มิถุนายน
วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน
ไม่ว่าพวกคุณจะขออะไรในนามของผม พระเจ้าผู้เป็นพ่อจะให้สิ่งนั้นกับคุณ—ยน. 15:16
คำสัญญานี้ต้องให้กำลังใจอัครสาวกจริง ๆ ในตอนนั้นพวกเขายังไม่เข้าใจชัดเจนว่าใกล้ถึงเวลาที่พระเยซูจะต้องตายแล้ว ดังนั้น พอถึงเวลาที่ท่านตายพวกเขาก็อาจจะรู้สึกว่าไม่เหลือใคร แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเพราะพระยะโฮวาพร้อมจะตอบคำอธิษฐานของพวกเขาและช่วยให้พวกเขาทำงานประกาศต่อ ๆ ไปได้ และพระองค์ก็ทำแบบนั้นจริง ๆ ไม่นานหลังจากที่พระเยซูตาย พวกอัครสาวกอธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยพวกเขาให้มีความกล้าหาญ และพระองค์ก็ตอบคำอธิษฐานของพวกเขา (กิจการ 4:29, 31) ในทุกวันนี้ก็เหมือนกัน เมื่อเราอดทนประกาศต่อ ๆ ไปเราก็เป็นเพื่อนกับพระเยซูเสมอ เรามั่นใจว่าพระยะโฮวาพร้อมจะตอบคำอธิษฐานของเราและจะช่วยเราเมื่อเรารู้สึกว่างานประกาศไม่ใช่เรื่องง่าย (ฟีลิปปี 4:13) เราขอบคุณพระยะโฮวาที่ตอบคำอธิษฐานของเรา และให้เราได้เป็นเพื่อนกับพระเยซู สิ่งดี ๆ ทั้งหมดนี้ที่มาจากพระยะโฮวาจะช่วยให้เราเกิดผลต่อ ๆ ไป—ยากอบ 1:17 ห18.05 น. 21 ว. 17-18
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน
ให้เรา . . . ให้กำลังใจกัน และทำสิ่งเหล่านี้ให้มากขึ้นเมื่อเห็นว่าวันนั้นใกล้มาถึงแล้ว—ฮบ. 10:24, 25
ในตอนนั้นพี่น้องอาจสงสัยว่าทำไมเปาโลต้องบอกให้พวกเขาให้กำลังใจกันมากขึ้นด้วย แต่อีกไม่ถึง 5 ปี พวกเขาก็รู้คำตอบ พวกเขาได้เห็นว่าวันที่พระยะโฮวาจะพิพากษากรุงเยรูซาเล็มใกล้มาถึงแล้ว และพวกเขารู้ว่าต้องทำตามที่พระเยซูเคยบอกไว้ว่าให้หนีออกจากกรุงเยรูซาเล็ม (ลูกา 21:20-22; กิจการ 2:19, 20) พอถึงปี 70 วันของพระยะโฮวาก็มาถึงจริง ๆ กองทัพโรมันได้มาทำลายกรุงเยรูซาเล็ม ทุกวันนี้เราอยู่ในสถานการณ์คล้าย ๆ กัน เพราะ ‘วันของพระยะโฮวาที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัว’ ใกล้จะถึงแล้ว (โยเอล 2:11) และคำพูดของเศฟันยาห์ก็ใช้ได้กับสมัยของเราด้วย “วันใหญ่ของเรายะโฮวาใกล้เข้ามาแล้ว! มันใกล้มากและจวนจะถึงอยู่แล้ว!” (เศฟันยาห์ 1:14) นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราต้อง “เป็นห่วงกัน เราจะได้กระตุ้นกันให้มีความรักและทำความดี” (ฮีบรู 10:24, เชิงอรรถ) เพื่อเราจะให้กำลังใจพี่น้องตอนที่พวกเขาต้องการ เรายิ่งต้องสนใจพวกเขามากขึ้น ห18.04 น. 20 ว. 1-2
วันพุธที่ 3 มิถุนายน
ให้กล้าหาญและเข้มแข็ง . . . ไม่ต้องกลัว เพราะพระยะโฮวาพระเจ้าอยู่ด้วยไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหน—ยชว. 1:9
คำพูดเหล่านี้ที่พระยะโฮวาพูดกับโยชูวาก่อนที่เขาจะนำประชาชนของพระองค์เข้าไปในแผ่นดินที่พระองค์สัญญาคงต้องให้กำลังใจโยชูวามากจริง ๆ พระยะโฮวายังให้กำลังใจประชาชนของพระองค์เป็นกลุ่มด้วย เช่น พระองค์รู้ว่าชาวยิวต้องการกำลังใจตอนที่พวกเขาเป็นเชลยในบาบิโลน พระองค์ให้คำพยากรณ์ที่ให้กำลังใจพวกเขาโดยบอกว่า “ไม่ต้องกลัว เพราะเราอยู่กับเจ้า ไม่ต้องกังวล เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้พวกเจ้าเข้มแข็ง และเราจะช่วยพวกเจ้า เราจะใช้มือขวาซึ่งทำสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมยึดพวกเจ้าไว้แน่นอน” (อิสยาห์ 41:10) ต่อมา พระยะโฮวายังให้กำลังใจแบบนี้กับคริสเตียนในยุคแรก ๆ รวมทั้งพวกเราในทุกวันนี้ด้วย (2 โครินธ์ 1:3, 4) นอกจากนั้น พระยะโฮวาให้กำลังใจลูกชายของพระองค์ เช่น หลังจากพระเยซูรับบัพติศมา ท่านได้ยินเสียงจากสวรรค์ว่า “นี่คือลูกรักของเรา เราพอใจในตัวเขามาก” (มัทธิว 3:17) ลองคิดดูสิว่าพระเยซูจะได้กำลังใจมากขนาดไหนจากคำพูดนี้ตอนที่ท่านทำงานรับใช้บนโลก ห18.04 น. 16 ว. 4-5
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน
ห้ามกินผลจากต้นไม้ที่ให้รู้ดีรู้ชั่ว—ปฐก. 2:17
