เมษายน
วันพุธที่ 1 เมษายน
[พระเยซู] บอกว่า “หยุดพูดได้แล้ว ซาตาน! . . . ที่คุณคิดอยู่นี้ไม่ใช่ความคิดของพระเจ้า แต่เป็นความคิดของมนุษย์”—มธ. 16:23
แล้วเราล่ะ? เราคิดเหมือนพระยะโฮวาหรือคิดเหมือนคนทั่วไปในโลก? เนื่องจากเราเป็นคริสเตียน เราเลยพยายามเต็มที่ที่จะทำสิ่งที่พระยะโฮวาพอใจ แต่วิธีคิดของเราล่ะ? เราพยายามเต็มที่ที่จะคิดและมองสิ่งต่าง ๆ อย่างที่พระองค์มองไหม? การคิดเหมือนพระยะโฮวาต้องใช้ความพยายามมาก ในขณะที่การคิดเหมือนคนทั่วไปในโลกแทบไม่ต้องพยายามเลย เพราะน้ำใจของโลกมีอยู่รอบตัวเรา และคนทั่วไปในโลกก็ชอบสนใจแต่ตัวเอง เราเลยอาจจะคิดเหมือนพวกเขาได้ง่าย ๆ (เอเฟซัส 2:2) เห็นได้ชัดว่าการคิดเหมือนพระยะโฮวาเป็นเรื่องยาก แต่การคิดเหมือนคนทั่วไปในโลกเป็นเรื่องง่าย ถ้าเราปล่อยให้โลกมีอิทธิพลต่อความคิดของเรา เราอาจเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและอยากตัดสินใจเองว่าอะไรถูกอะไรผิด (มาระโก 7:21, 22) ดังนั้น สิ่งสำคัญก็คือเราต้องเรียนที่จะ ‘คิดแบบพระเจ้า’ ไม่ใช่ ‘คิดแบบมนุษย์’ ห18.11 น. 18 ว. 1; น. 19 ว. 3-4
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน
นี่คือลูกรักของเรา เราพอใจในตัวเขามาก—มธ. 3:17
พระเยซูต้องได้กำลังใจมากแน่ ๆ ตอนที่ได้ยินพระยะโฮวาพูดโดยตรงจากสวรรค์ถึง 3 ครั้งว่าพระองค์รักท่าน ครั้งแรกก็คือข้อคัมภีร์วันนี้ พระยะโฮวาพูดอย่างนั้นทันทีหลังจากที่พระเยซูรับบัพติศมาที่แม่น้ำจอร์แดน ดูเหมือนว่าตอนนั้นมีแค่พระเยซูกับยอห์นผู้ให้บัพติศมาเท่านั้นที่ได้ยินคำพูดนี้ ต่อมา ประมาณหนึ่งปีก่อนพระเยซูตาย อัครสาวก 3 คนของท่านได้ยินพระยะโฮวาพูดถึงพระเยซูว่า “นี่คือลูกรักของเรา เราพอใจในตัวเขามาก พวกเจ้าต้องเชื่อฟังเขา” (มัทธิว 17:5) และครั้งสุดท้ายก็คือ ไม่กี่วันก่อนพระเยซูจะตาย พระยะโฮวาพูดกับลูกชายพระองค์จากสวรรค์อีกครั้ง (ยอห์น 12:28) พระเยซูรู้ว่าผู้คนจะเรียกท่านว่าคนหมิ่นประมาทพระเจ้าและจะต้องตายแบบน่าอับอาย แต่ท่านอธิษฐานขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของพระเจ้า ไม่ใช่ของท่านเอง (มัทธิว 26:39, 42) “ท่านยอมทนทุกข์และไม่คิดถึงความอับอาย” เพราะท่านอยากเป็นคนสำคัญสำหรับพระยะโฮวาไม่ใช่เป็นคนสำคัญของโลก—ฮีบรู 12:2 ห18.07 น. 10 ว. 15-16
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์หลังดวงอาทิตย์ตก 9 นิสาน) มาระโก 14:3-9
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน
พ่อครับ ถ้าพ่อต้องการ ขอให้ถ้วยนี้ผ่านพ้นไปจากผมเถอะ—ลก. 22:42
ไม่นานหลังจากที่พระเยซูให้อัครสาวกได้รู้เกี่ยวกับการประชุมอนุสรณ์แล้ว ท่านแสดงความกล้าหาญมาก ท่านทำอย่างไร? ท่านยอมทำตามสิ่งที่พ่อของท่านต้องการ แม้รู้ว่าจะต้องถูกตัดสินลงโทษฐานหมิ่นประมาทพระเจ้า ซึ่งจะทำให้ท่านต้องอับอาย (มธ. 26:65, 66) แต่พระเยซูรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงได้อย่างไม่มีที่ติเพื่อจะยกย่องสรรเสริญชื่อของพระยะโฮวา ยกย่องสิทธิการปกครองของพระองค์ และเปิดโอกาสให้มนุษย์ที่กลับใจมีชีวิตตลอดไป ในเวลาเดียวกัน การที่พระเยซูทำอย่างนี้เป็นการเตรียมสาวกให้พร้อมเผชิญกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น พระเยซูยังแสดงความกล้าหาญโดยไม่คิดถึงเรื่องของตัวเองหรือความกังวลที่ท่านอาจมี แต่ท่านให้ความสนใจกับสิ่งที่อัครสาวกที่ซื่อสัตย์จำเป็นต้องได้รับ การประชุมอนุสรณ์ที่เรียบง่ายซึ่งจัดขึ้นหลังจากยูดาสออกไปแล้วจะทำให้พวกสาวกที่ถูกเจิมนึกถึงประโยชน์จากเลือดของพระเยซูและประโยชน์ของการมีส่วนร่วมในสัญญาใหม่—1 คร. 10:16, 17 ห19.01 น. 22 ว. 7-8
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 9 นิสาน) มาระโก 11:1-11
วันเสาร์ที่ 4 เมษายน
พ่อครับ ขอให้ชื่อของพระองค์ได้รับการยกย่อง—ยน. 12:28
พระยะโฮวาพ่อของพระเยซูตอบจากฟ้าว่า “เราทำให้ชื่อของเราได้รับการยกย่องแล้ว และเราจะทำให้ได้รับการยกย่องอีก” พระเยซูทุกข์ใจมากเพราะท่านมีหน้าที่รับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ที่จะรักษาความซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวา ท่านรู้ว่าจะต้องถูกเฆี่ยนอย่างทารุณและตายอย่างทรมาน (มธ. 26:38) ที่สำคัญที่สุด พระเยซูอยากให้ชื่อของพระยะโฮวาพ่อของท่านได้รับการยกย่อง ท่านถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทพระเจ้า ท่านเป็นห่วงว่าความตายของท่านจะทำให้พระเจ้าเสียชื่อเสียง เหมือนกับพระเยซู เราก็อาจเป็นห่วงว่าพระยะโฮวาจะเสียชื่อเสียง เราอาจเจอความไม่ยุติธรรมเหมือนที่พระเยซูเจอ หรืออาจมีพวกผู้ต่อต้านสร้างเรื่องโกหกเกี่ยวกับพวกเราและกระจายเรื่องนั้นออกไป เราอาจคิดว่าเรื่องนี้จะทำให้ชื่อของพระยะโฮวาเสียหาย เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนั้น คำพูดของพระยะโฮวาจะให้กำลังใจเรามาก พระยะโฮวาจะทำให้ชื่อของพระองค์ได้รับการยกย่องเสมอ—สด. 94:22, 23; อสย. 65:17 ห19.03 น. 11-12 ว. 14-16
