พฤษภาคม
วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม
พระเยซู . . . เชื่อฟังพวกเขาเสมอ—ลก. 2:51
ตั้งแต่พระเยซูเป็นเด็ก ท่านเลือกที่จะเชื่อฟังพ่อแม่ของท่าน ท่านไม่เคยดื้อและคิดว่าตัวเองรู้ดีกว่าพ่อแม่ พระเยซูเป็นลูกคนโต ท่านเลยมีงานหลายอย่างที่ต้องรับผิดชอบ ท่านคงทำงานเหล่านั้นอย่างสุดความสามารถแน่ ๆ นอกจากนั้น พระเยซูคงได้เรียนงานไม้จากโยเซฟ และขยันช่วยงานพ่อเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว พระเยซูคงต้องได้ฟังพ่อแม่เล่าว่าท่านเกิดมาอย่างอัศจรรย์อย่างไร และทูตสวรรค์บอกอะไรบ้างเกี่ยวกับตัวท่าน (ลก. 2:8-19, 25-38) แต่ไม่ใช่แค่นั้น พระเยซูยังขยันศึกษาพระคัมภีร์เองด้วย เรารู้ได้อย่างไร? เพราะขนาดตอนที่พระเยซูเป็นเด็ก พวกอาจารย์ก็ “รู้สึกทึ่งจริง ๆ ที่เห็นว่าท่านเข้าใจและตอบได้ดีมาก” (ลก. 2:46, 47) และตอนที่พระเยซูอายุ 12 ท่านก็มั่นใจแล้วว่าพระยะโฮวาเป็นพ่อของท่าน—ลก. 2:42, 43, 49 ห20.10 น. 29-30 ว. 13-14
วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม
พระคริสต์ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายแล้ว—1 คร. 15:12
การฟื้นขึ้นจากตายของพระเยซูเป็นเหตุผลที่ทำให้เราเชื่อว่าคนอื่นจะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายแน่นอน ในตอนต้นของบท 15 ที่เปาโลเขียนเกี่ยวกับการฟื้นขึ้นจากตาย เขาพูดถึงความจริง 3 อย่าง คือ (1) “พระคริสต์ยอมตายเพื่อไถ่บาปให้เรา” (2) “ท่านถูกฝังไว้” (3) “ในวันที่สาม [ท่าน] ก็ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นมาตามที่บอกไว้ในพระคัมภีร์” (1 คร. 15:3, 4) การตาย การถูกฝัง และการฟื้นขึ้นจากตายของพระเยซูสำคัญกับเราอย่างไร? อิสยาห์พยากรณ์ว่าเมสสิยาห์จะ “ถูกพรากไปจากผู้คนที่มีชีวิต” และจะ “มีคนจัดหลุมศพของเขาไว้กับคนชั่ว” นอกจากนั้น เมสสิยาห์จะ “แบกบาปของคนจำนวนมาก” พระเยซูทำอย่างนี้โดยสละชีวิตของท่านเป็นค่าไถ่ (อสย. 53:8, 9, 12; มธ. 20:28; รม. 5:8) ดังนั้น การตาย การถูกฝัง และการฟื้นขึ้นจากตายของพระเยซูเป็นพื้นฐานของความหวังที่เราจะหลุดพ้นจากความบาปและความตาย และได้เจอกับคนที่เรารักที่ตายไปแล้วอีกครั้งหนึ่ง ห20.12 น. 2-3 ว. 4-6; น. 5 ว. 11
วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม
ถ้าใครมีเหตุผลที่จะมั่นใจในสิ่งที่มนุษย์มี ผมก็มีเหมือนกัน และถ้ามีใครคิดว่าเขามีเหตุผลที่จะมั่นใจในสิ่งที่มนุษย์มี ผมก็ยิ่งมีมากกว่าอีก—ฟป. 3:4
อัครสาวกเปาโลประกาศในที่ประชุมของชาวยิวบ่อย ๆ เช่น ในเมืองเธสะโลนิกา “เขายกเหตุผลจากพระคัมภีร์คุยกับ [ชาวยิว] 3 วันสะบาโตติดกัน” (กจ. 17:1, 2) เปาโลคงไม่รู้สึกกลัวหรือเกร็งเมื่ออยู่ในที่ประชุมของชาวยิว เพราะเขาเองก็เป็นชาวยิว (กจ. 26:4, 5) เปาโลเข้าใจชาวยิว เขาเลยประกาศด้วยความมั่นใจ (ฟป. 3:5) เปาโลเจอพวกผู้ต่อต้านจนต้องออกจากเมืองเธสะโลนิกาและเมืองเบโรอา พอไปถึงกรุงเอเธนส์ เขาก็ทำเหมือนเดิมอีก เปาโล “ไปที่ประชุมของชาวยิวแล้วยกเหตุผลคุยกับชาวยิวและคนอื่นที่นับถือพระเจ้า” (กจ. 17:17) แต่พอเขาไปประกาศในตลาด คนที่นั่นต่างกันมากกับคนในที่ประชุมของชาวยิว คนที่เปาโลประกาศด้วยมีทั้งพวกนักปรัชญาและคนต่างชาติที่มองว่าเรื่องที่เปาโลประกาศเป็น “คำสอนใหม่” พวกเขาบอกเปาโลว่า “เรื่องที่คุณพูดฟังดูแปลก”—กจ. 17:18-20 ห20.04 น. 9 ว. 5-6
วันพุธที่ 4 พฤษภาคม
เมื่อผมอยากทำสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งชั่วก็อยู่ในตัวผม—รม. 7:21
อย่าคิดว่าตัวเองไร้ค่าเพราะยังเอาชนะจุดอ่อนของตัวเองไม่ได้ ขอให้จำไว้ว่าไม่มีใครในพวกเราเป็นคนดีในสายตาของพระยะโฮวาได้ด้วยตัวเอง เราทุกคนทำผิดกันทั้งนั้น เราเลยจำเป็นต้องมีค่าไถ่ซึ่งเป็นความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า (อฟ. 1:7; 1 ยน. 4:10) และพี่น้องในประชาคมสามารถให้กำลังใจเราได้ ตอนที่เราระบายความรู้สึกกับพวกเขา พวกเขาจะตั้งใจฟังและพูดอะไรที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้ (สภษ. 12:25; 1 ธส. 5:14) จอยพี่น้องหญิงจากไนจีเรียที่ต้องสู้กับความท้อใจบอกว่า “ฉันคิดไม่ออกเลยว่าชีวิตฉันจะเป็นยังไงถ้าไม่มีพี่น้อง พวกเขาเป็นคำตอบของคำอธิษฐานของฉัน พวกเขาช่วยฉันได้มากจริง ๆ ถึงขนาดที่ทำให้ฉันรู้วิธีที่จะให้กำลังใจคนอื่นยังไงด้วยซ้ำ” แต่ขอจำไว้ว่าพี่น้องไม่ได้รู้ทุกครั้งว่าเราต้องการกำลังใจเมื่อไหร่ ฉะนั้น ขอให้เราเข้าไปหาพี่น้องที่มีประสบการณ์และเล่าให้เขาฟังว่าเราต้องการความช่วยเหลือ ห20.12 น. 23-24 ว. 7-8
วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม
ผมเรียกพวกคุณว่าเพื่อน—ยน. 15:15
