มิถุนายน
วันพุธที่ 1 มิถุนายน
เราจึงไม่ได้ให้แค่ข่าวดีของพระเจ้ากับพวกคุณเท่านั้น แต่ตั้งใจจะให้ชีวิตของเราเองด้วย เพราะพวกคุณเป็นที่รักของเรามาก—1 ธส. 2:8
ผู้นำการศึกษา คุณต้องทำให้นักศึกษาเห็นว่าคุณเป็นห่วงและสนใจเขาจริง ๆ ให้คุณมองเขาว่าอีกไม่นานเขาอาจจะเป็นพี่น้องของคุณ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะเลิกคบกับเพื่อนเก่าและเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อรับใช้พระยะโฮวา ผู้นำการศึกษาที่ดีจะช่วยให้นักศึกษารู้จักกับพี่น้องคนอื่น ๆ ในประชาคมที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเขา เมื่อนักศึกษาได้รู้จักพี่น้องเหล่านี้ เขาก็จะได้ใช้เวลากับพี่น้องที่สามารถช่วยเขาให้สนิทกับพระยะโฮวามากขึ้นและช่วยให้กำลังใจเขาตอนที่เจอกับปัญหา เราอยากให้นักศึกษารู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของประชาคม เราอยากจะช่วยให้เขาเห็นความรักของพี่น้องและทำให้เขาอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวคริสเตียน ถ้านักศึกษาเห็นแบบนี้มันก็จะง่ายขึ้นที่เขาจะเลิกคบกับคนที่ไม่ได้ช่วยให้เขารักพระยะโฮวา (สภษ. 13:20) ถึงเขาจะไม่ได้คบกับเพื่อนเก่าแล้ว แต่เขารู้ว่าเขายังมีเพื่อนแท้ในองค์การของพระยะโฮวา—มก. 10:29, 30; 1 ปต. 4:4 ห20.10 น. 17 ว. 10-11
วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน
พระเจ้ามอบอำนาจให้ผมปกครองทุกสิ่งในสวรรค์และบนโลกนี้แล้ว—มธ. 28:18
เราต้องเป็นเพื่อนกับพระเยซูถ้าเราอยากเป็นเพื่อนกับพระยะโฮวา ทำไม? ให้เรามาดู 2 เหตุผล เหตุผลแรกพระเยซูบอกสาวกว่า “พระเจ้าผู้เป็นพ่อรักพวกคุณเพราะพวกคุณรักผม” (ยน. 16:27) ท่านยังบอกอีกว่า “ไม่มีใครมาถึงพระเจ้าได้นอกจากทางท่าน” (ยน. 14:6) ถ้าเราพยายามเป็นเพื่อนกับพระยะโฮวาแต่ไม่เป็นเพื่อนกับพระเยซูก็เหมือนกับว่าเราพยายามเข้าไปในตึกแต่ไม่ยอมใช้ประตู พระเยซูก็ใช้ตัวอย่างคล้าย ๆ กันเมื่อท่านบอกว่าท่านเป็น “ประตูสำหรับแกะ” (ยน. 10:7) อีกเหตุผลหนึ่งคือพระเยซูเลียนแบบคุณลักษณะของพระยะโฮวาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ท่านบอกสาวกว่า “คนที่ได้เห็นผมก็ได้เห็นพระเจ้าผู้เป็นพ่อด้วย” (ยน. 14:9) ดังนั้นวิธีสำคัญที่เราจะรู้จักพระยะโฮวาคือเรียนเรื่องของพระเยซู เมื่อเราเรียนรู้มากขึ้นเราก็จะรักพระเยซู และเมื่อเรารักพระเยซูมากขึ้นเราก็จะยิ่งรักพ่อของท่านมากขึ้น ห20.04 น. 21-22 ว. 5-6
วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน
เมื่อผมอ่อนแอ . . . ผมก็ยินดี เพราะเมื่อไรที่ผมอ่อนแอ ผมกลับยิ่งเข้มแข็งขึ้น—2 คร. 12:10
คุณกำลังนั่งรถเข็นหรือป่วยจนต้องนอนบนเตียงไหม? คุณแข้งขาไม่ค่อยมีแรงและตาก็ไม่ค่อยดีไหม? แล้วคุณคิดว่าคุณจะวิ่งในทางที่นำไปถึงชีวิตพร้อมกับคนที่อายุน้อยและยังมีสุขภาพดีได้ไหม? ได้แน่นอน! ในพวกเรามีพี่น้องหลายคนที่อายุมากและสุขภาพก็ไม่ค่อยดีแต่ยังวิ่งในทางที่นำไปถึงชีวิต ถ้าพวกเขาพึ่งกำลังของตัวเองคงทำแบบนี้ไม่ได้แน่ ๆ แต่พวกเขาได้รับกำลังจากพระยะโฮวาโดยฟังการประชุมทางโทรศัพท์ หรือบางคนก็ดูวีดีโอการประชุมผ่านทางเว็บไซต์สตรีมมิ่งขององค์การ นอกจากนั้น พวกเขายังทำงานสอนคนให้เป็นสาวกโดยการประกาศกับหมอ พยาบาล หรือญาติ ๆ ถ้าคุณรู้สึกว่ารับใช้พระยะโฮวาไม่ได้มากอย่างที่อยากทำ อย่าเพิ่งท้อหรือคิดว่าจะวิ่งในทางที่นำไปถึงชีวิตต่อไปไม่ไหวแล้ว พระยะโฮวารักคุณเพราะความเชื่อที่คุณมีและที่คุณรับใช้พระองค์อย่างอดทนมานานหลายปี ตอนนี้คุณต้องให้พระยะโฮวาช่วยมากกว่าที่ผ่านมา และพระองค์จะไม่ทิ้งคุณ (สด. 9:10) พระองค์จะใกล้ชิดกับคุณมากขึ้นด้วยซ้ำ ห20.04 น. 29 ว. 16-17
วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน
ผมทำทุกอย่างเพื่อข่าวดี เพื่อผมจะได้ประกาศข่าวดีกับคนอื่น ๆ—1 คร. 9:23
เรื่องอะไรบ้างที่คุณจะคุยกับคนเคร่งศาสนาได้? ให้คุณพยายามหาจุดที่คิดเหมือนกัน เขาอาจจะนมัสการพระเจ้าองค์เดียว อาจเชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยมนุษย์ให้รอด หรือเชื่อว่าตอนนี้เป็นยุคสมัยที่เลวร้ายและอีกไม่นานก็จะถึงจุดจบ แล้วก็ใช้จุดนั้นคุยกับเขาเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล ถ้าคุณทำอย่างนั้น เขาก็อาจสนใจฟังคุณมากขึ้น คุณต้องจำไว้ว่าผู้คนอาจไม่ได้เชื่อทุกสิ่งที่ศาสนาของพวกเขาสอน ถึงคุณจะรู้แล้วว่าคนที่คุณคุยด้วยนับถือศาสนาอะไร แต่คุณต้องพยายามหาว่าจริง ๆ แล้วตัวเขาเชื่ออะไร มิชชันนารีคนหนึ่งสังเกตว่าคนที่เชื่อเรื่องตรีเอกานุภาพ จริง ๆ ก็ไม่เชื่อว่าพระเจ้า พระเยซู และพลังบริสุทธิ์รวมเป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน เขาบอกว่า “ผมจะจำไว้เสมอว่าคนที่คุยด้วยอาจไม่ได้เชื่อทุกเรื่องที่ศาสนาของเขาสอน พอคิดแบบนี้มันก็ง่ายขึ้นเยอะเลยที่ผมจะหาจุดที่คิดเหมือนกัน” ดังนั้น พยายามมองให้ออกว่าคนที่คุณคุยด้วยเชื่ออะไรจริง ๆ ถ้าคุณทำอย่างนั้น คุณก็จะเป็นเหมือนเปาโลที่ “ปรับตัวเป็นคนทุกชนิด”—1 คร. 9:19-22 ห20.04 น. 10 ว. 9-10
วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน
ในช่วงเวลานั้นเพื่อนร่วมชาติของคุณทุกคนที่มีชื่อเขียนไว้ในหนังสือของพระเจ้าจะรอดพ้น—ดนล. 12:1
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราไม่ต้องตกใจจนเกินไป ดาเนียลและยอห์นรับรองว่าคนที่รับใช้พระยะโฮวาและพระเยซูจะได้รับการช่วยให้รอดในช่วงความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่ ดาเนียลบอกว่าคนที่รอดจะมีชื่อ “เขียนไว้ในหนังสือของพระเจ้า” เราจะมีชื่ออยู่ในหนังสือนี้ได้อย่างไร? เราต้องแสดงอย่างชัดเจนว่าเรามีความเชื่อในพระเยซูลูกแกะของพระเจ้า (ยน. 1:29) เราต้องอุทิศตัวให้กับพระเจ้าและรับบัพติศมา (1 ปต. 3:21) และเราต้องสนับสนุนรัฐบาลของพระองค์โดยทำสุดความสามารถเพื่อช่วยคนอื่นให้มารู้จักพระยะโฮวา ตอนนี้เป็นเวลาที่เราต้องสร้างความมั่นใจในพระยะโฮวาและองค์การของพระองค์ให้มากขึ้น และตอนนี้ก็เป็นเวลาที่เราต้องสนับสนุนรัฐบาลของพระเจ้า ถ้าเราทำอย่างนั้น เราจะได้รับการช่วยให้รอดในตอนที่รัฐบาลของพระเจ้ามาทำลายกษัตริย์ทิศเหนือและกษัตริย์ทิศใต้ ห20.05 น. 16 ว. 18-19
วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน
พระยะโฮวา ชื่อของพระองค์คงอยู่ตลอดกาล—สด. 135:13
อาดัมกับเอวารู้ว่าพระเจ้าชื่อยะโฮวา และรู้ความจริงที่สำคัญหลายอย่างเกี่ยวกับพระองค์ พวกเขารู้ว่าพระองค์เป็นผู้สร้าง เป็นผู้ที่ให้หลายอย่างกับพวกเขา ทั้งชีวิต บ้านที่เป็นสวนอุทยานที่สวยงาม และคู่ที่สมบูรณ์แบบ (ปฐก. 1:26-28; 2:18) แต่พวกเขาคิดใคร่ครวญเรื่อย ๆ เกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระยะโฮวาทำเพื่อพวกเขาไหม? เขาสองคนพยายามทำสิ่งต่าง ๆ ที่จะเห็นค่าพระยะโฮวาและรักพระองค์มากขึ้นเรื่อย ๆ ไหม? พอศัตรูของพระเจ้ามาทดสอบพวกเขา ตอนนั้นแหละที่เราเห็นคำตอบชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซาตานทำให้ดูเหมือนว่างูกำลังพูดกับเอวา มันถามเธอว่า “พระเจ้าไม่ให้พวกคุณกินผลไม้ทุกต้นในสวนนี้จริง ๆ หรือ?” (ปฐก. 2:16, 17; 3:1) คำถามนี้มีคำโกหกที่เป็นเหมือนยาพิษซ่อนเอาไว้ จริง ๆ แล้วพระเจ้าบอกว่ามีต้นไม้ต้นเดียวเท่านั้นที่ห้ามกิน (ปฐก. 2:9) พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ใจกว้างมาก แต่ซาตานบิดเบือนความจริง มันทำให้ดูเหมือนว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ใจแคบ เอวาอาจสงสัยว่า ‘มีอะไรดี ๆ ที่พระยะโฮวาไม่อยากให้เรารึเปล่า?’ ห20.06 น. 3-4 ว. 8-9
วันอังคารที่ 7 มิถุนายน
ขอให้ทนกันและกัน และให้อภัยกันอย่างใจกว้างต่อไป—คส. 3:13
พี่น้องบางคนรู้สึกเจ็บใจเพราะสิ่งที่คนอื่นทำกับเขา เปาโลยอมรับว่าหลายครั้งเราก็มี “สาเหตุจะบ่น” พี่น้อง พวกเขาอาจถึงขนาดทำกับเราอย่างไม่ยุติธรรม แต่ถ้าเราไม่ระวังเราก็อาจจะรู้สึกเจ็บใจไม่หาย ความรู้สึกแบบนี้อาจทำให้เราห่างจากประชาคมก็ได้ พาโบลพี่น้องในอเมริกาใต้ถูกใส่ร้ายว่าทำผิด นี่ทำให้เขาสูญเสียสิทธิพิเศษในประชาคม พาโบลบอกว่า “ผมโกรธมากจนผมค่อย ๆ เลิกไปประชุมเลิกไปประกาศ” ส่วนพี่น้องบางคนยังรู้สึกผิดไม่หายเพราะทำบาปร้ายแรง และรู้สึกว่าเขาไม่ดีพอที่พระเจ้าจะรัก ถึงเขาจะกลับใจแล้วแต่เขาก็ยังรู้สึกว่าไม่ดีพอที่จะเป็นพยานฯ คุณรู้สึกอย่างไรกับคนที่เจอปัญหาเหมือนที่พี่น้องเหล่านี้เจอ? ห20.06 น. 19 ว. 6-7
วันพุธที่ 8 มิถุนายน
คนฉลาดมองเห็นอันตรายแล้วหนีไปซ่อนตัว—สภษ. 22:3
เราต้องเรียนรู้ที่จะมองให้ออกว่าอะไรที่จะมีผลเสียกับเรา และพอรู้แล้วเราก็ต้องหลีกเลี่ยงมัน (ฮบ. 5:14) ตัวอย่างเช่น เราต้องเลือกความบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจอย่างฉลาด รายการทีวีและหนังมักจะมีฉากผิดศีลธรรมให้เห็นบ่อย ๆ เราจะไม่ดูรายการแบบนั้นเพราะมันจะทำให้เราค่อย ๆ รักพระยะโฮวาน้อยลง เรารู้ว่าพระยะโฮวาเกลียดการผิดศีลธรรม และคนที่ทำผิดศีลธรรมมีแต่จะทำให้ตัวเองและคนอื่นได้รับความเสียหาย (อฟ. 5:5, 6) เราต้องมองให้ออกด้วยว่าข้อมูลผิด ๆ ที่มาจากคนทรยศพระเจ้าเป็นอันตราย (1 ทธ. 4:1, 7; 2 ทธ. 2:16) ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจจะแพร่เรื่องโกหกเกี่ยวกับพี่น้องของเราหรืออาจทำให้เราเริ่มสงสัยองค์การของพระยะโฮวา เรื่องโกหกแบบนี้ทำให้ความเชื่อของเราอ่อนแอลงได้ เราต้องไม่เชื่อเรื่องโกหกแบบนี้ เพราะอะไร? เพราะเรื่องโกหกเหล่านี้มาจาก “คนที่คิดผิดเพี้ยนและไม่ยอมเข้าใจความจริง” เป้าหมายของพวกเขาก็คืออยากให้เกิดการ “โต้แย้งและโต้เถียง” (1 ทธ. 6:4, 5) พวกเขาอยากให้เราเชื่อคำใส่ร้ายของพวกเขาและอยากให้เราไม่ไว้ใจพี่น้อง ห20.09 น. 29 ว. 13, 15
วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน
อย่าคิดถึงแต่ประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น แต่ให้คิดถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย—1 คร. 10:24
สามีและภรรยาต้องรักและนับถือคู่ของตัวเอง (อฟ. 5:33) คัมภีร์ไบเบิลสอนให้เราคิดถึงการให้แทนที่จะคิดถึงการรับ (กจ. 20:35) อะไรจะช่วยให้สามีและภรรยารักและนับถือคู่ของตัวเอง? คำตอบก็คือความถ่อม ความถ่อมช่วยให้คริสเตียนหลายคนมีชีวิตคู่ที่มีความสุขมากขึ้น ตัวอย่างเช่น สามีที่ชื่อสตีเว่นบอกว่า “ถ้าคุณเป็นทีมเดียวกัน คุณก็จะช่วยกันโดยเฉพาะตอนที่มีปัญหา แทนที่จะคิดว่า ‘อะไรดีที่สุดสำหรับฉัน?’ คุณจะคิดว่า ‘อะไรดีที่สุดสำหรับเรา?’” สเตฟานี่ภรรยาของเขาก็คิดเหมือนกัน เธอบอกว่า “คงไม่มีใครอยากจะอยู่กับคนที่ทำตัวเป็นคู่แข่งหรอก” เธอยังบอกอีกว่า “ตอนที่มีปัญหาเราจะช่วยกันคิดว่าสาเหตุของปัญหาคืออะไร แล้วเราก็จะอธิษฐานด้วยกัน ค้นคว้าด้วยกัน และคุยกันว่าจะแก้ปัญหายังไงค่ะ เราช่วยกันสู้กับปัญหาไม่ใช่สู้กันเอง” สามีภรรยาจะมีความสุขมากกว่าถ้าพวกเขาไม่คิดถึงตัวเองมากเกินไป ห20.07 น. 3-4 ว. 5-6
วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน
ผมก้าวหน้าในทางศาสนายิวยิ่งกว่าเพื่อนร่วมชาติรุ่นเดียวกันหลายคน—กท. 1:14
เราต้องไม่พึ่งกำลังหรือความสามารถของตัวเองในการรับใช้พระยะโฮวา เปาโลเป็นคนมีการศึกษา เขาเรียนจากกามาลิเอลซึ่งเป็นผู้นำชาวยิวที่เป็นที่นับถือมากที่สุดในสมัยนั้น (กจ. 5:34; 22:3) นอกจากนั้น เปาโลเป็นคนสำคัญในสังคมชาวยิวด้วย (กจ. 26:4) แต่เปาโลไม่ได้พึ่งตัวเอง เปาโลไม่เสียใจที่เขาทิ้งสิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นคนสำคัญในสายตาของคนอื่น (ฟป. 3:8) เพราะเปาโลติดตามพระเยซู เขาเลยต้องเจอกับปัญหาหลายอย่าง เขาถูกเพื่อนร่วมชาติเกลียด (กจ. 23:12-14) และทั้ง ๆ ที่เขาเป็นพลเมืองโรมันแต่เขากลับถูกพวกโรมันเฆี่ยนและจับขังคุก (กจ. 16:19-24, 37) นอกจากนั้นเปาโลยังยอมรับว่าการทำสิ่งที่ถูกต้องเป็นเรื่องยากสำหรับเขา (รม. 7:21-25) แต่นี่ไม่ได้ทำให้เขาเลิกติดตามพระเยซู แม้ว่าเขาจะเจอปัญหาหรือรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า เขาบอกว่า “เมื่อผมอ่อนแอ . . . ผมก็ยินดี” เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร? เพราะตอนที่เขาอ่อนแอนั่นแหละเป็นตอนที่เขาเห็นพลังของพระเจ้าช่วยเขา—2 คร. 4:7; 12:10 ห20.07 น. 16 ว. 7-8
วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน
คนที่แสดงความเชื่อในตัวผม . . . จะทำงานใหญ่กว่าที่ผมทำอีก—ยน. 14:12
ทุกวันนี้เราต้องให้งานประกาศเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต พระเยซูบอกล่วงหน้าว่าสาวกของท่านจะประกาศต่อไปหลังจากที่ท่านตาย และพวกเขาจะทำงานนี้มากกว่าที่ท่านทำอีก หลังจากที่พระเยซูฟื้นขึ้นจากตาย ท่านก็ทำการอัศจรรย์โดยให้พวกเขาจับปลาได้เยอะมาก ท่านใช้เหตุการณ์นี้เพื่อเน้นว่างาน “หาคน” เป็นงานที่สำคัญมากกว่างานอื่น ๆ ทั้งหมด (ยน. 21:15-17) ก่อนที่ท่านจะขึ้นไปบนสวรรค์ ท่านบอกสาวกของท่านว่างานประกาศที่ท่านได้เริ่มไว้จะขยายออกไปมากกว่าแค่ในอิสราเอลเท่านั้น (กจ. 1:6-8) หลายปีต่อมาพระเยซูให้อัครสาวกยอห์นเห็นนิมิตเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นใน “วันของผู้เป็นนาย” ในนิมิตนั้นยอห์นเห็นทูตสวรรค์กำลังชี้นำงานประกาศ “ข่าวดีที่จะคงอยู่ตลอดไป” ใน “ทุกประเทศทุกตระกูลทุกภาษาและทุกชนชาติ” (วว. 1:10; 14:6) เห็นได้ชัดว่าพระยะโฮวาอยากให้เราทุกคนมีส่วนร่วมในการประกาศข่าวดีทั่วโลกในทุกวันนี้และทำจนกว่างานนี้จะเสร็จ ห20.09 น. 9 ว. 5
วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน
เพราะความเชื่อ เมื่ออับราฮัมถูกลองใจ ผู้ชายคนนี้ . . . ก็พยายามถวายอิสอัค—ฮบ. 11:17
