เมษายน
วันศุกร์ที่ 1 เมษายน
ทุกสิ่งที่เขียนไว้นานมาแล้วในพระคัมภีร์ก็เขียนไว้เพื่อสอนเรา—รม. 15:4
คุณกำลังเจอปัญหาหนัก ๆ อยู่ไหม? อาจจะมีพี่น้องบางคนที่ทำให้คุณเสียใจ (ยก. 3:2) เพื่อนที่ทำงานหรือเพื่อนที่โรงเรียนอาจจะเยาะเย้ยคุณเพราะคุณเป็นพยานพระยะโฮวา (1 ปต. 4:3, 4) หรืออาจจะมีคนในครอบครัวที่พยายามห้ามคุณไม่ให้ไปประชุมหรือไม่ให้คุณพูดความเชื่อของตัวเอง (มธ. 10:35, 36) ถ้าคุณกำลังเจอปัญหาที่หนักมาก คุณอาจจะรู้สึกอยากยอมแพ้และเลิกรับใช้พระยะโฮวา แต่คุณมั่นใจได้ว่าไม่ว่าคุณจะเจอกับปัญหาอะไรก็ตาม พระยะโฮวาจะคอยให้สติปัญญากับคุณเพื่อคุณจะรับมือกับปัญหานั้นและให้กำลังเพื่อคุณจะอดทนได้ พระยะโฮวาใช้เปาโลให้เขียนข้อคัมภีร์ประจำวันนี้ ข้อนี้ทำให้เรารู้ว่าทำไมพระยะโฮวาถึงให้มีเรื่องราวของมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ที่ต้องเจอกับปัญหาหนัก ๆ ไว้ในคัมภีร์ไบเบิล พระองค์ทำอย่างนี้ก็เพื่อให้เราเรียนจากตัวอย่างของพวกเขา เรื่องราวเหล่านี้ช่วยให้เรามีกำลังใจและมีความหวัง แต่แค่อ่านคัมภีร์ไบเบิลอย่างเดียวยังไม่พอ เราต้องให้สิ่งที่อ่านเข้าถึงหัวใจและเปลี่ยนความคิดความรู้สึกของเรา ห21.03 น. 14 ว. 1-2
วันเสาร์ที่ 2 เมษายน
มองดูทุ่งนาสิ รวงข้าวเหลืองอร่ามพร้อมจะเกี่ยวได้แล้ว—ยน. 4:35
คุณมองคนที่คุณประกาศข่าวดีด้วยว่าพวกเขาเป็นเหมือนข้าวที่พร้อมจะเกี่ยวไหม? ถ้าคุณคิดอย่างนั้น คุณก็จะทำ 3 อย่างนี้ อย่างแรก คุณจะประกาศอย่างเร่งด่วนมากขึ้น เพราะคุณรู้ว่าช่วงเก็บเกี่ยวเป็นแค่ช่วงสั้น ๆ ซึ่งคุณจะเสียเวลาไม่ได้ อย่างที่สอง คุณจะมีความสุขที่ได้เห็นผู้คนตอบรับข่าวดี เหมือนที่คัมภีร์ไบเบิลพูดถึง “คนที่ชื่นบานในฤดูเกี่ยว” (อสย. 9:3) อย่างที่สาม คุณจะมองว่าทุกคนที่คุณคุยด้วยมีโอกาสเข้ามาเป็นสาวกของพระเยซูได้ และคุณก็จะปรับวิธีพูดของคุณให้เป็นแบบที่พวกเขาจะสนใจ สาวกบางคนของพระเยซูอาจคิดว่าไม่มีทางที่ชาวสะมาเรียจะเข้ามาเป็นสาวกได้ แต่พระเยซูไม่ได้คิดอย่างนั้น ท่านมองว่าพวกเขามีโอกาสเข้ามาเป็นสาวกของท่านได้ เราต้องเลียนแบบพระเยซูโดยมองว่าผู้คนในเขตของเรามีโอกาสที่จะเข้ามาเป็นสาวกของพระคริสต์ได้ อัครสาวกเปาโลเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ เขารู้ว่าคนที่เขาคุยด้วยเชื่ออะไร รู้ว่าคนที่เขาคุยด้วยสนใจอะไร และมองว่าผู้คนมีโอกาสเข้ามาเป็นสาวกของพระเยซู ห20.04 น. 8-9 ว. 3-4
วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน
ถ้าพระยะโฮวายังเห็นผู้ที่อยู่ในหลุมศพและในดินแดนแห่งความเสื่อมสลาย แล้วนับประสาอะไรกับใจมนุษย์!—สภษ. 15:11
แทนที่เราจะตัดสินคนอื่นจากการกระทำ ให้เราพยายามเข้าใจความรู้สึกของเขา มีแต่พระยะโฮวาเท่านั้นที่เข้าใจเราทุกคนจริง ๆ ดังนั้น ให้คุณอธิษฐานขอพระองค์ช่วยคุณมองคนอื่นเหมือนที่พระองค์มองและช่วยคุณรู้วิธีที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจ เราไม่ควรเลือกแสดงความรักกับพี่น้องบางคนเท่านั้น พี่น้องบางคนอาจเป็นเหมือนโยนาห์ เอลียาห์ ฮาการ์ และโลทที่สร้างปัญหาให้ตัวเอง แต่จริง ๆ แล้วบางครั้งเราทุกคนก็สร้างปัญหาให้ตัวเองด้วยเหมือนกัน จึงมีเหตุผลที่พระยะโฮวาจะขอเราให้แสดงความเห็นอกเห็นใจกัน (1 ปต. 3:8) เมื่อเราเชื่อฟังพระยะโฮวา เราก็ช่วยให้ครอบครัวคริสเตียนทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้น ขอให้เราตั้งใจฟังกัน รู้จักกันให้มากขึ้น และเห็นอกเห็นใจกัน ห20.04 น. 18-19 ว. 15-17
วันจันทร์ที่ 4 เมษายน
พระคริสต์เองก็ยังทนทุกข์เพื่อพวกคุณ ท่านเป็นตัวอย่างเพื่อให้พวกคุณเดินตามรอยเท้าของท่านอย่างใกล้ชิด—1 ปต. 2:21
พระเยซูเชื่อฟังพระยะโฮวาอย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นถ้าเราอยากเชื่อฟังพระยะโฮวา เราก็ต้องเลียนแบบพระเยซูให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ยน. 8:29) เพื่อเราจะใช้ชีวิตตามความจริง เราต้องมั่นใจว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่พูดความจริงเสมอและทุกสิ่งที่พระองค์บอกเราในคัมภีร์ไบเบิลก็เป็นความจริง นอกจากนั้นเราต้องมั่นใจด้วยว่าพระเยซูเป็นเมสสิยาห์ที่พระเจ้าสัญญา หลายคนในทุกวันนี้ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นกษัตริย์ที่ได้รับการแต่งตั้งในรัฐบาลของพระเจ้า ยอห์นเคยเตือนว่า “มีคนหลอกลวงอยู่มากมาย” ซึ่งจะหลอกคนที่ไม่มั่นใจในความจริงเกี่ยวกับพระยะโฮวาและพระเยซู (2 ยน. 7-11) ยอห์นเขียนอีกว่า “แล้วใครล่ะที่พูดโกหก? ก็คือคนที่ปฏิเสธว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์” (1 ยน. 2:22) วิธีเดียวที่เราจะไม่ถูกหลอกก็คือโดยการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล นี่จะช่วยให้เรารู้จักพระยะโฮวาและพระเยซูอย่างดี (ยน. 17:3) ถ้าเราทำอย่างนั้น เราจะมั่นใจว่าสิ่งที่เราเชื่อเป็นความจริง ห20.07 น. 21 ว. 4-5