บางคนคิดว่าพระยะโฮวาไม่ให้อาดัมมีอิสระที่จะทำสิ่งที่เขาอยากทำ แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาไม่เข้าใจว่าอิสระในการเลือกหรือสิทธิ์ในการเลือกว่าจะทำอะไรมันไม่เหมือนกับสิทธิ์ในการตัดสินใจว่าอะไรดีอะไรชั่ว อาดัมกับเอวามีอิสระที่จะเลือกว่าจะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่ แต่พระยะโฮวาเท่านั้นที่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าอะไรดีอะไรชั่ว อาดัมกับเอวาเห็นเรื่องนี้ชัดเจนจาก “ต้นไม้ที่ให้รู้ดีรู้ชั่ว” (ปฐมกาล 2:9) โดยการที่พระยะโฮวาสั่งไม่ให้อาดัมและเอวากินผลจากต้นไม้นั้น พระองค์สอนพวกเขาว่าเพื่อพวกเขาจะมีอิสระจริง ๆ พวกเขาต้องเชื่อฟังพระองค์ น่าเสียดาย อาดัมกับเอวาเลือกไม่เชื่อฟังพระยะโฮวา การเลือกของอาดัมกับเอวาทำให้พวกเขามีอิสระมากขึ้นเหมือนที่ซาตานบอกไหม? ไม่ เมื่ออาดัมกับเอวาพยายามตัดสินใจด้วยตัวเองว่าอะไรดีอะไรชั่วมันไม่ได้ทำให้เขามีอิสระมากขึ้น แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พวกเขากลับสูญเสียอิสระจริง ๆ ที่พระยะโฮวาให้พวกเขา ห18.04 น. 5-6 ว. 9-12
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน
ในช่วงที่พวกเขาทนทุกข์ พระเจ้าก็ทนทุกข์ด้วย—อสย. 63:9
พระยะโฮวาไม่ได้แค่รู้สึกสงสารผู้รับใช้ที่ต้องทนทุกข์ พระองค์ลงมือทำเพื่อช่วยพวกเขาด้วย เช่น ตอนที่ชาวอิสราเอลเป็นทาสในอียิปต์ พระยะโฮวาเข้าใจว่าพวกเขาเจ็บปวดขนาดไหน ความรู้สึกนี้กระตุ้นให้พระองค์ลงมือช่วยพวกเขา พระองค์พูดกับโมเสสว่า “เราเห็นแล้วว่าประชาชนของเรา . . . เจอกับความทุกข์ยากลำบาก เราได้ยินเสียงร้องของพวกเขา . . . เรารู้ดีว่าพวกเขาเจ็บปวดขนาดไหน เราจะลงไปช่วยพวกเขาให้รอดจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์” (อพย. 3:7, 8) เพราะพระยะโฮวาสงสารประชาชนของพระองค์ พระองค์เลยปลดปล่อยพวกเขาจากการเป็นทาส หลายร้อยปีต่อมาชาติอิสราเอลถูกศัตรูมาโจมตีในแผ่นดินที่พระองค์สัญญา พระยะโฮวารู้สึกอย่างไร? พระองค์ “สงสารที่พวกเขาร้องคร่ำครวญเพราะถูกกดขี่และถูกปฏิบัติอย่างโหดร้าย” ความเห็นอกเห็นใจกระตุ้นให้พระองค์ลงมือช่วยประชาชนของพระองค์อีกครั้งโดยให้มีพวกผู้วินิจฉัยไปช่วยชาวอิสราเอลให้พ้นจากศัตรู—วนฉ. 2:16, 18 ห19.03 น. 15 ว. 4-5
วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน
คนเป็นแม่จะลืมลูกที่ยังไม่หย่านม และไม่สงสารลูกที่เธอคลอดออกมาหรือ? ถึงแม้เธอจะลืม แต่เราไม่มีทางลืมเจ้าเลย—อสย. 49:15
กฎหมาย 2 ข้อแรกในบัญญัติ 10 ประการบอกว่าชาวอิสราเอลจะต้องนมัสการพระยะโฮวาเท่านั้น และห้ามนมัสการรูปเคารพ (อพย. 20:3-6) กฎหมาย 2 ข้อนี้ไม่ได้มีขึ้นเพื่อประโยชน์ของพระยะโฮวา แต่เพื่อประโยชน์ของประชาชนของพระองค์ ถ้าชาวอิสราเอลภักดีต่อพระองค์ พวกเขาก็จะอยู่ดีมีสุข แต่ถ้าพวกเขาไปนมัสการพระของชาติอื่น พวกเขาจะมีแต่ความทุกข์ ตรงกันข้าม พระยะโฮวาจะอวยพรประชาชนของพระองค์ถ้าพวกเขาซื่อสัตย์ภักดีต่อพระองค์และปฏิบัติต่อกันด้วยความยุติธรรม (1 พก. 10:4-9) ไม่ใช่ความผิดของพระยะโฮวาเมื่อคนที่อ้างว่ารับใช้พระองค์ไม่สนใจมาตรฐานของพระองค์และทำไม่ดีกับประชาชนของพระองค์ แต่พระยะโฮวารักเราและสังเกตเห็นเมื่อเราไม่ได้รับความยุติธรรม พระองค์รู้ว่าเราเจ็บปวดขนาดไหน พระองค์เข้าใจเรามากยิ่งกว่าแม่ที่รู้ว่าลูกน้อยไม่สบายซะอีก แม้พระองค์จะไม่แทรกแซงเพื่อแก้ปัญหาของเราทันที แต่เมื่อถึงเวลา พระองค์จะจัดการคนที่ทำไม่ดีกับคนอื่นและไม่กลับใจ ห19.02 น. 22-23 ว. 13-15
วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน
อย่าให้เป็นไปตามใจผมเลย ขอให้เป็นไปตามที่พ่อต้องการ—ลก. 22:42
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนการประชุมอนุสรณ์ ที่การประชุมประชาคมจะมีการเน้นตัวอย่างของพระเยซูและความถ่อมที่ท่านสละชีวิตตัวเองเป็นค่าไถ่ เราถูกกระตุ้นให้เลียนแบบความถ่อมของท่านและทำตามความต้องการของพระยะโฮวาแม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย เราคิดถึงพระเยซูที่แสดงความกล้าหาญในช่วงก่อนที่ท่านจะตาย ท่านรู้ดีว่าอีกไม่นานศัตรูจะทำให้ท่านอับอาย จะเฆี่ยน และจะประหารชีวิตท่าน (มธ. 20:17-19) แต่ท่านก็เต็มใจเผชิญหน้ากับความตาย เมื่อเวลานั้นมาถึง ท่านบอกกับอัครสาวกที่ซื่อสัตย์ซึ่งอยู่กับท่านในสวนเกทเสมนีว่า “ลุกขึ้นไปกันเถอะ คนที่ทรยศผมมาแล้ว” (มธ. 26:36, 46) เมื่อคนกลุ่มหนึ่งที่มีอาวุธครบมือมาถึง พระเยซูก็ก้าวออกมาแสดงตัวและบอกให้ทหารปล่อยพวกอัครสาวกไป (ยน. 18:3-8) พระเยซูกล้าหาญจริง ๆ! ทุกวันนี้คริสเตียนผู้ถูกเจิมและแกะอื่นพยายามเลียนแบบพระเยซูโดยแสดงความกล้าหาญ ห19.01 น. 27 ว. 7-8
วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน
เป็นคนถ่อมตัว—ศฟย. 2:3
