กรกฎาคม
วันพุธที่ 1 กรกฎาคม
ให้พยายามเข้าใจว่าพระยะโฮวาต้องการอะไร—อฟ. 5:17
เรากำลังมีชีวิตอยู่ใน “ช่วงเวลาวิกฤติที่มีแต่ความยุ่งยากลำบาก” (2 ทิโมธี 3:1) ก่อนที่พระยะโฮวาจะมาทำลายโลกชั่วและก่อนที่พระองค์จะทำให้เกิดสันติสุขแท้บนโลก ชีวิตก็ยิ่งลำบากมากขึ้นเรื่อย ๆ เราเลยควรถามตัวเองว่า ‘ฉันมองหาใครเพื่อขอคำแนะนำและความช่วยเหลือ?’ นานมาแล้วผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งบอกว่าถ้าเราต้องการความช่วยเหลือ มันสำคัญขนาดไหนที่เราต้องมองพระยะโฮวาและขอความช่วยเหลือจากพระองค์ (สดุดี 123:1-4) ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลคนนี้บอกว่าเมื่อเรามองพระยะโฮวา เราก็เป็นเหมือนคนรับใช้ที่คอยมองดูนาย มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร? คนรับใช้จะคอยมองดูหรือพึ่งนายของเขาเพื่อจะมีอาหารกินและได้รับการปกป้องจากนาย และเขาต้องมองดูนายเสมอเพื่อจะรู้ว่านายอยากจะให้เขาทำอะไร แล้วเขาก็จะทำตามนั้น เหมือนกันเราต้องมองพระยะโฮวาโดยศึกษาคัมภีร์ไบเบิลทุกวันเพื่อจะรู้ว่าพระองค์อยากให้เราทำอะไร แล้วเราก็ต้องทำตามนั้น โดยวิธีนี้เท่านั้นที่พระยะโฮวาจะช่วยเมื่อเราต้องการความช่วยเหลือ ห18.07 น. 12 ว. 1-2
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม
ถ้าผมที่เป็นลูกของพระเจ้าปลดปล่อยพวกคุณให้เป็นอิสระ พวกคุณก็จะเป็นอิสระจริง ๆ—ยน. 8:36
พระเยซูกำลังพูดถึงอิสระจากการเป็นทาสของบาปซึ่งเป็นทาสชนิดที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยเจอ (ยอห์น 8:34) บาปเป็นสาเหตุที่ทำให้เราทำสิ่งที่ไม่ดี บาปยังขัดขวางไม่ให้เราทำสิ่งที่รู้ว่าถูกและขัดขวางไม่ให้เราทำสุดความสามารถ เราก็เลยต้องเจอความผิดหวัง ความเจ็บปวด ความทุกข์ และความตายในที่สุด (โรม 6:23) เราจะมีอิสระจริง ๆ แบบที่อาดัมกับเอวาเคยมีก็ต่อเมื่อบาปถูกกำจัดออกไปอย่างถอนรากถอนโคน คำพูดของพระเยซูที่บอกว่า “ถ้าพวกคุณทำตามที่ผมสอนเสมอ” แสดงว่าถ้าเราอยากให้พระเยซูช่วยเราให้เป็นอิสระ เราจำเป็นต้องทำบางอย่าง (ยอห์น 8:31) พระเยซูได้ตั้งข้อจำกัดไว้ให้คนที่อยากจะเป็นสาวกของท่าน ดังนั้น เราต้องเลิกใช้ชีวิตเพื่อตัวเองและเลือกที่จะใช้ชีวิตตามที่ท่านบอกไว้ นี่เป็นสิ่งที่คริสเตียนที่อุทิศตัวแล้วต้องทำ (มัทธิว 16:24) เราจะมีอิสระจริง ๆ ได้ในอนาคตอย่างที่พระเยซูสัญญาเมื่อเราได้รับประโยชน์เต็มที่จากค่าไถ่ ห18.04 น. 6-7 ว. 14-16
วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม
พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่อ่านหัวใจมนุษย์ได้—2 พศ. 6:30
พระยะโฮวาเป็นห่วงความรู้สึกของผู้รับใช้ของพระองค์จริง ๆ แม้บางครั้งพวกเขาจะมีความคิดที่ไม่ถูกต้อง ขอให้คิดถึงผู้พยากรณ์โยนาห์ พระองค์ส่งผู้พยากรณ์คนนี้ไปประกาศคำพิพากษาที่เมืองนีนะเวห์ เมื่อชาวนีนะเวห์กลับใจ พระยะโฮวาก็เลือกที่จะไว้ชีวิตพวกเขา แต่โยนาห์ “ไม่พอใจและโมโหมาก” เพราะมันทำให้คำพยากรณ์ของเขาไม่เป็นจริง พระยะโฮวาอดทนกับโยนาห์และช่วยปรับความคิดของเขา (ยนา. 3:10-4:11) ในที่สุด โยนาห์ก็เข้าใจบทเรียนที่พระองค์สอน และพระองค์ถึงกับใช้เขาให้บันทึกเรื่องราวนี้เพื่อประโยชน์ของเรา (รม. 15:4) วิธีที่พระยะโฮวาทำกับประชาชนของพระองค์ในอดีตทำให้เรามั่นใจว่าพระองค์เห็นอกเห็นใจผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์รู้ดีว่าเราแต่ละคนเจ็บปวดและทุกข์ใจขนาดไหน พระองค์เข้าใจความคิด ความรู้สึกลึก ๆ และข้อจำกัดของเรา “พระองค์จะไม่ปล่อยให้ [เรา] ถูกล่อใจจนทนไม่ไหว” (1 คร. 10:13) คำสัญญานี้ทำให้เราสบายใจและได้กำลังใจจริง ๆ ห19.03 น. 16 ว. 6-7
วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม
ทุกสิ่งถูกเปิดเผยและปรากฏชัดต่อสายตาพระองค์ผู้ที่เราต้องให้การ—ฮบ. 4:13
ในกฎหมายของโมเสส พวกผู้นำที่ได้รับการแต่งตั้ง พวกเขาไม่ใช่แค่ตัดสินเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการนมัสการเท่านั้น แต่ต้องจัดการกับความขัดแย้งและการทำผิดกฎหมายอื่น ๆ ด้วย ลองมาดูตัวอย่างต่อไปนี้ ถ้าชาวอิสราเอลคนหนึ่งฆ่าคนตาย เขาจะไม่ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยอัตโนมัติ พวกผู้นำในเมืองที่เขาอาศัยอยู่จะสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะตัดสินว่าเขาควรมีโทษถึงตายหรือไม่ (ฉธบ. 19:2-7, 11-13) นอกจากนั้น พวกผู้นำต้องตัดสินคดีทั่วไปมากมายด้วย ตั้งแต่ปัญหาเรื่องการแบ่งเขตที่ดินไม่ลงตัว ไปจนถึงการจัดการปัญหาระหว่างสามีภรรยา (อพย. 21:35; ฉธบ. 22:13-19) เมื่อผู้นำมีความยุติธรรมและชาวอิสราเอลเชื่อฟังกฎหมาย ทุกคนก็จะได้ประโยชน์ และทั้งชาติอิสราเอลก็จะทำให้พระยะโฮวาได้รับคำสรรเสริญ (ลนต. 20:7, 8; อสย. 48:17, 18) บทเรียนคือ พระยะโฮวาสนใจสิ่งที่เราทำในทุกแง่มุมของชีวิต พระองค์อยากให้เราแสดงความยุติธรรมต่อกันและรักกัน พระองค์สังเกตสิ่งที่เราพูดและทำด้วยแม้แต่ที่บ้านของเราเอง ห19.02 น. 23 ว. 16-18
วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม
เขา . . . ยอมทนทุกข์ โดยไม่ปริปาก—อสย. 53:7
เมื่อเราเครียดก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน เราอาจใช้คำพูดแรง ๆ หรือพูดเสียงแข็ง ถ้าคุณรู้สึกเครียด ขอให้คิดถึงตัวอย่างของพระเยซู ช่วงเดือนท้าย ๆ ที่พระเยซูอยู่บนโลก ท่านเจอเรื่องที่เครียดมากหลายเรื่อง ท่านรู้ว่าจะต้องถูกประหารและตายอย่างทรมาน (ยน. 3:14, 15; กท. 3:13) ไม่นานก่อนที่ท่านจะตาย ท่านบอกว่าท่านทุกข์ใจจริง ๆ (ลก. 12:50) และไม่กี่วันก่อนที่ท่านจะตาย ท่านก็บอกว่า “ผมทุกข์ใจมาก” นอกจากนั้น คำอธิษฐานของท่านทำให้เรารู้เลยว่าท่านถ่อมและเชื่อฟังพระยะโฮวาขนาดไหน (ยน. 12:27, 28) เมื่อเวลานั้นมาถึง พระเยซูก็กล้าออกมาแสดงตัวกับศัตรูของพระเจ้าซึ่งจะประหารท่านในแบบที่เจ็บปวดและน่าอับอายที่สุด แม้พระเยซูจะเครียดและเป็นทุกข์มาก ท่านก็ทำตามความต้องการของพระเจ้าด้วยความถ่อม เราบอกได้เลยว่าพระเยซูเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของคนที่แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนเมื่อเจอความเครียด—อสย. 53:10 ห19.02 น. 11 ว. 14-15
วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม
ให้เราสนใจกัน เราจะได้กระตุ้นกันให้มีความรักและทำความดี—ฮบ. 10:24
เพื่อจะเข้าร่วมการประชุมเป็นประจำได้ เราต้องแสดงความกล้าหาญเมื่อเจอสถานการณ์ที่ยากลำบาก พี่น้องบางคนไปประชุมแม้กำลังโศกเศร้า ท้อใจ หรือมีปัญหาสุขภาพ ส่วนคนอื่นแสดงความกล้าหาญเพื่อจะไปประชุมแม้ครอบครัวต่อต้านหรือเจ้าหน้าที่รัฐบาลสั่งห้าม ลองคิดดูว่าตัวอย่างของเรามีผลกับพี่น้องที่ติดคุกเพราะความเชื่ออย่างไร (ฮบ. 13:3) เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเรายังคงรับใช้พระยะโฮวาแม้จะยากลำบาก พวกเขาก็มีกำลังใจที่จะรักษาความเชื่อ ความกล้าหาญ และความซื่อสัตย์มั่นคง อัครสาวกเปาโลมีประสบการณ์คล้ายกัน ตอนที่เขาติดคุกอยู่ที่กรุงโรม เขาดีใจทุกครั้งที่ได้ยินว่าพี่น้องกำลังรับใช้พระเจ้าอย่างซื่อสัตย์ (ฟป. 1:3-5, 12-14) ไม่นานก่อนที่เขาจะถูกปล่อยตัวหรือหลังจากถูกปล่อยตัวแล้ว เปาโลได้เขียนจดหมายถึงพี่น้องฮีบรู ในจดหมายเขาบอกคริสเตียนที่ซื่อสัตย์ว่า อย่าขาดการประชุม—ฮบ. 10:25 ห19.01 น. 28 ว. 9
วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม
โลกทั้งโลกอยู่ในอำนาจซาตานตัวชั่วร้าย—1 ยน. 5:19
ซาตานอยากให้เราเป็นเหมือนมันที่กบฏและไม่สนใจมาตรฐานของพระยะโฮวารวมทั้งทำสิ่งต่าง ๆ แบบเห็นแก่ตัว มันทำให้เราต้องติดต่อเกี่ยวข้องกับคนที่ติดเชื้อความคิดที่ไม่ดีของมัน มันหวังว่าเราจะเลือกใช้เวลากับคนเหล่านั้นทั้ง ๆ ที่เรารู้อยู่แล้วว่าการคบกับคนแบบนั้นจะมีผลกับความคิดและการกระทำของเราและ “ทำให้นิสัยดี ๆ เสียไป” (1 คร. 15:33) ซาตานยังพยายามใส่เชื้อความคิดที่ไม่ดีในหัวใจเราโดยทำให้เราไว้ใจสติปัญญาของมนุษย์แทนที่จะไว้ใจความคิดของพระยะโฮวา (คส. 2:8) ความคิดหนึ่งที่ซาตานอยากให้เรามีก็คือเป้าหมายที่จะรวย คนที่คิดแบบนี้ในที่สุดอาจจะรวยจริงหรืออาจไม่รวยก็ได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร คนแบบนี้กำลังตกอยู่ในอันตราย เพราะอะไร? เพราะเขาอาจยอมทิ้งสุขภาพ ครอบครัว หรือแม้แต่พระเจ้าเพื่อเงิน (1 ทธ. 6:10) พระยะโฮวาเป็นพ่อที่ฉลาด เราขอบคุณที่พระองค์ช่วยเราให้มีความคิดที่สมดุลเรื่องเงิน—ปญจ. 7:12; ลก. 12:15 ห19.01 น. 15 ว. 6; น. 17 ว. 9
วันพุธที่ 8 กรกฎาคม
ดีมาก คุณเป็นทาสที่ดีและซื่อสัตย์ คุณดูแลของเล็กน้อยที่ผมฝากไว้อย่างซื่อสัตย์ ผมจะตั้งคุณให้ดูแลของมากขึ้นอีก มาร่วมยินดีด้วยกันกับผมเถอะ—มธ. 25:21
จริง ๆ แล้วก่อนที่จะมีตัวอย่างของพระเยซู ผู้รับใช้ของพระยะโฮวารู้อยู่แล้วว่าจำเป็นต้องให้กำลังใจคนอื่นด้วย เช่น ตัวอย่างของเฮเซคียาห์ ตอนที่อัสซีเรียจะมาโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม เขาเรียกพวกแม่ทัพและประชาชนมาให้กำลังใจ พวกเขา “จึงมีกำลังใจเพราะคำพูดของกษัตริย์เฮเซคียาห์” (2 พงศาวดาร 32:6-8) แม้ว่าโยบต้องการกำลังใจ แต่เขาก็สอนคนอื่นเรื่องการให้กำลังใจด้วย โยบบอกกับ 3 คนที่อ้างว่าจะมาให้กำลังใจเขาว่า ถ้าเป็นเขา เขาจะพูดปลอบใจ พูดสิ่งที่ให้กำลังใจคนอื่น และพูดอะไรที่ทำให้คนอื่นรู้สึกดีขึ้น ไม่ใช่ทำให้รู้สึกแย่หรือทำให้รู้สึกเจ็บ (โยบ 16:1-5) ในที่สุดโยบก็ได้กำลังใจจากเอลีฮูและจากพระยะโฮวา—โยบ 33:24, 25; 36:1, 11; 42:7, 10 ห18.04 น. 16 ว. 6; น. 17 ว. 8-9
วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม
เราจะทำให้พวกเจ้าเข้มแข็ง และเราจะช่วยพวกเจ้า—อสย. 41:10
อิสยาห์บอกว่าพระยะโฮวาได้ทำอะไรเพื่อช่วยประชาชนของพระองค์ให้เข้มแข็งขึ้น เขาบอกว่า “พระยะโฮวา . . . มีพลังอำนาจมาก พระองค์จะให้แขนของพระองค์มาปกครอง” (อสย. 40:10, เชิงอรรถ) คัมภีร์ไบเบิลมักใช้คำว่า “แขน” เพื่อเป็นสัญลักษณ์หมายถึงพลัง ดังนั้น คำพูดที่บอกว่าพระยะโฮวาจะให้ “แขนของพระองค์มาปกครอง” ทำให้เราคิดถึงพระองค์ว่าเป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจมาก พระยะโฮวาใช้พลังที่ไม่มีใครสู้ได้เพื่อช่วยเหลือและปกป้องคุ้มครองคนของพระองค์ในอดีต และจะยังปกป้องคุ้มครองคนที่วางใจพระองค์ในทุกวันนี้และทำให้พวกเขาเข้มแข็ง (ฉธบ. 1:30, 31; อสย. 43:10, เชิงอรรถ) เรื่องนี้จะเกิดขึ้นจริงโดยเฉพาะตอนที่มีศัตรูมากดขี่ข่มเหงเรา พระยะโฮวาจะรักษาสัญญาที่ว่า “เราจะทำให้พวกเจ้าเข้มแข็ง” ในทุกวันนี้ มีบางประเทศที่ศัตรูพยายามอย่างมากที่จะหยุดงานประกาศของเราและสั่งห้ามงานขององค์การ ถึงจะเป็นแบบนั้นเราก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป พระยะโฮวารับประกันว่าพระองค์จะช่วยให้เราเข้มแข็งและมั่นใจมากขึ้น พระองค์สัญญาว่า “ไม่มีอาวุธอะไรที่สร้างขึ้นมาต่อสู้เจ้าจะทำร้ายเจ้าได้”—อสย. 54:17 ห19.01 น. 5-6 ว. 12-13
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม
คนที่รู้ตัวว่าจำเป็นต้องพึ่งพระเจ้าก็มีความสุข—มธ. 5:3
สัตว์ไม่ได้รู้สึกว่ามันต้องรู้จักพระเจ้าผู้สร้าง แต่เราที่เป็นมนุษย์รู้สึกอย่างนั้น (มัทธิว 4:4) เมื่อเราเชื่อฟังพระยะโฮวา เราจะมีความเข้าใจที่ลึกซึ้ง มีสติปัญญา และมีความสุข พระองค์ให้เรามีคัมภีร์ไบเบิล และพระองค์ก็ใช้ “ทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม” เตรียมหนังสือและสื่อต่าง ๆ เพื่อช่วยเราให้มีความเชื่อเข้มแข็ง (มัทธิว 24:45) เราเปรียบเทียบหนังสือและสื่อเหล่านั้นว่าเป็นเหมือนอาหาร เพราะมันทำให้เรามีความเชื่อเข้มแข็งและทำให้เราสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น เราดีใจที่ได้รับหนังสือและสื่อต่าง ๆ มากมายหลายรูปแบบจริง ๆ (อิสยาห์ 65:13, 14) ความรู้จากพระเจ้าแบบนี้ทำให้คุณมีสติปัญญาและรู้จักคิด ซึ่งจะช่วยปกป้องคุณหลายอย่าง (สุภาษิต 2:10-14) ตัวอย่างเช่น มันจะทำให้คุณรู้ว่าอะไรคือเรื่องโกหก เช่น เรื่องโกหกว่าไม่มีผู้สร้าง หรือเรื่องโกหกว่าเงินกับทรัพย์สมบัติคือสิ่งสำคัญที่ทำให้มีความสุข นอกจากนั้น สติปัญญาและการรู้จักคิดจะช่วยให้คุณไม่อยากทำสิ่งที่ผิดหรือมีนิสัยไม่ดีที่จะทำให้คุณเดือดร้อน ดังนั้น ขอให้คุณทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อจะมีสติปัญญาจากพระเจ้าและเป็นคนรู้จักคิด ห18.12 น. 20 ว. 6-7
วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม
ประชาชนของเราจะมีอายุยืนยาวเหมือนอายุของต้นไม้—อสย. 65:22
เมื่อไรที่เรา “จะมีอายุยืนยาวเหมือนอายุของต้นไม้”? ต้นไม้บางชนิดมีอายุหลายพันปี เพื่อจะมีอายุยืนขนาดนั้นได้คนเราจะต้องสุขภาพดีมาก ๆ และถ้าได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สงบสุขและสวยงามอย่างที่อิสยาห์บอกไว้ล่วงหน้า มันจะต้องเป็นอุทยานที่ยอดเยี่ยมแน่ ๆ คำพยากรณ์นี้จะต้องเกิดขึ้นจริงแน่นอน ขอให้นึกถึงคำสัญญาต่าง ๆ คำสัญญาเหล่านี้บอกให้รู้ว่าอุทยานจะเกิดขึ้นในอนาคต ตอนนั้นทั้งโลกจะมีแต่คนที่พระเจ้าอวยพร ไม่มีใครต้องกลัวว่าจะถูกสัตว์หรือคนที่ชอบใช้ความรุนแรงมาทำร้าย นอกจากนั้น คนตาบอด คนหูหนวก และคนที่เป็นง่อยจะหายเป็นปกติ ผู้คนจะได้สร้างบ้านของตัวเอง กินผักผลไม้ที่ตัวเองปลูก พวกเขาจะมีอายุยืนยาวกว่าต้นไม้ คัมภีร์ไบเบิลให้ข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าอุทยานแบบนั้นจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่บางคนที่เราคุยด้วยอาจบอกว่าคำพยากรณ์เหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าจะมีอุทยานบนโลก คุณมีเหตุผลหนักแน่นอะไรที่จะรอคอยอุทยานบนโลก? พระเยซูผู้ชายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกให้เหตุผลหนึ่งที่หนักแน่นกับเรา—ลูกา 23:43 ห18.12 น. 5 ว. 13-15
วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม
ให้เปลี่ยนแปลงตัวเองโดยเปลี่ยนความคิดของคุณใหม่—รม. 12:2