วันอังคารที่ 5 เมษายน
ให้เราตั้งใจว่าจะไม่ทำอะไรที่เป็นต้นเหตุให้พี่น้องหลงทำผิด—รม. 14:13
วิธีหนึ่งที่เราจะพยายามไม่ทำให้คนอื่นสะดุดล้มหรือ “เป็นต้นเหตุให้พี่น้องหลงทำผิด” ก็คือ ยอมรับการตัดสินใจของพี่น้องแทนที่จะบังคับเขาให้ทำแบบที่เราคิดหรือยืนกรานความคิดของตัวเราเอง (รม. 14:19-21; 1 คร. 8:9, 13) เราไม่เหมือนกับนักวิ่งที่วิ่งแข่งในสนามจริงที่คิดถึงแต่ตัวเองและพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อตัวเขาจะได้รางวัลคนเดียว ตอนวิ่งเขาก็จะพยายามเบียดคนอื่นเพื่อตัวเขาจะอยู่ข้างหน้า แต่พวกเราไม่เป็นอย่างนั้น เราไม่แข่งกัน (กท. 5:26; 6:4) เป้าหมายของเราคือพยายามช่วยกันและกันให้เข้าเส้นชัยมากที่สุดและได้รางวัลคือชีวิตตลอดไป เราพยายามที่จะทำตามคำแนะนำที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าที่บอกว่า “อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น ให้เห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นด้วย” (ฟป. 2:4) ในการวิ่งแข่งเพื่อชีวิต พระยะโฮวาสัญญากับคนของพระองค์ว่าถ้าพวกเขาเข้าเส้นชัย พวกเขาจะได้รับชีวิตตลอดไปเป็นรางวัลไม่ว่าจะเป็นชีวิตในสวรรค์หรือบนโลกที่เป็นสวนอุทยาน ห20.04 น. 28 ว. 10; น. 29 ว. 12
วันพุธที่ 6 เมษายน
พวกเขาเป็นคนที่ผ่านความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่—วว. 7:14
คริสเตียนหลายล้านคนทั้งผู้ชายและผู้หญิงจะ “ผ่านความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่” เข้าสู่โลกใหม่ (วว. 7:14) คนที่รอดชีวิตเหล่านั้นจะได้เห็นการเอาชนะความตายอีกแบบหนึ่ง หลายล้านคนที่ตายไปจะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง ลองนึกภาพดูสิว่าเราจะตื่นเต้นและมีความสุขมากแค่ไหนในตอนนั้น (กจ. 24:15) และในที่สุดทุกคนที่พิสูจน์ว่าซื่อสัตย์ภักดีต่อพระยะโฮวาอย่างสมบูรณ์แบบจะเอาชนะความตายที่มาจากอาดัม พวกเขาจะมีชีวิตตลอดไป สิ่งที่เปาโลเขียนถึงพี่น้องในโครินธ์เรื่องการฟื้นขึ้นจากตายควรทำให้เราทุกคนรู้สึกขอบคุณและได้กำลังใจ เรามีเหตุผลมากมายที่จะทำตามคำแนะนำของเปาโลที่ให้ทุ่มเทกับ “งานของผู้เป็นนาย” ในตอนนี้ (1 คร. 15:58) ถ้าเราทำงานนี้อย่างซื่อสัตย์และทำมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เราก็มีโอกาสที่จะมีชีวิตที่มีความสุขในอนาคต ชีวิตในตอนนั้นจะดีมากอย่างที่เราคิดไม่ถึงเลย และตอนนั้นเราจะเห็นว่างานหนักที่เราทำให้กับผู้เป็นนายไม่ได้เสียเปล่าเลย ห20.12 น. 13 ว. 16-17
วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน
พวกกษัตริย์บนโลก และกองทัพของพวกเขารวมตัวกันเพื่อทำสงครามกับผู้ที่ขี่ม้าขาวและกองทัพของท่าน—วว. 19:19
ถ้าเรามองว่าคำพยากรณ์ในเอเสเคียล 38:10-23 ดาเนียล 2:43-45; 11:44-12:1 และวิวรณ์ 16:13-16, 21 พูดถึงช่วงเวลาและเหตุการณ์เดียวกัน เราก็คาดหมายได้ว่าสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้จะเกิดขึ้น หลังจากความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่เริ่มขึ้นไม่นาน “กษัตริย์ทั่วโลก” จะรวมตัวกัน (วว. 16:13, 14) คัมภีร์ไบเบิลเรียกกลุ่มชาติต่าง ๆ ที่ร่วมมือกันนี้ว่า “โกกแห่งแผ่นดินมาโกก” (อสค. 38:2) พวกเขาจะโจมตีและพยายามกำจัดคนของพระเจ้าให้หมดไป อัครสาวกยอห์นพยากรณ์เกี่ยวกับตอนนั้นว่า เขาเห็นพายุลูกเห็บห่าใหญ่ตกจากฟ้าใส่ศัตรูของพระเจ้า ลูกเห็บนั้นน่าจะหมายถึงการประกาศคำพิพากษาที่รุนแรงโดยคนของพระเจ้า ซึ่งยั่วให้โกกแห่งมาโกกโจมตีคนของพระเจ้าเพื่อทำลายพวกเขาให้หมดไปจากโลก—วว. 16:21 ห20.05 น. 15 ว. 13-14
วันศุกร์ที่ 8 เมษายน
ในเมื่อคุณที่เป็นคนบาปยังรู้จักให้ของดีกับลูก แล้วพระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์จะไม่ให้พลังบริสุทธิ์กับคนที่ขอพระองค์หรือ?—ลก. 11:13
พลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นของขวัญที่เราควรเห็นค่า เราจะยิ่งเห็นค่าพลังบริสุทธิ์มากขึ้นถ้าเราคิดใคร่ครวญว่าพลังบริสุทธิ์ทำอะไรให้สำเร็จบ้างในทุกวันนี้ ก่อนที่พระเยซูจะไปสวรรค์ ท่านบอกกับสาวกของท่านว่า “พวกคุณจะได้รับพลังจากพระเจ้า พลังบริสุทธิ์นั้นจะอยู่กับพวกคุณ และพวกคุณจะเป็นพยานของผม . . . จนถึงสุดขอบโลก” (กจ. 1:8) ด้วยความช่วยเหลือจากพลังบริสุทธิ์ ในตอนนี้มีประมาณ 8,500,000 คนทั่วโลกที่กำลังนมัสการพระเจ้า นอกจากนั้น เรามีความสุขและได้อยู่ในสังคมพี่น้องที่เป็นหนึ่งเดียวกันเพราะพลังของพระเจ้าช่วยเราให้มีคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยม เช่น ความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทนอดกลั้น ความกรุณา ความดี ความเชื่อ ความอ่อนโยน และการควบคุมตัวเอง คุณลักษณะเหล่านี้เป็นส่วนของ “ผลที่เกิดจากพลังของพระเจ้า” (กท. 5:22, 23) พลังบริสุทธิ์เป็นของขวัญที่มีค่ามากจริง ๆ ห20.05 น. 28 ว. 10; น. 29 ว. 13
วันเสาร์ที่ 9 เมษายน
ความตายเกิดขึ้นเพราะมนุษย์คนหนึ่ง การฟื้นขึ้นจากตายก็เกิดขึ้นเพราะมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน—1 คร. 15:21
มีหลายเหตุผลที่เราคาดหมายได้ว่าเราจะจำคนที่เรารักที่ฟื้นขึ้นจากตายได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าเราคิดถึงการฟื้นขึ้นจากตายที่เคยเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าตอนที่พระยะโฮวาปลุกคนตาย พระองค์สร้างเขาให้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิม และให้เขามีความคิดและมีวิธีพูดเหมือนกับก่อนที่เขาจะตาย จำได้ไหมพระเยซูเคยเปรียบเทียบคนที่ฟื้นขึ้นจากตายเหมือนกับคนที่ถูกปลุกให้ตื่น ตอนที่เขาตื่นเขาก็ยังมีรูปร่างหน้าตา วิธีพูดจา และความทรงจำเหมือนเดิม (มธ. 9:18, 24; ยน. 11:11-13) ลองคิดถึงตัวอย่างของลาซารัสดูสิ เขาตายมา 4 วันแล้ว ศพของเขาก็คงเริ่มเน่า แต่ตอนที่พระเยซูปลุกเขาขึ้นมา มารีย์กับมาร์ธาก็จำลาซารัสได้ทันที และเรารู้ว่าลาซารัสก็จำพวกเขาได้ด้วย—ยน. 11:38-44; 12:1, 2 ห20.08 น. 14 ว. 3; น. 16 ว. 8
วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน
ความรอดมาจากพระเจ้าของเราผู้นั่งบนบัลลังก์ และมาจากลูกแกะของพระองค์—วว. 7:10
ถึงผู้ถูกเจิมกับแกะอื่นจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน แต่พระยะโฮวาก็รักพวกเขาไม่ต่างกันเลย พวกเขามีค่าเท่ากันในสายตาของพระองค์ เรารู้ว่าเป็นอย่างนี้เพราะพระยะโฮวาซื้อชีวิตของผู้ถูกเจิมและแกะอื่นด้วยค่าไถ่เดียวกัน ซึ่งก็คือชีวิตของลูกชายที่พระองค์รักมาก สิ่งที่ทำให้คนสองกลุ่มนี้ต่างกันก็คือความหวังที่พวกเขามี แต่ยังไงพวกเขาก็ต้องรักษาความซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้าต่อ ๆ ไป (สด. 31:23) และอย่าลืมว่า พระยะโฮวาให้พลังบริสุทธิ์กับทุกคนเหมือนกันตามความจำเป็นของแต่ละคน พระยะโฮวาให้ผู้รับใช้ที่อุทิศตัวแล้วทุกคนของพระองค์มีความหวังในอนาคตที่ยอดเยี่ยม (ยรม. 29:11) การประชุมอนุสรณ์เปิดโอกาสให้เรายกย่องสรรเสริญพระเจ้าและพระคริสต์สำหรับสิ่งที่พระองค์ทั้งสองทำเพื่อเราจะมีความสุขกับชีวิตที่ไม่สิ้นสุด นี่เป็นการประชุมที่สำคัญที่สุดของคริสเตียนแท้ ห21.01 น. 18 ว. 16; น. 19 ว. 19
วันจันทร์ที่ 11 เมษายน
ให้ทำอย่างนี้ต่อ ๆ ไป—1 คร. 11:25
คนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์มีความหวังที่จะมีชีวิตตลอดไปบนโลก แล้วทำไมพวกเขายังไปประชุมอนุสรณ์อยู่ล่ะ? เหตุผลก็เหมือนกับคนที่ไปงานแต่งของเพื่อนเขานั่นแหละ ที่เขาไปก็เพราะเขารักคู่บ่าวสาวและอยากจะสนับสนุนพวกเขา เหมือนกันแกะอื่นไปประชุมอนุสรณ์เพราะพวกเขาอยากแสดงว่ารักและสนับสนุนพระเยซูกับผู้ถูกเจิม นอกจากนั้น พวกเขายังไปประชุมอนุสรณ์เพราะพวกเขาอยากแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเห็นค่าค่าไถ่ของพระเยซูที่ทำให้พวกเขามีชีวิตตลอดไปบนโลกได้ อีกเหตุผลหนึ่งที่แกะอื่นไปประชุมอนุสรณ์ก็คือ พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของพระเยซู ตอนที่พระเยซูตั้งการประชุมอนุสรณ์ครั้งแรกกับอัครสาวกที่ซื่อสัตย์ ท่านบอกพวกเขาว่า “ให้ทำอย่างนี้ต่อ ๆ ไปเพื่อระลึกถึงผม” (1 คร. 11:23-26) ดังนั้นแกะอื่นจะไปประชุมอนุสรณ์เรื่อย ๆ จนกว่าจะไม่มีผู้ถูกเจิมเหลืออยู่บนโลก ห21.01 น. 17-18 ว. 13-14
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 9 นิสาน) ยอห์น 12:12-19; มาระโก 11:1-11
วันอังคารที่ 12 เมษายน
พระเจ้าแสดงความรักต่อเราอย่างชัดเจนเมื่อพระองค์ให้ลูกคนเดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อท่านจะเปิดโอกาสให้เราได้ชีวิต—1 ยน. 4:9
ความรักแท้ต้องมีการกระทำด้วย (เทียบกับยากอบ 2:17, 26) ตัวอย่างเช่น พระยะโฮวารักเรา (1 ยน. 4:19) พระองค์แสดงความรักกับเราโดยพูดสิ่งดี ๆ กับเราผ่านทางคัมภีร์ไบเบิล (สด. 25:10; รม. 8:38, 39) เรามั่นใจว่าพระยะโฮวารักเราไม่ใช่แค่จากสิ่งที่พระองค์พูดกับเราเท่านั้นแต่จากสิ่งที่พระองค์ทำกับเราด้วย พระยะโฮวายอมให้ลูกที่รักของพระองค์ต้องมาทนทุกข์และตายเพื่อเรา (ยน. 3:16) เราไม่สงสัยเลยใช่ไหมว่าพระยะโฮวารักเราจริง ๆ? ถ้าเรารักพระยะโฮวาและพระเยซู เราจะเชื่อฟังพระองค์ทั้งสอง (ยน. 14:15; 1 ยน. 5:3) พระเยซูสั่งเราอย่างชัดเจนว่าเราต้องรักกัน (ยน. 13:34, 35) ถ้าเรารักพี่น้องจริง เราจะไม่ใช่แค่พูดว่ารักเท่านั้น แต่เราจะทำให้เขาเห็นด้วย—1 ยน. 3:18 ห21.01 น. 9 ว. 6; น. 10 ว. 8