เหมือนกับศิลปินที่ผสมสีต่าง ๆ เพื่อวาดภาพที่สวยงาม เราก็ต้องมีคุณลักษณะหลายอย่างรวมกันเพื่อจะเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน คุณลักษณะต่าง ๆ ที่ว่าคือ ความถ่อม การเชื่อฟัง ความอ่อนโยน และความเข้มแข็ง เฉพาะคนถ่อมตัวเท่านั้นที่จะทำตามความต้องการของพระเจ้าได้ และหนึ่งในความต้องการของพระเจ้าก็คือพระองค์อยากให้เราเป็นคนอ่อนโยน (มธ. 5:5; กท. 5:23) เมื่อเราทำตามความต้องการของพระเจ้า เราจะทำให้ซาตานโกรธมาก ดังนั้น แม้เราจะเป็นคนถ่อมและอ่อนโยน แต่หลายคนในโลกของซาตานเกลียดเรา (ยน. 15:18, 19) เราจึงต้องเข้มแข็งเพื่อจะต้านทานซาตานได้ คนที่มีนิสัยตรงข้ามกับคนอ่อนน้อมถ่อมตนคือคนหยิ่ง เขาไม่ควบคุมความโกรธและไม่เชื่อฟังพระยะโฮวา ซาตานเป็นแบบนั้นแหละ! เราจึงไม่แปลกใจที่ซาตานเกลียดคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน คนแบบนั้นทำให้เห็นว่าซาตานชั่วร้ายขนาดไหนเพราะเขามีคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ซาตานไม่มี และยิ่งกว่านั้นคือ เขาพิสูจน์ว่าซาตานโกหก ทำไม? เพราะไม่ว่าซาตานจะพูดหรือทำอะไร มันไม่สามารถทำให้คนอ่อนน้อมถ่อมตนเลิกรับใช้พระยะโฮวาได้—โยบ 2:3-5 ห19.02 น. 8-9 ว. 3-5
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน
ไม่ต้องกังวล เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า—อสย. 41:10
พระยะโฮวารู้ว่าผู้คนที่อยู่ในบาบิโลนจะกลัว ประเทศบาบิโลนจะถูกกองทัพที่ยิ่งใหญ่ของมีเดีย-เปอร์เซียมาโจมตี พระยะโฮวาจะใช้กองทัพนี้ปลดปล่อยประชาชนของพระองค์จากการเป็นเชลยที่บาบิโลน (อสย. 41:2-4) ตอนที่ชาวบาบิโลนกับคนชาติอื่นที่อยู่ที่นั่นรู้ว่าศัตรูกำลังเข้ามาใกล้ พวกเขาพยายามให้กำลังใจกันและกันโดยบอกว่า “เข้มแข็งเข้าไว้” แล้วก็สร้างรูปเคารพเพิ่มขึ้นโดยหวังว่ามันจะช่วยปกป้องคุ้มครองพวกเขา (อสย. 41:5-7) ตอนนั้นพระยะโฮวาทำให้ชาวยิวที่เป็นเชลยมีความสงบใจโดยบอกว่า “อิสราเอลเป็นผู้รับใช้ของเรา [พวกเจ้าไม่เหมือนคนชาติอื่น] . . . ไม่ต้องกังวล เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า” (อสย. 41:8-10) ขอสังเกตว่าพระยะโฮวาบอกว่า “เราเป็นพระเจ้าของเจ้า” พระองค์พูดแบบนี้เพื่อรับรองกับผู้นมัสการที่ภักดีต่อพระองค์ว่าพระองค์ไม่ได้ลืมพวกเขา พวกเขายังคงเป็นประชาชนของพระองค์อยู่ พระองค์บอกพวกเขาว่า “เราจะอุ้มและ . . . ช่วยเหลือพวกเจ้า” คำพูดที่ให้กำลังใจนี้จะต้องทำให้ชาวยิวที่เป็นเชลยรู้สึกเข้มแข็งขึ้นแน่ ๆ—อสย. 46:3, 4 ห19.01 น. 4 ว. 8
วันพุธที่ 10 มิถุนายน
มีเสียงพูดจากฟ้าว่า “ลูกรักของพ่อ พ่อพอใจในตัวลูกมาก”—มก. 1:11
มาระโก 1:9-11 เป็นบันทึกเหตุการณ์ครั้งแรกจากสามครั้งที่พระยะโฮวาพูดจากฟ้า พระองค์บอกว่า “ลูกรักของพ่อ พ่อพอใจในตัวลูกมาก” พระเยซูคงต้องซึ้งใจมากที่ได้ยินพ่อของท่านพูดว่ารักและมั่นใจในตัวท่าน คำพูดของพระยะโฮวายืนยัน 3 อย่างเกี่ยวกับพระเยซูซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก อย่างแรก พระเยซูเป็นลูกของพระองค์ อย่างที่ 2 พระยะโฮวารักพระเยซู และอย่างที่ 3 พระองค์พอใจในตัวท่าน เมื่อพระยะโฮวาพูดว่า “ลูก . . . ของพ่อ” พระองค์แสดงว่าพระเยซูซึ่งเป็นลูกรักของพระองค์ได้เริ่มมีความสัมพันธ์แบบใหม่กับพระองค์ ตอนพระเยซูอยู่บนสวรรค์ท่านเป็นลูกของพระเจ้าอยู่แล้ว แต่พอรับบัพติศมาท่านได้รับการเจิมด้วยพลังบริสุทธิ์ ท่านจึงได้เป็นลูกของพระเจ้าในแง่มุมใหม่ พระเจ้าให้ท่านมีความหวังที่จะกลับไปสวรรค์เพื่อจะเป็นกษัตริย์และมหาปุโรหิตที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระองค์ (ลก. 1:31-33; ฮบ. 1:8, 9; 2:17) ดังนั้น เราจึงเห็นเหตุผลที่พระยะโฮวาพูดว่า “ลูก . . . ของพ่อ” ตอนที่พระเยซูรับบัพติศมา—ลก. 3:22 ห19.03 น. 8-9 ว. 3-4
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน
ไม่มีสติปัญญา . . . ใด ๆ จะขัดขวางพระยะโฮวาได้—สภษ. 21:30
คำแนะนำที่ไม่ดีมีมานานมากแล้ว ซาตานเป็นคนแรกที่ให้คำแนะนำที่ไม่ดีกับมนุษย์ มันบอกเอวาว่าเธอกับสามีจะมีความสุขมากกว่าถ้าตัดสินใจเองว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร (ปฐมกาล 3:1-6) ซาตานมันเห็นแก่ตัว มันอยากให้อาดัมกับเอวาและลูกหลานเชื่อฟังและนมัสการมันไม่ใช่นมัสการพระยะโฮวา มันไม่เคยทำอะไรให้มนุษย์เลย พระยะโฮวาต่างหากที่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับมนุษย์ พระองค์ให้อาดัมกับเอวามีกันและกัน ให้พวกเขาได้อยู่ในสวนสวย ๆ แถมยังให้มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงที่อยู่ได้ตลอดไป แต่น่าเสียดายที่อาดัมกับเอวาไม่เชื่อฟังพระยะโฮวา พวกเขาตัดตัวเองออกจากพระองค์ และผลก็ออกมาแย่มากอย่างที่คุณรู้ พวกเขาค่อย ๆ แก่ลงแล้วก็ตาย เหมือนกับดอกไม้ที่ถูกตัดออกจากต้นซึ่งค่อย ๆ เหี่ยวแห้งแล้วตายไป ลูกหลานของพวกเขาซึ่งรวมทั้งพวกเราก็ต้องเจอแบบนั้นไปด้วย (โรม 5:12) คนส่วนใหญ่ทุกวันนี้ไม่สนใจว่าพระเจ้าบอกอะไร พวกเขาอยากทำอะไรก็ทำ (เอเฟซัส 2:1-3) แล้วผลเป็นอย่างไร? อย่างที่เราเห็นในข้อคัมภีร์วันนี้ คนที่ต่อต้านขัดขวางพระยะโฮวาเป็นคนที่ “ไม่มีสติปัญญา” ห18.12 น. 20 ว. 3-4