ถ้าคุณเจอใครสักคนและอยากเป็นเพื่อนกับเขา คุณต้องใช้เวลากับเขา พอได้คุย ได้เล่าความคิดความรู้สึกของกันและกัน คุณก็เป็นเพื่อนกัน แต่ไม่ง่ายที่เราจะเป็นเพื่อนกับพระเยซู เหตุผลอย่างหนึ่งคือเราไม่เคยเจอพระเยซู คริสเตียนหลายคนในศตวรรษแรกก็ไม่เคยเจอพระเยซูเหมือนกัน แต่อัครสาวกเปโตรบอกว่า “ถึงแม้พวกคุณไม่เคยเห็นพระคริสต์ แต่ก็รักท่าน และถึงแม้ตอนนี้พวกคุณยังไม่เห็นท่าน แต่ก็แสดงความเชื่อในตัวท่าน” (1 ปต. 1:8) ดังนั้นเป็นไปได้ที่เราจะเป็นเพื่อนกับพระเยซูถึงแม้เราไม่เคยเจอท่านมาก่อน เหตุผลอีกอย่างคือเราคุยกับพระเยซูไม่ได้ เราอธิษฐานพูดคุยกับพระยะโฮวาเท่านั้น ถึงเราอธิษฐานในนามพระเยซูแต่เราไม่ได้พูดกับพระเยซู ที่จริงพระเยซูไม่ต้องการให้เราอธิษฐานถึงท่าน ทำไม? ก็เพราะการอธิษฐานเป็นการนมัสการอย่างหนึ่ง และมีแค่พระยะโฮวาเท่านั้นที่เราต้องนมัสการ (มธ. 4:10) แต่ถึงเราคุยกับพระเยซูไม่ได้ เราก็รักท่านได้ ห20.04 น. 20 ว. 1-3
วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม
[พระเจ้า] จะทำให้พวกคุณมั่นคง พระองค์จะทำให้พวกคุณเข้มแข็ง—1 ปต. 5:10
นักวิ่งในสมัยกรีกโบราณเจออุปสรรคหลายอย่าง เช่นเขาอาจเหนื่อยมากและก็อาจจะเจ็บด้วย แต่สิ่งที่ช่วยเขามีแค่การฝึกฝนและกำลังของเขาเอง เราก็ได้รับการฝึกว่าจะวิ่งอย่างไรเหมือนกัน แต่เราได้เปรียบกว่า เรามีพลังที่ไม่จำกัดจากพระยะโฮวา ถ้าเราพึ่งพระยะโฮวา พระองค์จะช่วยเรา พระองค์ไม่ได้แค่สัญญาว่าจะฝึกเราเท่านั้น แต่จะทำให้เราเข้มแข็งด้วย เปาโลต้องเจออุปสรรคและปัญหาหลายอย่าง นอกจากเขาจะโดนดูถูกและโดนข่มเหง หลายครั้งเขารู้สึกอ่อนแอและต้องรับมือกับ ‘หนามในร่างกาย’ ด้วย (2 คร. 12:7) แต่เขาไม่ยอมแพ้ เขามองว่านั่นเป็นโอกาสที่จะไว้ใจพระยะโฮวา (2 คร. 12:9, 10) เพราะเปาโลคิดแบบนี้ พระยะโฮวาเลยช่วยเขาตลอดไม่ว่าเขาจะเจออุปสรรคและปัญหาอะไรก็ตาม ห20.04 น. 29 ว. 13-14
วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม
ไม่มีใครจะมาหาผมได้ นอกจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อ . . . จะชักนำเขา—ยน. 6:44
ของขวัญที่มองไม่เห็นอีกอย่างหนึ่งก็คือการได้เป็น “เพื่อนร่วมงาน” กับพระยะโฮวา พระเยซู และทูตสวรรค์ (2 คร. 6:1) เราได้ทำอย่างนั้นเมื่อเราทำงานสอนคนให้เป็นสาวก เปาโลพูดถึงเขาเองและคนที่ทำงานนี้ว่า “เราเป็นเพื่อนร่วมงานของพระเจ้า” (1 คร. 3:9) เราเป็นเพื่อนร่วมงานกับพระเยซูด้วยเมื่อเราทำงานรับใช้ของคริสเตียน ให้เราคิดถึงตอนที่พระเยซูสั่งคนที่ติดตามท่านให้ “ไปสอนคนทุกชาติให้เป็นสาวก” หลังจากนั้นท่านบอกว่า “ผมจะอยู่กับพวกคุณ” (มธ. 28:19, 20) แล้วเราเป็นเพื่อนร่วมงานกับทูตสวรรค์อย่างไร? เรารู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่มีทูตสวรรค์ชี้นำตอนที่เราประกาศ “ข่าวดีที่จะคงอยู่ตลอดไป . . . กับทุกคนบนโลก” (วว. 14:6) ความช่วยเหลือจากสวรรค์ช่วยเราให้ทำงานรับใช้สำเร็จอย่างไร? เมื่อเราหว่านเมล็ดที่เป็นข่าวสารเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า อาจมีบางเมล็ดตกบนหัวใจที่ตอบรับความจริงและเติบโต (มธ. 13:18, 23) ใครทำให้เมล็ดเหล่านั้นเติบโตและเกิดดอกออกผล? พระเยซูให้คำตอบในข้อคัมภีร์วันนี้ ห20.05 น. 30 ว. 14-15
วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม
เลิกเลียนแบบคนในโลกนี้—รม. 12:2
หลายล้านครอบครัวในทุกวันนี้ต้องแตกแยกกันเพราะการหย่าร้าง แม้แต่ครอบครัวที่อยู่ในบ้านหลังเดียวกันก็เป็นเหมือนคนแปลกหน้า ผู้ให้คำปรึกษาด้านครอบครัวคนหนึ่งบอกว่า “พ่อแม่ลูกต่างคนต่างไม่คุยกันเพราะอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต มือถือ หรือวีดีโอเกม ถึงจะอยู่บ้านเดียวกัน พวกเขาแทบไม่รู้จักกันเลย” เราไม่อยากเป็นเหมือนคนในโลกที่ไม่รักกัน แต่เราอยากจะแสดงความรักให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่กับคนในครอบครัวของเราเท่านั้นแต่กับพี่น้องคริสเตียนของเราด้วย (รม. 12:10) จริง ๆ แล้วเราต้องรักพี่น้องคริสเตียนให้มากพอ ๆ กับคนในครอบครัวที่เราสนิท ถ้าเราแสดงความรักแบบนี้ เราก็กำลังช่วยให้พี่น้องเป็นหนึ่งเดียวกันซึ่งนี่เป็นสิ่งที่สำคัญในการนมัสการพระยะโฮวา—มคา. 2:12 ห21.01 น. 20 ว. 1-2
วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม
ขอช่วยผมให้เกรงกลัวชื่อของพระองค์หมดหัวใจ—สด. 86:11
