เขียนข้อคัมภีร์วันนี้ซึ่งเป็นความจริงที่น่าเศร้า ข้อนี้สอนอะไรเรา? ถ้าเราไม่ระวัง เราอาจอยากเป็นเพื่อนกับพี่น้องที่รวยมากกว่าพี่น้องที่จน ทำไมการตัดสินคนอื่นโดยอาศัยฐานะถึงอันตรายมาก? การทำแบบนี้อาจทำให้ประชาคมแตกแยก เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นในบางประชาคมสมัยศตวรรษแรกมาแล้ว และยากอบก็เตือนพวกเขาในเรื่องนี้ (ยากอบ 2:1-4) เราต้องไม่ปล่อยให้เกิดความแตกแยกในประชาคม เราจะไม่ตัดสินพี่น้องจากฐานะ ห18.08 น. 10 ว. 8-10
วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม
รักกันให้มาก ๆ—1 ปต. 4:8
เราแสดงว่าเราเห็นค่าการได้เป็นเพื่อนกับพระยะโฮวาโดยวิธีที่เราปฏิบัติต่อพี่น้อง พวกเขาก็เป็นคนของพระยะโฮวาเหมือนเรา ถ้าเราจำเรื่องนี้ไว้ เราจะรักและทำดีกับเขา (1 เธสะโลนิกา 5:15) ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ? พระเยซูบอกกับสาวกว่า “ทุกคนจะรู้ว่าพวกคุณเป็นสาวกของผม เมื่อพวกคุณรักกัน” (ยอห์น 13:35) มาลาคีบอกว่าพระยะโฮวาสนใจว่าคนของพระองค์ปฏิบัติต่อกันอย่างไร (มาลาคี 3:16) พระยะโฮวา “รู้ว่าใครเป็นคนของพระองค์” (2 ทิโมธี 2:19) ไม่ว่าเราจะพูดหรือทำอะไร พระองค์ก็รู้หมด (ฮีบรู 4:13) ถ้าเราทำไม่ดีกับพี่น้อง พระยะโฮวาก็เห็น และเราแน่ใจได้ว่าพระยะโฮวาเห็นเหมือนกันเมื่อเราเป็นคนมีน้ำใจ ใจกว้าง ให้อภัย และทำดีกับพี่น้อง—ฮีบรู 13:16 ห18.07 น. 25 ว. 15; น. 26 ว. 17
วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม
ให้ . . . ใกล้ชิดกับ [พระยะโฮวา]—ฉธบ. 10:20
เป็นเรื่องฉลาดที่เราต้องใกล้ชิดกับพระยะโฮวา เพราะไม่มีใครมีอำนาจ สติปัญญา และมีความรักเท่าพระองค์อีกแล้ว เราจึงอยากซื่อสัตย์ภักดีและอยู่ฝ่ายพระองค์เสมอ (สดุดี 96:4-6) แต่มีบางคนที่เคยเป็นผู้นมัสการพระเจ้ากลับทำไม่ได้ ขอให้เราคิดถึงตัวอย่างของคาอิน พระยะโฮวาไม่ยอมรับการนมัสการของเขาทั้ง ๆ ที่เขาเองก็ไม่ได้นมัสการพระเท็จ ทำไม? เพราะพระยะโฮวาเห็นแนวโน้มที่ไม่ดีในหัวใจของคาอิน (1 ยอห์น 3:12) พระยะโฮวาเตือนคาอินว่า “ถ้าเจ้าเปลี่ยนใจมาทำดี เราจะพอใจเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่เปลี่ยน บาปก็จะซุ่มคอยตะครุบเจ้าอยู่ที่ประตู เจ้าน่าจะเอาชนะมันไม่ใช่หรือ?” (ปฐมกาล 4:6, 7) พระยะโฮวาทำให้เห็นชัดเจนว่าถ้าคาอินกลับใจและเลือกอยู่ฝ่ายพระองค์ พระองค์ก็จะอยู่ฝ่ายคาอิน แต่คาอินกลับไม่ฟังพระองค์ ห18.07 น. 17 ว. 1, 3; น. 18 ว. 4
วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม
ให้คุณส่องแสงสว่างให้คนอื่นเห็น—มธ. 5:16
การประกาศและการสอนคนให้เป็นสาวกเป็นวิธีสำคัญที่ช่วยให้เราส่องแสงสว่างออกไป (มัทธิว 28:19, 20) และนอกจากการประกาศแล้ว ความประพฤติของเราก็ทำให้คนอื่นยกย่องสรรเสริญพระยะโฮวาด้วย เจ้าของบ้านและคนแถวนั้นสังเกตตอนที่เราประกาศ ถ้าเรายิ้มให้พวกเขาและพูดทักทายอย่างอบอุ่น พวกเขาก็จะรู้สึกดีกับเราและรู้สึกดีกับพระเจ้าของเราด้วย พระเยซูบอกกับสาวกว่า “เมื่อคุณเข้าบ้านไหน ให้ทักทายคนในบ้านนั้น” (มัทธิว 10:12) ในเขตที่พระเยซูประกาศ มีธรรมเนียมต้อนรับคนแปลกหน้าเข้าบ้าน แต่ในทุกวันนี้หลายประเทศไม่ทำแบบนั้น เจ้าของบ้านอาจกลัวหรือรู้สึกหงุดหงิดถ้าเห็นคนแปลกหน้ายืนอยู่หน้าประตูบ้านเขา แต่ถ้าเรามีท่าทางเป็นมิตร เจ้าของบ้านจะรู้สึกสบายใจขึ้น นอกจากนั้น ตอนที่คุณประกาศสาธารณะโดยใช้รถเข็น คุณอาจสังเกตว่าถ้าคุณยิ้มและทักทายแบบเป็นกันเอง คนอื่นจะรู้สึกสบายใจ ห18.06 น. 22 ว. 4-5
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม
พระเจ้าไม่ลำเอียง—กจ. 10:34
ก่อนหน้านั้นเปโตรชอบอยู่แต่กับชาวยิว แล้วพระเจ้าก็ช่วยเขาให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วคริสเตียนไม่ควรเป็นคนลำเอียง และเขาก็ประกาศกับโคร์เนลิอัสทหารโรมัน (กิจการ 10:28, 35) หลังจากนั้น เปโตรก็ใช้เวลาอยู่กับพี่น้องต่างชาติและกินข้าวกับพวกเขา แต่หลายปีต่อมา ในเมืองอันทิโอก เปโตรกลับเลิกกินข้าวกับพี่น้องต่างชาติ (กาลาเทีย 2:11-14) นี่ทำให้เปาโลตำหนิเปโตร และเปโตรก็ยอมรับคำแนะนำนั้น เรารู้ได้อย่างไร? ก็เพราะตอนที่เปโตรเขียนจดหมายฉบับแรกถึงคริสเตียนชาวยิวและชาวต่างชาติในเอเชียไมเนอร์ เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมากที่พี่น้องทุกคนต้องรักกัน (1 เปโตร 1:1; 2:17) เห็นได้ชัดว่าเพราะตัวอย่างของพระเยซู อัครสาวกได้เรียนรู้ว่าต้องรัก “คนทุกชนิด” (ยอห์น 12:32; 1 ทิโมธี 4:10) ถึงมันอาจต้องใช้เวลานาน แต่พวกเขาเปลี่ยนวิธีมองคนอื่นได้ เพราะว่าคริสเตียนได้ปลูกฝัง “ลักษณะนิสัยใหม่” พวกเขาจึงเรียนรู้ที่จะมองคนอื่นอย่างเท่าเทียมกันเหมือนกับที่พระเจ้ามอง—โคโลสี 3:10, 11 ห18.06 น. 11 ว. 15-16
วันอังคารที่ 24 มีนาคม
ให้ยืนหยัดไว้ . . . เอาความถูกต้องชอบธรรมใส่เป็นเสื้อเกราะป้องกันอก—อฟ. 6:14