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 10 นิสาน) ยอห์น 12:20-50
วันพุธที่ 13 เมษายน
ผมเรียกพวกคุณว่าเพื่อน—ยน. 15:15
ผู้ถูกเจิมมีความหวังจะได้อยู่กับพระเยซูตลอดไป พวกเขาจะได้ปกครองร่วมกับพระเยซูในรัฐบาลของพระเจ้า พวกเขาจะได้อยู่กับพระเยซูจริง ๆ ได้เห็นท่าน ได้คุยกับท่าน และได้ใช้เวลาด้วยกันกับท่าน (ยน. 14:2, 3) ส่วนคนที่มีความหวังจะได้อยู่บนโลกก็จะได้รับความรักและความเอาใจใส่จากพระเยซูเหมือนกัน ถึงพวกเขาจะมองไม่เห็นพระเยซู แต่พวกเขาจะสนิทกับท่านมากขึ้นเมื่อพวกเขาได้ชีวิตตลอดไปที่พระยะโฮวาและพระเยซูให้ (อสย. 9:6, 7) เมื่อเราตอบรับคำเชิญจากพระเยซูที่ให้เป็นเพื่อนของท่าน เราได้พรมากมาย เช่น ได้รับความรักและความช่วยเหลือจากพระเยซู มีโอกาสได้ชีวิตตลอดไป และสำคัญที่สุด การที่เราเป็นเพื่อนกับพระเยซูเปิดโอกาสให้เราได้เป็นเพื่อนกับพระยะโฮวาพ่อของท่านซึ่งไม่มีอะไรจะเทียบได้ นี่เป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่ถูกเรียกว่าเพื่อนของพระเยซู ห20.04 น. 25 ว. 15-16
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 11 นิสาน) ลูกา 21:1-36
วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน
ทุกคนก็จะมีชีวิตได้อีกเพราะพระคริสต์—1 คร. 15:22
เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงคริสเตียนผู้ถูกเจิมในเมืองโครินธ์ซึ่งจะถูกปลุกให้มีชีวิตในสวรรค์ ดังนั้น คนที่ถูกเจิมจึงอยู่ในกลุ่ม “ทุกคน” ที่ “จะมีชีวิตได้อีก” พวกเขา “ถูกชำระให้บริสุทธิ์และเป็นสาวกของพระคริสต์เยซู . . . ถูกเรียกให้มาเป็นผู้บริสุทธิ์” เปาโลบอกว่าพวกเขาเป็น “สาวกของพระคริสต์ที่ตายไปแล้ว” (1 คร. 1:2; 15:18; 2 คร. 5:17) เปาโลเขียนในจดหมายอีกฉบับหนึ่งว่าคนที่ “เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ด้วยการตายเหมือนท่าน” ก็จะ “เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ด้วยการฟื้นขึ้นจากตายเหมือนท่าน” (รม. 6:3-5) พระเยซูถูกปลุกให้มีร่างกายสำหรับสวรรค์และขึ้นไปสวรรค์ ฉะนั้นทุกคนที่เป็นสาวกของพระคริสต์ที่ถูกเจิมด้วยพลังบริสุทธิ์ก็จะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เปาโลบอกว่าพระคริสต์ “เป็นคนแรก [หรือ “ผลแรก,” เชิงอรรถ] ที่ถูกปลุกให้ฟื้นจากตาย” (1 คร. 15:20) พระเยซูเป็นคนแรกที่ถูกปลุกให้มีร่างกายสำหรับสวรรค์และมีชีวิตตลอดไป ห20.12 น. 5-6 ว. 15-16
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 12 นิสาน) มัทธิว 26:1-5, 14-16; ลูกา 22:1-6
วันประชุมอนุสรณ์
หลังดวงอาทิตย์ตก
วันศุกร์ที่ 15 เมษายน
เราก็จะได้อยู่กับผู้เป็นนายตลอดไป—1 ธส. 4:17
คริสเตียนผู้ถูกเจิมที่ตายตอนนี้จะถูกปลุกให้ไปสวรรค์ทันที เปาโลยืนยันเรื่องนี้ใน 1 โครินธ์ 15:51, 52 ตอนที่พี่น้องของพระคริสต์ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตาย พวกเขาจะมีความสุขมาก คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าคนที่ถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ใน “แค่พริบตาเดียว” จะทำงานอะไรในสวรรค์ พระเยซูพูดกับพวกเขาว่า “ผมจะให้คนที่ได้ชัยชนะและทำตามคำสั่งของผมจนถึงที่สุดมีอำนาจเหนือประเทศต่าง ๆ แล้วเขาจะปกครองประชาชนด้วยคทาเหล็กและทุบพวกนั้นให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ เหมือนภาชนะดิน เขาจะได้รับอำนาจเหมือนที่ผมได้รับจากพ่อของผม”—วว. 2:26, 27 ห20.12 น. 12 ว. 14-15
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 13 นิสาน) มัทธิว 26:17-19; มาระโก 14:12-16; ลูกา 22:7-13 (เหตุการณ์หลังดวงอาทิตย์ตก 14 นิสาน) ยอห์น 13:1-5; 14:1-3
วันเสาร์ที่ 16 เมษายน
พระคริสต์ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายแล้ว—1 คร. 15:20