ทีมฟุตบอลที่ร่วมมือกันทั้งทีมจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าทีมที่ไม่ร่วมมือกัน หัวใจของคุณก็เป็นเหมือนทีมที่ประสบความสำเร็จได้ถ้าสิ่งที่คุณคิด สิ่งที่คุณต้องการ และสิ่งที่คุณรู้สึกเป็นไปตามมาตรฐานของพระยะโฮวา จำไว้ว่าซาตานอยากให้คุณแบ่งหัวใจ นั่นคืออยากให้ความคิด ความต้องการ และความรู้สึกของคุณขัดกับมาตรฐานของพระยะโฮวา เช่น คุณอยากทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่คุณก็รู้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าอยากให้คุณทำ แต่เพื่อจะรับใช้พระยะโฮวา คุณต้องให้พระองค์ทั้งใจ (มธ. 22:36-38) อย่าให้ซาตานมาทำให้คุณแบ่งหัวใจ ขอให้คุณอธิษฐานถึงพระยะโฮวาเหมือนดาวิดว่า “ขอช่วยผมให้เกรงกลัวชื่อของพระองค์หมดหัวใจ” ให้คุณพยายามเต็มที่ที่จะใช้ชีวิตตามคำอธิษฐานนี้ในแต่ละวัน ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ขอให้คุณทำในแบบที่แสดงว่าคุณเกรงกลัวชื่อของพระยะโฮวา เมื่อคุณทำแบบนี้คุณก็เป็นพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งที่ช่วยผู้คนให้มองพระยะโฮวาอย่างถูกต้องตอนที่เขาได้ยินชื่อของพระองค์ (สภษ. 27:11) แล้วเราทุกคนก็จะพูดได้เหมือนกับผู้พยากรณ์มีคาห์ว่า “เราจะเดินในชื่อของพระยะโฮวาพระเจ้าของเราตลอดไป”—มคา. 4:5; เชิงอรรถ ห20.06 น. 13 ว. 17-18
วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม
เขาจะโกรธจัดแล้วทำลายหลายคนให้ย่อยยับ—ดนล. 11:44
การโจมตีของกษัตริย์ทิศเหนือและรัฐบาลต่าง ๆ จะทำให้พระเจ้าผู้มีพลังอำนาจสูงสุดโกรธมาก และหลังจากนั้นสงครามอาร์มาเกดโดนจะเริ่มขึ้น (วว. 16:14, 16) ในตอนนั้น กษัตริย์ทิศเหนือและรัฐบาลอื่น ๆ ที่รวมตัวกันเป็นโกกแห่งมาโกกจะถูกทำลาย และจะ “ไม่มีใครช่วยเขาได้” (ดนล. 11:45) ดาเนียล 12:1 บอกรายละเอียดมากขึ้นว่ากษัตริย์ทิศเหนือและรัฐบาลอื่น ๆ จะพบจุดจบอย่างไร และยังบอกด้วยว่าเราจะได้รับการช่วยให้รอดอย่างไร ข้อนี้พูดถึงมีคาเอลซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของพระเยซูคริสต์ของเราที่กำลังปกครองอยู่ ท่าน “คอยช่วยเหลือ” คนของพระเจ้าตั้งแต่ปี 1914 เมื่อท่านเป็นกษัตริย์ในรัฐบาลของพระองค์ในสวรรค์ อีกไม่นานท่านจะ “เริ่มปฏิบัติการ” ซึ่งก็คือทำลายศัตรูในสงครามอาร์มาเกดโดน สงครามนั้นจะเป็นส่วนสุดท้ายของเหตุการณ์ที่ดาเนียลเรียกว่า “ช่วงเวลาที่ทุกข์ยากลำบาก” ที่สุด—วว. 6:2; 7:14 ห20.05 น. 15-16 ว. 15-17
วันพุธที่ 11 พฤษภาคม
โยเซฟถูก . . . พามาอียิปต์—ปฐก. 39:1
ตอนที่โยเซฟเป็นทาสและต่อมาก็ต้องติดคุก เขาไม่มีอิสระอะไรเลย และถึงเขาจะอยากเปลี่ยนสภาพการณ์ในชีวิต เขาก็ทำไม่ได้ แต่อะไรช่วยให้เขาคิดบวกอยู่เสมอ? แทนที่เขาจะเอาแต่คิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ เขาตั้งใจทำงานที่ตัวเองได้รับมอบหมายอย่างขยันขันแข็ง และให้พระยะโฮวาเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา เพราะอย่างนั้นพระยะโฮวาเลยอวยพรทุกสิ่งที่เขาทำ (ปฐก. 39:21-23) เรื่องราวของโยเซฟเตือนเราว่าโลกนี้โหดร้ายและคนในโลกนี้จะทำกับเราอย่างไม่ยุติธรรม แม้แต่พี่น้องบางคนอาจจะทำให้เราเสียใจในบางครั้งก็ได้ แต่ถ้าเรามองพระยะโฮวาว่าเป็นเหมือนหินที่แข็งแกร่งหรือที่หลบภัยของเรา เราจะไม่ท้อใจมากเกินไปหรือเลิกรับใช้พระองค์ (สด. 62:6, 7; 1 ปต. 5:10) อย่าลืมว่าโยเซฟคงอายุประมาณ 17 ตอนที่พระยะโฮวาให้เขาฝัน 2 เรื่องนั้น เราเห็นได้ชัดว่าพระยะโฮวามั่นใจในวัยรุ่นที่รับใช้พระองค์ วัยรุ่นหลายคนในทุกวันนี้ก็มีความเชื่อในพระยะโฮวาเหมือนกับโยเซฟ บางคนถึงกับต้องติดคุกอย่างไม่ยุติธรรมเพราะพวกเขารักษาความซื่อสัตย์ต่อพระองค์—สด. 110:3 ห20.12 น. 16 ว. 3; น. 17 ว. 5-7
วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม
พวกเขา . . . เรียกพวกอัครสาวกมาเฆี่ยนและสั่งพวกเขาให้เลิกพูดในนามพระเยซู—กจ. 5:40
อัครสาวกเปโตรและยอห์นมองว่าเป็นเกียรติอย่างสูงที่พวกเขาถูกข่มเหงเพราะเป็นสาวกของพระเยซูและได้สอนเรื่องของท่าน (กจ. 4:18-21; 5:27-29, 41, 42) คนที่เป็นคริสเตียนไม่มีอะไรจะต้องอายเพราะพวกเขาทำสิ่งดี ๆ ให้ผู้คนมากกว่าสิ่งที่พวกผู้ต่อต้านคนไหนเคยทำ ตัวอย่างเช่น หนังสือที่พวกเขาบางคนได้รับการดลใจให้เขียนช่วยผู้คนหลายล้านคนให้มีชีวิตดีขึ้นและช่วยให้ผู้คนมีความหวังแท้ในอนาคต และรัฐบาลที่พวกเขาประกาศก็ปกครองแล้วในสวรรค์ตอนนี้ และอีกไม่นานรัฐบาลนี้จะปกครองทั่วทั้งโลก กลับกันรัฐบาลโรมันที่ข่มเหงคริสเตียนล่มสลายไปนานแล้ว (มธ. 24:14) นอกจากนั้น ตอนนี้คริสเตียนที่ซื่อสัตย์ปกครองเป็นกษัตริย์ในสวรรค์แต่คนที่เคยข่มเหงพวกเขาก็ตายไปแล้ว และถ้าคนที่ข่มเหงพวกนี้ฟื้นขึ้นจากตาย พวกเขาจะต้องอยู่ใต้การปกครองของรัฐบาลของพระเจ้าซึ่งคนที่ประกาศเรื่องนี้ก็คือคริสเตียนที่พวกเขาเกลียดนั่นแหละ—วว. 5:10 ห20.07 น. 15 ว. 4
วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม
อับราฮัมทำอย่างนี้เพราะเขากำลังรอคอยเมืองที่ตั้งอยู่บนฐานรากที่มั่นคง ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ออกแบบและผู้สร้าง—ฮบ. 11:10