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน
เราไม่ได้พูดตามที่คนฉลาด ๆ สอน แต่พูดตามที่พลังของพระเจ้าสอน และเราอธิบายเรื่องพระเจ้าด้วยคำพูดที่มาจากพลังของพระองค์—1 คร. 2:13
อัครสาวกเปาโลเป็นคนที่ฉลาด เขามีการศึกษาดี และพูดได้อย่างน้อยสองภาษา (กิจการ 5:34; 21:37, 39; 22:2, 3) ถึงอย่างนั้น เขาไม่ยอมรับความคิดแบบโลก แต่ตัดสินใจโดยอาศัยพระคัมภีร์ (กิจการ 17:2; 1 โครินธ์ 2:6, 7) เขาเลยประสบความสำเร็จอย่างมากในการรับใช้พระยะโฮวาและรอคอยรางวัลที่จะคงอยู่ตลอดไป (2 ทิโมธี 4:8) เห็นได้ชัดว่าความคิดของพระยะโฮวาเหนือกว่าความคิดของโลก ถ้าเราทำตามมาตรฐานของพระองค์ เราจะมีความสุขแท้และประสบความสำเร็จจริง ๆ แต่พระยะโฮวาไม่บังคับให้เราคิดเหมือนพระองค์ “ทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม” ก็ไม่ควบคุมความคิดของเรา และผู้ดูแลก็ไม่ทำแบบนั้นด้วย (มัทธิว 24:45; 2 โครินธ์ 1:24) การปรับความคิดเพื่อจะมองสิ่งต่าง ๆ แบบที่พระยะโฮวามองเป็นความรับผิดชอบของเราเอง ห18.11 น. 20-21 ว. 12-13
วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน
จะไม่มีความโศกเศร้าและเสียงถอนหายใจอีกเลย—อสย. 35:10
พระยะโฮวาบอกล่วงหน้าผ่านทางผู้พยากรณ์อิสยาห์ว่า ตอนที่ชาวอิสราเอลกลับไปที่แผ่นดินของพวกเขา แผ่นดินนั้นจะมีแต่ความสงบสุข ไม่มีใครต้องกลัวว่าจะถูกคนหรือสัตว์ทำร้าย ทั้งเด็กและคนแก่จะอยู่อย่างปลอดภัย (อิสยาห์ 11:6-9; 35:5-10; 51:3) อิสยาห์ยังบอกล่วงหน้าอีกว่าทั้งโลกไม่ใช่แค่ชาติอิสราเอลจะมี ‘ความรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาเหมือนน้ำที่มีอยู่เต็มทะเล’ นอกจากนั้น อิสยาห์บอกล่วงหน้าอีกว่า ชาวอิสราเอลจะได้ออกจากบาบิโลนกลับมาที่แผ่นดินเกิด สัตว์และคนจะไม่ทำร้ายพวกเขา แผ่นดินอิสราเอลจะมีพืชผักผลไม้มากมายเพราะมีน้ำเยอะเหมือนที่เคยมีในสวนเอเดน (ปฐมกาล 2:10-14; เยเรมีย์ 31:12) คำพยากรณ์นี้เป็นจริงเฉพาะสมัยอิสราเอลไหม? ขอสังเกตว่าคำพยากรณ์นี้ยังบอกด้วยว่า คนตาบอด คนง่อย คนหูหนวกจะหายเป็นปกติ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นตอนที่ชาวอิสราเอลกลับมาที่แผ่นดินเกิด แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พระเจ้าบอกว่าจะรักษาความเจ็บป่วยทุกชนิดในอนาคต ห18.12 น. 5 ว. 11-12
วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน
ใช้ชีวิตตามความจริง—3 ยน. 3
เราหวังว่าจะใช้ชีวิตตามความจริงตลอดไป แต่อะไรจะช่วยเราให้ตั้งใจมากขึ้นที่จะทำอย่างนั้น? คุณต้องจัดเวลาเป็นประจำที่จะศึกษาและคิดใคร่ครวญเรื่องที่ได้เรียนจากคัมภีร์ไบเบิล ยิ่งคุณศึกษามากขึ้น คุณก็จะยิ่งรักความจริงและตั้งใจที่จะไม่มีวันทิ้งความจริง สุภาษิต 23:23 บอกให้เรา “ซื้อความจริงไว้” และยังบอกอีกว่าเราควร “ซื้อสติปัญญา คำสั่งสอน กับความเข้าใจด้วย” การมีความรู้เกี่ยวกับความจริงแค่นั้นยังไม่พอ เราต้องเอาสิ่งที่เรียนมาใช้ด้วย เมื่อเรามีความเข้าใจ เราจะเอาสิ่งใหม่ที่ได้เรียนมารวมกับสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว และถ้าเรามีสติปัญญา มันก็จะกระตุ้นให้เราลงมือทำตามความรู้ที่เรามี นอกจากนั้น บางครั้งความจริงยังสั่งสอนเราด้วยโดยทำให้เราเห็นว่าต้องเปลี่ยนอะไรบ้างและเราก็ต้องรีบเปลี่ยนตามนั้น คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า คำสั่งสอนมีค่ามากกว่าเงิน—สุภาษิต 8:10 ห18.11 น. 9 ว. 3; น. 11 ว. 13-14
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน
ซื้อความจริงไว้และอย่าขายเลย—สภษ. 23:23