อับราฮัมมีปัญหาในครอบครัวด้วย ซาราห์ภรรยาที่เขารักมากไม่สามารถมีลูกให้เขาได้ นี่ทำให้พวกเขาเศร้าและผิดหวังเป็นเวลาหลายสิบปี ในที่สุดซาราห์เลยยกสาวใช้ของตัวเองที่ชื่อฮาการ์ให้เป็นภรรยาของอับราฮัมเพื่อเธอจะมีลูกให้พวกเขาได้ แต่พอฮาการ์รู้ว่าตัวเองตั้งท้องอิชมาเอล เธอก็เริ่มดูถูกซาราห์ สถานการณ์ตอนนั้นแย่มากจนซาราห์ไล่ฮาการ์ออกจากบ้าน (ปฐก. 16:1-6) ในที่สุดซาราห์ก็มีลูกชายที่ชื่อว่าอิสอัค อับราฮัมรักลูกชายทั้งสองคนมาก แต่อิชมาเอลทำไม่ดีกับอิสอัคจนถึงขั้นที่อับราฮัมต้องตัดสินใจให้อิชมาเอลกับฮาการ์ออกจากบ้านไป (ปฐก. 21:9-14) หลายปีต่อมา พระยะโฮวาขอให้อับราฮัมถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา (ปฐก. 22:1, 2; ฮบ. 11:17-19) ทั้งสองเหตุการณ์นี้อับราฮัมต้องไว้ใจว่าพระยะโฮวาจะทำให้คำสัญญาเกี่ยวกับลูก ๆ ของเขาเกิดขึ้นจริง ห20.08 น. 4 ว. 9-10
วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน
ปลูกฝังลักษณะนิสัยใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นตามที่พระเจ้าต้องการ ซึ่งเป็นไปตามความถูกต้องชอบธรรมและความภักดีแท้—อฟ. 4:24
ลองคิดดูว่าคนที่ฟื้นขึ้นมาจากตายจะมีความสุขมากขนาดไหนตอนที่พวกเขาพยายามเปลี่ยนแปลงลักษณะนิสัยของตัวเองและใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระเจ้า คนที่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองจะมีโอกาสได้มีชีวิตตลอดไปในสวนอุทยาน ส่วนคนที่ไม่ยอมเปลี่ยน พระเจ้าก็จะไม่ยอมให้เขามีชีวิตอยู่ในสวนอุทยานที่สงบสุขของพระองค์ (อสย. 65:20; ยน. 5:28, 29) ภายใต้การปกครองของพระเจ้า คนของพระองค์ทุกคนก็จะเห็นว่าข้อความในสุภาษิต 10:22 เป็นจริง ที่นั่นบอกว่า “พรจากพระยะโฮวาทำให้มั่งคั่ง และจะไม่ทำให้ปวดร้าวใจเลย” พลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะช่วยให้คนของพระองค์ค่อย ๆ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้น และสุดท้ายพวกเขาก็จะกลายเป็นคนสมบูรณ์แบบ (ยน. 13:15-17; อฟ. 4:23, 24) ในแต่ละวันที่ผ่านไป พวกเขาจะมีสุขภาพดีขึ้นและแข็งแรงขึ้น แถมยังเป็นคนดีขึ้นด้วย ชีวิตในตอนนั้นต้องทำให้มีความสุขมากแน่ ๆ—โยบ 33:25 ห20.08 น. 17 ว. 11-12
วันอังคารที่ 14 มิถุนายน
ให้พวกคุณตั้งใจ . . . อย่าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น—1 ธส. 4:11
เราต้องจำไว้ว่า บางคนตั้งใจเป็นโสด ส่วนบางคนอยากแต่งงานแต่ยังไม่เจอคนที่ใช่ และบางคนเป็นโสดเพราะคู่ของเขาตายจากไป ไม่ว่าเขาจะเป็นโสดเพราะอะไร เหมาะไหมที่พี่น้องในประชาคมจะไปถามเขาว่าทำไมถึงไม่แต่งงานสักทีและพยายามหาคู่ให้เขา? บางคนอาจจะขอให้พี่น้องช่วยหาคู่ให้เขา แต่ถ้าเขาไม่ได้ขอล่ะ คุณคิดว่าพี่น้องที่เป็นโสดจะรู้สึกอย่างไร? (1 ทธ. 5:13) พี่น้องโสดของเราจะรู้สึกขอบคุณถ้าเรามองที่ข้อดีของเขา ไม่ใช่มองว่าเขาแต่งงานหรือยังไม่ได้แต่งงาน ดังนั้นเราควรจะสนใจและเห็นค่าที่พวกเขารับใช้อย่างซื่อสัตย์ไม่ใช่สงสารที่พวกเขายังไม่ได้แต่งงาน พวกเขาจะได้ไม่รู้สึกเหมือนเรากำลังพูดกับพวกเขาว่า ‘ฉันไม่ต้องการคุณ’ (1 คร. 12:21) แต่พวกเขาจะรู้ว่าเราให้เกียรติพวกเขาและมองว่าพวกเขาเป็นส่วนสำคัญในประชาคม ห20.08 น. 29 ว. 10, 14
วันพุธที่ 15 มิถุนายน
พระคริสต์ปรากฏตัวต่อพี่น้องมากกว่า 500 คนในโอกาสเดียวกัน—1 คร. 15:6
ไม่นานหลังจากพระเยซูฟื้นขึ้นจากตายและกลับไปสวรรค์ ท่านก็ปรากฏตัวกับเปาโล (1 คร. 15:8) ตอนนั้นเปาโล (เซาโล) กำลังเดินทางไปกรุงดามัสกัส แล้วเขาก็ได้ยินเสียงของพระเยซู และเห็นนิมิตที่มีท่านอยู่ในสวรรค์ (กจ. 9:3-5) ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับเปาโลยิ่งยืนยันว่า การฟื้นขึ้นจากตายของพระเยซูไม่ใช่แค่เรื่องเล่าเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง (กจ. 26:12-15) สิ่งที่เปาโลพูดเกี่ยวกับการฟื้นขึ้นจากตายของพระเยซูคงเป็นหลักฐานที่หนักแน่นมากสำหรับหลายคน ก่อนหน้านี้เปาโลเคยข่มเหงคริสเตียน แต่พอเขามั่นใจว่าพระเยซูฟื้นขึ้นจากตายแล้ว เขาก็เลยทุ่มเทตัวเองเพื่อช่วยคนอื่นให้มั่นใจในเรื่องนี้ด้วย เขาถึงกับทนถูกเฆี่ยน ถูกจับขังคุก และเรือแตกเพื่อประกาศความจริงว่าพระเยซูตายไปแล้วและตอนนี้ท่านถูกปลุกให้มีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง (1 คร. 15:9-11; 2 คร. 11:23-27) เปาโลมั่นใจมากว่าพระเยซูฟื้นขึ้นจากตายแล้วถึงขนาดที่เขายอมตายเพื่อประกาศเรื่องนี้ คำยืนยันของคริสเตียนในศตวรรษแรกคงต้องทำให้คุณมั่นใจว่าพระเยซูฟื้นขึ้นจากตายแล้วจริง ๆ ใช่ไหม? และนั่นคงทำให้คุณมั่นใจในความหวังเรื่องการฟื้นขึ้นจากตายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมากขึ้นใช่ไหม? ห20.12 น. 3 ว. 8-10
วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน
ถ้าพวกท่านเสาะหา [พระยะโฮวา] พระองค์ก็จะให้พวกท่านได้พบพระองค์—2 พศ. 15:2
ให้เราถามตัวเองว่า ‘ฉันไปประชุมเป็นประจำไหม?’ ตอนที่เราไปประชุม เราได้พลังที่จะรับใช้พระยะโฮวาต่อไปและได้กำลังใจจากพี่น้องที่ทำให้สดชื่นด้วย (มธ. 11:28) และให้เราถามตัวเองอีกว่า ‘ฉันศึกษาคัมภีร์ไบเบิลจนเป็นนิสัยไหม?’ ตัวอย่างเช่น ถ้าเราอยู่กับครอบครัว เราควรจัดเวลานมัสการประจำครอบครัวทุกอาทิตย์ หรือถ้าเราอยู่คนเดียว เราก็ควรจัดเวลาสำหรับการศึกษาส่วนตัวทุกอาทิตย์เหมือนกับคนที่นมัสการประจำครอบครัว นอกจากนั้น เราควรถามตัวเองด้วยว่า ‘ฉันออกประกาศและไปสอนคนอื่นเกี่ยวกับพระยะโฮวามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ไหม?’ ทำไมเราต้องถามตัวเองแบบนั้นด้วย? คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระยะโฮวาตรวจดูความคิดและสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเรา เราก็ควรทำอย่างนั้นเหมือนกันเพื่อจะแน่ใจว่าสิ่งที่อยู่ในความคิดและหัวใจของเราเป็นสิ่งที่พระองค์พอใจจริง ๆ (1 พศ. 28:9) ถ้าเราเห็นว่ามีอะไรที่เราต้องเปลี่ยน อย่างเช่นเป้าหมายหรือว่าความคิดของเรา ก็ให้เราขอพระยะโฮวาช่วยให้เราเปลี่ยนได้ ตอนนี้เป็นเวลาที่เราจะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการทดสอบที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า อย่าให้อะไรมาหยุดคุณไม่ให้ใช้ช่วงเวลาที่สงบสุขนี้อย่างฉลาด ห20.09 น. 19 ว. 19-20
วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน
ถ้าคุณไม่ยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง คุณจะเป็นสาวกของผมไม่ได้—ลก. 14:33
ครั้งหนึ่งพระเยซูใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบเพื่ออธิบายว่าคนที่อยากเป็นสาวกของท่านต้องทำอะไรบ้าง ท่านพูดถึงตัวอย่างของคนที่อยากจะสร้างหอคอยและตัวอย่างของกษัตริย์ที่อยากจะทำสงคราม พระเยซูบอกว่าคนที่จะสร้างหอคอยต้อง “นั่งลงคำนวณค่าใช้จ่ายก่อน” เพื่อที่เขาจะสร้างหอคอยให้เสร็จได้ และคนที่เป็นกษัตริย์ก็ต้อง “นั่งลงคุยกับที่ปรึกษาก่อน” ว่าทหารจะทำตามแผนได้ไหม (ลก. 14:27-32) เหมือนกัน คนที่อยากจะเป็นสาวกของพระเยซูก็ต้องคิดให้ดีว่าการติดตามท่านหมายความว่าเขาต้องเสียสละอะไรบางอย่าง และเพื่อจะช่วยให้เขาเข้าใจเรื่องนี้ เราควรกระตุ้นให้เขาจัดเวลาศึกษากับเราทุกอาทิตย์ คนที่เป็นผู้นำการศึกษาต้องเตรียมตัวอย่างดีสำหรับการศึกษาแต่ละครั้ง ให้คุณคิดถึงนักศึกษาของคุณด้วยว่าคุณจะอธิบายเนื้อหาอย่างไรให้เขาเข้าใจได้ง่ายและเอาไปใช้ในชีวิตได้จริง—นหม. 8:8; สภษ. 15:28ก ห20.10 น. 7 ว. 5; น. 8 ว. 7
วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน
ดังนั้น ให้พวกคุณไปสอนคนทุกชาติให้เป็นสาวก . . . และสอนพวกเขาให้ทำตามทุกสิ่งที่ผมสั่งคุณไว้—มธ. 28:19, 20
คำสั่งของพระเยซูชัดเจนมาก เราต้องสอนผู้คนเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านสั่ง แต่มีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่เราต้องไม่มองข้ามด้วย พระเยซูไม่ได้บอกว่าให้ ‘สอนพวกเขาทุกสิ่งที่ผมสั่งคุณไว้’ แต่ท่านบอกว่าให้สอนพวกเขา “ให้ทำตามทุกสิ่งที่ผมสั่งคุณไว้” เพื่อจะเชื่อฟังคำสั่งนี้ ตอนที่เราสอนนักศึกษา เราต้องไม่ใช่แค่บอกนักศึกษาว่าเขาต้องทำอะไรเท่านั้น แต่เราต้องช่วยให้เขาเห็นด้วยว่าเขาจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร (กจ. 8:31) ตอนที่เราสอนคัมภีร์ไบเบิล เราสอนให้นักศึกษารู้ว่าพระเจ้าอยากให้เขาทำอะไร แต่แค่นั้นยังไม่พอ เราต้องสอนเขาให้รู้ว่าจะเอาสิ่งที่ได้เรียนไปใช้ในชีวิตอย่างไรด้วย (ยน. 14:15; 1 ยน. 2:3) การวางตัวอย่างของเราเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยนักศึกษาได้ เมื่อเห็นตัวอย่างที่ดีของเรา เขาก็จะรู้วิธีเอาหลักการในคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ที่โรงเรียน ที่ทำงาน หรือตอนที่พักผ่อนหย่อนใจได้ นอกจากนั้น ให้อธิษฐานด้วยกันกับนักศึกษา ขอพลังบริสุทธิ์จากพระยะโฮวาให้ชี้นำเขา—ยน. 16:13 ห20.11 น. 2-3 ว. 3-5
วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน
เรายะโฮวาผู้เป็นจอมทัพบอกว่า “เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เพราะกำลังทหารหรือกำลังอย่างอื่น แต่เพราะพลังของเรา”—ศคย. 4:6
สาวกของพระเยซูเจอปัญหาหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น ม้วนหนังสือพระคัมภีร์มีน้อยในตอนนั้นและพวกสาวกก็ไม่มีหนังสืออธิบายคัมภีร์ไบเบิลเหมือนที่เรามีในตอนนี้ นอกจากนั้นยังมีผู้คนอีกหลายภาษาที่พวกเขาต้องประกาศด้วย ถึงแม้พวกสาวกจะเจอปัญหาเหล่านี้ แต่พวกเขาก็ยังสามารถทำสิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ซึ่งก็คือการประกาศข่าวดีไป “ทุกแห่งทั่วใต้ฟ้า” ภายในไม่กี่สิบปี (คส. 1:6, 23) ในปัจจุบัน พระยะโฮวายังคงชี้นำและให้กำลังที่จำเป็นกับสาวกของพระองค์ และส่วนใหญ่พระองค์จะชี้นำเราโดยผ่านทางคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเป็นหนังสือที่ได้รับการดลใจจากพลังบริสุทธิ์ และในคัมภีร์ไบเบิลก็มีเรื่องราวการรับใช้ของพระเยซูและคำสั่งของท่านที่บอกให้สาวกทำงานที่ท่านได้เริ่มเอาไว้ (มธ. 28:19, 20) พระยะโฮวาไม่ลำเอียง พระองค์บอกไว้ล่วงหน้าว่าจะมีการประกาศข่าวดีกับ “ทุกประเทศ ทุกตระกูล ทุกภาษา และทุกชนชาติ” (วว. 14:6, 7) พระองค์อยากให้ทุกคนได้ฟังข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า ห20.10 น. 21 ว. 6-8
วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน
พระองค์ช่วยเหลือคนถ่อมตน แต่พระองค์ต่อต้านคนเย่อหยิ่งและทำให้เขาตกต่ำ—2 ซม. 22:28
ดาวิดรัก “กฎหมายของพระยะโฮวา” มาก (สด. 1:1-3) เขารู้ว่าพระยะโฮวาช่วยเหลือคนถ่อมแต่ต่อต้านคนหยิ่ง เขาเลยให้กฎหมายของพระเจ้าเปลี่ยนความคิดของเขา เขาเขียนว่า “ผมจะสรรเสริญพระยะโฮวาผู้ให้คำแนะนำผม แม้แต่ตอนกลางคืน ส่วนลึกที่สุดของความคิดจิตใจของผมก็ว่ากล่าวแก้ไขผม” (สด. 16:7) ถ้าเราถ่อม เราก็จะให้คัมภีร์ไบเบิลช่วยเราให้เปลี่ยนความคิดที่ไม่ถูกต้องก่อนที่เราจะลงมือทำสิ่งที่ไม่ดี แล้วคัมภีร์ไบเบิลก็จะเป็นเหมือนเสียงที่คอยบอกเราว่า “ทางที่ถูกอยู่ตรงนี้ เดินทางนี้สิ” เสียงนั้นจะคอยเตือนเราเสมอตอนที่เราเริ่มออกนอกลู่นอกทาง (อสย. 30:21) ถ้าเราเชื่อฟังพระยะโฮวา เราก็จะได้ประโยชน์หลายอย่าง (อสย. 48:17) ตัวอย่างเช่น เพราะเราเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว คนอื่นเลยไม่ต้องมาคอยให้คำแนะนำเราซึ่งอาจทำให้เรารู้สึกอาย และเราก็จะสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น เพราะเรารู้ว่าพระองค์รักและห่วงใยเราเหมือนกับลูกของพระองค์—ฮบ. 12:7 ห20.11 น. 20 ว. 6-7
วันอังคารที่ 21 มิถุนายน
พอพวกเขาได้ยินเรื่องการฟื้นขึ้นจากตาย บางคนเยาะเย้ย—กจ. 17:32
ความคิดแบบนี้มีผลกับความคิดของคริสเตียนบางคนในเมืองโครินธ์ (1 คร. 15:12) ส่วนบางคนอาจคิดว่าการฟื้นขึ้นจากตายไม่ได้เกิดขึ้นจริงตามตัวอักษร พวกเขาคิดว่าคนเรา “ตาย” เพราะเป็นคนบาป และ “มีชีวิตอีก” ตอนที่ได้รับการอภัยจากพระเจ้าและเข้ามาเป็นคริสเตียน แต่ไม่ว่าคริสเตียนเหล่านั้นจะไม่เชื่อเรื่องการฟื้นขึ้นจากตายด้วยเหตุผลอะไร ความเชื่อของพวกเขาก็ไม่มีประโยชน์ เพราะอะไร? ถ้าพระยะโฮวาไม่ได้ปลุกพระเยซูให้ฟื้นขึ้นจากตายก็ไม่มีค่าไถ่ และถ้าไม่มีค่าไถ่มนุษย์ทุกคนก็ไม่ได้รับการอภัยบาป ดังนั้นคนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ก็ไม่มีความหวังอะไรเลย (1 คร. 15:13-19; ฮบ. 9:12, 14) เปาโลได้มาเจอกับตัวเองและเข้าใจว่า “พระคริสต์ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายแล้ว” การฟื้นขึ้นจากตายของพระเยซูเหนือกว่าการฟื้นขึ้นจากตายทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เพราะถึงคนเหล่านั้นจะถูกปลุกให้มีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง แต่ในที่สุดพวกเขาก็ต้องตายอยู่ดี เปาโลบอกว่าพระเยซู “เป็นคนแรกที่ถูกปลุกให้ฟื้นจากตาย” ท่านเป็นคนแรกที่ถูกปลุกให้มีร่างกายสำหรับสวรรค์และเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้ขึ้นสวรรค์—1 คร. 15:20; กจ. 26:23; 1 ปต. 3:18, 22 ห20.12 น. 5 ว. 11-12
วันพุธที่ 22 มิถุนายน
พวกเขาจะแจ้งคำตัดสินของพวกอัครสาวกและผู้ดูแลในกรุงเยรูซาเล็มให้พี่น้องที่นั่นรู้เพื่อพวกเขาจะทำตาม—กจ. 16:4
ในศตวรรษแรก คณะกรรมการปกครองในกรุงเยรูซาเล็มทำงานด้วยกันอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวเพื่อช่วยให้พี่น้องมีระเบียบและมีสันติสุข (กจ. 2:42) ตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 49 มีประเด็นเรื่องการเข้าสุหนัต ซึ่งถ้าคริสเตียนยังคิดไม่ลงรอยกันเรื่องนี้ การประกาศก็คงไม่เกิดผล คณะกรรมการปกครองได้รับการชี้นำจากพลังบริสุทธิ์เพื่อจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นชาวยิว แต่พวกเขาก็ไม่ได้รับอิทธิพลจากธรรมเนียมของยิวและจากคนที่สนับสนุนเรื่องนี้ พวกเขาหาคำแนะนำจากพระคัมภีร์และการชี้นำจากพลังบริสุทธิ์ (กจ. 15:1, 2, 5-20, 28) ผลเป็นอย่างไร? พระยะโฮวาอวยพรการตัดสินใจของพวกเขา พี่น้องมีสันติสุขและเป็นหนึ่งเดียวกัน งานประกาศก็ก้าวหน้าและเกิดผลมากมาย (กจ. 15:30, 31; 16:5) ในปัจจุบัน องค์การของพระยะโฮวาช่วยคนของพระองค์มีระเบียบและมีสันติสุข ห20.10 น. 22-23 ว. 11-12
วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน
พระเจ้าได้เลือกโซโลมอนลูกชายของเรา—1 พศ. 29:1
อาจมีหลายอย่างที่ทำให้เราไม่ได้ทำงานมอบหมายที่อยากทำไม่ว่าจะเป็นอายุที่มากขึ้น ปัญหาสุขภาพ หรือเพราะอย่างอื่น ถ้าเราเป็นแบบนั้นขอให้คิดถึงตัวอย่างของกษัตริย์ดาวิด เขาอยากจะสร้างวิหารของพระยะโฮวามาก แต่พระยะโฮวาไม่ได้เลือกเขา พระองค์เลือกคนอื่นให้ทำงานนี้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นกษัตริย์ดาวิดก็ยังสนับสนุนคนที่พระยะโฮวาเลือกอย่างเต็มที่ เขาถึงกับบริจาคเงินและทองมากมายเพื่อสนับสนุนงานนี้ ดาวิดเป็นตัวอย่างที่ดีมากสำหรับเราจริง ๆ (2 ซม. 7:12, 13; 1 พศ. 29:3-5) พี่น้องอูกก์ที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศสมีปัญหาสุขภาพหลายอย่างก็เลยทำให้เขาต้องออกจากการเป็นผู้ดูแล และแม้แต่งานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บ้านเขาก็ยังทำไม่ได้ เขาเขียนว่า “ทีแรกผมท้อใจมากและรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าเลย แต่พอเวลาผ่านไปผมก็เห็นว่ามันสำคัญมากที่ผมจะยอมรับว่ามีบางอย่างที่ผมทำไม่ได้ พอผมคิดอย่างนั้นมันก็ทำให้ผมมีความสุขในสิ่งที่ผมพอทำได้เพื่อพระยะโฮวา เหมือนกิเดโอนกับทหาร 300 คนที่เหนื่อยล้าแต่ก็ยังไล่ตามศัตรูต่อไป ผมก็จะสู้ต่อไปครับ”—วนฉ. 8:4 ห20.12 น. 25 ว. 14-15
วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน
ให้เรารักกันเรื่อยไป—1 ยน. 4:7
ในหนังสือข่าวดีที่ยอห์นเขียน เขาใช้คำว่า “รัก” มากกว่าผู้เขียนหนังสือข่าวดีอีก 3 คนรวมกันซะอีก หนังสือต่าง ๆ ที่ยอห์นเขียนสอนเราว่าทุกอย่างที่คริสเตียนทำต้องมาจากความรัก (1 ยน. 4:10, 11) แต่กว่ายอห์นจะเข้าใจเรื่องนี้ก็ต้องใช้เวลามากเหมือนกัน ตอนที่ยอห์นยังหนุ่ม มีบางครั้งที่เขาไม่ได้แสดงความรัก มีครั้งหนึ่งที่พระเยซูกับพวกสาวกเดินทางผ่านสะมาเรียเพื่อไปที่เยรูซาเล็ม มีหมู่บ้านหนึ่งไม่ต้อนรับพวกเขา เขาเลยถามพระเยซูว่าจะให้เขาเรียกไฟจากฟ้ามาเผาทุกคนในหมู่บ้านนี้เลยไหม (ลก. 9:52-56) มีอีกครั้งหนึ่งที่ยอห์นกับยากอบสองพี่น้องไปบอกแม่ให้ไปขอพระเยซูให้พวกเขามีตำแหน่งสูงและได้อยู่ข้างท่านในรัฐบาลของพระเจ้า พออัครสาวกคนอื่นรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็โกรธมาก (มธ. 20:20, 21, 24) แต่ทั้ง ๆ ที่ยอห์นทำผิดพลาดหลายครั้ง พระเยซูก็ยังรักเขา—ยน. 21:7 ห21.01 น. 8-9 ว. 3-4
วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน
พระคริสต์ . . . ก็ไม่ได้ทำตามใจตัวเอง—รม. 15:3
พระยะโฮวาตัดสินใจเพื่อประโยชน์ของคนอื่น ตัวอย่างเช่น พระองค์ตัดสินใจสร้างชีวิตอื่นขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของพระองค์เอง แต่เพื่อเราจะได้มีความสุขกับการมีชีวิตด้วย นอกจากนั้น ไม่มีใครบังคับพระยะโฮวาให้ส่งลูกชายของพระองค์มาตายเพื่อเรา แต่พระองค์ก็เต็มใจทำแบบนั้นเพราะพระองค์อยากช่วยเรา พระเยซูก็ตัดสินใจเพื่อประโยชน์ของคนอื่นเหมือนกัน เช่น ท่านเลือกที่จะสอนฝูงชนแทนที่จะพักให้ตัวเองหายเหนื่อย (มก. 6:31-34) หัวหน้าครอบครัวที่ดีรู้ว่าสิ่งหนึ่งที่ยากที่สุดที่เขาต้องทำก็คือการตัดสินใจเรื่องที่มีผลกับครอบครัวของเขา เขารู้ว่านี่เป็นหน้าที่รับผิดชอบที่สำคัญ เขาจะพยายามไม่ตัดสินใจในแบบที่ไม่มีเหตุผลหรือใช้อารมณ์ของตัวเอง แต่เขาจะยอมให้พระยะโฮวาสอนว่าเขาควรตัดสินใจยังไง (สภษ. 2:6, 7) เมื่อเขาทำอย่างนี้ เขาก็จะตัดสินใจเพื่อประโยชน์ของคนอื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง (ฟป. 2:4) ถ้าคนที่เป็นสามีพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเลียนแบบตัวอย่างของพระยะโฮวาและพระเยซู เขาจะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี ห21.02 น. 7 ว. 19-21
วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน
อาสาทำสิ่งที่พระยะโฮวาพระเจ้าของเขาเห็นว่าดีและถูกต้อง—2 พศ. 14:2