อับราฮัมมั่นใจในคำสัญญาของพระยะโฮวามากจนเหมือนกับว่าเขาได้เห็นเมสสิยาห์หรือผู้ถูกเจิมซึ่งจะเป็นกษัตริย์ในรัฐบาลของพระเจ้า เพราะอย่างนี้พระเยซูถึงบอกกับชาวยิวในสมัยของท่านว่า “อับราฮัมพ่อของพวกคุณดีใจมากที่รู้ว่าจะได้เห็นวันที่ผมจะมา แล้วเขาก็ได้เห็นวันนั้นและมีความสุข” (ยน. 8:56) เห็นได้ชัดเลยว่าอับราฮัมรู้ว่าลูกหลานของเขาบางคนจะได้มีส่วนในรัฐบาลที่พระยะโฮวาตั้งขึ้น และเขารอวันที่พระองค์จะทำให้คำสัญญานั้นเป็นจริง อับราฮัมแสดงให้เห็นอย่างไรว่าเขารอคอยเมืองหรือรัฐบาลที่พระเจ้าออกแบบ? อย่างแรก อับราฮัมไม่ได้เป็นพลเมืองของชาติไหน เขาไม่ได้ลงหลักปักฐานที่ไหน และไม่ได้สนับสนุนกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์คนไหนเลย นอกจากนั้น อับราฮัมไม่ได้พยายามตั้งรัฐบาลหรืออาณาจักรของตัวเองขึ้นมา แต่เขาเชื่อฟังพระยะโฮวาตลอดและรอคอยวันที่พระองค์จะทำให้คำสัญญาเป็นจริง การทำอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าเขามีความเชื่อในพระยะโฮวามากจริง ๆ ห20.08 น. 3 ว. 4-5
วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม
คนที่ตายแล้วก็พ้นโทษจากบาปของเขา—รม. 6:7
พระยะโฮวาสัญญาว่าในโลกใหม่จะไม่มีใครบอกว่า “ฉันป่วย” (อสย. 33:24) ดังนั้น คนตายที่พระยะโฮวาปลุกให้ฟื้นขึ้นมาจะมีร่างกายที่แข็งแรง แต่เขาจะไม่ได้เป็นคนสมบูรณ์แบบในทันที เพราะอะไร? เพราะถ้าเขาเป็นคนสมบูรณ์แบบคนอื่นก็จะจำเขาไม่ได้ ดูเหมือนว่ามนุษย์ทุกคนจะค่อย ๆ เป็นคนสมบูรณ์แบบในช่วงสมัยพันปีที่พระคริสต์ปกครอง และพอถึงตอนจบสมัยพันปี พระเยซูจะคืนอำนาจปกครองให้กับพ่อของท่าน ตอนนั้นรัฐบาลจะทำให้ความประสงค์ของพระยะโฮวาสำเร็จทั้งหมด ซึ่งความประสงค์อย่างหนึ่งที่สำเร็จก็คือการทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นคนสมบูรณ์แบบ (1 คร. 15:24-28; วว. 20:1-3) ลองนึกภาพว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรตอนที่ต้อนรับคนที่คุณรักที่ฟื้นขึ้นมา ตอนนั้นคุณจะหัวเราะอย่างมีความสุขไหม? หรือคุณจะร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตันใจ? ไม่แน่คุณอาจดีใจจนอยากร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวาก็ได้ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ใจคุณจะเต็มไปด้วยความรักที่มีต่อพระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์และลูกชายของพระองค์ เพราะพระองค์ทั้งสองทำให้การฟื้นขึ้นจากตายเกิดขึ้นจริง ห20.08 น. 16-17 ว. 9-10
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม
แต่ละคนได้รับพรจากพระเจ้าไม่เหมือนกัน บางคนครองตัวเป็นโสดได้ ส่วนบางคนก็แต่งงาน—1 คร. 7:7
เปาโลสนับสนุนคริสเตียนให้คิดว่าจะเป็นโสดเพื่อรับใช้พระเจ้าได้ไหม (1 คร. 7:8, 9) เรามั่นใจว่าเปาโลไม่ได้มองว่าคนโสดด้อยกว่าคนอื่น ที่จริงเขาเลือกทิโมธีซึ่งเป็นคนโสดให้ทำงานมอบหมายที่สำคัญด้วย (ฟป. 2:19-22) เห็นได้ชัดเลยว่า เป็นเรื่องผิดที่จะตัดสินว่าพี่น้องชายมีคุณสมบัติที่จะได้รับสิทธิพิเศษหรือไม่แค่เพราะเขาแต่งงานหรือยังไม่ได้แต่งงาน (1 คร. 7:32-35, 38) ทั้งพระเยซูและเปาโลไม่ได้สอนว่าเราต้องแต่งงานหรือต้องอยู่เป็นโสด ถ้าอย่างนั้นเราควรมองการแต่งงานและการเป็นโสดอย่างไร? หอสังเกตการณ์ 1 ตุลาคม 2012 อธิบายอย่างดีในเรื่องนี้ว่า “ที่จริง ทั้งการเป็นโสดและการแต่งงานถือเป็นของประทาน [ของขวัญ] จากพระเจ้า . . . พระยะโฮวาไม่ได้มองว่าการเป็นโสดเป็นเรื่องน่าอายหรือน่าเศร้า” ดังนั้น เราต้องให้เกียรติพี่น้องที่เป็นโสดในประชาคมของเรา ห20.08 น. 28 ว. 8-9
วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม
วันเวลานั้นไม่มีใครรู้ . . . มีแต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อเท่านั้นที่รู้—มธ. 24:36
ในบางประเทศผู้คนสนใจและอยากเรียนข่าวดีมากตอนที่พี่น้องไปประกาศ เรื่องที่พวกเขาได้ยินเป็นเหมือนกับอะไรที่พวกเขารอคอยมานาน ส่วนในบางประเทศผู้คนไม่ค่อยสนใจเรื่องพระเจ้าหรือคัมภีร์ไบเบิลเท่าไร แล้วเขตของคุณล่ะเป็นอย่างไร? ไม่ว่าผู้คนจะสนใจหรือไม่สนใจ พระยะโฮวาก็อยากให้เราทำงานประกาศต่อ ๆ ไปจนกว่าพระองค์จะบอกว่างานนี้เสร็จแล้ว พระยะโฮวาคิดไว้แล้วว่างานประกาศจะต้องสิ้นสุดลงเมื่อไร และพองานนี้เสร็จแล้ว “จุดจบก็จะมาถึง” (มธ. 24:14) พระเยซูบอกล่วงหน้าเกี่ยวกับสมัยสุดท้ายว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างและผู้คนจะเป็นอย่างไร ซึ่งนี่อาจดึงความสนใจสาวกของท่านและทำให้พวกเขาไม่ได้ให้งานประกาศเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ท่านเลยบอกให้สาวกของท่าน “เฝ้าระวังอยู่เสมอ” (มธ. 24:42) ในสมัยของโนอาห์มีหลายอย่างที่ทำให้ผู้คนไม่สนใจคำเตือนของเขา ซึ่งสิ่งเหล่านั้นอาจดึงความสนใจของเราในทุกวันนี้ได้ด้วยเหมือนกัน (มธ. 24:37-39; 2 ปต. 2:5) ดังนั้นเราจะพยายามให้งานมอบหมายที่พระยะโฮวาให้เราทำเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเราอยู่เสมอ ห20.09 น. 8 ว. 1-2, 4
วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม
ทุกคนที่ตั้งใจใช้ชีวิตด้วยความเลื่อมใสพระเจ้าและเป็นสาวกพระคริสต์เยซูต้องถูกข่มเหงกันทั้งนั้น—2 ทธ. 3:12
ซาตาน “โกรธจัด” และถ้าเราคิดว่าเราจะไม่ได้รับผลอะไรเลย เราก็กำลังหลอกตัวเอง (วว. 12:12) ในอนาคตเราทุกคนจะต้องถูกทดสอบความเชื่อ อีกไม่นาน “จะมีความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นนับตั้งแต่มีโลกมาจนถึงเดี๋ยวนี้” (มธ. 24:21) ตอนนั้นคนในครอบครัวอาจจะต่อต้านเรา และงานของเราอาจจะถูกสั่งห้าม (มธ. 10:35, 36) เราจะพึ่งพระยะโฮวาโดยให้พระองค์ดูแลและปกป้องเราเหมือนที่อาสาทำไหม? (2 พศ. 14:11) พระยะโฮวาเตรียมสิ่งต่าง ๆ เพื่อช่วยให้เราเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พระองค์ใช้ “ทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม” ให้ “อาหาร . . . ตามเวลาที่เหมาะสม” เพื่อช่วยเราให้มีความเชื่อที่เข้มแข็ง (มธ. 24:45) แต่เราก็ต้องทำส่วนของเราด้วย เราต้องพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อรักษาความเชื่อให้เข้มแข็งอยู่เสมอ—ฮบ. 10:38, 39 ห20.09 น. 18 ว. 16-18
วันพุธที่ 18 พฤษภาคม
ใจของกษัตริย์เป็นเหมือนสายน้ำในมือพระยะโฮวา พระองค์บังคับมันให้ไปตามทางที่พระองค์ต้องการ—สภษ. 21:1
พระยะโฮวาอาจใช้พลังบริสุทธิ์ของพระองค์เพื่อทำให้คนที่มีอำนาจทำตามสิ่งที่พระองค์ต้องการ เหมือนกับมนุษย์ที่สามารถขุดคลองเพื่อเปลี่ยนทางน้ำให้ไปตามทิศทางที่เขาต้องการ พระยะโฮวาก็สามารถใช้พลังของพระองค์เพื่อเปลี่ยนความคิดของคนที่มีอำนาจเพื่อทำให้ความประสงค์ของพระองค์สำเร็จ คนที่มีอำนาจเหล่านั้นจะถูกกระตุ้นให้ตัดสินใจในแบบที่เป็นประโยชน์กับคนของพระเจ้า (เทียบกับเอสรา 7:21, 25, 26) เราทำอะไรได้? เราสามารถอธิษฐานเพื่อ “กษัตริย์ และคนที่อยู่ในตำแหน่งสูง” ตอนที่พวกเขากำลังจะตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ที่มีผลกับชีวิตและงานรับใช้ของคริสเตียน (1 ทธ. 2:1, 2; นหม. 1:11) เหมือนกับคริสเตียนในสมัยศตวรรษแรก เราก็สามารถอธิษฐานอย่างจริงจังถึงพระเจ้าเพื่อพี่น้องของเราที่ติดคุกอยู่ได้—กจ. 12:5; ฮบ. 13:3 ห20.11 น. 15 ว. 13-14
วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม
ให้พวกคุณไปสอนคนทุกชาติให้เป็นสาวก ให้พวกเขารับบัพติศมา—มธ. 28:19
ถ้านักศึกษาของคุณรับบัพติศมา คุณคงตื่นเต้นและมีความสุขใช่ไหม? (1 ธส. 2:19, 20) คนที่เพิ่งรับบัพติศมาไม่ได้เป็นแค่ “หนังสือแนะนำตัว” ของผู้นำการศึกษาเท่านั้นแต่เป็นของทั้งประชาคมด้วย (2 คร. 3:1-3) น่าดีใจจริง ๆ ที่ภายในช่วง 4 ปี มีการส่งรายงานการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลประมาณ 10 ล้านรายในแต่ละเดือน และในช่วง 4 ปีนั้นมีคนที่รับบัพติศมาเป็นพยานฯ โดยเฉลี่ยมากกว่า 280,000 คนในแต่ละปี แต่เราจะช่วยนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลที่เหลือให้รับบัพติศมาด้วยได้อย่างไร? ในช่วงที่พระยะโฮวายังเปิดโอกาสให้หลายคนเข้ามาเป็นสาวกของพระเยซู เราอยากจะทำให้ดีที่สุดเพื่อช่วยทุกคนให้ก้าวหน้าและรับบัพติศมาให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เวลากำลังจะหมดอยู่แล้ว!—1 คร. 7:29ก; 1 ปต. 4:7 ห20.10 น. 6 ว. 1-2
วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม
พระเจ้าต่อต้านคนหยิ่ง แต่พระองค์แสดงความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ต่อคนอ่อนน้อมถ่อมตน—ยก. 4:6
ซาอูลไม่เชื่อฟังพระยะโฮวา พอผู้พยากรณ์ซามูเอลมาพูดกับเขา เขาก็ไม่ยอมรับ แต่กลับพยายามแก้ตัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แล้วก็ยังโทษคนอื่นด้วย (1 ซม. 15:13-24) จริง ๆ ก่อนหน้านี้ซาอูลก็เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนแล้ว (1 ซม. 13:10-14) น่าเสียดายที่ซาอูลปล่อยให้หัวใจของเขาหยิ่งทะนง เขาไม่ยอมเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเอง นี่เลยทำให้พระยะโฮวาตำหนิเขาและไม่ยอมรับเขาอีกต่อไป ถ้าเราไม่อยากเป็นเหมือนซาอูล เราต้องถามตัวเองว่า ‘เวลาอ่านคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิล ฉันชอบหาข้อแก้ตัวเพื่อจะไม่ทำตามไหม? ฉันคิดไหมว่าเรื่องที่ฉันทำ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร? ฉันชอบโทษคนอื่นไหม?’ ถ้ามีสักข้อที่เราตอบว่า ใช่ ก็แสดงว่าเราต้องเปลี่ยนความคิด ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็จะกลายเป็นคนหยิ่ง และพระยะโฮวาก็จะไม่ยอมรับเราเป็นเพื่อนของพระองค์อีกต่อไป ห20.11 น. 20 ว. 4-5
วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม
ขอให้คิดถึงผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ตอนที่คุณยังเป็นหนุ่มเป็นสาว ก่อนถึงช่วงที่ยากลำบากและก่อนถึงเวลาที่คุณจะบอกว่า “ชีวิตไม่มีอะไรดีเลย”—ปญจ. 12:1
วัยรุ่น ให้คุณตัดสินใจว่าคุณจะรับใช้ใคร คุณต้องรู้ว่าพระยะโฮวาเป็นใครจริง ๆ รู้ว่าความต้องการของพระองค์คืออะไร และรู้ว่าคุณจะทำตามความต้องการของพระองค์ได้อย่างไร และคุณต้องมั่นใจว่าสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลพูดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เป็นความจริง (รม. 12:2) พอคุณทำแบบนี้แล้ว คุณก็จะตัดสินใจเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณได้ คือการเลือกรับใช้พระยะโฮวา (ยชว. 24:15) ถ้าคุณมีตารางอ่านและศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและทำตามนั้นเป็นประจำ คุณก็จะรักพระยะโฮวามากขึ้นและเชื่อในพระองค์มากขึ้นเรื่อย ๆ ให้ความต้องการของพระยะโฮวาสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ โลกของซาตานสัญญาว่าถ้าคุณใช้ความสามารถของคุณเพื่อตัวเอง คุณก็จะมีความสุข แต่จริง ๆ แล้วคนที่สนใจแต่เป้าหมายเกี่ยวกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ จะทำให้ “ตัวเขาเองต้องเจ็บปวดรวดร้าว” (1 ทธ. 6:9, 10) แต่ถ้าคุณเลือกเชื่อฟังพระยะโฮวาและให้ความต้องการของพระองค์สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ คุณก็จะ “ประสบความสำเร็จในชีวิต และตัดสินใจได้อย่างฉลาดสุขุม”—ยชว. 1:8 ห20.10 น. 30-31 ว. 17-18
วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม
ผมต้องประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า . . . เพราะพระเจ้าส่งผมมาเพื่อทำงานนี้—ลก. 4:43
ในศตวรรษแรก พระเยซูเริ่มประกาศเรื่องที่ให้ความหวังกับมนุษย์ทุกคน ท่านสั่งสาวกของท่านให้ทำงานนี้ต่อไป “จนถึงสุดขอบโลก” (กจ. 1:8) พวกเขาไม่สามารถทำงานนี้ด้วยกำลังของตัวเองได้แน่ ๆ พวกเขาต้องมี “ผู้ช่วย” ซึ่งก็คือพลังบริสุทธิ์ที่พระเยซูสัญญาว่าจะให้กับพวกเขา (ยน. 14:26; ศคย. 4:6) สาวกของพระเยซูได้รับพลังบริสุทธิ์ในวันเพ็นเทคอสต์ปี ค.ศ. 33 พลังนี้ช่วยให้พวกเขาเริ่มประกาศทันทีและในเวลาไม่นานก็มีหลายพันคนที่ตอบรับความจริง (กจ. 2:41; 4:4) ตอนที่เจอการต่อต้านพวกสาวกไม่ได้กลัวและเลิกประกาศ แต่พวกเขาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า พวกเขาอธิษฐานว่า “ขอช่วยพวกเราที่เป็นทาสของพระองค์ให้กล้าประกาศคำสอนของพระองค์ต่อไป” พอพวกเขาอธิษฐานเสร็จ พวกเขาก็ “เต็มไปด้วยพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าและประกาศคำสอนของพระองค์ต่อไปอย่างกล้าหาญ”—กจ. 4:18-20, 29, 31 ห20.10 น. 21 ว. 4-5
วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม
พระคริสต์ยอมตายเพื่อไถ่บาปให้เราตามที่บอกไว้ในพระคัมภีร์และ . . . ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นมา—1 คร. 15:3, 4
มีหลายคนเห็นพระเยซูและยืนยันว่าท่านฟื้นขึ้นจากตายแล้ว (1 คร. 15:5-7) คนแรกที่เปาโลพูดถึงก็คือเปโตร (เคฟาส) และพวกอัครสาวกคนอื่น ๆ ก็พูดเหมือนกันว่าเปโตรเป็นคนที่เห็นพระเยซูฟื้นขึ้นจากตาย (ลก. 24:33, 34) นอกจากนั้น “อัครสาวกทั้ง 12 คน” ก็ได้เจอพระเยซูตอนที่ท่านฟื้นขึ้นจากตายแล้ว และหลังจากนั้น “พระคริสต์ปรากฏตัวต่อพี่น้องมากกว่า 500 คน” ซึ่งน่าจะเป็นเหตุการณ์เดียวกันกับที่ท่านไปเจอกับพวกสาวกที่กาลิลีเหมือนที่บอกไว้ในมัทธิว 28:16-20 พระเยซู “ปรากฏตัวให้ยากอบเห็น” ด้วย ยากอบคนนี้น่าจะเป็นน้องชายของพระเยซูที่ก่อนหน้านี้ไม่เชื่อในตัวท่าน แต่หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นเขาก็มั่นใจว่าพระเยซูเป็นเมสสิยาห์ (ยน. 7:5) ประมาณปี ค.ศ. 55 ตอนที่เปาโลเขียน 1 โครินธ์บท 15 หลายคนที่เห็นพระเยซูฟื้นขึ้นจากตายยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นถ้ามีใครสงสัยว่าพระเยซูฟื้นขึ้นจากตายจริง ๆ ไหม พวกเขาก็ไปคุยกับคนที่เห็นเหตุการณ์จริงได้ ห20.12 น. 5 ว. 7-8
วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม
พระยะโฮวาจะดูแลเมื่อเขานอนป่วยอยู่บนเตียง—สด. 41:3