อะไรมีค่าที่สุดในชีวิตคุณ? เนื่องจากเราเป็นคนของพระยะโฮวา สิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับเราก็คือความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ และเราจะไม่ยอมเอาอะไรมาแลกแน่ ๆ เราเห็นค่าความจริงในคัมภีร์ไบเบิลด้วยเพราะมันทำให้เราได้เป็นเพื่อนกับพระยะโฮวา (โคโลสี 1:9, 10) พระยะโฮวาเป็นครูองค์ยิ่งใหญ่ พระองค์สอนความจริงในคัมภีร์ไบเบิลที่มีค่าหลายเรื่องให้กับเรา เช่น สอนเราว่าชื่อของพระองค์สำคัญอย่างไรและบอกให้เรารู้จักคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ยอดเยี่ยมของพระองค์ พระองค์บอกให้รู้ด้วยว่าพระองค์รักเรามากจนยอมสละลูกชายที่รักเพื่อเรา พระองค์ยังสอนเราเรื่องรัฐบาลเมสสิยาห์และเรื่องความหวังจะได้อยู่ในสวนอุทยานบนโลกตลอดไป นอกจากนั้น พระยะโฮวายังช่วยให้เรารู้ว่าควรใช้ชีวิตอย่างไรด้วย เรามองว่าความจริงเหล่านี้มีค่ามากเพราะช่วยให้เราสนิทกับพระเจ้าผู้สร้างของเราและทำให้เรามีจุดมุ่งหมายในชีวิต ห18.11 น. 3 ว. 1-2
วันอังคารที่ 16 มิถุนายน
อย่าโกหกกัน—คส. 3:9
เราหลอกพระเจ้าไม่ได้ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ทุกสิ่งถูกเปิดเผยและปรากฏชัดต่อสายตาพระองค์” (ฮีบรู 4:13) คัมภีร์ไบเบิลมีตัวอย่างของสามีภรรยาคริสเตียนคู่หนึ่งที่ชื่ออานาเนียกับสัปฟีรา พวกเขาขายที่ดินและเอาเงินแค่บางส่วนมาให้พวกอัครสาวก แต่เพราะอยากให้คนอื่นในประชาคมประทับใจ พวกเขาเลยบอกพวกอัครสาวกว่าให้เงินทั้งหมดที่ขายมาได้ แต่พระยะโฮวารู้ว่าพวกเขาโกหก พระองค์จึงลงโทษพวกเขา (กิจการ 5:1-10) พระยะโฮวารู้สึกอย่างไรกับคนที่โกหก? ทุกคนที่โกหกแบบมีเจตนาร้ายและไม่กลับใจจะต้องอยู่ใน “บึงไฟ” เหมือนกับซาตาน ซึ่งก็คือจะถูกทำลายตลอดไป (วิวรณ์ 20:10; 21:8; สดุดี 5:6) เรารู้ว่าพระยะโฮวา “ไม่ใช่มนุษย์ถึงจะได้พูดโกหก” และ “พระเจ้าโกหกไม่ได้” (กันดารวิถี 23:19; ฮีบรู 6:18) นอกจากนั้น “พระยะโฮวาเกลียดชัง . . . ลิ้นที่โกหก” (สุภาษิต 6:16, 17) ถ้าเราอยากให้พระองค์รัก เราต้องพูดความจริง ห18.10 น. 8 ว. 10-13
วันพุธที่ 17 มิถุนายน
ให้คุณคิดใคร่ครวญ—1 ทธ. 4:15
เราจะทำอย่างไรถ้าเจ้านายขอให้บริจาคเงินจัดงานฉลองเกี่ยวกับศาสนาเท็จ แทนที่จะรอให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นก่อน ดีกว่าที่จะคิดตั้งแต่ตอนนี้ว่าพระยะโฮวาคิดอย่างไร และพอเราเจอสถานการณ์นั้นจริง ๆ มันก็ง่ายกว่าที่เราจะพูดและทำสิ่งที่ถูกต้อง การคิดใคร่ครวญความคิดของพระยะโฮวายังช่วยให้เราซื่อสัตย์ภักดีต่อพระองค์เสมอเมื่อเราเจ็บป่วยฉุกเฉิน แน่นอนว่าเราตัดสินใจไว้แล้วว่าจะไม่เติมเลือด ไม่ว่าจะเป็นเลือดครบส่วนหรือส่วนประกอบหลัก 4 อย่างของเลือด (กิจการ 15:28, 29) แต่การรักษาบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเลือดซึ่งคริสเตียนแต่ละคนต้องตัดสินใจเองโดยอาศัยหลักการในคัมภีร์ไบเบิลล่ะ เวลาไหนเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะตัดสินใจเรื่องนี้? จะเป็นตอนที่เราอยู่โรงพยาบาล แล้วอาจมีอาการปวดมากและถูกกดดันให้รีบตัดสินใจไหม? ไม่ใช่เวลานั้นแน่ ๆ! แต่เวลาที่เหมาะคือตอนนี้ที่เราจะค้นคว้าและกรอกเอกสารทางการแพทย์ให้ครบถ้วน เช่น หนังสือมอบอำนาจและแสดงความจำนงเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (ไม่รับการถ่ายเลือด) ซึ่งเราต้องบอกชัดเจนว่าเราต้องการอะไร นอกจากนั้น เราต้องคุยกับหมอให้เรียบร้อยก่อนด้วย ห18.11 น. 24 ว. 5; น. 26 ว. 15-16
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน
คนที่ฟังเราจะอยู่อย่างปลอดภัย—สภษ. 1:33
พระยะโฮวาเป็นเหมือนกับคนเลี้ยงแกะที่รักและเอาใจใส่คนของพระองค์อย่างดี พระองค์ดูแลพวกเขาให้ปลอดภัย และคุ้มครองให้พ้นจากศัตรู นี่ทำให้เรามั่นใจและรู้สึกอุ่นใจตอนที่อวสานของโลกนี้กำลังใกล้เข้ามา พระยะโฮวาจะดูแลคนของพระองค์ต่อไปจนถึงช่วงความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่ที่ใกล้จะถึงอยู่แล้ว (วิวรณ์ 7:9, 10) ดังนั้น ไม่ว่าผู้รับใช้ของพระองค์จะเด็กอยู่หรืออายุมากแล้ว จะมีสุขภาพดีหรือไม่ดี หรือแม้แต่อาจจะพิการ เราก็ไม่ต้องกลัวหรือสติแตกตอนที่ความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่เกิดขึ้น แต่จะเป็นตรงกันข้าม เพราะเราจำคำพูดของพระเยซูได้ที่ว่า “ยืดตัวตรงและเชิดหน้าขึ้นเพราะพระเจ้าจะมาช่วยพวกคุณให้รอดแล้ว” (ลูกา 21:28) แม้โกกซึ่งหมายถึงกลุ่มชาติต่าง ๆ ในสมัยนี้ที่แข็งแกร่งจะมาโจมตีเรา เราก็มั่นใจว่าพระองค์จะคุ้มครองเรา (เอเสเคียล 38:2, 14-16) ทำไมเราถึงมั่นใจแบบนั้นได้? เพราะเรารู้ว่าพระยะโฮวาไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พระองค์จะพิสูจน์อีกครั้งว่าพระองค์เป็นผู้ช่วยให้รอดที่รักและห่วงใยคนของพระองค์—อิสยาห์ 26:20 ห18.09 น. 26 ว. 15-16