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 10 นิสาน) มาระโก 11:12-19
วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน
พระเยซูเริ่มอธิบายให้พวกสาวกรู้ว่า ท่านจะต้อง . . . ทนทุกข์หลายอย่าง . . . และจะถูกฆ่า—มธ. 16:21
พวกสาวกของพระเยซูไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพระเยซูจะพูดอย่างนั้น ตอนแรกพวกเขาคิดว่าพระเยซูจะมากู้เอกราชให้อาณาจักรอิสราเอล แต่ท่านกลับบอกว่าอีกไม่นานท่านจะต้องทนทุกข์และตาย เปโตรเลยพูดขึ้นมาว่า “อาจารย์ สงสารตัวเองเถอะ ท่านจะไม่เจอเรื่องร้าย ๆ อย่างนั้นหรอก” แต่พระเยซูตอบเปโตรว่า “หยุดพูดได้แล้ว ซาตาน! คุณกำลังขัดขวางผม ที่คุณคิดอยู่นี้ไม่ใช่ความคิดของพระเจ้า แต่เป็นความคิดของมนุษย์” (มัทธิว 16:22, 23; กิจการ 1:6) การที่พระเยซูพูดอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า ความคิดของพระยะโฮวาแตกต่างจากความคิดของโลกที่ซาตานปกครอง (1 ยอห์น 5:19) เปโตรอยากให้พระเยซูทำตามความคิดที่เห็นแก่ตัวเหมือนที่หลายคนในโลกทำกัน แต่ท่านรู้ว่านั่นไม่ใช่ความคิดของพ่อของท่าน คำตอบของพระเยซูแสดงให้เห็นชัดเจนว่าท่านเห็นด้วยกับความคิดของพระยะโฮวาและไม่เอาความคิดของโลกเลย ห18.11 น. 18 ว. 1-2
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 11 นิสาน) มาระโก 11:20-12:27, 41-44
วันจันทร์ที่ 6 เมษายน
ประกาศการตายของผู้เป็นนายจนกว่าท่านจะมา—1 คร. 11:26
ลองนึกภาพว่าพระยะโฮวาเห็นอะไรเมื่อมีหลายล้านคนทั่วโลกมาประชุมอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงการตายของพระเยซู พระองค์ไม่ได้เห็นแค่คนกลุ่มใหญ่ที่มาประชุม แต่พระองค์มองดูแต่ละคนที่มาประชุมกัน เช่น พระองค์เห็นพี่น้องที่ซื่อสัตย์ที่มาประชุมอนุสรณ์ทุกปี ซึ่งในจำนวนนี้อาจมีบางคนที่มาประชุมทั้ง ๆ ที่เจอการข่มเหงอย่างหนัก ส่วนบางคนไม่ได้มาประชุมเป็นประจำแต่ก็มองว่าการมาประชุมอนุสรณ์เป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ นอกจากนั้น พระยะโฮวายังสังเกตเห็นคนที่มาประชุมอนุสรณ์ครั้งแรกเพราะอยากรู้ว่าการประชุมนี้มันเป็นอย่างไร พระยะโฮวาดีใจที่เห็นหลายคนมาประชุมอนุสรณ์ (ลก. 22:19) แต่พระองค์ไม่ได้สนใจที่จำนวนเป็นหลัก พระองค์สนใจเหตุผลที่แต่ละคนมา เราอยากให้พระยะโฮวาและองค์การของพระองค์สอนเราไหม?—อสย. 30:20; ยน. 6:45 ห19.01 น. 26 ว. 1-3
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 12 นิสาน) มาระโก 14:1, 2, 10, 11; มัทธิว 26:1-5, 14-16
วันประชุมอนุสรณ์
หลังดวงอาทิตย์ตก
วันอังคารที่ 7 เมษายน
พระคริสต์มาตายแทนเรา—รม. 5:8
พระเยซูไม่ใช่แค่เต็มใจตายเพื่อพวกสาวก แต่ท่านใช้ชีวิตในแบบที่ให้ผลประโยชน์ของพวกเขามาก่อน เช่น ท่านอยู่กับพวกสาวกแม้จะรู้สึกเหนื่อยและเครียดมาก (ลก. 22:39-46) ท่านสนใจแต่การให้คนอื่น ไม่ใช่สนใจว่าจะได้อะไรจากพวกเขา (มธ. 20:28) เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคมพี่น้องคริสเตียนแท้ที่มีแค่กลุ่มเดียวในโลก เราอยากใช้เวลามากเท่าที่ทำได้เพื่อเชิญคนใหม่ ๆ ให้มาเป็นส่วนหนึ่งของพวกเราด้วย แต่เราสนใจเป็นพิเศษที่จะช่วยพี่น้อง “ร่วมความเชื่อของเรา” ซึ่งเลิกไปประกาศและเลิกไปประชุม (กท. 6:10) เราพิสูจน์ว่ารักพวกเขาโดยชวนพวกเขามาประชุมโดยเฉพาะการประชุมอนุสรณ์ เรามีความสุขมากเหมือนกับพระยะโฮวาและพระเยซูเมื่อเห็นคนที่เลิกประกาศกลับมาหาพระยะโฮวา—มธ. 18:14 ห19.01 น. 28 ว. 12; น. 29 ว. 14-15
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 13 นิสาน) มาระโก 14:12-16; มัทธิว 26:17-19 (เหตุการณ์หลังดวงอาทิตย์ตก 14 นิสาน) มาระโก 14:17-72
วันพุธที่ 8 เมษายน
นี่หมายถึงร่างกายของผม . . . นี่หมายถึงเลือดของผม เป็น “เลือดที่ทำให้สัญญามีผลบังคับใช้”—มธ. 26:26-28