อาจจะเป็นเรื่องยากที่เราจะคิดบวกตอนที่เราไม่สบายโดยเฉพาะถ้าเราป่วยมานานและไม่หายสักที ดังนั้นเราต้องขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา แต่ถึงพระยะโฮวาจะไม่ช่วยให้เราหายป่วยในตอนนี้ พระองค์ก็จะช่วยให้เราเข้มแข็งและมีกำลังใจที่จะอดทนได้ (สด. 94:19) ตัวอย่างเช่น พระองค์อาจจะกระตุ้นพี่น้องบางคนให้มาช่วยงานบ้าน หรืออาจกระตุ้นพี่น้องให้อธิษฐานด้วยกันกับเรา หรือพระองค์อาจช่วยให้เรานึกข้อคัมภีร์บางข้อออกได้ เช่นข้อที่ให้กำลังใจว่าชีวิตในโลกใหม่จะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีความเจ็บปวด และไม่ต้องมีใครป่วยอีกเลย (รม. 15:4) แต่เราอาจจะท้อใจเพราะประกาศได้ไม่มากอย่างที่อยากทำ พี่น้องลอเรลที่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาต้องอยู่ในปอดเหล็กนานถึง 37 ปี เธอยังเป็นโรคมะเร็งอีก ต้องผ่าตัดใหญ่หลายครั้ง และหนำซ้ำยังเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังด้วย แต่ก็ไม่มีอะไรมาทำให้เธอไม่ได้ประกาศ เธอประกาศกับพยาบาลและคนที่มาดูแลเธอที่บ้าน และช่วยอย่างน้อย 17 คนให้มาเป็นพยานฯ ห20.12 น. 24 ว. 9; น. 25 ว. 12
วันพุธที่ 25 พฤษภาคม
พระยะโฮวาอยู่ฝ่ายผม ผมจะไม่กลัวอะไร มนุษย์จะทำอะไรผมได้?—สด. 118:6
เปาโลต้องการความช่วยเหลือ ประมาณปี ค.ศ. 56 ฝูงชนลากเปาโลออกไปนอกวิหารในกรุงเยรูซาเล็มและพยายามจะฆ่าเขา วันถัดมา เขาก็ถูกพาตัวไปขึ้นศาลแซนเฮดริน ตอนนั้นเขาเกือบถูกพวกศัตรูฉีกออกเป็นชิ้น ๆ (กจ. 21:30-32; 22:30; 23:6-10) เปาโลคงจะคิดว่า ‘แล้วผมจะทนแบบนี้ไปได้นานแค่ไหน?’ เปาโลได้รับความช่วยเหลืออะไร? คืนนั้น พระเยซู “ผู้เป็นนาย” มายืนอยู่ข้างเปาโลและบอกว่า “กล้าหาญไว้ คุณได้ประกาศเกี่ยวกับผมอย่างทั่วถึงในกรุงเยรูซาเล็มแล้ว คุณจะต้องประกาศอย่างนั้นในกรุงโรมด้วย” (กจ. 23:11) นี่เป็นกำลังใจที่มาถูกเวลาจริง ๆ! พระเยซูชมเปาโลที่เขาประกาศในกรุงเยรูซาเล็ม ท่านรับรองกับเขาว่าเขาจะถึงกรุงโรมอย่างปลอดภัยและจะได้ประกาศที่นั่นด้วย พอได้ยินอย่างนี้เปาโลคงต้องรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเหมือนกับเด็กที่อยู่ในอ้อมกอดของพ่อแน่ ๆ ห20.11 น. 12 ว. 1, 3; น. 13 ว. 4
วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม
ความหวังนี้ . . . มั่นคงแน่นอน—ฮบ. 6:19
ความหวังเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า “เป็นเหมือนสมอเรือของชีวิต” ที่ช่วยเราสงบใจได้ตอนที่เจอความลำบากหรือตอนที่รู้สึกกังวล ให้คุณคิดถึงคำสัญญาของพระยะโฮวาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตอนนั้นจะไม่มีอะไรให้คุณต้องกังวลอีกเลย (อสย. 65:17) ให้นึกภาพตัวคุณอยู่ในโลกใหม่ที่สงบสุข ตอนนั้นจะไม่มีสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ที่ทำให้คุณเครียด (มคา. 4:4) นอกจากนั้นให้คุณพยายามมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อประกาศและสอนคนให้เป็นสาวก เมื่อคุณทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ คุณก็ “แน่ใจได้ว่าความหวังของ [คุณ] จะเป็นจริงในที่สุด” (ฮบ. 6:11) ยิ่งโลกนี้ใกล้จะถึงจุดจบมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเจอปัญหาที่ทำให้เครียดหรือกังวลมากขึ้น เราจะรับมือกับปัญหาเหล่านั้นและสงบใจได้โดยวางใจพระยะโฮวาไม่ใช่กำลังของเราเอง ให้เราแสดงให้เห็นว่าเรามั่นใจในคำสัญญาของพระยะโฮวาที่บอกว่า “ถ้าพวกเจ้ามีใจที่สงบและวางใจเรา พวกเจ้าก็จะมีความเข้มแข็ง”—อสย. 30:15 ห21.01 น. 7 ว. 17-18
วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม
พระยะโฮวา . . . มีความเห็นอกเห็นใจจริง ๆ—ยก. 5:11
ขอสังเกตว่าอพยพ 34:6 เชื่อมโยงความรักของพระยะโฮวากับอีกคุณลักษณะหนึ่งที่ทำให้เราอยากใกล้ชิดพระองค์ก็คือ ความเมตตา (ยก. 5:11) วิธีหนึ่งที่พระยะโฮวาเมตตาเราก็คือพระองค์ให้อภัยเราเมื่อเราทำผิด (สด. 51:1) แต่ความเมตตาในคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้หมายถึงแค่การให้อภัยเท่านั้น ความเมตตาเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนที่เราเห็นคนมีความทุกข์และทำให้เราเข้าไปช่วยเขา พระยะโฮวาเมตตาเรา พระองค์อยากจะช่วยเรามาก พระองค์บอกว่าถึงแม่จะมีความรู้สึกอยากจะช่วยลูกมากแค่ไหน พระองค์มีความรู้สึกที่อยากจะช่วยเรามากยิ่งกว่านั้นอีก (อสย. 49:15) และตอนที่เราเจอความทุกข์ ความเมตตาก็กระตุ้นพระองค์ให้ช่วยเรา (สด. 37:39; 1 คร. 10:13) เราจะแสดงความเมตตาได้เหมือนกันโดยให้อภัยพี่น้องและไม่เก็บความแค้นในใจ (อฟ. 4:32) แต่วิธีสำคัญที่เราจะแสดงความเมตตาก็คือการช่วยเหลือพี่น้องตอนที่พวกเขาลำบากและมีปัญหา ถ้าเราทำอย่างนี้ เราก็เลียนแบบพระยะโฮวาพระเจ้าที่แสดงความรักมากกว่าใคร—อฟ. 5:1 ห21.01 น. 21 ว. 5
วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม
พระคริสต์ . . . เป็นตัวอย่างเพื่อให้พวกคุณเดินตามรอยเท้าของท่านอย่างใกล้ชิด—1 ปต. 2:21