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน
พวกเจ้ามีค่าสำหรับเรา เรา . . . รักพวกเจ้าเสมอมา—อสย. 43:4
ลองนึกดูว่าชาวอิสราเอลจะรู้สึกอย่างไรตอนที่พระยะโฮวาบอกพวกเขาตามข้อคัมภีร์วันนี้ คุณที่เป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวามั่นใจได้ว่า คุณมีค่าสำหรับพระองค์ คัมภีร์ไบเบิลสัญญาว่า “พระองค์จะช่วยคุณเพราะพระองค์มีฤทธิ์อำนาจ พระองค์จะชื่นชมในตัวคุณมาก” (เศฟันยาห์ 3:16, 17) พระยะโฮวาสัญญาว่าจะให้กำลังใจและปลอบใจคนของพระองค์ไม่ว่าพวกเขาจะเจอปัญหาอะไร พระองค์บอกว่า “พวกเจ้าจะได้ดูดน้ำนม จะมีคนอุ้มเจ้าใส่เอว และเขย่าตัวเจ้าเล่นอยู่บนตัก เราจะปลอบเจ้า เหมือนอย่างแม่ปลอบลูก” (อิสยาห์ 66:12, 13) ลองนึกภาพเด็กทารกที่แม่กำลังอุ้มและเล่นกับเขา เขาคงรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยจริง ๆ พระยะโฮวาก็รักคุณมากและอยากให้คุณรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเหมือนกัน คุณแน่ใจได้เลยว่าคุณมีค่ามากสำหรับพระองค์—เยเรมีย์ 31:3 ห18.09 น. 13-14 ว. 6-7
วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน
วันนี้ใครเต็มใจเอาของมาถวายพระยะโฮวาบ้าง?—1 พศ. 29:5
ในสมัยคัมภีร์ไบเบิลชาวอิสราเอลมีโอกาสมากมายที่จะอาสาสมัครทำงานต่าง ๆ (อพยพ 36:2; เนหะมีย์ 11:2) ทุกวันนี้คุณก็ทำได้เหมือนกันโดยอาสาที่จะใช้เวลา ทรัพย์สมบัติ และความสามารถเพื่อช่วยเหลือพี่น้อง เมื่อทำแบบนี้คุณก็จะมีความสุขมากและพระยะโฮวาจะอวยพรคุณ คนที่อาสาสมัครทำงานในโครงการก่อสร้างมักจะได้เพื่อนใหม่ ๆ พี่น้องหญิงคนหนึ่งชื่อมาร์จีทำงานก่อสร้างหอประชุมมา 18 ปีแล้ว เธอจะสนใจพี่น้องหญิงที่อายุน้อยกว่าเป็นพิเศษและช่วยฝึกพวกเขา มาร์จีบอกว่าการอาสาสมัครทำงานในโครงการก่อสร้างเป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ ที่จะให้กำลังใจกันและกัน (โรม 1:12) ที่จริง หลายครั้งที่มาร์จีเจอปัญหาในชีวิต เพื่อน ๆ ที่เคยทำงานกับเธอในโครงการก่อสร้างนั่นแหละที่ให้กำลังใจเธอ คุณเคยอาสาสมัครช่วยโครงการก่อสร้างบ้างไหม? ห18.08 น. 25 ว. 9; น. 26 ว. 11
วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน
อย่าให้ใครดูถูกคุณเพราะเห็นว่าคุณยังหนุ่ม แต่ให้คำพูด ความประพฤติ ความรัก ความเชื่อ และความบริสุทธิ์ของคุณเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนที่ซื่อสัตย์—1 ทธ. 4:12
ตอนที่เปาโลเขียนข้อนี้ทิโมธีอายุแค่ประมาณ 30 แต่เปาโลก็ยังให้หน้าที่สำคัญมากกับเขา บทเรียนคืออะไร? เราจะไม่ตัดสินพี่น้องชายที่อายุน้อยโดยดูจากอายุของเขา ลองคิดถึงทุกอย่างที่พระเยซูทำตอนอายุแค่ 30 ต้น ๆ ดูสิ ในบางวัฒนธรรม คนทั่วไปไม่นับถือผู้ชายที่อายุยังน้อย ผลก็คือผู้ดูแลบางคนไม่เสนอพี่น้องชายอายุน้อยให้เป็นผู้ช่วยงานรับใช้หรือผู้ดูแลแม้พี่น้องคนนั้นจะมีคุณสมบัติเหมาะจะเป็นได้แล้ว แต่คัมภีร์ไบเบิลไม่เคยบอกว่าต้องอายุเท่าไรถึงจะเป็นผู้ช่วยงานรับใช้หรือผู้ดูแลได้—1 ทิโมธี 3:1-10, 12, 13; ทิตัส 1:5-9 ห18.08 น. 11-12 ว. 15-16
วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน
อย่าสนใจ . . . สิ่งที่เรียกกันผิด ๆ ว่า “ความรู้”—1 ทธ. 6:20
เพื่อจะตัดสินใจได้ดี เราต้องมีข้อเท็จจริงที่เชื่อถือได้ ดังนั้น เราต้องระวังมากเมื่อเราเลือกสิ่งที่อ่าน (ฟีลิปปี 4:8, 9) เราไม่ควรเสียเวลาไปกับการดูเว็บข่าวที่ไม่น่าเชื่อถือหรือข่าวลือที่ส่งต่อ ๆ กันทางอีเมล ที่สำคัญเราต้องไม่เข้าไปดูเว็บไซต์ของพวกที่ทรยศพระเจ้าซึ่งส่งเสริมแนวคิดของพวกเขา พวกเขาอยากทำให้ผู้รับใช้พระเจ้ามีความเชื่ออ่อนลงและต้องการจะบิดเบือนความจริงด้วย ข้อมูลที่เชื่อถือไม่ได้จะทำให้ตัดสินใจผิด อย่าคิดว่าข้อมูลที่ไม่จริงจะไม่ส่งผลกระทบต่อคุณ ขอให้คิดถึงสมัยของโมเสส คนสอดแนม 12 คนไปดูแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญา และเมื่อกลับมา คนสอดแนม 10 คนกลับพูดแต่เรื่องลบ ๆ (กันดารวิถี 13:25-33) พวกเขาให้ข้อมูลเกินจริงและนั่นทำให้ชาวอิสราเอลกลัวและหมดแรง (กันดารวิถี 14:1-4, 6-10) ดังนั้น แทนที่ชาวอิสราเอลจะหาข้อเท็จจริงและไว้วางใจพระยะโฮวา พวกเขากลับเลือกที่จะเชื่อเรื่องในแง่ลบ ห18.08 น. 4 ว. 4-5
วันอังคารที่ 23 มิถุนายน
อย่าให้ใครมาหลอกได้ การคบคนไม่ดีทำให้นิสัยดี ๆ เสียไป—1 คร. 15:33