ตอนที่พระเยซูจัดการประชุมอนุสรณ์ ท่านใช้อาหารที่เหลือจากการฉลองปัสกา ท่านใช้แค่ขนมปังไม่ใส่เชื้อกับเหล้าองุ่นที่มีอยู่ ท่านบอกกับพวกอัครสาวกว่าของ 2 อย่างนี้เป็นสัญลักษณ์หมายถึงร่างกายที่สมบูรณ์แบบและเลือดของท่านซึ่งอีกไม่นานท่านจะสละเพื่อพวกเขา พวกอัครสาวกอาจไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรว่าทำไมพระเยซูถึงจัดการประชุมที่สำคัญนี้แบบเรียบง่ายขนาดนั้น ทำไมถึงบอกอย่างนั้น? หลายเดือนก่อนหน้านั้น ตอนที่พระเยซูสอนที่บ้านเพื่อนสนิทคือ ลาซารัส มาร์ธา และมารีย์ ตอนนั้นมาร์ธาอยู่ในบ้านด้วยแต่เธอยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อใหญ่สำหรับพระเยซูซึ่งเป็นแขกที่มีเกียรติของเธอ พระเยซูเลยปรับความคิดของมาร์ธาอย่างอ่อนโยน ท่านทำให้เธอเห็นว่าไม่จำเป็นต้องเตรียมอาหารเยอะแยะให้มันยุ่งยากซับซ้อน (ลก. 10:40-42) และไม่นานก่อนที่ท่านจะสละชีวิต ท่านก็เอาคำแนะนำนี้มาใช้กับตัวเอง ท่านได้จัดการประชุมอนุสรณ์โดยใช้อาหารแบบง่าย ๆ ห19.01 น. 20-21 ว. 3-4
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 14 นิสาน) มาระโก 15:1-47
วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน
พ่อครับ . . . ขอให้ผมได้รับเกียรติที่จะอยู่เคียงข้างพระองค์—ยน. 17:5
พระยะโฮวาให้เกียรติพระเยซูในแบบที่ท่านคิดไม่ถึง ตอนที่พระองค์ปลุกพระเยซูให้ฟื้นขึ้นจากตาย พระองค์ “ยกฐานะท่านให้สูงขึ้น” ในสวรรค์ พระองค์ยังให้ท่านมีร่างกายสำหรับสวรรค์ซึ่งไม่มีวันตาย นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครได้มาก่อน (ฟีลิปปี 2:9; 1 ทิโมธี 6:16) พระยะโฮวาให้รางวัลพระเยซูในแบบที่สุดยอดจริง ๆ เพราะท่านรับใช้อย่างซื่อสัตย์ อะไรจะช่วยเราให้อยากเป็นคนสำคัญสำหรับพระยะโฮวาไม่ใช่เป็นคนสำคัญของโลก? เราควรคิดถึงความจริงที่ว่า พระยะโฮวาให้ความสำคัญเสมอกับคนที่รับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์ และพระองค์ชอบให้รางวัลกับพวกเขาในแบบที่คิดไม่ถึง ถึงเราจะไม่รู้ว่าพระยะโฮวาจะอวยพรเราในแบบที่เราคิดไม่ถึงอย่างไรบ้างในอนาคต แต่ตอนที่เรายังต้องอดทนกับปัญหาและความยากลำบากต่าง ๆ ในโลกชั่วนี้ เราต้องจำไว้ว่าโลกนี้กำลังจะผ่านพ้นไปแน่ ๆ (1 ยอห์น 2:17) พระยะโฮวาพ่อที่รักของเราจะไม่มีวันลืมงานที่เราทำและความรักที่เรามีต่อชื่อของพระองค์ เพราะพระองค์ “ไม่ทำสิ่งที่ชั่ว”—ฮีบรู 6:10 ห18.07 น. 11 ว. 17-18
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 15 นิสาน) มัทธิว 27:62-66 (เหตุการณ์หลังดวงอาทิตย์ตก 16 นิสาน) มาระโก 16:1
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน
ผม . . . ขอเพื่อ . . . พวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน—ยน. 17:20, 21
ช่วงที่พระเยซูกินอาหารมื้อสุดท้ายกับอัครสาวก ท่านคิดถึงเรื่องความเป็นหนึ่งเดียวของพวกเขาและเป็นห่วงเรื่องนี้ ตอนที่ท่านอธิษฐานกับสาวก ท่านบอกว่าอยากให้พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกับที่ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพ่อของท่าน ถ้าสาวกของพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกันจริง ๆ นั่นก็พิสูจน์ว่าพระยะโฮวาส่งท่านมา และผู้คนจะรู้ได้ว่าใครเป็นสาวกแท้ของพระเยซูก็โดยดูจากความรักที่พวกเขามีต่อกัน และความรักนี้เองเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น (ยอห์น 13:34, 35) เราเข้าใจเหตุผลว่าทำไมคืนนั้นพระเยซูพูดกับพวกอัครสาวกเยอะมากเรื่องความเป็นหนึ่งเดียวกัน ท่านเห็นว่าพวกเขาไม่ค่อยเป็นหนึ่งเดียวกัน ตัวอย่างเช่น คืนนั้นพวกอัครสาวกทะเลาะกันอีกเหมือนที่ผ่านมาว่า “ในพวกเขาใครเป็นใหญ่ที่สุด” (ลูกา 22:24-27; มาระโก 9:33, 34) นอกจากนั้น ยากอบและยอห์นก็เคยขอพระเยซูว่าพวกเขาอยากนั่งในตำแหน่งที่มีเกียรติติดกับท่านในรัฐบาลสวรรค์—มาระโก 10:35-40 ห18.06 น. 8 ว. 1-2
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 16 นิสาน) มาระโก 16:2-8
วันเสาร์ที่ 11 เมษายน
ผู้ชายจะจากพ่อแม่ไปผูกพันใกล้ชิดกับภรรยา แล้วทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียว—ปฐก. 2:24