ความคิดของเราเปลี่ยนได้ตลอด แต่จะเป็นแบบไหนนั้นส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกที่จะคิดอะไร ถ้าเราคิดใคร่ครวญความคิดของพระยะโฮวา เราจะได้ข้อพิสูจน์ด้วยตัวเองว่าความคิดของพระองค์ถูกต้องเสมอ และจะทำให้เราอยากมองเรื่องต่าง ๆ แบบที่พระองค์มอง เพื่อจะเปลี่ยนความคิดของเราใหม่ให้เป็นเหมือนกับพระยะโฮวา เราต้อง “เลิกเลียนแบบคนในโลกนี้” โดยไม่ให้โลกมีอิทธิพลต่อความคิดเรา นี่หมายความว่าเราต้องเลิกดู เลิกอ่าน และเลิกฟังสิ่งต่าง ๆ ที่ขัดกับความคิดของพระยะโฮวา เพื่อช่วยให้เราเข้าใจว่าเรื่องนี้สำคัญขนาดไหน ขอให้นึกถึงตัวอย่างนี้ คนหนึ่งอยากมีสุขภาพดีขึ้นเลยเลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่จะไม่มีประโยชน์เลยถ้าเขายังกินอาหารที่บูดเน่าเป็นประจำด้วย คล้ายกัน ไม่ว่าเราจะพยายามแค่ไหนที่จะคิดแบบพระยะโฮวา แต่ถ้าเรายอมให้ความคิดแบบโลกเข้ามาในหัวเรา ความพยายามของเราก็จะสูญเปล่า ห18.11 น. 21 ว. 14-15
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม
ให้ยืนหยัดไว้ เอาความจริงคาดเอวเป็นเข็มขัด—อฟ. 6:14
เราต้องตั้งใจเอาความจริงในคัมภีร์ไบเบิลมาใช้ทุกวัน ความจริงเป็นเหมือนเข็มขัดทหาร ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล ทหารใส่เข็มขัดเพื่อป้องกันช่วงเอวตอนที่เขาต่อสู้ แต่เขาต้องใส่แน่น ๆ เพราะถ้าหลวมมันจะป้องกันเขาไม่ได้ แล้วความจริงป้องกันเราอย่างไร? ถ้าเราคิดถึงความจริงเสมอและเอามาใช้เป็นประจำ มันก็จะป้องกันความคิดที่ผิดและช่วยเราให้ตัดสินใจอย่างถูกต้อง เมื่อเราเจอปัญหาหนักหรือถูกล่อใจให้ทำผิด ความจริงจะช่วยเราให้ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้อง และเหมือนกับทหารที่จะไม่มีทางออกไปรบถ้าไม่ได้ใส่เข็มขัด เราก็จะไม่มีวันทิ้งความจริง เราต้องแน่ใจว่าได้เอาความจริงในคัมภีร์ไบเบิลมาใช้ทุกแง่มุมของชีวิต ห18.11 น. 12 ว. 15
วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม
ซื้อความจริงไว้และอย่าขายเลย—สภษ. 23:23
การเรียนความจริงในคัมภีร์ไบเบิลต้องใช้ความพยายามและต้องยอมสละบางอย่าง หลังจากเรา “ซื้อความจริง” ซึ่งหมายถึงเรียนความจริงแล้ว เราต้องระวังอย่า “ขาย” มัน ซึ่งหมายถึงการทิ้งความจริงไป จริง ๆ แล้วอะไรที่ฟรีไม่ได้แปลว่าการได้มันมาไม่ต้องเสียอะไรเลย คำภาษาฮีบรูที่แปลว่า “ซื้อ” ในสุภาษิต 23:23 อาจมีความหมายอีกอย่างหนึ่งว่า “ทำบางอย่างเพื่อได้มา” นี่ทำให้เห็นว่าต้องมีการออกความพยายามหรือให้อะไรบางอย่างเพื่อจะได้สิ่งที่ถือว่ามีค่ามา และเพื่อจะช่วยให้เข้าใจว่าเราจะซื้อความจริงได้อย่างไร ให้ลองนึกภาพว่าที่ตลาดมีกล้วยแจกฟรี เราคิดว่ากล้วยฟรีนั้นจะลอยมาอยู่บนโต๊ะที่บ้านเราเองไหม? ไม่แน่นอน เราต้องไปตลาดและหยิบมันมา ถึงแม้เราไม่ต้องเสียเงินซื้อ แต่เราก็ต้องพยายามไปเอามา การซื้อความจริงก็เหมือนกัน เราไม่ต้องจ่ายเงิน แต่เราต้องออกความพยายามและต้องเสียสละ ห18.11 น. 4 ว. 4-5
วันพุธที่ 15 กรกฎาคม
ใบหน้าของท่านเปล่งแสงเหมือนดวงอาทิตย์ และเสื้อผ้าของท่านก็ขาวเจิดจ้า—มธ. 17:2
ตอนนั้นพระเยซูขึ้นไปบนภูเขาสูง ท่านชวนเปโตร ยากอบ และยอห์นไปด้วย เมื่ออยู่ที่นั่นพวกเขาเห็นนิมิตที่น่าตื่นตาตื่นใจ พวกเขาเห็นใบหน้าของพระเยซูมีแสงออกมาและเสื้อผ้าของท่านขาวเจิดจ้า แล้วพวกเขาก็เห็นโมเสสกับเอลียาห์กำลังคุยกับพระเยซูเรื่องการตายและการฟื้นขึ้นจากตายของท่าน (ลก. 9:29-32) จากนั้นก็มีเมฆสว่างสุกใสมาปกคลุมพวกเขา แล้วก็มีเสียงพูดออกมาจากเมฆ เสียงนั้นเป็นเสียงของพระยะโฮวา! นิมิตนี้ทำให้เห็นภาพล่วงหน้าเกี่ยวกับสง่าราศีและอำนาจของพระเยซูในอนาคตเมื่อท่านเป็นกษัตริย์ของรัฐบาลพระเจ้า แน่นอนว่า นิมิตนี้ทำให้พระเยซูได้กำลังใจและความเข้มแข็งที่จะอดทนกับความทุกข์และความตายที่แสนเจ็บปวดได้ นอกจากนั้น นิมิตนี้ยังทำให้สาวกมีความเชื่อเข้มแข็งและมีกำลังที่จะรับมือกับการทดสอบความซื่อสัตย์ภักดีและงานหนักที่รออยู่ข้างหน้า อัครสาวกเปโตรพูดถึงนิมิตเรื่องการเปลี่ยนรูปกายของพระเยซูอีกประมาณ 30 ปีต่อมา นี่แสดงว่านิมิตนี้ยังชัดเจนอยู่ในใจเขาเสมอ—2 ปต. 1:16-18 ห19.03 น. 10 ว. 7-8
วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม
เราพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เห็นว่าเราเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า . . . เราพูดความจริง—2 คร. 6:4, 7