ผู้คนทั่วไปส่วนใหญ่มีนิสัยที่ดีอยู่บ้าง และคนที่ไม่ได้นมัสการพระเจ้าก็อาจไม่ได้ทำชั่วเสมอไป บางทีคุณอาจรู้จักคนแบบนี้ก็ได้ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนที่ดีของคุณ คุณอาจถามตัวเองว่า พวกเขามีผลอย่างไรต่อความสัมพันธ์ของคุณกับพระยะโฮวา? พวกเขาช่วยให้คุณสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้นไหม? อะไรเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขา? พวกเขาชอบคุยกันเรื่องอะไร? เรื่องที่พวกเขาคุยกันส่วนใหญ่เป็นเรื่องแฟชั่น เงิน โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือความบันเทิงต่าง ๆ ไหม? พวกเขาชอบวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นไหม? พวกเขาชอบเล่าเรื่องตลกลามกไหม? พระเยซูเตือนว่า “ใจเต็มไปด้วยอะไร ปากก็พูดอย่างนั้น” (มัทธิว 12:34) ดังนั้น ถ้าคุณรู้ว่าคนที่คุณกำลังคบเป็นเพื่อนทำให้ความสัมพันธ์ของคุณกับพระยะโฮวาแย่ลง คุณอาจต้องลงมือทำอะไรซักอย่าง! อย่าใช้เวลากับพวกเขามากเกินไป และถ้าจำเป็นคุณอาจต้องเลิกคบกับพวกเขา—สุภาษิต 13:20 ห18.07 น. 19 ว. 11
วันพุธที่ 24 มิถุนายน
โมเสสเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนที่สุดในโลก—กดว. 12:3
ตอนที่โมเสสอายุ 80 ปี พระยะโฮวามอบหมายให้ท่านไปปลดปล่อยชาติอิสราเอลจากการเป็นทาสในอียิปต์ (อพยพ 3:10) หลายครั้งที่โมเสสพยายามขอตัวแต่พระองค์อดทนกับโมเสส พระองค์ถึงกับให้พลังกับเขาเพื่อทำการอัศจรรย์ (อพยพ 4:2-9, 21) พระองค์อาจใช้พลังเพื่อทำให้โมเสสกลัวแล้วยอมเชื่อฟังพระองค์ก็ได้ แต่พระองค์ไม่ทำแบบนั้น พระองค์อดทน อ่อนโยน และใจดีกับโมเสส พระองค์ทำให้ผู้รับใช้ที่เจียมตัวและถ่อมใจคนนี้มั่นใจว่าพระองค์จะอยู่กับเขา วิธีนี้ใช้ได้ผลไหม? ได้ผลแน่นอน โมเสสกลายเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม เขาพยายามแสดงความอ่อนโยนและคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นเหมือนที่พระยะโฮวาทำกับเขา ถ้าคุณมีอำนาจอยู่บ้าง ก็เป็นเรื่องสำคัญมากที่คุณต้องเลียนแบบพระยะโฮวาด้วยการเป็นคนใจดี อ่อนโยน อดทนกับภรรยา ลูก ๆ และพี่น้องในประชาคม และคิดถึงความรู้สึกของพวกเขา (โคโลสี 3:19-21; 1 เปโตร 5:1-3) ถ้าคุณเลียนแบบพระยะโฮวาพระเจ้ากับพระเยซูผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าโมเสส ใคร ๆ ก็จะอยากมาคุยกับคุณ และคุณจะให้กำลังใจเขาได้—มัทธิว 11:28, 29 ห18.09 น. 24-25 ว. 7-10
วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน
เมื่อพี่น้องอยู่ด้วยกันอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ก็เป็นเรื่องดีและน่าชื่นชมจริง ๆ—สด. 133:1
เราก็ทำให้พี่น้องรู้สึกสดชื่นเหมือนกันได้ ถ้าเราทำตัวน่ารักและดีกับทุกคน การทำแบบนี้จะทำให้ประชาคมเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น คุณจะทำความรู้จักพี่น้องในประชาคมให้มากขึ้นได้ไหม? (2 โครินธ์ 6:11-13) คุณสามารถส่องแสงสว่างได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน และถ้าคุณทำดีกับคนอื่น เพื่อนบ้านอาจอยากรู้จักพระยะโฮวามากขึ้น ให้ถามตัวเองว่า ‘เพื่อนบ้านคิดยังไงกับฉัน? บ้านฉันสะอาดเรียบร้อยดีไหม? บ้านฉันทำให้สภาพแวดล้อมแถวนั้นน่าอยู่ไหม? ฉันเป็นเพื่อนบ้านที่มีน้ำใจไหม?’ ลองถามพยานฯ คนอื่นว่า การที่เขาทำดีกับคนอื่นและเป็นตัวอย่างที่ดีส่งผลต่อญาติ ๆ เพื่อนบ้าน เพื่อนที่ทำงาน และเพื่อนนักเรียนอย่างไร—เอเฟซัส 5:9 ห18.06 น. 24 ว. 13-14
วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน
อีกไม่นานทุกคนที่ฆ่าพวกคุณจะคิดว่านั่นเป็นการรับใช้พระเจ้า—ยน. 16:2
พวกที่ฆ่าสาวกสเทเฟนก็คิดแบบนั้น (กิจการ 6:8, 12; 7:54-60) ตลอดประวัติศาสตร์ พวกที่เคร่งศาสนาทำเรื่องชั่วร้ายหลายอย่าง เช่น ฆ่าคน และคิดว่าการทำแบบนั้นเป็นการทำเพื่อพระเจ้า ทั้งที่จริง ๆ แล้วสิ่งที่พวกเขาทำมันขัดกับกฎหมายของพระองค์ (อพยพ 20:13) เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไม่ได้ชี้นำพวกเขาอย่างถูกต้อง แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเรายังทำงานดีอยู่? อย่างที่เรารู้ กฎหมายและหลักการจากคัมภีร์ไบเบิล “มีประโยชน์สำหรับสอน ว่ากล่าวตักเตือน แก้ไขสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบร้อย และสั่งสอนคนให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง” (2 ทิโมธี 3:16) เราจึงต้องศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ คิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง และเอาไปใช้จริงในชีวิต เมื่อเราทำแบบนั้นเราก็จะคิดแบบพระยะโฮวาคิดมากขึ้น และเราจะมั่นใจได้ว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีชี้นำเราอย่างดี ห18.06 น. 16-17 ว. 3-4
วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน
ถือดาบของพลังบริสุทธิ์ซึ่งก็คือถ้อยคำของพระเจ้า—อฟ. 6:17
ดาบที่พวกทหารโรมันใช้ยาวประมาณ 50 เซนติเมตร และพวกเขาใช้ดาบจนเก่งได้ก็เพราะพวกเขาฝึกใช้ดาบทุกวัน อัครสาวกเปาโลบอกว่าถ้อยคำของพระเจ้าเป็นเหมือนดาบ พระยะโฮวาให้มันกับเรา แต่เราก็ต้องฝึกใช้คัมภีร์ไบเบิลให้เก่งเพื่อจะปกป้องความเชื่อและปรับความคิดของเรา (2 โครินธ์ 10:4, 5; 2 ทิโมธี 2:15) เราไม่ต้องกลัวซาตานและพวกปีศาจ ถึงมันจะมีอำนาจมาก แต่ก็ไม่มีทางมากกว่าพระยะโฮวา พวกมันจะไม่อยู่ตลอดไป ในช่วงพันปีพวกมันจะถูกขังและไม่สามารถทำร้ายใครได้ พอหลังช่วงพันปีพวกมันก็จะถูกทำลายตลอดไป (วิวรณ์ 20:1-3, 7-10) เรารู้จักศัตรูของเรา รู้จักกลโกง และเป้าหมายของมันแล้ว เรามั่นใจว่าพระยะโฮวาจะช่วยเรา และเราจะชนะซาตานแน่นอน ห18.05 น. 30-31 ว. 15, 19-21
วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน
งูจึงพูดกับผู้หญิงว่า “พวกคุณจะไม่ตายหรอก”—ปฐก. 3:4
อาดัมรู้อยู่แล้วว่างูพูดไม่ได้ พอมีงูมาพูดกับเอวา เขาคงรู้ว่ามันเป็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งที่มาพูดกับเธอ (ปฐมกาล 3:1-6) ถึงแม้ว่าอาดัมกับเอวาไม่รู้ว่าทูตสวรรค์องค์นี้เป็นใคร แต่พวกเขาเลือกอยู่ฝ่ายมันและกบฏต่อพระเจ้าผู้เป็นพ่อที่รักของพวกเขาในสวรรค์ (1 ทิโมธี 2:14) ทันทีที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น พระยะโฮวาก็เริ่มบอกให้รู้มากขึ้นว่าจริง ๆ แล้วศัตรูที่ชั่วร้ายนี้เป็นใครและสัญญาว่าในที่สุดมันจะถูกทำลาย นอกจากนั้น พระยะโฮวาเตือนว่า ก่อนจะถึงตอนนั้น ทูตสวรรค์ที่พูดผ่านงูจะต่อต้านทุกคนที่รักพระองค์ (ปฐมกาล 3:15) พระยะโฮวาไม่เคยบอกชื่อทูตสวรรค์ที่กบฏองค์นี้ว่ามันชื่ออะไร จนกระทั่งผ่านไป 2,500 ปีหลังจากมีการกบฏในสวนเอเดน พระองค์บอกให้รู้มากขึ้นว่าทูตสวรรค์ที่กบฏเป็นใคร—โยบ 1:6 ห18.05 น. 22 ว. 1-2
วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน
พวกเขา . . . เกิดผลด้วยความอดทน—ลก. 8:15
คุณเคยรู้สึกท้อเพราะหลายคนไม่ฟังตอนที่คุณประกาศเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าไหม? ถ้าคุณเคยรู้สึกอย่างนั้น คุณก็คงเข้าใจความรู้สึกของเปาโล เขาประกาศมา 30 ปีแล้วและก็เคยช่วยคนมากมายให้เข้ามาเป็นคริสเตียน (กิจการ 14:21; 2 โครินธ์ 3:2, 3) แต่ถึงอย่างนั้น เปาโลก็ไม่สามารถช่วยชาวยิวหลายคนซึ่งเป็นคนชาติเดียวกันกับเขาให้มาเป็นคริสเตียนได้ ชาวยิวส่วนใหญ่ไม่ฟังเขาแถมยังมีบางคนข่มเหงเขาด้วย (กิจการ 14:19; 17:1, 4, 5, 13) นี่ทำให้เปาโลรู้สึกอย่างไร? เปาโลบอกว่า “ผมเศร้าจริง ๆ และปวดร้าวใจไม่หาย” (โรม 9:1-3) ทำไมเปาโลรู้สึกแบบนั้น? ก็เพราะว่าเขารักงานประกาศมากและรักผู้คนมาก เปาโลเป็นห่วงชาวยิว เขาจึงเสียใจเมื่อชาวยิวไม่ยอมรับความเมตตาจากพระเจ้า เหมือนกับเปาโล เราไปประกาศเพราะเป็นห่วงและอยากช่วยผู้คน—มัทธิว 22:39; 1 โครินธ์ 11:1 ห18.05 น. 13 ว. 4-5
วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน
ความวิตกกังวลทำให้หนักใจ แต่คำพูดดี ๆ ทำให้มีกำลังใจ—สภษ. 12:25
เปาโลทำให้เราเห็นว่าแม้แต่คนที่มีหน้าที่ในการให้กำลังใจคนอื่น พวกเขาเองก็ต้องการกำลังใจด้วย เปาโลเขียนถึงพี่น้องที่กรุงโรมว่า “ผมอยากเจอพวกคุณมาก จะได้แบ่งปันสิ่งที่ให้กำลังใจเพื่อช่วยพวกคุณให้ใกล้ชิดพระเจ้า หรือถ้าจะพูดให้ถูก พวกเราจะได้ให้กำลังใจกันและกันโดยความเชื่อของเราทั้งสองฝ่าย คือทั้งของพวกคุณและของผม” (โรม 1:11, 12) ในบางครั้งแม้แต่เปาโลเองก็ต้องการกำลังใจจากพี่น้องคนอื่นด้วยเหมือนกัน (โรม 15:30-32) ในทุกวันนี้เราสามารถให้กำลังใจพี่น้องที่เสียสละหลายอย่าง เราอาจให้กำลังใจพี่น้องทั้งผู้ชายและผู้หญิงหลายคนที่เลือกเป็นโสดเพราะอยากเชื่อฟังพระยะโฮวาที่บอกให้แต่งงานเฉพาะกับ “คนที่เชื่อถือผู้เป็นนาย” (1 โครินธ์ 7:39) นอกจากนั้น คริสเตียนที่อดทนการข่มเหงหรืออดทนกับความเจ็บป่วยก็ควรจะได้รับกำลังใจด้วย—2 เธสะโลนิกา 1:3-5 ห18.04 น. 21 ว. 3-5