การที่เปาโลเรียกพระเยซูว่า “คนแรก” หรือ “ผลแรก” แสดงว่าจะมีคนที่ถูกปลุกให้ไปสวรรค์หลังจากท่าน พวกเขาก็คือ พวกอัครสาวกและ “สาวกของพระคริสต์” ที่ถูกเจิมด้วยพลังบริสุทธิ์ (1 คร. 15:18) ตอนที่เปาโลเขียนจดหมายถึงคริสเตียนในเมืองโครินธ์ “สาวกของพระคริสต์” ที่ถูกเจิมด้วยพลังบริสุทธิ์ยังไม่ถูกปลุกให้ไปสวรรค์ เปาโลบอกว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นในอนาคต เขาเขียนว่า “จะเป็นไปตามลำดับ คือ พระคริสต์เป็นคนแรก จากนั้นก็เป็นคนของพระคริสต์ที่จะมีชีวิตอีกในช่วงการประทับของท่าน” (1 คร. 15:23; 1 ธส. 4:15, 16) พวกอัครสาวกและ “สาวกของพระคริสต์” ที่ถูกเจิมด้วยพลังบริสุทธิ์ที่ตายไปแล้วต้องรอจนกว่าจะถึงช่วงการประทับของพระคริสต์ พวกเขาถึงจะได้รับรางวัลในสวรรค์และ “จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ด้วยการฟื้นขึ้นจากตายเหมือนท่าน” ตอนนี้เรากำลังมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลานั้นแหละ—รม. 6:5 ห20.12 น. 5 ว. 12, น. 6 ว. 16-17
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 14 นิสาน) ยอห์น 19:1-42
วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน
ร่างกายเป็นเหมือนเมล็ดที่ถูกหว่านลงและเน่าเปื่อยไป—1 คร. 15:42
อัครสาวกเปาโลกำลังพูดถึงคนที่ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นมามี “ร่างกายสำหรับสวรรค์” (1 คร. 15:42-44) ตอนที่พระเยซูอยู่บนโลก ท่านมีร่างกายที่มีเลือดมีเนื้อ แต่พอท่านถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตาย ท่านก็ “มีร่างกายสำหรับสวรรค์” แล้วท่านก็กลับไปสวรรค์ คริสเตียนผู้ถูกเจิมก็จะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายและมีร่างกายสำหรับสวรรค์เหมือนกัน เปาโลอธิบายว่า “ตอนนี้เรามีลักษณะเหมือนคนแรกที่ถูกสร้างจากดิน แต่อีกหน่อยเราจะมีลักษณะเหมือนท่านผู้นั้นที่มาจากสวรรค์” (1 คร. 15:45-49) เรารู้ว่าตอนที่พระเยซูถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นมา ท่านไม่ได้มีร่างกายแบบมนุษย์ เปาโลอธิบายเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น เขาบอกว่า “มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อจะเข้ารัฐบาลของพระเจ้า [ในสวรรค์] ไม่ได้” (1 คร. 15:50) ตอนที่พวกอัครสาวกและผู้ถูกเจิมคนอื่นถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายไปสวรรค์ พวกเขาจะไม่มีร่างกายที่มีเลือดมีเนื้อและเน่าเปื่อยได้ ห20.12 น. 10-11 ว. 10-12
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 15 นิสาน) มัทธิว 27:62-66 (เหตุการณ์หลังดวงอาทิตย์ตก 14 นิสาน) ยอห์น 20:1
วันจันทร์ที่ 18 เมษายน
ความตาย ไหนล่ะชัยชนะของเจ้า? ความตาย พิษสงที่มีหายไปไหนหมด?—1 คร. 15:55
พระยะโฮวาดลใจสาวกของพระเยซูในศตวรรษแรกให้เขียนเกี่ยวกับความหวังเรื่องการฟื้นขึ้นจากตายไปสวรรค์ อัครสาวกยอห์นอธิบายเรื่องนี้ว่า “ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว แต่เรายังไม่รู้ว่าเราจะมีสภาพอย่างไรในอนาคต เรารู้ว่าเมื่อพระองค์ปรากฏตัวให้เราเห็น เราจะมีสภาพอย่างพระองค์” (1 ยน. 3:2) ถึงคริสเตียนผู้ถูกเจิมจะไม่รู้ว่าชีวิตในสวรรค์จะเป็นอย่างไร แต่พวกเขารู้ว่าพวกเขาจะได้เห็นพระยะโฮวาจริง ๆ คัมภีร์ไบเบิลให้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้ถูกเจิมจะอยู่กับพระคริสต์ตอนที่ท่าน “ทำลายรัฐบาล ผู้มีอำนาจ และผู้มีฤทธิ์ทั้งหมด” รวมถึง “ศัตรูตัวสุดท้าย . . . คือความตาย” ในที่สุดพระเยซูและผู้ที่ร่วมปกครองกับท่านจะทำให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของพระยะโฮวา แล้วตัวท่านเองกับคนที่ร่วมปกครองกับท่านก็จะอยู่ใต้อำนาจของพระองค์ด้วย (1 คร. 15:24-28) นั่นคงเป็นเวลาที่น่าตื่นเต้นจริง ๆ ห20.12 น. 8 ว. 2
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 16 นิสาน) ยอห์น 20:2-18
วันอังคารที่ 19 เมษายน
ผมมีความหวัง . . . คือทั้งคนดีและคนชั่วจะฟื้นขึ้นจากตาย—กจ. 24:15
คริสเตียนที่ซื่อสัตย์ที่ไม่มีความหวังที่จะขึ้นไปสวรรค์กับพระคริสต์มีความหวังเรื่องการฟื้นขึ้นจากตาย คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเปาโลและคนอื่นที่จะไปสวรรค์อยู่ใน “พวกแรกที่ได้รับการปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตาย” (ฟป. 3:11) นั่นก็แสดงว่าจะมีการฟื้นขึ้นจากตายของอีกกลุ่มหนึ่ง เรื่องนี้ตรงกับสิ่งที่โยบเชื่อว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเขาเองในอนาคต (โยบ 14:15) “คนของพระคริสต์ที่จะมีชีวิตอีกในช่วงการประทับของท่าน” จะอยู่กับพระเยซูในสวรรค์ตอนที่ท่านทำลายรัฐบาล ผู้มีอำนาจ และผู้มีฤทธิ์ทั้งหมด แม้แต่ “ศัตรูตัวสุดท้าย” ซึ่งก็คือความตายจะถูกทำลายด้วย คนที่จะถูกปลุกให้ไปสวรรค์จะไม่มีวันตาย (1 คร. 15:23-26) ส่วนคนที่มีความหวังบนโลกก็มีความหวังเหมือนที่เปาโลบอกไว้ในข้อคัมภีร์วันนี้ คนชั่วไม่มีทางได้ขึ้นสวรรค์อยู่แล้ว ข้อนี้เลยต้องหมายถึงการฟื้นขึ้นจากตายที่จะเกิดขึ้นบนโลก ห20.12 น. 6-7 ว. 18-19