สิ่งหนึ่งที่ทำให้คริสเตียนแท้ต่างจากศาสนาเท็จคือการที่เรา “พูดความจริง” (เศคาริยาห์ 8:16, 17) เราต้องพูดความจริงทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก ทั้งกับคนแปลกหน้า เพื่อนร่วมงาน เพื่อนฝูง และคนที่เรารัก ถ้าคุณเป็นวัยรุ่น คุณคงอยากให้เพื่อนยอมรับ คุณต้องไม่ใช้ชีวิตแบบตีสองหน้า ทำตัวดีตอนที่อยู่กับครอบครัวและพี่น้องในประชาคม แต่จะกลายเป็นคนละคนในโซเชียลมีเดียหรือตอนที่อยู่กับคนที่ไม่ได้รับใช้พระเจ้า การทำแบบนี้มันคือการโกหกพ่อแม่ พี่น้องในประชาคม และพระยะโฮวา (สดุดี 26:4, 5) ถ้าเราแกล้งทำเป็นนับถือพระยะโฮวาแต่จริง ๆ แล้วทำสิ่งที่พระองค์เกลียด พระองค์ก็รู้ (มาระโก 7:6) ดังนั้น จะดีกว่ามากถ้าเราทำตามสุภาษิตที่บอกว่า “อย่าอิจฉาคนบาป แต่ให้เกรงกลัวพระยะโฮวาตลอดวัน”—สุภาษิต 23:17 ห18.10 น. 9 ว. 14-15
วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม
พระเจ้าเป็นความรัก คนที่แสดงความรักอยู่เสมอก็เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าและพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกับเขา—1 ยน. 4:16
ผู้นมัสการพระยะโฮวาทั่วโลกเป็นเหมือนครอบครัวเดียว พวกเขาเป็นพี่น้องที่รักกัน (1 ยอห์น 4:21) บางครั้งพวกเขาก็เสียสละมากเพื่อกันและกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาแสดงความรักโดยทำสิ่งดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กัน เช่น พวกเขาจะใช้คำพูดดี ๆ ชมกัน หรือทำอะไรดี ๆ ให้กัน เมื่อเราคิดถึงความรู้สึกคนอื่น เราก็เลียนแบบพระยะโฮวาพระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์ (เอเฟซัส 5:1) พระเยซูเลียนแบบพระยะโฮวาพ่อของท่านอย่างสมบูรณ์แบบ ท่านทำดีและอ่อนโยนกับคนอื่นเสมอ ท่านบอกว่า “ทุกคนที่ทำงานหนักเหน็ดเหนื่อยและมีภาระมาก มาหาผมสิ แล้วผมจะทำให้คุณสดชื่นหายเหนื่อย” (มัทธิว 11:28, 29) ถ้าเราเลียนแบบพระเยซูโดยคิดถึงความรู้สึกและ “เห็นใจคนต่ำต้อย” เราก็ทำให้พระยะโฮวามีความสุขและเราก็จะมีความสุขด้วย (สดุดี 41:1) ดังนั้น ให้เราแสดงความรักโดยคิดถึงความรู้สึกของคนในครอบครัว พี่น้อง และคนในเขตประกาศต่อ ๆ ไป ห18.09 น. 28 ว. 1-2
วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม
เราเป็นเพื่อนร่วมงานของพระเจ้า—1 คร. 3:9
วิธีหนึ่งที่เราจะทำงานกับพระยะโฮวาได้ก็คือการช่วยพี่น้องที่เจอภัยพิบัติ เช่น เราอาจบริจาคเงินช่วยพวกเขา (ยอห์น 13:34, 35; กิจการ 11:27-30) นอกจากนั้น เราอาจช่วยงานทำความสะอาดหรืองานซ่อมแซมก็ได้ เราลองมาดูตัวอย่างนี้ด้วยกัน กาบรีเอลาเป็นพี่น้องโปแลนด์ บ้านเธอเสียหายหนักหลังน้ำท่วม เธอดีใจมากที่เห็นพี่น้องในประชาคมใกล้เคียงมาช่วย พอพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้น เธอบอกว่าเธอไม่ได้สนใจข้าวของหรือทรัพย์สมบัติที่เสียหาย แต่สนใจสิ่งที่เธอได้รับมากกว่า เธอเล่าว่า “ประสบการณ์นี้ยิ่งทำให้ฉันมั่นใจมากขึ้นว่าการเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมคริสเตียนเป็นสิทธิพิเศษที่ไม่มีอะไรเทียบได้เลยและทำให้มีความสุขมากด้วย” หลายคนที่เจอภัยพิบัติแล้วได้รับความช่วยเหลือรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน และคนที่ทำงานกับพระยะโฮวาโดยช่วยพี่น้องเหล่านั้นก็รู้สึกมีความสุขมากจริง ๆ—กิจการ 20:35; 2 โครินธ์ 9:6, 7 ห18.08 น. 26 ว. 12
วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม
ปกป้องหัวใจของลูก—สภษ. 4:23
ถ้าเราอยากปกป้องหัวใจของเราได้สำเร็จ เราต้องรู้ว่าอะไรที่เป็นอันตรายและรีบจัดการเพื่อปกป้องหัวใจของเรา คำที่แปลว่า “ปกป้อง” ทำให้นึกถึงงานที่คนเฝ้ายามทำ ในสมัยกษัตริย์โซโลมอนคนเฝ้ายามจะยืนบนกำแพงเมือง เมื่อเห็นอันตรายใกล้เข้ามาเขาจะรีบส่งสัญญาณเตือนทันที ตัวอย่างนี้ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่า เราต้องทำอะไรเพื่อจะไม่ให้ซาตานใส่เชื้อความคิดที่ไม่ดีของมันในความคิดของเรา ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล คนเฝ้ายามกับคนเฝ้าประตูร่วมมือกันในการทำงาน (2 ซม. 18:24-26) พวกเขาจะช่วยกันปกป้องเมืองโดยทำให้แน่ใจว่าประตูปิดทุกครั้งที่ศัตรูเข้ามาใกล้ (นหม. 7:1-3) ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเราที่ตรงกับหลักการในคัมภีร์ไบเบิลก็เป็นเหมือนกับคนเฝ้ายาม มันจะเตือนเราเมื่อซาตานพยายามโจมตีหัวใจเรา หรือเมื่อซาตานพยายามมีอิทธิพลต่อความคิด ความรู้สึก และความต้องการของเรารวมทั้งเหตุผลลึก ๆ ที่เราทำสิ่งต่าง ๆ เมื่อไรที่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีส่งสัญญาณเตือน เราต้องฟังและรีบปิดประตูหัวใจทันทีเพื่อจะหนีจากอันตราย ห19.01 น. 17 ว. 10-11
วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม
เมื่อเห็นว่าไม่มีที่ติก็ให้เขาทำหน้าที่ผู้ช่วยงานรับใช้—1 ทธ. 3:10