พระยะโฮวาอยากให้สามีภรรยารักกันตลอดชีวิต (มธ. 19:3-6) การเล่นชู้เป็นการทำผิดกฎหมายที่ร้ายแรงที่สุดอย่างหนึ่ง ดังนั้น กฎหมายข้อที่ 7 ของบัญญัติ 10 ประการจึงห้ามการเล่นชู้ (ฉธบ. 5:18) การเล่นชู้เป็นการทำ “บาปต่อพระเจ้า” และเป็นการทำชั่วต่อคู่ของตัวเอง (ปฐก. 39:7-9) คู่ของคนที่เล่นชู้อาจรู้สึกถูกทรยศและเจ็บปวดนานหลายสิบปี นอกจากนั้น พระยะโฮวาอยากให้เด็ก ๆ มีความสุขและปลอดภัย พระองค์สั่งให้พ่อแม่ดูแลลูกไม่ใช่แค่เรื่องทั่ว ๆ ไปเท่านั้น แต่ให้ดูแลเรื่องความเชื่อด้วย พ่อแม่ต้องใช้ทุกโอกาสสอนลูกให้เข้าใจและเห็นค่ากฎหมายของพระยะโฮวาและเรียนรู้ที่จะรักกฎหมายนั้น (ฉธบ. 6:6-9; 7:13) พ่อแม่ต้องจำไว้ว่าลูกไม่ใช่สิ่งของที่จะทิ้งขว้างหรือทำไม่ดีกับพวกเขาได้ แต่ลูกเป็นมรดกหรือเป็นของขวัญจากพระยะโฮวาที่ต้องดูแลทะนุถนอม—สด. 127:3 ห19.02 น. 21 ว. 5, 7
วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน
พระเจ้า . . . จะเห็นว่าผมซื่อสัตย์—โยบ 31:6
โยบรักษาความซื่อสัตย์เสมอโดยสนใจที่ความหวังเกี่ยวกับรางวัลที่พระเจ้าจะให้เขา เขาเชื่อว่าพระเจ้าสนใจที่เขารักษาความซื่อสัตย์ แม้เจอการทดสอบและความยากลำบาก โยบมั่นใจว่าพระยะโฮวาจะให้รางวัลเขาในที่สุด ความมั่นใจนี้ช่วยเขาให้รักษาความซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไป พระยะโฮวาดีใจที่โยบทำแบบนั้นและพระองค์ให้รางวัลเขามากมายทั้ง ๆ ที่เขายังเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ (โยบ 42:12-17; ยก. 5:11) นอกจากนั้น ยังมีรางวัลที่ยิ่งใหญ่กว่ารอโยบอยู่ในอนาคต คุณมีความหวังชัดเจนไหมว่าพระยะโฮวาจะให้รางวัลที่คุณรักษาความซื่อสัตย์? พระยะโฮวาไม่เปลี่ยนแปลง (มลค. 3:6) ถ้าเราจำไว้ว่าพระองค์เห็นค่าที่เราซื่อสัตย์ เราก็มั่นใจได้ว่าความหวังที่ยอดเยี่ยมในอนาคตจะเป็นจริงแน่นอน (1 ธส. 5:8, 9) ดังนั้น ขอให้เราตั้งใจรักษาความซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไป บางครั้งคุณอาจรู้สึกโดดเดี่ยวเพราะผู้คนรอบตัวคุณไม่มีใครซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า แต่คุณไม่โดดเดี่ยวแน่นอน คุณยังมีพี่น้องอีกหลายล้านคนที่รักษาความซื่อสัตย์ตลอดทั่วโลก นอกจากนั้น คุณกำลังทำเหมือนผู้รับใช้พระเจ้าในอดีตทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่รักษาความซื่อสัตย์แม้ต้องเสี่ยงชีวิต—ฮบ. 11:36-38; 12:1 ห19.02 น. 7 ว. 15-16
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน
ให้ . . . เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เห็นอกเห็นใจกัน รักกันแบบพี่น้อง เอ็นดูสงสารกัน และรู้จักถ่อมตัว—1 ปต. 3:8
ในช่วงวันอนุสรณ์ เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะถามตัวเองว่า ‘ฉันจะเลียนแบบพระเยซูมากขึ้นได้อย่างไรในการแสดงความรัก? ฉันคิดถึงความจำเป็นของพี่น้องก่อนตัวฉันเองไหม? ฉันคาดหมายจากพี่น้องมากกว่าที่พวกเขาจะทำได้ไหม หรือฉันคิดถึงขีดจำกัดของพวกเขา?’ ขอให้เราเลียนแบบพระเยซูเสมอโดย “เห็นอกเห็นใจกัน” อีกไม่นานเราจะไม่ต้องเข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงการตายของพระเยซูอีกต่อไป เมื่อพระเยซู “มา” ในความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่ ท่านจะรวบรวม “คนที่พระเจ้าเลือกไว้” ที่เหลืออยู่ให้ไปสวรรค์ และจากนั้นการประชุมอนุสรณ์จะไม่มีอีกต่อไป (1 คร. 11:26; มธ. 24:31) แม้ว่าอีกหน่อยจะไม่มีการประชุมอนุสรณ์อีกต่อไป แต่เราก็มั่นใจได้ว่าคนของพระยะโฮวาจะจำได้ว่าการประชุมที่เรียบง่ายนี้แสดงให้เห็นถึงความถ่อม ความกล้าหาญ และความรักที่มนุษย์คนหนึ่งได้แสดงออกอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด ห19.01 น. 25 ว. 17-19
วันอังคารที่ 14 เมษายน
ให้ปกป้องหัวใจของลูกยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด—สภษ 4:23
เพื่อจะเห็นความสำคัญของการดูแล “หัวใจ” ของเรา ให้เราเปรียบเทียบกับการดูแลสุขภาพ อย่างแรก เพื่อจะมีสุขภาพดี เราต้องกินอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายเป็นประจำ เหมือนกัน เพื่อเราจะมีความเชื่อที่เข้มแข็งเราต้องรับความรู้ที่เสริมความเชื่อโดยอ่านคัมภีร์ไบเบิลและหนังสือต่าง ๆ ขององค์การเป็นประจำ และแสดงออกว่าเรามีความเชื่อโดยเอาสิ่งที่เรียนไปใช้และพูดเรื่องความเชื่อของเราเสมอ (รม. 10:8-10; ยก. 2:26) อย่างที่สอง เมื่อดูจากภายนอก เราอาจคิดว่าเราสุขภาพดี แต่จริง ๆ แล้วเราอาจมีโรคบางอย่างอยู่ในร่างกาย เหมือนกัน เมื่อดูจากการที่เราทำกิจกรรมต่าง ๆ ของคริสเตียนเป็นประจำ เราอาจคิดว่าตัวเองมีความเชื่อเข้มแข็ง แต่จริง ๆ แล้วเราอาจกำลังเพาะความต้องการผิด ๆ ในหัวใจ (1 คร. 10:12; ยก. 1:14, 15) เราต้องจำไว้เสมอว่าซาตานอยากให้เราติดเชื้อความคิดที่ไม่ดีของมัน ห19.01 น. 15 ว. 4-5
วันพุธที่ 15 เมษายน
ให้คุณไปทำอย่างนั้นเหมือนกัน—ลก. 10:37