หัวหน้าครอบครัวต้องดูแลให้ครอบครัวมีสิ่งจำเป็นในชีวิต แต่มีบางอย่างที่เขาต้องระวังด้วย เขาจะไม่ทำงานหนักจนไม่ได้เอาใจใส่ความเชื่อและความรู้สึกของคนในครอบครัว นอกจากนั้น เขาจะแนะนำและอบรมสั่งสอนคนในครอบครัวด้วย พระยะโฮวาแนะนำและอบรมสั่งสอนเราเพราะพระองค์อยากช่วยเหลือเรา (ฮบ. 12:7-9) เหมือนกับพระยะโฮวา พระเยซูก็แนะนำและอบรมสั่งสอนคนที่อยู่ใต้อำนาจของท่านด้วยความรัก (ยน. 15:14, 15) ท่านให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมาแต่ก็อ่อนโยนด้วย (มธ. 20:24-28) ท่านเข้าใจว่าเราเป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบและทำผิดพลาดบ่อย ๆ (มธ. 26:41) หัวหน้าครอบครัวที่เลียนแบบพระยะโฮวาและพระเยซูจะคิดเสมอว่าคนในครอบครัวของเขาไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ ดังนั้น เขาจะไม่ “เกรี้ยวกราด” กับภรรยาหรือลูก ๆ ของเขาตอนที่พวกเขาทำผิดพลาด (คส. 3:19) แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เขาจะทำตามหลักการที่กาลาเทีย 6:1 และพยายามช่วยพวกเขา “ด้วยความอ่อนโยน” โดยที่คิดว่าตัวเขาเองก็ไม่สมบูรณ์แบบเหมือนกัน และเขารู้ว่าวิธีที่ดีที่สุดที่เขาจะสอนได้ก็คือโดยการวางตัวอย่างที่ดีเหมือนกับที่พระเยซูทำ ห21.02 น. 6-7 ว. 16-18
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม
ทุกสิ่งที่มีลมหายใจ ขอให้สรรเสริญยาห์—สด. 150:6
พระยะโฮวาซื้อชีวิตเราแต่ละคนในประชาคมด้วยค่าไถ่ (มก. 10:45; กจ. 20:28; 1 คร. 15:21, 22) นี่เลยเหมาะมากที่พระยะโฮวาจะแต่งตั้งพระเยซูให้เป็นผู้นำของประชาคม ท่านสละชีวิตเพื่อเรา ท่านเลยมีสิทธิ์ที่จะตั้งกฎว่าเราแต่ละคน แต่ละครอบครัว แต่ละประชาคมควรทำอะไร และท่านก็มีสิทธิ์เรียกร้องให้เราทำตามกฎเหล่านั้น (กท. 6:2) แต่พระเยซูไม่ได้แค่ตั้งกฎเท่านั้น ท่านยังรักและดูแลเราแต่ละคนอย่างดีด้วย (อฟ. 5:29) พี่น้องหญิงแสดงให้เห็นว่าพวกเธอนับถือพระเยซูโดยเชื่อฟังพี่น้องชายที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลพวกเธอ พี่น้องชายแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเข้าใจเรื่องตำแหน่งผู้นำโดยให้เกียรติพี่น้องหญิง ถ้าเราทุกคนเข้าใจและนับถือคนที่พระยะโฮวาแต่งตั้งให้มีอำนาจ เราก็จะช่วยให้ทั้งประชาคมสงบสุขและเป็นหนึ่งเดียวกัน และที่สำคัญที่สุดก็คือเราจะยกย่องสรรเสริญพระยะโฮวาพ่อที่รักบนสวรรค์ของเรา ห21.02 น. 18-19 ว. 14-17
วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม
ดาวิดถามพระยะโฮวา—1 ซม. 30:8
ตอนที่ดาวิดอยู่ฟีลิสเตีย เขากับพรรคพวกต้องออกไปสู้กับศัตรูกลุ่มหนึ่ง แต่พอพวกเขากลับมาบ้าน ปรากฏว่าเมืองที่พวกเขาอยู่ถูกโจมตีและภรรยากับลูก ๆ ของพวกเขาก็ถูกศัตรูอีกกลุ่มหนึ่งจับตัวไป ดาวิดเป็นนักรบที่มีประสบการณ์มาก เขาอาจจะคิดว่าถ้าเขาวางแผนดี ๆ เขาจะไปช่วยครอบครัวของทุกคนได้แน่ ๆ แต่ดาวิดไม่ได้พึ่งความสามารถของตัวเอง เขาขอคำแนะนำจากพระยะโฮวา เขาก็ถามพระยะโฮวาว่า “ผมควรจะไล่ตามโจรพวกนั้นไหม?” พระยะโฮวาบอกให้ดาวิดตามพวกนั้นไปเลย และเขาจะได้ทุกอย่างกลับคืนมาแน่ ๆ (1 ซม. 30:7-10) คุณเรียนอะไรได้จากเรื่องนี้? ก่อนที่คุณจะตัดสินใจ ให้ขอคำแนะนำจากคนอื่นก่อน และคุณที่เป็นวัยรุ่น ให้ลองคุยกับพ่อแม่ดูสิ หรือลองคุยกับผู้ดูแลที่มีประสบการณ์ในประชาคมก็ได้ เขาจะให้คำแนะนำที่ดีกับคุณ พระยะโฮวามองว่าผู้ดูแลเป็นเหมือนกับ “ของขวัญ” ที่พระองค์ให้กับประชาคมและพระองค์ไว้ใจพวกเขา คุณก็ไว้ใจพวกเขาได้เหมือนกัน (อฟ. 4:8) ถ้าคุณเลียนแบบความเชื่อของพวกเขาและทำตามคำแนะนำ คุณจะได้ประโยชน์แน่ ๆ ห21.03 น. 4-5 ว. 10-11
วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม
[ไม่มีอะไรจะ] ขัดขวางความรักที่พระเจ้าแสดงต่อเรา—รม. 8:38, 39
พระเยซูบอกว่าถ้าเราไม่เอาสิ่งที่เรียนไปใช้ เราก็เหมือนกับคนที่สร้างบ้านบนทราย ถึงเขาจะทำงานหนักมากแต่ก็เสียแรงเปล่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? เพราะถ้าบ้านนั้นเจอพายุหรือน้ำท่วมเมื่อไหร่ บ้านนั้นก็จะพัง (มธ. 7:24-27) เหมือนกันถ้าเราอธิษฐาน จินตนาการ และคิดใคร่ครวญ แต่เราไม่เอาสิ่งที่เรียนไปใช้ มันก็เสียแรงเปล่า แล้วถ้าเราเจอปัญหาหรือการต่อต้าน ความเชื่อของเราก็จะไม่เข้มแข็งพอ แต่ถ้าเราศึกษาและเอาไปใช้ เราจะตัดสินใจได้ดีกว่า รู้สึกสงบใจมากกว่า และมีความเชื่อที่เข้มแข็งขึ้น (อสย. 48:17, 18) เพื่อจะรักษาความซื่อสัตย์ได้ตอนที่เจอปัญหาหรือถูกข่มเหง เราต้องพึ่งพระยะโฮวาโดยการอธิษฐานและศึกษาส่วนตัวเป็นประจำ เราต้องจำไว้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่เราทำได้ก็คือการทำให้พระยะโฮวาได้รับการสรรเสริญ เรามั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะไม่มีวันทิ้งเรา และไม่มีใครจะมาขัดขวางพระองค์ไม่ให้รักเราได้—ฮบ. 13:5, 6 ห21.03 น. 15 ว. 6; น. 18 ว. 20