วันพุธที่ 20 เมษายน
[พระคริสต์] รักผมและสละชีวิตเพื่อผม—กท. 2:20
เราอาจจะสงสัยว่า ‘แต่ฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่าพระยะโฮวายังไม่หมดหวังในตัวฉัน?’ จริง ๆ แล้วถ้าคุณถามแบบนี้ก็แสดงว่าพระยะโฮวายังไม่หมดหวังในตัวคุณ ทำไมถึงบอกอย่างนั้น? หลายสิบปีที่แล้วหอสังเกตการณ์ บอกว่า “เรา [อาจ] พบว่าตนเองล้มพลาดหลายครั้ง กลับไปสู่นิสัยไม่ดีบางอย่างซึ่งเคยฝังรากลึกในแบบชีวิตเดิมยิ่งกว่าที่เราเคยคิด. . . อย่าลงความเห็นว่า คุณได้กระทำการผิดบาปชนิดที่จะอภัยโทษให้ไม่ได้ นั่นเป็นวิธีที่ซาตานอยากให้คุณคิด การที่คุณรู้สึกเศร้าใจและไม่พอใจกับตัวเองเช่นนั้นก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้เตลิดไกลเกินไป อย่าเลิกราที่จะหันมาหาพระเจ้าด้วยใจถ่อมและด้วยใจเร่าร้อน กราบทูลขอการอภัยและการชำระให้สะอาดและความช่วยเหลือจากพระองค์” ก่อนที่เปาโลจะมาเป็นคริสเตียน เขาเคยทำอะไรหลายอย่างที่เลวร้ายมาก เปาโลยังไม่ลืมว่าเขาทำอะไรมาบ้าง (1 ทธ. 1:12-15) แต่เขามองว่าค่าไถ่เป็นของขวัญที่พระเจ้าให้กับเขา เพราะอย่างนี้เปาโลก็เลยไม่รู้สึกผิดมากเกินไป แต่เขาสนใจที่การทุ่มเทตัวเพื่อรับใช้พระยะโฮวาให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ห20.11 น. 27 ว. 14; น. 29 ว. 17
วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน
ถ้าใครในพวกคุณขาดสติปัญญา ให้เขาพยายามขอจากพระเจ้าต่อ ๆ ไป แล้วเขาจะได้รับจากพระองค์ เพราะพระเจ้าเต็มใจให้ทุกคนอย่างใจกว้างและไม่เคยต่อว่า—ยก. 1:5
ซาตานใช้หลายอย่างเพื่อล่อใจเราให้ทำสิ่งที่ผิด ถ้าเราเจอแบบนั้น เราควรทำอย่างไร? จริง ๆ แล้วมันง่ายมากที่เราจะเข้าข้างตัวเอง เช่น เราอาจหาเหตุผลว่า ‘เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้เราถูกตัดสัมพันธ์ซะหน่อย ไม่เป็นไรหรอก’ แต่มันผิดมากที่จะคิดอย่างนั้น ถ้าเราถูกล่อใจ ดีกว่าที่จะถามตัวเองว่า ‘ซาตานกำลังใช้เรื่องนี้เพื่อทำให้ฉันไม่รักสิ่งที่ถูกต้องหมดหัวใจไหม? ถ้าฉันจะยอมทำตามใจตัวเองทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันผิด ฉันจะทำให้พระยะโฮวาเสียชื่อเสียงไหม? การทำอย่างนี้จะทำให้ฉันสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้นไหมหรือมันจะทำให้ฉันห่างจากพระองค์?’ ให้คิดใคร่ครวญคำถามเหล่านี้ อธิษฐานขอสติปัญญาเพื่อคุณจะตอบคำถามเหล่านี้แบบที่ซื่อสัตย์กับตัวเอง การทำอย่างนี้จะปกป้องคุณและช่วยคุณให้ปฏิเสธการล่อใจอย่างหนักแน่นเหมือนกับพระเยซูตอนที่ท่านบอกว่า “ไปให้พ้น ซาตาน!” (มธ. 4:10) จำไว้ว่าถ้าหัวใจของเราไม่ได้รักสิ่งที่ถูกต้องหมดหัวใจ มันก็แทบไม่มีค่าอะไรเลย ห20.06 น. 12-13 ว. 16-17
วันศุกร์ที่ 22 เมษายน
ผมจึงขอบอกพวกคุณทุกคนว่า อย่าคิดถึงตัวเองมากเกินไป แต่ให้คิดอย่างสมเหตุสมผล—รม. 12:3
เราถ่อมตัวเชื่อฟังพระยะโฮวาเพราะเรารู้ว่าพระองค์รู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเรา (อฟ. 4:22-24) ถ้าเราเป็นคนถ่อม เราจะคิดว่าความต้องการของพระยะโฮวาสำคัญมากกว่าความต้องการของเราเอง และเราจะมองว่าคนอื่นดีกว่าตัวเรา และนี่จะทำให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระยะโฮวาและกับพี่น้องในประชาคม (ฟป. 2:3) ถ้าเราไม่ระวัง เราก็อาจหยิ่งและเห็นแก่ตัวเหมือนคนในโลกนี้ได้ ดูเหมือนว่าพี่น้องบางคนในศตวรรษแรกเป็นแบบนั้น เพราะเปาโลเตือนพี่น้องในกรุงโรมว่า “ผมจึงขอบอกพวกคุณทุกคนว่า อย่าคิดถึงตัวเองมากเกินไป แต่ให้คิดอย่างสมเหตุสมผล” เปาโลรู้ว่าเราต้องคิดถึงตัวเองบ้าง แต่ความถ่อมช่วยให้เรามองตัวเองตามความเป็นจริงและไม่ให้คิดถึงตัวเองมากเกินไป ห20.07 น. 2 ว. 1-2
วันเสาร์ที่ 23 เมษายน
แผ่นดินสงบเงียบไม่มีใครมารุกรานตลอดช่วงนั้น—2 พศ. 14:6
ในที่สุดช่วงเวลาที่สงบสุขในสมัยของกษัตริย์อาสาก็สิ้นสุดลง เศราห์แม่ทัพชาวเอธิโอเปียได้ยกทัพที่มีทหาร 1 ล้านคนมาโจมตีอาณาจักรยูดาห์ และเขามั่นใจมากว่าจะเอาชนะได้แน่นอน แต่กษัตริย์อาสาไม่ได้ไว้ใจในกองกำลังของตัวเอง เขาไว้ใจพระยะโฮวา อาสาอธิษฐานถึงพระองค์ว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าของพวกเรา ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย เพราะพวกเราพึ่งพระองค์และออกมาต่อสู้กับคนพวกนี้ในนามของพระองค์” (2 พศ. 14:11) ถึงกองทัพเอธิโอเปียจะมีทหารมากกว่ากองทัพของอาสาเกือบ 2 เท่า แต่อาสารู้ว่าพระยะโฮวามีอำนาจและสามารถช่วยคนของพระองค์ได้แน่นอน และพระยะโฮวาก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง กองทัพเอธิโอเปียแพ้อย่างราบคาบ (2 พศ. 14:8-13) ถึงเราแต่ละคนจะไม่รู้ทุกอย่างว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราบ้างในอนาคต แต่เรารู้ว่าคนของพระเจ้าจะไม่ได้มีช่วงเวลาที่สงบสุขอย่างนี้ตลอดไป พระเยซูบอกล่วงหน้าไว้แล้วว่า ในสมัยสุดท้าย “ทุกประเทศจะเกลียดชัง” คนที่เป็นสาวกของท่าน—มธ. 24:9 ห20.09 น. 17-18 ว. 14-16
วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน
โดนดูถูก . . . ผมก็ยินดี—2 คร. 12:10
ไม่มีใครในพวกเราชอบให้คนอื่นมาดูถูก แต่ถ้าเราโดนดูถูกและคิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นมากเกินไป เราก็อาจจะท้อใจได้ (สภษ. 24:10) ถ้าอย่างนั้นเราควรรู้สึกอย่างไรเมื่อโดนดูถูก? เหมือนกับเปาโล ถึงเราจะ “โดนดูถูก . . . ก็ยินดี” ได้ ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าการโดนดูถูกหรือถูกต่อต้านเป็นสิ่งที่แสดงว่าเราเป็นสาวกแท้ของพระเยซู (1 ปต. 4:14) และพระเยซูเองก็บอกว่าคนที่ติดตามท่านจะโดนข่มเหงด้วย (ยน. 15:18-20) เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในศตวรรษแรก คนที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมกรีกมองว่าคริสเตียนเป็นคนไม่ฉลาดและต่ำต้อยกว่าพวกเขา ส่วนคนยิวก็มองคริสเตียนอย่างที่เขามองเปโตรกับยอห์นว่า “เป็นคนธรรมดาไม่มีการศึกษา” (กจ. 4:13) นอกจากนั้น คริสเตียนไม่ยุ่งกับการเมืองและเรื่องทหารก็เลยดูเหมือนว่าไม่มีอำนาจอะไรที่จะปกป้องพวกเขาและพวกเขาก็ปกป้องตัวเองไม่ได้ และคนทั่วไปยังมองพวกเขาว่าเป็นพวกสังคมไม่ยอมรับด้วย คริสเตียนในศตวรรษแรกทำอย่างไรเมื่อโดนดูถูก? พวกเขาไม่ได้เลิกประกาศและเลิกเป็นสาวกของพระเยซู ห20.07 น. 14-15 ว. 3-4
วันจันทร์ที่ 25 เมษายน
ให้เรารักกันเรื่อยไป เพราะความรักมาจากพระเจ้า และคนที่แสดงความรักก็เกิดมาจากพระเจ้าและรู้จักพระเจ้า—1 ยน. 4:7
อัครสาวกยอห์นรักและเป็นห่วงพี่น้องของเขามาก และเขาอยากจะให้พี่น้องมีความเชื่อเข้มแข็งขึ้น เราเห็นเรื่องนี้ได้จากคำแนะนำที่อยู่ในจดหมาย 3 ฉบับที่ยอห์นเขียน เราดีใจมากที่มีพี่น้องผู้ถูกเจิมทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่รักและเป็นห่วงเราเหมือนยอห์นซึ่งพวกเขาจะปกครองกับพระเยซูในสวรรค์ (1 ยน. 2:27) ขอให้เราไม่ลืมคำแนะนำของยอห์น ให้เราตั้งใจที่จะใช้ชีวิตตามความจริงและเชื่อฟังพระยะโฮวาในทุกสิ่งที่เราทำ ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและมั่นใจในสิ่งที่เรียน มีความเชื่อในพระเยซูมากขึ้น ปฏิเสธความรู้ของโลกและความคิดของคนที่ทรยศพระเจ้า ไม่ยอมแพ้ให้กับความกดดันที่จะใช้ชีวิตแบบตีสองหน้าและทำบาป แต่ใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระยะโฮวา และขอให้เราช่วยพี่น้องให้มีความเชื่อเข้มแข็งโดยยกโทษให้คนที่ทำให้เราเสียใจและช่วยคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ถ้าเราทำแบบนั้น ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอะไรก็ตาม เราจะใช้ชีวิตตามความจริงต่อ ๆ ไป ห20.07 น. 24-25 ว. 15-17
วันอังคารที่ 26 เมษายน
แต่พระเจ้าจัดอวัยวะแต่ละส่วนให้อยู่ในร่างกายตามที่พระองค์เห็นว่าเหมาะสม—1 คร. 12:18
พระยะโฮวาให้ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ได้เป็นส่วนของประชาคมของพระองค์ ถึงเราจะมีบทบาทไม่เหมือนกัน แต่เราทุกคนมีค่า และเราจำเป็นต้องมีกันและกัน เปาโลเน้นว่าไม่มีใครจะพูดกับพี่น้องคนอื่นได้ว่า ‘ฉันไม่ต้องการคุณ’ (1 คร. 12:21) ถ้าเราอยากให้ประชาคมมีสันติสุข เราต้องร่วมแรงร่วมใจและเห็นค่ากันและกัน (อฟ. 4:16) เมื่อเราทำงานด้วยกันอย่างดีและสามัคคีกัน เราก็ทำให้ประชาคมเข้มแข็งขึ้นและรักกัน ผู้ดูแลทุกคนในประชาคมได้รับการแต่งตั้งจากพลังบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา แต่ทุกคนก็มีความสามารถหรือพรสวรรค์ไม่เหมือนกัน (1 คร. 12:17, 18) บางคนอาจจะเป็นผู้ดูแลได้ไม่นานและไม่มีประสบการณ์มากเท่าไร ส่วนบางคนอายุมากแล้วและมีปัญหาสุขภาพเลยทำได้ไม่มาก แต่ก็ไม่ควรมีผู้ดูแลคนไหนคิดกับเพื่อนผู้ดูแลในทำนองที่ว่า ‘ผมไม่ต้องการคุณ’ แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ผู้ดูแลทุกคนควรทำตามคำแนะนำของเปาโลที่โรม 12:10 ห20.08 น. 26 ว. 1-2; น. 27 ว. 4
วันพุธที่ 27 เมษายน
โลกนี้กำลังเปลี่ยนไปเหมือนละครเปลี่ยนฉาก—1 คร. 7:31