เสื้อเกราะของทหารโรมันส่วนใหญ่ทำมาจากแผ่นเหล็กยาวหลายแผ่นที่เอามาดัดให้โค้งเข้ากับลำตัวตามขวาง เนื่องจากเสื้อเกราะป้องกันหัวใจและอวัยวะอื่น ๆ ของทหาร เขาจึงต้องคอยเช็กเสื้อเกราะบ่อย ๆ ว่าชิ้นส่วนแต่ละชิ้นยังอยู่ในสภาพดีไหม มันยังอยู่ในที่ที่มันควรอยู่หรือเปล่า เสื้อเกราะในตัวอย่างนี้ก็คือ มาตรฐานที่ถูกต้องชอบธรรมของพระยะโฮวาที่ป้องกัน “หัวใจ” หรือตัวตนจริง ๆ ของเรา (สุภาษิต 4:23) เหมือนกับทหารที่จะไม่ยอมเอาเสื้อเกราะของเขาที่ทำจากเหล็กอย่างดีไปแลกกับเสื้อเกราะที่ทำมาจากโลหะที่มีคุณภาพแย่กว่า เราก็จะไม่มีทางแลกมาตรฐานของพระยะโฮวากับมาตรฐานของเราเอง พูดง่าย ๆ ก็คือเราจะไม่ตัดสินเอาเองว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่เราจะทำตามมาตรฐานของพระยะโฮวาเสมอ เพราะเรารู้ว่าเราไม่ฉลาดพอที่จะป้องกันหัวใจของตัวเราเองได้ (สุภาษิต 3:5, 6) นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องเช็ก “เสื้อเกราะ” ของตัวเองอยู่เรื่อย ๆ ว่ามันยังป้องกันหัวใจของเราอยู่ไหม ยิ่งเรารักความจริงในคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้น เราก็ยิ่งทำตามมาตรฐานของพระเจ้าง่ายขึ้น เหมือนกับทหารที่ใส่ “เสื้อเกราะ” สบายขึ้น—สดุดี 111:7, 8; 1 ยน. 5:3 ห18.05 น. 28 ว. 3-4, 6-7
วันพุธที่ 25 มีนาคม
พวกเขาบ่นต่อว่าโมเสส—กดว. 20:3
แม้ชาวอิสราเอลจะได้เห็นการอัศจรรย์มากมายที่พระยะโฮวาทำเพื่อพวกเขาผ่านทางโมเสสซึ่งเป็นผู้นำที่ไม่เห็นแก่ตัว ประชาชนเหล่านั้นก็ยังบ่น พวกเขาไม่ใช่แค่บ่นว่าไม่มีน้ำกิน แต่บ่นเรื่องโมเสสด้วย เหมือนกับว่ามันเป็นความผิดของโมเสสที่พวกเขาหิวน้ำ (กดว. 20:1-5, 9-11) โมเสสโกรธมากจนไม่แสดงความอ่อนโยน แทนที่โมเสสจะแสดงความเชื่อและพูดกับหินอย่างที่พระยะโฮวาสั่ง เขากลับต่อว่าประชาชนและบอกว่าตัวเขาเองจะทำให้น้ำไหลออกมา แล้วเขาก็ตีหิน 2 ครั้งแล้วน้ำก็พุ่งออกมา ความหยิ่งและความโกรธทำให้เขาทำผิดพลาดร้ายแรง (สด. 106:32, 33) เป็นเพราะโมเสสไม่ได้แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนแค่ชั่วครู่ พระเจ้าเลยไม่อนุญาตให้เขาเข้าไปในแผ่นดินที่พระองค์สัญญา (กดว. 20:12) จากตัวอย่างนี้เราได้บทเรียนที่ดีมาก อย่างแรก เราต้องพยายามเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ ถ้าเราลืมตัวนิดเดียว เราก็จะแสดงความหยิ่งออกมาและทำให้พูดหรือทำอะไรแบบไม่ฉลาด อย่างที่ 2 ความเครียดทำให้เราอ่อนแอ ดังนั้น เราต้องพยายามที่จะเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนแม้จะเจอความกดดัน ห19.02 น. 12-13 ว. 19-21
วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม
จะมีการประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าไปทั่วโลก เพื่อให้คนทุกชาติมีโอกาสได้ยิน—มธ. 24:14
การประกาศเป็นภาระไหม? ไม่เลย ตอนที่พระเยซูพูดถึงตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องต้นองุ่นจบแล้ว ท่านบอกว่าถ้าเราไปประกาศเราจะมีความสุขเหมือนที่ท่านมี (ยอห์น 15:11) มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ในตัวอย่างเปรียบเทียบ พระเยซูอธิบายว่าต้นองุ่นหมายถึงตัวท่านเอง และกิ่งหมายถึงสาวก (ยอห์น 15:5) กิ่งจะได้น้ำกับสารอาหารก็ต่อเมื่อกิ่งนั้นติดอยู่กับต้น ก็เหมือนกันถ้าเราติดสนิทกับท่านและพยายามเลียนแบบท่านให้มากที่สุด เราก็จะมีความสุขเหมือนที่พระเยซูมี ซึ่งเป็นความสุขที่ได้จากการทำตามความประสงค์ของพระเจ้า (ยอห์น 4:34; 17:13; 1 เปโตร 2:21) ฮาเนซึ่งเป็นไพโอเนียร์มากกว่า 40 ปีแล้วบอกว่า “หลังจากที่ฉันได้ไปประกาศฉันมีความสุขจริง ๆ และความสุขนี่แหละที่เป็นแรงผลักดันให้ฉันอยากรับใช้พระยะโฮวาต่อ ๆ ไป” ความสุขจะทำให้เรามีพลังประกาศต่อ ๆ ไป แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ฟังก็ตาม—มัทธิว 5:10-12 ห18.05 น. 17 ว. 2; น. 20 ว. 14
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม
พระองค์ให้ผมเป็นผู้สอนคนต่างชาติเรื่องความเชื่อและความจริง—1 ทธ. 2:7
อัครสาวกเปาโลเป็นตัวอย่างที่ดีมากในการให้กำลังใจพี่น้อง พลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ส่งเปาโลไปประกาศกับคนต่างชาติซึ่งนับถือพระเจ้าหลายองค์ ทั้งชาวกรีก ชาวโรมัน และชาติอื่น ๆ (กาลาเทีย 2:7-9) เปาโลเดินทางไปประกาศในที่ต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันคือประเทศตุรกี กรีซ และอิตาลี เขาประกาศกับคนที่ไม่ใช่ชาวยิวและตั้งประชาคมคริสเตียนที่นั่น คนที่เพิ่งเข้ามาเป็นคริสเตียนที่นั่นต้องมีชีวิตที่ลำบากเพราะถูกคนร่วมชาติข่มเหง พวกเขาเลยต้องการกำลังใจ (1 เธสะโลนิกา 2:14) ประมาณปีคริสต์ศักราช 50 เปาโลเขียนจดหมายเพื่อให้กำลังใจประชาคมใหม่ที่เมืองเธสะโลนิกาว่า “เราขอบคุณพระเจ้าเสมอเมื่อพูดถึงพวกคุณในคำอธิษฐาน เราคิดถึงงานที่พวกคุณทำอย่างซื่อสัตย์เพื่อพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา รวมทั้งงานหนักที่พวกคุณทำด้วยความรัก และที่พวกคุณอดทน” (1 เธสะโลนิกา 1:2, 3) และเปาโลบอกพวกเขาว่าต้องให้กำลังใจคนอื่นด้วยและเขียนว่า “ขอให้พวกคุณคอยให้กำลังใจกันและเสริมสร้างกันให้เข้มแข็ง”—1 เธสะโลนิกา 5:11 ห18.04 น. 19 ว. 16-17
วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม
จะต้องมีการประกาศข่าวดี . . . ก่อน—มก. 13:10
เมื่อคุณตั้งใจที่จะใช้ทั้งชีวิตเพื่อทำให้พระยะโฮวาพอใจ คุณก็อยากจะบอกคนอื่นเรื่องพระองค์ งานประกาศเป็นงานเร่งด่วนจริง ๆ และต้องเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา คุณจะตั้งเป้าหมายประกาศให้บ่อยขึ้นได้ไหม? คุณจะเป็นไพโอเนียร์ได้ไหม? แต่คุณจะทำอย่างไรถ้าไม่ค่อยชอบประกาศกับคนอื่นล่ะ? และอะไรจะช่วยให้คุณประกาศเก่งขึ้น? มี 2 อย่างที่ช่วยคุณเรื่องนี้ได้คือ (1) เตรียมตัวดี ๆ และ (2) อย่ายอมแพ้ พยายามบอกคนอื่นเรื่องพระยะโฮวาต่อ ๆ ไป ถ้าทำ 2 อย่างนี้แล้ว คุณอาจแปลกใจก็ได้ว่าคุณชอบงานประกาศมากขนาดไหน คุณอาจเริ่มเตรียมตัวโดยคิดถึงคำตอบสำหรับคำถามบางข้อที่เพื่อนนักเรียนอาจถาม เช่น “ทำไมถึงเชื่อว่ามีพระเจ้าล่ะ?” มีหลายบทความในเว็บไซต์ jw.org ที่ช่วยให้คุณสามารถตอบคำถามนั้นได้ คุณจะเจอใบฝึกความคิดที่มีชื่อว่า “ทำไมถึงเชื่อว่ามีพระเจ้า?” ลองเขียนในใบฝึกความคิดนี้เพื่อเตรียมคำตอบของคุณเอง ห18.04 น. 27 ว. 10-11
วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม
ให้เกิดลูกหลานมากมายและเพิ่มจำนวน—ปฐก. 1:28
แม้ว่าอาดัมกับเอวาจะมีอิสระมาก แต่อิสระของพวกเขาก็มีขีดจำกัด ขีดจำกัดบางอย่างเป็นเรื่องธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น เพื่อจะมีชีวิตอยู่ได้ พวกเขาต้องหายใจ ต้องกิน และต้องนอน นี่ทำให้พวกเขาไม่มีอิสระไหม? ไม่ใช่ ที่จริง พระยะโฮวารู้ว่าการทำสิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขามีความสุขและพอใจกับชีวิต (สดุดี 104:14, 15; ปัญญาจารย์ 3:12, 13) พระยะโฮวาให้คำสั่งที่เจาะจงกับอาดัมและเอวา พระองค์บอกพวกเขาให้มีลูกหลานจนเต็มโลกและดูแลโลก คำสั่งนี้ทำให้พวกเขาไม่มีอิสระไหม? ไม่เลย มันเปิดโอกาสให้พวกเขามีส่วนทำให้ความประสงค์ของพระองค์เป็นจริง คือการทำให้ทั้งโลกเป็นสวนอุทยานที่สวยงาม ซึ่งเป็นบ้านที่พวกเขาจะอยู่ตลอดไปกับลูกหลานที่สมบูรณ์แบบ (สดุดี 127:3; อิสยาห์ 45:18) พวกเขาสามารถมีชีวิตคู่และครอบครัวที่มีความสุขตลอดไป ห18.04 น. 4 ว. 7-8
วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม
ทุกคนที่เต็มใจตอบรับความจริงซึ่งทำให้ได้ชีวิตตลอดไปก็เข้ามาเป็นสาวก—กจ. 13:48
ถ้าเราอดทนกับคนที่เราคุยด้วย เราจะไม่คาดหมายว่าพวกเขาต้องเข้าใจหรือยอมรับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลทันทีที่ได้ยิน แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเราเห็นอกเห็นใจ เราจะช่วยให้พวกเขาค่อย ๆ คิดหาเหตุผลจากคัมภีร์ไบเบิล เช่น คิดถึงวิธีที่เราจะช่วยบางคนให้เข้าใจเรื่องความหวังเกี่ยวกับชีวิตตลอดไปในอุทยานบนโลก หลายคนไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย พวกเขาอาจเชื่อว่าความตายเป็นจุดจบของทุกสิ่ง หรือบางคนอาจคิดว่าคนดีทุกคนไปสวรรค์ ลองมาดูวิธีที่พี่น้องชายคนหนึ่งช่วยผู้คนให้เข้าใจเรื่องนี้ ตอนแรกเขาอ่านที่ปฐมกาล 1:28 แล้วก็ถามเจ้าของบ้านว่าพระเจ้าตั้งใจอยากให้มนุษย์อยู่ที่ไหนและอยู่ในสภาพแบบไหน? คนส่วนใหญ่จะตอบว่าให้อยู่บนโลกอย่างมีความสุข จากนั้น พี่น้องจะอ่านที่อิสยาห์ 55:11 และถามว่าความคิดของพระเจ้าเปลี่ยนไปไหม? ส่วนใหญ่เจ้าของบ้านจะตอบว่าไม่ สุดท้าย พี่น้องจะอ่านที่สดุดี 37:10, 11 แล้วถามว่าอนาคตของมนุษย์จะเป็นอย่างไร? พี่น้องคนนี้ใช้คัมภีร์ไบเบิลอธิบายแบบนี้และทำให้เขาสามารถช่วยหลายคนให้เข้าใจว่าพระเจ้ายังคงต้องการให้คนดีมีชีวิตตลอดไปในอุทยานบนโลก ห19.03 น. 24 ว. 14-15; น. 25 ว. 19
วันอังคารที่ 31 มีนาคม
เชื่อฟังเขา—มธ. 17:5
พระยะโฮวาบอกชัดเจนว่าอยากให้เราฟังเสียงพระเยซูและเชื่อฟังท่าน พระเยซูพูดอะไรบ้างตอนอยู่บนโลก? ท่านพูดหลายเรื่องที่สำคัญมาก เช่น สอนพวกสาวกให้ประกาศข่าวดีและเตือนหลายครั้งให้เฝ้าระวัง (มธ. 24:42; 28:19, 20) ท่านยังกระตุ้นให้พวกเขาพยายามสุดความสามารถและให้กำลังใจพวกเขาไม่ให้ยอมแพ้ (ลก. 13:24) ท่านยังเน้นให้พวกสาวกรักกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน และทำตามที่ท่านสั่ง (ยน. 15:10, 12, 13) คำแนะนำที่ท่านให้กับสาวกเป็นคำแนะนำที่มีประโยชน์จริง ๆ และคำแนะนำเหล่านี้ก็สำคัญสำหรับพวกเราในทุกวันนี้ด้วย พระเยซูบอกว่า “ทุกคนที่รักความจริงจะฟังผม” (ยน. 18:37) เราแสดงว่าฟังพระเยซูโดย “ทนกันและกัน และให้อภัยกันอย่างใจกว้างต่อไป” (คส. 3:13; ลก. 17:3, 4) และเรายังฟังท่านโดยขยันประกาศข่าวดี “ทั้งในตอนที่สะดวกและตอนที่ลำบาก”—2 ทธ. 4:2 ห19.03 น. 10 ว. 9-10