ผู้ดูแลต้องไม่ตัดสินโดยอาศัยความคิดของตัวเองหรืออาศัยวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิล (2 ทิโมธี 3:16, 17) ถ้าผู้ดูแลไม่ทำตามมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิลในการแต่งตั้งผู้ช่วยงานรับใช้และผู้ดูแล พวกเขาก็ขัดขวางพี่น้องที่มีคุณสมบัติไม่ให้ได้รับการแต่งตั้ง ในประเทศหนึ่งมีผู้ช่วยงานรับใช้คนหนึ่งที่ทำหน้าที่รับผิดชอบสำคัญได้ดี และผู้ดูแลคนอื่นก็เห็นว่าเขามีคุณสมบัติตามคัมภีร์ไบเบิลที่จะเป็นผู้ดูแลได้ แต่มีผู้ดูแลสูงอายุบางคนบอกว่าเขาดูเด็กเกินไปที่จะเป็นผู้ดูแล ก็เลยไม่เสนอให้แต่งตั้งเขา มันน่าเสียดายจริง ๆ ที่พี่น้องหนุ่มคนนั้นไม่ได้รับการแต่งตั้งเพราะแค่เขาดูเด็ก ดูเหมือนว่ามีหลายประเทศเป็นแบบนี้ ดังนั้น เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะพึ่งคัมภีร์ไบเบิลแทนที่จะพึ่งความคิดของเราเอง แล้วเราจะเชื่อฟังพระเยซูและเลิกตัดสินตามสิ่งที่เห็นได้—ยอห์น 7:24 ห18.08 น. 12 ว. 16-17
วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม
คนที่ตอบก่อนได้ยินข้อเท็จจริง ก็ทำเรื่องโง่และน่าอับอาย—สภษ. 18:13
เหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมการส่งอีเมลและข้อความในมือถือต่อให้คนอื่นโดยไม่คิดให้ดีเป็นเรื่องอันตราย ในบางประเทศ งานประกาศของเราถูกสั่งห้าม ผู้ต่อต้านในประเทศเหล่านั้นอาจตั้งใจจะกระจายข่าวที่สร้างเรื่องให้เรากลัวหรือสงสัยกันเอง ขอให้คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยอดีตสหภาพโซเวียต ตำรวจลับเคจีบีกระจายข่าวลือว่าพี่น้องบางคนที่ใคร ๆ ก็รู้จักได้ทรยศองค์การ น่าเสียดายที่พี่น้องหลายคนเชื่อเรื่องนี้แล้วออกจากองค์การไป ถึงตอนหลังหลายคนจะกลับมา แต่บางคนก็ไม่กลับมาอีกเลย พวกเขาปล่อยให้เรื่องโกหกทำลายความเชื่อของตัวเอง (1 ทิโมธี 1:19) เราจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เราต้องไม่กระจายข่าวลบ ๆ หรือเรื่องที่เรายังไม่แน่ใจ อย่าเชื่อทุกสิ่งที่ได้ยิน คุณต้องแน่ใจว่าคุณมีข้อเท็จจริงที่เชื่อถือได้ ห18.08 น. 4 ว. 8
วันพุธที่ 22 กรกฎาคม
ผมขอบอกคุณวันนี้ว่า คุณจะได้อยู่กับผมในอุทยานแน่นอน—ลก. 23:43
ในสำเนาคัมภีร์ไบเบิลภาษากรีกที่เก่าแก่ที่สุดหลายฉบับซึ่งหาได้ในปัจจุบันไม่ได้ใช้เครื่องหมายวรรคตอนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าพระเยซูพูดแบบไหนกันแน่ จะเป็น “ผมขอบอกคุณว่า วันนี้คุณจะได้อยู่กับผมในอุทยาน” หรือ “ผมขอบอกคุณวันนี้ว่า คุณจะได้อยู่กับผมในอุทยาน” ขอให้นึกถึงคำพูดของพระเยซูที่บอกสาวกเรื่องการตายของตัวท่านเอง ท่านบอกว่า “‘ลูกมนุษย์’ จะอยู่ในหลุมศพ 3 วัน 3 คืน” (มัทธิว 12:40; 16:21; 17:22, 23; มาระโก 10:34; กิจการ 10:39, 40) ดังนั้น พระเยซูไม่ได้ไปอุทยานในวันที่ท่านกับผู้ร้ายคนนั้นตาย แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระเยซูอยู่ “ในหลุมศพ” จนถึงวันที่ 3 พระยะโฮวาก็ปลุกท่านให้ฟื้นขึ้นจากตาย (กิจการ 2:31, 32) ผู้ร้ายคนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระเยซูได้ทำสัญญากับอัครสาวกที่ซื่อสัตย์ว่าจะให้พวกเขาไปปกครองร่วมกับท่านในสวรรค์ (ลูกา 22:29) นอกจากนั้น ผู้ร้ายคนนั้นยังไม่ได้รับบัพติศมาเลยด้วย (ยอห์น 3:3-6, 12) เห็นได้ชัดเลยว่า เมื่อพระเยซูสัญญากับเขา ท่านต้องหมายถึงอุทยานบนโลก ห18.12 น. 6 ว. 17-18, 20-21
วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม
ช่วยสร้างพระให้คอยนำทางพวกเราหน่อยสิ เพราะพวกเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโมเสส—อพย. 32:1
ชาวอิสราเอลเริ่มกราบไหว้ลูกวัวทองคำเร็วจริง ๆ! แม้พวกเขาไม่เชื่อฟังกฎหมายของพระยะโฮวา แต่พวกเขาก็หลอกตัวเองว่าพวกเขายังอยู่ฝ่ายพระยะโฮวา อาโรนถึงกับเรียกการนมัสการลูกวัวทองคำว่า “การเลี้ยงฉลองให้พระยะโฮวา” พระยะโฮวาทำอย่างไร? พระองค์บอกโมเสสให้ไปบอกประชาชนว่าพวกเขา “ทำผิดร้ายแรง” และพวกเขากำลัง “ทิ้งแนวทางที่เราสอน” พระยะโฮวาโกรธชาวอิสราเอลมากถึงขนาดที่พระองค์คิดจะทำลายชาตินี้ทั้งชาติ (อพยพ 32:5-10) แต่ถึงอย่างนั้น พระยะโฮวาตัดสินใจไม่ทำลายชาตินี้ (อพยพ 32:14) ถึงอาโรนจะเป็นคนปั้นลูกวัวทองคำ แต่เขากับพวกเลวีก็กลับใจและเลือกอยู่ฝ่ายพระยะโฮวา ในวันนั้นหลายพันคนที่นมัสการลูกวัวทองคำต้องตาย แต่คนที่อยู่ฝ่ายพระยะโฮวารอดชีวิต และพระองค์ยังสัญญาว่าจะอวยพรพวกเขาด้วย—อพยพ 32:26-29 ห18.07 น. 20 ว. 13-16
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม
ระวังพวกครูสอนศาสนาให้ดี พวกเขา . . . ชอบให้คนคำนับในที่สาธารณะ . . . และชอบนั่งในที่ที่มีเกียรติที่สุดในงานเลี้ยง—ลก. 20:46