พระยะโฮวาช่วยเราให้อยู่บนทางที่นำไปถึงชีวิตโดยใช้องค์การส่วนที่อยู่บนโลก ปกติเมื่อองค์การของพระยะโฮวาบอกเราเรื่องความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลหรือมาตรฐานทางด้านศีลธรรม เราก็พร้อมจะยอมรับและทำตามทันที แต่เราทำอย่างไรถ้าการปรับเปลี่ยนบางอย่างมีผลกับชีวิตของเรา? ตัวอย่างเช่น ถ้าหอประชุมของเราถูกขาย แล้วก็มีการรวมประชาคมเข้าด้วยกัน เราจะยังมีความสุขต่อไปได้ถ้าเราจำไว้ว่าพระยะโฮวากำลังชี้นำองค์การและเราทำทุกสิ่งทุกอย่างก็เพื่อพระองค์ (คส. 3:23, 24) กษัตริย์ดาวิดเป็นตัวอย่างที่ดีมากตอนที่เขาบริจาคเงินเพื่อสร้างวิหาร เขาบอกว่า “ผมกับประชาชนของผมเป็นใครที่จะเอาของมาถวายพระองค์ด้วยความสมัครใจอย่างนี้? เพราะทุกสิ่งมาจากพระองค์ และของที่พวกเราเอามาถวายก็เป็นของพระองค์ทั้งนั้น” (1 พศ. 29:14) ตอนที่เราบริจาค เราก็เอาของของพระองค์มาให้พระองค์ ถึงจะเป็นอย่างนั้นพระยะโฮวาก็เห็นค่าเวลา กำลัง และทรัพย์สินเงินทองที่เราให้เพื่อสนับสนุนงานของพระองค์—2 คร. 9:7 ห20.11 น. 22-23 ว. 14-16
วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน
คนที่สังเกตดูเมฆจะไม่เก็บเกี่ยว—ปญจ. 11:4
สำหรับเราที่เป็นพยานพระยะโฮวา ความสำเร็จในงานประกาศไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราช่วยคนเข้ามาในองค์การได้มากแค่ไหน (ลก. 8:11-15) ถ้าเราประกาศข่าวดีและสอนคนอื่นด้วยความอดทนต่อ ๆ ไป พระยะโฮวาก็มองว่าเราประสบความสำเร็จในการทำงานของเราแล้ว เพราะอะไร? เพราะเรากำลังเชื่อฟังพระยะโฮวาและพระเยซู (มก. 13:10; กจ. 5:28, 29) เรารู้ว่าโลกใกล้จะถึงจุดจบอยู่แล้ว เวลาที่เราจะไปประกาศเพื่อช่วยชีวิตคนก็ยิ่งเหลือน้อยเต็มที ตอนนี้เราต้องยิ่งเร่งงานของเรา อย่ามัวแต่รอและคิดว่าให้ทุกอย่างในชีวิตลงตัวก่อนแล้วถึงค่อยเริ่มทำงานที่สำคัญนี้ ขอให้คุณเพิ่มแรงจูงใจของคุณตั้งแต่ตอนนี้ เพิ่มความรู้ในคัมภีร์ไบเบิล มีความกล้ามากขึ้น และมีวินัยกับตัวเอง ขอให้คุณมาทำงานร่วมกับ 8 ล้านกว่าคนที่กำลังประกาศข่าวดีอยู่ทั่วโลก แล้วคุณจะได้สัมผัสกับความสุขที่มาจากพระยะโฮวา (นหม. 8:10; ลก. 5:10) ขอให้คุณตั้งใจทำงานประกาศอย่างเต็มที่เท่าที่คุณจะทำได้ และทำต่อ ๆ ไปจนกว่าพระยะโฮวาจะบอกว่างานนี้เสร็จแล้ว ห20.09 น. 7 ว. 18-20
วันศุกร์ที่ 29 เมษายน
ขอให้รักษาสิ่งที่ฝากไว้กับคุณให้ดี—1 ทธ. 6:20
เราต้องไม่ปล่อยให้การอยากได้วัตถุสิ่งของมาทำให้เราวอกแวกไปจากงานรับใช้ “ความหลงใหลในทรัพย์สมบัติ” อาจทำให้เรารักพระยะโฮวาน้อยลง เริ่มไม่เห็นค่าคัมภีร์ไบเบิล และไม่ค่อยอยากพูดเรื่องคัมภีร์ไบเบิลให้คนอื่นฟัง (มธ. 13:22) นอกจากนั้น ถ้าเราอยากจะรักษาสิ่งมีค่าที่พระยะโฮวาให้ไว้กับเรา เราก็ต้องลงมือทันที เราต้องคิดก่อนว่าจะทำอย่างไรถ้าเราดูหนัง ดูทีวี หรือเล่นอินเทอร์เน็ต แล้วอยู่ดี ๆ ก็มีภาพโป๊ ฉากที่ผิดศีลธรรมหรือรุนแรง หรือข้อมูลของคนที่ทรยศพระเจ้า ถ้าเราคิดล่วงหน้าเอาไว้แล้วว่าจะทำอะไร เราก็จะลงมือได้ทันทีและไม่ได้รับผลเสียจากสิ่งที่ทำลายความสัมพันธ์ของเรากับพระยะโฮวา และยังเป็นคนที่สะอาดในสายตาของพระองค์ได้ เราต้องรักษาสิ่งมีค่าที่พระยะโฮวาให้กับเรา ซึ่งก็คือความจริงในคัมภีร์ไบเบิลและสิทธิพิเศษที่ได้สอนความจริงกับคนอื่น ถ้าเราทำอย่างนั้น เราจะมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่สะอาด มีชีวิตที่มีความหมาย และมีความสุขที่ได้ช่วยคนอื่นให้รู้จักพระยะโฮวา ห20.09 น. 30 ว. 16-19
วันเสาร์ที่ 30 เมษายน
คุณจะเห็นครูองค์ [ยิ่งใหญ่] ด้วยตาของคุณเอง—อสย. 30:20
คุณรับบัพติศมาแล้วหรือยัง? ถ้าใช่ ตอนที่คุณรับบัพติศมาคุณก็แสดงให้คนอื่นเห็นว่าคุณมีความเชื่อในพระยะโฮวาและคุณอยากรับใช้ในองค์การของพระองค์ วิธีที่พระยะโฮวาชี้นำองค์การของพระองค์ในทุกวันนี้ทำให้เราเห็นว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแบบไหน มีความประสงค์อะไร และมีมาตรฐานแบบไหน ลองดูว่ามี 3 อย่างอะไรเกี่ยวกับพระยะโฮวาที่เราเห็นได้ในองค์การของพระองค์ อย่างแรก “พระเจ้าไม่ลำเอียง” (กจ. 10:34) ความรักของพระยะโฮวากระตุ้นพระองค์ให้ส่งลูกชายลงมาเป็น “ค่าไถ่ . . . สำหรับทุกคน” (1 ทธ. 2:6; ยน. 3:16) ในทุกวันนี้พระยะโฮวาให้คนของพระองค์ประกาศข่าวดีกับทุกคนที่อยากฟังเพื่อจะช่วยคนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้ได้รับประโยชน์จากค่าไถ่นี้ อย่างที่ 2 พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่มีระเบียบและทำให้เกิดสันติสุข (1 คร. 14:33, 40) ดังนั้น คนที่นมัสการพระองค์ต้องเป็นกลุ่มคนที่มีระเบียบและมีสันติสุข อย่างที่ 3 พระยะโฮวาเป็น “ครูองค์ยิ่งใหญ่” (อสย. 30:21) องค์การของพระองค์จะเน้นการสอนคนอื่นเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลซึ่งได้รับการดลใจจากพระองค์ทั้งในประชาคมและในงานประกาศ ห20.10 น. 20 ว. 1-3