เราน่าจะถามตัวเองว่า ‘ฉันกำลังทำเหมือนชาวสะมาเรียไหม? ตอนคนอื่นมีความทุกข์ ฉันจะช่วยอะไรพวกเขาได้ไหม?’ (ลูกา 10:30-35) ‘ฉันจะช่วยพี่น้องเหล่านี้ในประชาคมได้ไหม เช่น พี่น้องที่อายุมาก แม่ม่าย หรือเด็ก ๆ ที่พ่อแม่ไม่ได้เป็นพยานฯ? ฉันจะ “พูดปลอบใจคนที่ซึมเศร้า” ได้ไหม?’ (1 เธสะโลนิกา 5:14; ยากอบ 1:27) ถ้าเราเมตตาคนอื่นก็เท่ากับว่าเรากำลังให้ และพระเยซูบอกว่าการให้ทำให้มีความสุข อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เรารู้ว่าการทำแบบนี้ทำให้พระยะโฮวาพอใจ (กิจการ 20:35; ฮีบรู 13:16) กษัตริย์ดาวิดพูดถึงคนที่เมตตาคนอื่นว่า “พระยะโฮวาจะปกป้องเขาและช่วยเขาให้รอดชีวิต ผู้คนจะประกาศไปทั่วโลกว่าเขามีความสุข” (สดุดี 41:1, 2) ถ้าเราเมตตาและเห็นอกเห็นใจคนอื่น พระยะโฮวาจะเมตตาเราแล้วเราก็จะมีความสุขตลอดไป—ยากอบ 2:13 ห18.09 น. 19 ว. 11-12
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน
ไม่ต้องกลัว เพราะเราอยู่กับเจ้า ไม่ต้องกังวล เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้พวกเจ้าเข้มแข็ง และเราจะช่วยพวกเจ้า—อสย. 41:10
โยชิโกะซึ่งเป็นพี่น้องหญิงที่รับใช้อย่างซื่อสัตย์ได้ยินข่าวร้าย หมอบอกว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่เดือน เธอทำอย่างไรตอนที่หมอบอกแบบนั้น? โยชิโกะคิดถึงข้อคัมภีร์โปรดข้อหนึ่งคือข้อคัมภีร์วันนี้ แล้วเธอก็รู้สึกสงบใจและบอกกับหมอว่าเธอไม่กลัวเพราะพระยะโฮวาจับมือเธอไว้ ข้อคัมภีร์ที่ให้กำลังใจนี้ช่วยพี่น้องหญิงที่รักของเราให้ไว้วางใจพระยะโฮวาสุดหัวใจ และข้อคัมภีร์เดียวกันนี้ก็ช่วยเราให้สงบใจและพร้อมจะรับมือกับความยากลำบากแสนสาหัสได้ ตอนแรกพระยะโฮวาให้อิสยาห์เขียนข้อความนี้เพื่อให้กำลังใจชาวยิวที่อีกหน่อยจะถูกจับไปเป็นเชลยที่บาบิโลน แต่ไม่ใช่แค่นั้น พระองค์ยังให้เก็บข้อความนี้ไว้ในคัมภีร์ไบเบิลเพื่อประโยชน์ของประชาชนของพระองค์ทุกคนตั้งแต่สมัยนั้นเป็นต้นมาด้วย (อสย. 40:8; รม. 15:4) ทุกวันนี้เราอยู่ใน “ช่วงเวลาวิกฤติที่มีแต่ความยุ่งยากลำบาก” เราต้องการกำลังใจจากหนังสืออิสยาห์มากกว่ายุคสมัยไหน—2 ทธ. 3:1 ห19.01 น. 2 ว. 1-2
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน
ถ้าฝ่ายที่ไม่มีความเชื่ออยากจะแยกไปก็ให้เขาไปเถอะ—1 คร. 7:15
ถึงสามีภรรยาจะแยกกันอยู่เพราะเจอสถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง พวกเขาก็ยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ และการแยกกันอยู่จะทำให้เกิดปัญหาหลายอย่าง นอกจากนั้น เปาโลบอกเหตุผลหนึ่งที่สามีกับภรรยาควรจะอยู่ด้วยกันต่อไปว่า “พระเจ้าถือว่าสามีที่ไม่มีความเชื่อนั้นบริสุทธิ์ก็เพราะเห็นแก่ภรรยา และพระเจ้าถือว่าภรรยาที่ไม่มีความเชื่อนั้นบริสุทธิ์ก็เพราะเห็นแก่สามี ไม่อย่างนั้น ลูก ๆ ของคุณจะไม่สะอาดในสายตาพระเจ้า แต่ตอนนี้พวกเขาบริสุทธิ์แล้ว” (1 โครินธ์ 7:14) ถึงจะต้องเจอกับสถานการณ์ที่ลำบากมาก แต่คริสเตียนหลายคนตัดสินใจที่จะอยู่ต่อไปกับคู่ที่ไม่ใช่พยานฯ และพวกเขาดีใจมากที่ได้เสียสละแบบนั้นเพราะต่อมาคู่ของเขาได้มาเป็นพยานพระยะโฮวา (1 โครินธ์ 7:16; 1 เปโตร 3:1, 2) ทั่วโลกมีคริสเตียนมากมายที่มีความสุขในชีวิตคู่ พวกเขาอาจอยู่ในประชาคมของคุณ พวกเขาเป็นภรรยาที่น่ารักซึ่งนับถือสามี และสามีก็ซื่อสัตย์ภักดีและรักภรรยา ทุกคนแสดงให้เห็นว่าสามารถทำให้ชีวิตคู่น่านับถือได้—ฮีบรู 13:4 ห18.12 น. 14 ว. 18-19
วันเสาร์ที่ 18 เมษายน
พระยะโฮวาพระเจ้าเตรียมสวนแห่งหนึ่งไว้ที่เอเดน . . . แล้วให้มนุษย์ที่พระองค์สร้างขึ้นอยู่ที่นั่น—ปฐก. 2:8
คำว่า “เพลิดเพลิน” ก็คือความหมายของคำว่า “เอเดน” สวนนี้เป็นที่ที่น่าอยู่และทำให้มีความสุขเพลิดเพลินจริง ๆ สวนนี้สวยมาก มีพืชผักผลไม้หลากหลาย และคนกับสัตว์อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข (ปฐมกาล 1:29-31) ตอนที่มีการแปลจากภาษาฮีบรูเป็นภาษากรีก มีการแปลคำฮีบรูที่แปลว่า “สวน” โดยใช้คำภาษากรีกว่าพาราดิซอส ซึ่งหมายถึง อุทยาน สารานุกรม ของแมกคลินทอกและสตรอง (ภาษาอังกฤษ) บอกว่าเมื่อคนกรีกได้ยินคำว่าพาราดิซอส พวกเขาจะนึกถึงสวนที่สวยและกว้างมาก ๆ ไม่มีอะไรที่เป็นอันตรายเข้ามาในนั้นได้ มีต้นไม้ที่สูงใหญ่และมีผลไม้หลายอย่าง ในสวนยังมีลำธารที่มีน้ำใส และที่ริมลำธารก็มีฝูงกวางและฝูงแกะกำลังเล็มหญ้าที่เขียวชอุ่ม คำพรรณนานี้ช่วยเราให้เห็นว่าสวนเอเดนเป็นอุทยานที่สวยงามจริง ๆ (เทียบกับปฐมกาล 2:15, 16) พระยะโฮวาให้อาดัมกับเอวาอยู่ในสวนที่เป็นอุทยานแบบนั้นแหละ แต่เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟังก็เลยไม่มีโอกาสได้อยู่ในอุทยานนั้นอีกต่อไป และทำให้ลูกหลานของพวกเขาหมดโอกาสไปด้วย (ปฐมกาล 3:23, 24) ถึงไม่มีมนุษย์คนไหนอยู่ในอุทยานนั้นอีก แต่ดูเหมือนว่ามันยังมีอยู่จนถึงน้ำท่วมโลกสมัยโนอาห์ ห18.12 น. 3-4 ว. 3-5
วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน
เรายะโฮวา . . . เราสอนเจ้าก็เพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง—อสย. 48:17
พ่อแม่พยายามสอนมาตรฐานการใช้ชีวิตที่ดีให้กับลูก ถ้าลูกเลือกจะใช้ชีวิตตามมาตรฐานที่ดีแบบที่พ่อแม่เคยสอน มันก็เป็นไปได้มากทีเดียวว่าพวกเขาจะตัดสินใจได้ถูกต้อง ไม่เกิดปัญหามากมายในชีวิต และไม่ต้องกังวลหรือเสียใจกับหลาย ๆ เรื่อง พระยะโฮวาเป็นเหมือนพ่อแม่ที่อยากให้ลูกมีชีวิตที่ดีและมีความสุขมากที่สุด (อิสยาห์ 48:18) พระองค์เลยสอนหลักการพื้นฐานเกี่ยวกับศีลธรรมที่ดีและสอนเราว่าควรทำกับคนอื่นอย่างไร พระองค์อยากให้เรามองแบบที่พระองค์มองและใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระองค์ นี่ไม่ได้จำกัดเสรีภาพเรามากเกินไป แต่มันช่วยให้เราฉลาดขึ้นและตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ดีขึ้น (สดุดี 92:5; สุภาษิต 2:1-5; อิสยาห์ 55:9) เรายังเลือกสิ่งที่ชอบได้แถมยังตัดสินใจในแบบที่จะทำให้เรามีความสุข (สดุดี 1:2, 3) เมื่อเราคิดเหมือนพระยะโฮวา เราจะได้ประโยชน์มากจริง ๆ ห18.11 น. 19-20 ว. 7-8
วันจันทร์ที่ 20 เมษายน
พวกเขา . . . พูดดูถูกเหยียดหยามพวกคุณ—1 ปต. 4:4
เพื่อจะใช้ชีวิตตามความจริงต่อไป เราต้องไม่ยอมแพ้แรงกดดันจากคนที่ไม่ได้รับใช้พระยะโฮวา เมื่อเราเรียนความจริง เราอาจไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนหรือคนในครอบครัวที่ไม่ได้เป็นพยานฯ บางคนอาจนับถือความเชื่อใหม่ของเรา แต่บางคนก็ต่อต้าน นอกจากนั้น ครอบครัว คนในที่ทำงาน และเพื่อนนักเรียนอาจพยายามชวนเราเข้าร่วมงานฉลองและประเพณีต่าง ๆ ที่พระเจ้าไม่ชอบ อะไรจะช่วยเราไม่ให้ยอมแพ้แรงกดดันนั้น? เราต้องรู้เหตุผลที่พระยะโฮวาไม่ยอมรับประเพณีและวันหยุดต่าง ๆ และต้องคิดถึงเหตุผลนั้นเสมอ เราจึงต้องค้นคว้าหนังสือขององค์การและคิดถึงต้นตอของงานฉลองและประเพณีเหล่านั้น เมื่อเราคิดใคร่ครวญถึงเหตุผลตามหลักพระคัมภีร์ที่ว่าทำไมไม่ควรฉลอง มันจะช่วยเราให้มั่นใจว่าเรากำลังใช้ชีวิตตามแนวทางที่ “ผู้เป็นนายพอใจ” (เอเฟซัส 5:10) เมื่อเราวางใจพระยะโฮวาและคัมภีร์ไบเบิล เราไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร—สุภาษิต 29:25 ห18.11 น. 11 ว. 10, 12
วันอังคารที่ 21 เมษายน
พระยะโฮวาอยู่กับโยเซฟ และพระยะโฮวาช่วยให้ทุกสิ่งที่เขาทำประสบผลสำเร็จ—ปฐก. 39:23
บางครั้งชีวิตเราอาจเปลี่ยนไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว นี่อาจทำให้เรากังวลมากเกินไปและจมอยู่กับปัญหาของเรา แต่โยเซฟไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ไม่ว่าชีวิตเขาจะเป็นอย่างไร เขาเลือกที่จะทำตรงนั้นให้ดีที่สุด ทั้งตอนที่เขาอยู่กับโปทิฟาร์และตอนที่หัวหน้าผู้คุมใช้เขาทำงานในคุก เขาก็ขยันทำงานเต็มที่ (ปฐมกาล 39:21, 22) เราเองก็อาจเป็นเหมือนโยเซฟ เราอาจเจอกับการเปลี่ยนแปลงและตกอยู่ในสภาพการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ แต่ถ้าเราอดทนและทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้ พระยะโฮวาจะอวยพรเรา (สดุดี 37:5) ถึงเราจะรู้สึกสับสนและกังวลมาก แต่เราจะไม่ถูกทิ้งให้ไม่มี “ทางออก” หรือสิ้นหวัง (2 โครินธ์ 4:8) พระยะโฮวาจะอยู่กับเราโดยเฉพาะถ้าเราขยันรับใช้เสมอ ห18.10 น. 29 ว. 11, 13
วันพุธที่ 22 เมษายน
พระเจ้าไม่ทำสิ่งที่ชั่ว พระองค์จึงไม่มีวันลืมงานที่พวกคุณทำและความรักที่พวกคุณมีต่อชื่อของพระองค์—ฮบ. 6:10
คุณรู้สึกอย่างไรถ้าคนที่คุณรู้จักและนับถือลืมชื่อคุณ หรือแย่กว่านั้นคือเขาจำคุณไม่ได้เลย? มันคงทำให้คุณรู้สึกแย่มาก เพราะอะไร? เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราอยากให้คนอื่นให้ความสำคัญกับเรา และเราไม่ได้แค่อยากให้พวกเขารู้ว่าเราเป็นใคร แต่เราอยากให้พวกเขารู้ว่าเราเป็นคนแบบไหนและเคยทำอะไรมาแล้วบ้าง (กันดารวิถี 11:16; โยบ 31:6) แต่ถ้าเราไม่ระวัง ความรู้สึกตามธรรมชาติที่อยากให้คนอื่นให้ความสำคัญอาจมีผลเสียกับเราได้ เราอาจอยากมีชื่อเสียงและเป็นคนสำคัญในโลกของซาตาน ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น เราจะไม่ได้ให้ความสำคัญและไม่ได้นมัสการพระยะโฮวาพระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์ในแบบที่พระองค์สมควรได้รับ—วิวรณ์ 4:11 ห18.07 น. 7 ว. 1-2
วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน
โลกทั้งโลกอยู่ในอำนาจซาตานตัวชั่วร้าย—1 ยน. 5:19
เราจึงไม่แปลกใจที่ซาตานและพวกปีศาจทำให้คนที่มีอำนาจพูด “โกหก” (1 ทิโมธี 4:1, 2) การโกหกของผู้นำศาสนาเป็นการโกหกที่เลวร้ายมากจริง ๆ เพราะอะไร? เพราะถ้ามีคนเชื่อคำโกหกเหล่านั้นและทำสิ่งที่พระเจ้าเกลียด เขาก็จะไม่ได้ชีวิตตลอดไป (โฮเชยา 4:9) พระเยซูรู้ว่าผู้นำศาสนาในสมัยของท่านหลอกผู้คน ท่านจึงบอกว่า “พวกครูสอนศาสนาและฟาริสี พวกคนหลอกลวง พวกคุณต้องรับโทษหนักแน่ ๆ เพราะคุณเที่ยวเดินทางไปทั่วทั้งทางบกทางทะเลเพื่อจะได้สักคนหนึ่งมาเข้าศาสนา แต่พอได้มาแล้ว ก็กลับทำให้คนนั้นต้องได้รับโทษในเกเฮนนา” ซึ่งก็คือการทำลายตลอดกาล (มัทธิว 23:15) นอกจากนั้น พระเยซูบอกว่าผู้นำศาสนาเท็จเหล่านี้เป็นเหมือนมารซาตานพ่อของพวกเขาที่เป็น “ฆาตกร”—ยอห์น 8:44 ห18.10 น. 7 ว. 5-6
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน
เมื่อคุณโดนคนอื่นข่มเหง ด่าว่า . . . เพราะติดตามผม คุณก็มีความสุข—มธ. 5:11
พระเยซูหมายความว่าอย่างไร? ท่านบอกว่า “ดีใจได้เลย เพราะคุณจะได้รางวัลที่มีค่ามากในสวรรค์ พวกผู้พยากรณ์ในสมัยก่อนก็โดนข่มเหงเหมือนคุณนี่แหละ” (มัทธิว 5:12) ตอนที่พวกอัครสาวกโดนเฆี่ยนและถูกสั่งไม่ให้ประกาศ พวกเขา “ออกจากศาลแซนเฮดรินด้วยความดีใจ” พวกเขาไม่ได้ดีใจเพราะถูกเฆี่ยนแน่ ๆ แต่ดีใจ “เพราะถือว่าที่พวกเขาโดนดูถูกเหยียดหยามเพราะชื่อของพระเยซูนั้นเป็นเกียรติอย่างสูง” (กิจการ 5:41) ทุกวันนี้ ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาก็อดทนและยังมีความสุขได้แม้จะถูกข่มเหงเพราะชื่อของพระเยซู (ยากอบ 1:2-4) เราเป็นเหมือนอัครสาวกตรงที่เราไม่ได้ดีใจเพราะเจอความทุกข์หรือถูกข่มเหง แต่ถ้าเราซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวา พระองค์จะช่วยเรากล้าหาญและอดทนได้ เมื่อพระยะโฮวา “พระเจ้าผู้มีความสุข” พอใจเรา เราก็มีความสุขแม้จะเจอการข่มเหง หรือครอบครัวต่อต้าน—1 ทิโมธี 1:11 ห18.09 น. 21 ว. 18-20
วันเสาร์ที่ 25 เมษายน
ชีวิตก็เต็มไปด้วยความลำบากและความทุกข์—สด. 90:10
ตอนนี้เราอยู่ใน “ช่วงเวลาวิกฤติ” และหลายคนเป็นทุกข์มากจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป (2 ทิโมธี 3:1-5) ทุกปีมีคนตายเพราะฆ่าตัวตายมากกว่า 800,000 คน ซึ่งเท่ากับทุก 40 วินาทีจะมีคนฆ่าตัวตาย 1 คน น่าเศร้าที่แม้แต่พี่น้องของเราบางคนก็เคยรู้สึกแบบนั้นและถึงกับฆ่าตัวตายด้วย พี่น้องของเรามากมายเจอกับเรื่องที่ทำให้เครียดและต้องการความรักจากเรา พี่น้องบางคนถูกเยาะเย้ยหรือถูกข่มเหง บางคนต้องทนถูกกลั่นแกล้งหรือถูกนินทาจากคนในที่ทำงาน บางคนรู้สึกเหนื่อยมากเพราะต้องทำงานหนักหลายชั่วโมงหรือเจองานที่เครียดมาก ๆ ส่วนบางคนก็มีปัญหาร้ายแรงในครอบครัวซึ่งอาจเป็นเพราะคู่สมรสไม่ได้เป็นพยานฯ และเอาแต่ว่าเขาตลอด สิ่งเหล่านี้และสิ่งอื่น ๆ ที่สร้างความกดดันทำให้หลายคนหมดแรงและเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ห18.09 น. 13 ว. 3, 5
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน
สิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุดก็คือ การได้ยินว่าลูก ๆ ของผมยังใช้ชีวิตตามความจริง—3 ยน. 4
ถ้าพ่อแม่ช่วยลูกให้มีเป้าหมายรับใช้พระยะโฮวา พวกเขาก็กำลังทำงานกับพระองค์ พ่อแม่หลายคนได้ทำแบบนี้อยู่แล้ว ลูก ๆ ของพวกเขาเลยตัดสินใจรับใช้เต็มเวลาแม้ต้องไปอยู่ไกลจากบ้าน เช่น บางคนเป็นมิชชันนารี บางคนเป็นไพโอเนียร์ในที่ที่ต้องการผู้ประกาศ ส่วนบางคนก็ไปรับใช้ที่เบเธล และเพราะลูกอยู่ไกล พ่อแม่ก็เลยไม่มีโอกาสได้อยู่กับลูกมากอย่างที่ต้องการ แต่พวกเขาก็เสียสละโดยสนับสนุนให้ลูกรับใช้พระยะโฮวาต่อไป ทำไมพวกเขาถึงทำแบบนั้น? เพราะพวกเขามีความสุขมากที่ลูกให้พระยะโฮวาสำคัญที่สุดในชีวิต พ่อแม่หลายคนรู้สึกเหมือนกับฮันนาห์ เธอบอกว่า เธอ “ให้พระยะโฮวายืม” ลูกชายซึ่งก็คือซามูเอล พวกเขารู้สึกเป็นสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่ได้ทำงานกับพระยะโฮวาแบบนี้—1 ซามูเอล 1:28, เชิงอรรถ ห18.08 น. 24 ว. 4
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน
คนรวยจะเข้ารัฐบาลสวรรค์นั้นก็ยากจริง ๆ—มธ. 19:23
พระเยซูไม่ได้บอกว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ในอีกครั้งหนึ่ง ท่านบอกว่า “พวกคุณที่ยากจนก็มีความสุข เพราะรัฐบาลของพระเจ้าเป็นของคุณ” (ลูกา 6:20) แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนยากจนทุกคนจะฟังพระเยซูและได้รับพรเป็นพิเศษ มีคนจนมากมายที่ไม่ติดตามพระเยซู จุดสำคัญก็คือเราไม่สามารถตัดสินคนคนหนึ่งว่าเขาสนิทหรือไม่สนิทกับพระยะโฮวาโดยดูจากฐานะของเขาหรือทรัพย์สินเงินทองที่เขามี ผู้รับใช้ของพระยะโฮวามีทั้งคนรวยและคนจน ทุกคนรักพระยะโฮวาและรับใช้พระองค์สุดหัวใจ คัมภีร์ไบเบิลบอกกับคนรวยว่า “อย่าฝากความหวังไว้กับทรัพย์สมบัติที่ไม่ยั่งยืน แต่ให้ฝากไว้กับพระเจ้า” (1 ทิโมธี 6:17-19) คัมภีร์ไบเบิลยังเตือนผู้รับใช้ทุกคนทั้งคนรวยและคนจนว่าการรักเงินอันตรายมาก (1 ทิโมธี 6:9, 10) ถ้าเรามองพี่น้องเหมือนที่พระยะโฮวามอง เราจะไม่ตัดสินพวกเขาจากสิ่งที่พวกเขามีหรือไม่มี ห18.08 น. 10-11 ว. 11-12
วันอังคารที่ 28 เมษายน
ให้พวกคุณยอมอยู่ใต้อำนาจพระเจ้า—ยก. 4:7
เราอยากแสดงให้พระยะโฮวาเห็นว่าเราเห็นคุณค่าขนาดไหนที่ได้เป็นคนของพระองค์ เรารู้ว่าเมื่อเราอุทิศชีวิตให้พระองค์ มันเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดที่สุด เราเลยตั้งใจไม่ทำสิ่งต่าง ๆ ที่พระยะโฮวาเกลียด เรารักและนับถือพี่น้องของเราเพราะพวกเขาเป็นคนของพระยะโฮวาเหมือนกัน (โรม 12:10) คัมภีร์ไบเบิลสัญญาว่า “พระยะโฮวาจะไม่ทอดทิ้งคนของพระองค์” (สดุดี 94:14) นี่เป็นคำรับรองว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พระยะโฮวาจะอยู่กับเรา แม้เราตายพระองค์ก็จะไม่ลืมเรา (โรม 8:38, 39) “ไม่ว่าเราจะอยู่หรือตาย เราก็เป็นคนของพระยะโฮวา” (โรม 14:8) เรารอเวลาที่พระยะโฮวาจะปลุกเพื่อนที่ซื่อสัตย์ภักดีของพระองค์ทุกคนให้ฟื้นขึ้นจากตาย (มัทธิว 22:32) แม้แต่ตอนนี้เราก็ได้พรหลายอย่างจากพระยะโฮวาพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ซึ่งเป็นอย่างที่คัมภีร์ไบเบิลบอกไว้จริง ๆ นั่นก็คือ “ชาติที่มีพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าก็มีความสุข คือชนชาติที่พระองค์เลือกให้เป็นสมบัติของพระองค์”—สดุดี 33:12 ห18.07 น. 26 ว. 18-19
วันพุธที่ 29 เมษายน
ทุกสิ่งทำได้ไม่มีข้อห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งเป็นประโยชน์ ทุกสิ่งทำได้ไม่มีข้อห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งเสริมสร้างกันขึ้น—1 คร. 10:23
บางคนอาจรู้สึกว่าการเลือกตัดสินใจบางเรื่องในชีวิตเป็นเรื่องส่วนตัว เช่น จะเรียนอะไรหรือทำงานอะไร พวกเขาควรมีอิสระที่จะเลือกทำในสิ่งที่ต้องการถ้ามันไม่รบกวนความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเอง พวกเขาอาจคิดว่า “ทำไมต้องให้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคนอื่นมาตัดสินฉันด้วย?” แม้เราจะมีอิสระที่จะเลือกเองในเรื่องเหล่านี้ แต่เราต้องจำไว้ว่าอิสระของเรามีขีดจำกัดและการตัดสินใจทุกอย่างของเราจะมีผลตามมา นี่เป็นเหตุผลที่เปาโลบอกในข้อคัมภีร์วันนี้ ดังนั้น แม้ว่าเราจะมีอิสระในการตัดสินใจเรื่องส่วนตัว แต่เราไม่ควรให้สิ่งที่เราต้องการเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ห18.04 น. 10 ว. 10
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน
ให้หันกลับมาหาเรา แล้วเราจะกลับมาสนใจพวกเจ้า—มลค. 3:7
คริสเตียนในทุกวันนี้อาจอ้างว่านมัสการพระยะโฮวาแต่ที่จริงพวกเขากลับทำสิ่งที่พระยะโฮวาเกลียด (ยูดา 11) เขาอาจขยันทำงานรับใช้และไปประชุมเป็นประจำ แต่ในเวลาเดียวกันเขากลับปล่อยให้ตัวเองจินตนาการในเรื่องที่ผิดศีลธรรม มีความโลภและความเกลียดชัง (1 ยอห์น 2:15-17; 3:15) ในที่สุดความคิดแบบนี้แหละที่กระตุ้นให้ลงมือทำผิด ถึงคนอื่นจะไม่รู้ว่าเรากำลังคิดหรือทำอะไร แต่พระยะโฮวารู้ และพระองค์ก็รู้ถ้าเราไม่ได้อยู่ฝ่ายพระองค์จริง ๆ (เยเรมีย์ 17:9, 10) ถึงแม้เราจะทำผิดพลาด แต่พระยะโฮวาก็ไม่ได้หมดหวังในตัวเราทันที ถ้าเรากำลังเดินไปในทางที่ผิด พระยะโฮวาบอกเราว่า “ให้หันกลับมาหาเรา” พระยะโฮวารู้ว่าเราต้องต่อสู้กับความอ่อนแอของตัวเอง และพระองค์ก็อยากให้เราเข้มแข็งและเลิกทำชั่ว (อิสยาห์ 55:7) ถ้าเราทำแบบนั้นพระยะโฮวาสัญญาว่าจะให้กำลังกับเราเพื่อจะช่วยให้เราเอาชนะความต้องการที่ไม่ดีได้—ปฐมกาล 4:7 ห18.07 น. 18 ว. 5-6