หลายคนพยายามเรียนสูง ๆ พยายามประสบความสำเร็จในธุรกิจ หรือพยายามมีชื่อเสียงในวงการบันเทิงและกีฬาเพราะคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เขาเป็นคนสำคัญ แต่จริง ๆ แล้วการเป็นคนสำคัญสำหรับใครคือสิ่งที่ดีที่สุด? เปาโลบอกว่า “ตอนนี้พวกคุณรู้จักพระเจ้าแล้ว หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือพระเจ้ารู้จักพวกคุณแล้ว ถ้าอย่างนั้น ทำไมพวกคุณถึงกลับไปหาแนวคิดต่าง ๆ ของโลกที่ไร้ค่าและอยากเป็นทาสสิ่งเหล่านั้นอีก?” (กาลาเทีย 4:9) มันเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่พระยะโฮวาซึ่งเป็นผู้ปกครององค์สูงสุดของเอกภพ “รู้จัก” เรา พระองค์รู้ว่าเราเป็นใคร พระองค์รักเราและอยากให้เราสนิทกับพระองค์ พระยะโฮวาสร้างเราเพื่อเราจะเป็นเพื่อนกับพระองค์ได้และนี่เป็นเหตุผลที่เราเกิดมา—ปัญญาจารย์ 12:13, 14 ห18.07 น. 8 ว. 3-4
วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม
ผมใคร่ครวญข้อเตือนใจของพระองค์—สด. 119:99
ถ้าเราอยากให้กฎหมายของพระเจ้าช่วยเรา เราต้องรักและเคารพกฎหมายนั้นด้วย (อาโมส 5:15) แล้วเราจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร? เราต้องเรียนรู้วิธีที่จะมองสิ่งต่าง ๆ แบบที่พระยะโฮวามอง ขอให้คิดถึงเรื่องนี้ ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ และต้องไปหาหมอ หมอแนะนำให้คุณกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายมากขึ้น และเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตของคุณ พอคุณทำตามแล้วก็เห็นผลดี คุณจะรู้สึกยังไงกับคำแนะนำของหมอ? เหมือนกัน พระเจ้าผู้สร้างให้กฎหมายกับเรา เพื่อป้องกันเราจากผลที่ไม่ดีของการทำบาปและทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น เช่น คัมภีร์ไบเบิลสอนเราว่า เราต้องไม่โกหก ไม่โกง ไม่ขโมย ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ใช้ความรุนแรง และไม่ยุ่งเกี่ยวกับพวกไสยศาสตร์ (สุภาษิต 6:16-19; วิวรณ์ 21:8) ถ้าเราเชื่อฟังกฎหมายของพระยะโฮวาและเห็นผลดีของการเชื่อฟังนั้น เราก็ยิ่งรักพระองค์และกฎหมายของพระองค์มากขึ้น ห18.06 น. 17 ว. 5-6
วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม
คุณเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?—ยน. 18:33
ปีลาตอาจกลัวว่าพระเยซูจะทำให้ประชาชนกบฏต่อโรม พระเยซูเลยตอบเขาว่า “รัฐบาลของผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้” (ยอห์น 18:36) เหตุผลที่พระเยซูไม่ยอมยุ่งเกี่ยวกับการเมืองก็เพราะว่ารัฐบาลของท่านอยู่บนสวรรค์ ท่านบอกว่างานของท่านบนโลกคือการ “เป็นพยานยืนยันความจริง” (ยอห์น 18:37) ที่พระเยซูไม่สนับสนุนกลุ่มทางการเมืองก็เพราะว่าท่านรู้ว่างานมอบหมายของท่านคืออะไร เหมือนกันถ้าเรารู้ว่างานมอบหมายของเราคืออะไร เราก็จะไม่ไปสนับสนุนกลุ่มทางการเมืองแม้แต่ในใจของเราด้วย นี่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ดูแลหมวดคนหนึ่งพูดถึงเขตของเขาว่าผู้คนมีแนวคิดที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาภูมิใจในชาติของตัวเองและเชื่อว่าถ้าชาติของพวกเขาแยกตัวเป็นอิสระ พวกเขาก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น เขาพูดอีกว่า “แต่น่าดีใจจริง ๆ ที่พี่น้องยังเป็นหนึ่งเดียวกันเพราะว่าพวกเขาทุ่มเทกับงานประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า พวกเขาพึ่งพระเจ้าให้จัดการกับความไม่ยุติธรรมและปัญหาอื่น ๆ ที่ต้องเจอ” ห18.06 น. 4-5 ว. 6-7
วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม
ต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีไปจากคุณ—ยก. 4:7
ทูตสวรรค์องค์นี้ถูกเรียกว่า “ซาตาน” ซึ่งหมายความว่า “ผู้ต่อต้าน” ในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูมีหนังสือแค่ 3 เล่มเท่านั้นที่พูดถึงซาตานคือ 1 พงศาวดาร โยบ และเศคาริยาห์ ทำไมมีการพูดถึงทูตสวรรค์ที่กบฏนี้น้อยมากก่อนที่เมสสิยาห์จะมา? ในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูพระยะโฮวาไม่ได้บอกรายละเอียดมากเท่าไรเกี่ยวกับซาตานและสิ่งที่มันทำ จุดประสงค์ของการเขียนพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูคือเพื่อให้รู้ว่าเมสสิยาห์เป็นใครและช่วยให้ผู้คนติดตามท่าน (ลูกา 24:44; กาลาเทีย 3:24) แต่พอเมสสิยาห์มา พระยะโฮวาก็ใช้ท่านและสาวกบอกเราให้รู้หลายเรื่องเกี่ยวกับซาตานและทูตสวรรค์ที่อยู่ฝ่ายมัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เหมาะมาก เพราะพระยะโฮวาจะใช้พระเยซูและผู้ถูกเจิมให้เป็นคนทำลายซาตานและพรรคพวกของมัน (โรม 16:20; วิวรณ์ 17:14; 20:10) จำไว้ว่าเราไม่จำเป็นต้องกลัวมันเพราะมันมีพลังอำนาจจำกัด พระยะโฮวา พระเยซู และทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์จะปกป้องเรา และช่วยให้เราชนะศัตรูของเราได้แน่นอน ห18.05 น. 22-23 ว. 2-4
วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม
ทุกกิ่งที่แตกออกจากผม ถ้าไม่ออกผล พระองค์จะตัดทิ้งไป—ยน. 15:2
เราจะเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวาได้ก็ต่อเมื่อเราเกิดผล (มัทธิว 13:23; 21:43) ดังนั้นตัวอย่างเปรียบเทียบใน ยอห์น 15:1-5 ไม่ได้หมายความว่าการเกิดผลเป็นการช่วยคนใหม่ให้เข้ามาเป็นสาวก (มัทธิว 28:19) เพราะถ้าการเกิดผลหมายถึงการช่วยคนให้มาเป็นสาวก นี่ก็หมายความว่าถึงใครคนหนึ่งจะเป็นพยานฯ ที่ซื่อสัตย์ แต่ถ้าเขาไม่เคยช่วยใครให้เข้ามาเป็นสาวก เขาก็เป็นเหมือนกิ่งที่ไม่เกิดผล ซึ่งเรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้! เพราะเราบังคับใครให้มาเป็นสาวกไม่ได้ และพระยะโฮวาก็เป็นความรัก พระองค์ไม่เคยขอให้เราทำสิ่งที่เราทำไม่ได้ แต่ให้เราทำสิ่งที่เราทำได้เท่านั้น (เฉลยธรรมบัญญัติ 30:11-14) ถ้าอย่างนั้นการเกิดผลหมายถึงอะไร? การเกิดผลต้องเป็นสิ่งที่เราทุกคนสามารถทำได้ แล้วพระยะโฮวาให้ผู้รับใช้ของพระองค์ทุกคนทำอะไรล่ะ? พระองค์ให้เราประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระองค์นั่นเอง—มัทธิว 24:14 ห18.05 น. 14 ว. 8-9
วันพุธที่ 29 กรกฎาคม
พวกคุณมาจากมารซึ่งเป็นพ่อของพวกคุณ . . . จอมโกหกและเป็นพ่อของการโกหก—ยน. 8:44
ในสมัยของเรามีผู้นำศาสนามากมายด้วย เช่น ศิษยาภิบาล บาทหลวง รับบี หรือคนที่มีตำแหน่งอื่น ๆ พวกเขาเป็นเหมือนกับพวกฟาริสีที่ไม่ได้สอนความจริงจากพระเจ้า แต่เอา “ความจริงของพระเจ้าไปแลกกับความเท็จ” (โรม 1:18, 25) เรื่องโกหกบางเรื่องที่พวกเขาสอนคือ ไฟนรก วิญญาณอมตะ การกลับชาติมาเกิด นอกจากนั้น พวกเขายังสอนว่าพระเจ้ายอมรับการรักร่วมเพศและการแต่งงานกับเพศเดียวกัน นักการเมืองก็โกหกหลอกลวงด้วย อีกไม่นาน หนึ่งในเรื่องใหญ่ที่สุดที่พวกผู้นำทางการเมืองจะโกหกก็คือ พวกเขาได้ทำให้โลก “สงบสุขและปลอดภัย” แล้ว และเมื่อไรที่พวกเขาพูดแบบนั้น “ความพินาศจะเกิดกับพวกเขาทันทีโดยไม่ทันรู้ตัว” ดังนั้น เราต้องไม่เชื่อเรื่องที่พวกเขาบอกว่าอะไร ๆ กำลังจะดีขึ้น ความจริงก็คือ เรา “รู้ดีว่าวันของพระยะโฮวาจะมาเหมือนขโมยที่มาตอนกลางคืน”—1 เธสะโลนิกา 5:1-4 ห18.10 น. 7-8 ว. 6-8
วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม
พวกคุณต้องทำงานหนักแบบนี้แหละเพื่อช่วยคนที่อ่อนแอ และอย่าลืมสิ่งที่พระเยซูผู้เป็นนายเคยพูดไว้ว่า ‘การให้ทำให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ’—กจ. 20:35
เราอยู่ในสมัยที่มีแต่ปัญหาซึ่งทำให้เราเสียใจหรือท้อใจได้ง่าย ดังนั้น พระเยซูให้มี “เจ้านาย” ซึ่งก็คือผู้ดูแลทั้งที่เป็นผู้ถูกเจิมกับแกะอื่นมาให้กำลังใจเรา พวกเขาไม่ใช่ “นาย” ที่คอยควบคุมความเชื่อแต่เป็น “เพื่อนร่วมงาน” ที่ทำให้เรายินดี พวกเขาอยากให้เรามีความสุขและรับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไปได้ (อิสยาห์ 32:1, 2; 2 โครินธ์ 1:24) ผู้ดูแลเลียนแบบตัวอย่างของอัครสาวกเปาโลได้ เปาโลเป็นคนที่พยายามให้กำลังใจพี่น้องของเขาเสมอ เขาเขียนถึงคริสเตียนในเมืองเธสะโลนิกาว่า “เรารักพวกคุณจริง ๆ เราจึงไม่ได้ให้แค่ข่าวดีของพระเจ้ากับพวกคุณเท่านั้น แต่ตั้งใจจะให้ชีวิตของเราเองด้วย เพราะพวกคุณเป็นที่รักของเรามาก” (1 เธสะโลนิกา 2:8) แต่บางครั้งคำพูดอย่างเดียวก็ไม่พอ เปาโลบอกผู้ดูแลจากเมืองเอเฟซัสตามในข้อคัมภีร์วันนี้ ห18.04 น. 21 ว. 6-8
วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม
พระยะโฮวาเป็นผู้ที่มนุษย์มองไม่เห็น และคนที่ได้รับพลังของพระยะโฮวาก็มีอิสระ—2 คร. 3:17
ถ้าเราอยากมีอิสระที่มาจากพระยะโฮวาเราต้องหันมาหาพระองค์ ซึ่งหมายความว่าเราต้องสนิทกับพระองค์ (2 โครินธ์ 3:16) ตอนที่ชาวอิสราเอลอยู่ในที่กันดาร พวกเขาได้อิสระจากการเป็นทาสของอียิปต์แล้ว แต่พวกเขากลับมองสิ่งต่าง ๆ แบบมนุษย์มอง ไม่ได้มองแบบพระยะโฮวาเลย มันเหมือนกับว่าความคิดและหัวใจของพวกเขามีผ้าคลุมไว้ พวกเขาอยากใช้อิสระที่เพิ่งได้นี้เพื่อทำตามความต้องการของตัวเอง (ฮีบรู 3:8-10) อิสระที่พลังของพระยะโฮวาให้นั้นไม่ใช่แค่อิสระจากการเป็นทาสของมนุษย์ พลังของพระองค์ทำให้มีอิสระที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์จะสามารถทำได้ พลังของพระองค์สามารถทำให้เราเป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาปและความตาย และจากการเป็นทาสของการนมัสการเท็จกับธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ (โรม 6:23; 8:2) มันช่างเป็นอิสระที่สุดยอดอะไรขนาดนี้! แม้แต่คนที่เป็นทาสหรือเป็นนักโทษก็เป็นอิสระแบบนี้ได้—ปฐมกาล 39:20-23 ห18.04 น. 9 ว. 3-5