ตอนที่กษัตริย์อาสาอายุยังไม่มาก เขาเป็นคนถ่อมและกล้าหาญ ตัวอย่างเช่น ตอนที่เขาเป็นกษัตริย์ต่อจากอาบียาห์พ่อของเขา เขาก็เริ่มกวาดล้างรูปเคารพให้หมดไปจากประเทศ แล้วเขายัง “บอกให้ชาวยูดาห์รับใช้พระยะโฮวาพระเจ้าของปู่ย่าตายายและทำตามกฎหมายและคำสั่งของพระองค์” ด้วย (2 พศ. 14:1-7) และตอนที่เศราห์ชาวเอธิโอเปียยกกองทัพที่มีทหาร 1 ล้านคนมาสู้กับยูดาห์ กษัตริย์อาสาทำสิ่งที่ฉลาดมาก เขาอ้อนวอนพระยะโฮวาว่า “พระยะโฮวา ไม่ว่าคนที่พระองค์ช่วยจะมีจำนวนมากหรือน้อย เข้มแข็งหรืออ่อนแอ พระองค์ก็ช่วยได้ พระยะโฮวาพระเจ้าของพวกเรา ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย เพราะพวกเราพึ่งพระองค์” คำพูดของอาสาทำให้เราเห็นว่าเขามั่นใจว่าพระยะโฮวาจะช่วยเขาและประชาชนได้จริง ๆ อาสาไว้ใจพ่อในสวรรค์ของเขา และ “พระยะโฮวาจึงทำให้ชาวเอธิโอเปียแพ้” (2 พศ. 14:8-12) ตอนที่อาสาถูกโจมตีจากกองทัพเอธิโอเปียที่มีทหาร 1 ล้านคน มันคงเป็นปัญหาที่ใหญ่มากสำหรับเขา แต่เพราะเขาพึ่งพระยะโฮวา เขาก็เลยผ่านมันมาได้ ห21.03 น. 5 ว. 12-13
วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน
ให้รักกันแบบพี่น้อง—รม. 12:10
คัมภีร์ไบเบิลมีเรื่องราวของมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบที่รักและสนิทกันมาก ให้เราดูตัวอย่างของโยนาธานกับดาวิด คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “โยนาธานกับดาวิดก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน และโยนาธานรักดาวิดเท่าชีวิตของตัวเอง” (1 ซม. 18:1) ดาวิดถูกเลือกให้เป็นกษัตริย์ต่อจากซาอูล ต่อมาซาอูลอิจฉาเขามากและพยายามจะฆ่าเขา แต่โยนาธานที่เป็นลูกของซาอูลไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องนี้ โยนาธานกับดาวิดสาบานว่าจะเป็นเพื่อนกันและจะช่วยเหลือกันตลอดไป (1 ซม. 20:42) มีหลายอย่างที่ทำให้โยนาธานกับดาวิดไม่น่าจะเป็นเพื่อนกันได้ ยิ่งเราคิดถึงเรื่องนี้เราก็ยิ่งประทับใจในความรักที่พวกเขามีให้กัน ตัวอย่างเช่น โยนาธานกับดาวิดอายุห่างกันประมาณ 30 ปี โยนาธานอาจจะคิดว่าเด็กคนนี้ไม่น่าจะมีอะไรเหมือนกันกับเขาอยู่แล้ว อายุก็ห่างกันตั้งเยอะ แถมประสบการณ์ก็ไม่มี แต่โยนาธานไม่ได้คิดแบบนั้นเลย เขานับถือดาวิดมาก ห21.01 น. 21-22 ว. 6-7
วันอังคารที่ 28 มิถุนายน
พี่น้องของผม เมื่อพวกคุณเจอความลำบาก ให้มองว่าเป็นเรื่องน่ายินดี—ยก. 1:2
พระเยซูบอกว่าคนที่เป็นสาวกของท่านจะมีความสุขแท้ แต่ท่านก็บอกด้วยว่าคนที่เป็นสาวกของท่านจะต้องเจอกับปัญหา (มธ. 10:22, 23; ลก. 6:20-23) เรามีความสุขที่ได้เป็นสาวกของพระเยซู แต่เราจะรู้สึกยังไงถ้าโดนครอบครัวต่อต้าน รัฐบาลข่มเหง หรือโดนเพื่อนที่ทำงานหรือเพื่อนที่โรงเรียนกดดันให้ทำสิ่งที่ไม่ดี? แค่คิดเรื่องพวกนี้เราก็อาจจะเครียดแล้ว ปกติแล้วคนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดว่าการถูกข่มเหงจะทำให้มีความสุขได้ แต่นี่เป็นสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอก ตัวอย่างเช่น ยากอบบอกว่าแทนที่เราจะมองว่าความลำบากทำให้เราจมอยู่กับความเครียด เราน่าจะมองว่าความลำบากทำให้เรามีความสุข (ยก. 1:2, 12) และพระเยซูก็บอกด้วยว่าเราจะมีความสุขได้ทั้ง ๆ ที่ถูกข่มเหง (มธ. 5:11) พระยะโฮวาดลใจให้ยากอบเขียนคำแนะนำเพื่อช่วยพี่น้องคริสเตียนให้มีความสุขได้ทั้ง ๆ ที่ต้องทนกับปัญหาหลายอย่าง ห21.02 น. 26 ว. 1-2; น. 27 ว. 5
วันพุธที่ 29 มิถุนายน
อย่าสนใจคำพูดไร้สาระที่ดูหมิ่นพระเจ้า—1 ทธ. 6:20
มีบางคนในสมัยของทิโมธีไม่ได้เห็นค่าสิทธิพิเศษที่ได้เป็นเพื่อนร่วมงานกับพระเจ้า เช่น ดามาส ฟีเจลัส เฮอร์โมเกเนส ฮีเมเนอัส อเล็กซานเดอร์ และฟีเลทัส (1 ทธ. 1:19, 20; 2 ทธ. 1:15; 2:16-18; 4:10) พวกเขาทุกคนเคยมีความเชื่อเข้มแข็งและรักพระยะโฮวา แต่พวกเขาไม่ได้เห็นค่าสิทธิพิเศษที่พระองค์ให้พวกเขา พวกเขาเลยทิ้งความจริงไป ซาตานพยายามทำให้เราทิ้งสิ่งมีค่าที่พระยะโฮวาให้ไว้กับเราอย่างไร? ให้มาดูบางวิธีที่ซาตานใช้ มันใช้สื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทีวี หนัง อินเทอร์เน็ต และหนังสือต่าง ๆ เพื่อทำให้เรารักพระยะโฮวาน้อยลงเรื่อย ๆ และไม่เชื่อฟังพระองค์ทีละเล็กทีละน้อย และมันใช้คนรอบ ๆ ตัวเรากดดันหรือข่มเหงให้เรากลัวและเลิกประกาศ นอกจากนั้น มันยังพยายามทำให้เราทิ้งความจริงโดยหลอกให้เราฟัง “สิ่งที่เรียกกันผิด ๆ ว่า ‘ความรู้’” ซึ่งมาจากคนที่ทรยศพระเจ้า ถ้าเราไม่ระวัง เราก็อาจจะค่อย ๆ ทิ้งความจริงได้—1 ทธ. 6:21 ห20.09 น. 27 ว. 6-8
วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน
พระยะโฮวาจะได้ยินผมร้องขอความเมตตา พระยะโฮวาจะฟังคำอธิษฐานของผม—สด. 6:9
คุณเคยถูกเพื่อนหรือคนในครอบครัวทรยศหรือทำให้เสียใจไหม? ถ้าใช่ เรื่องของดาวิดจะช่วยคุณได้มากแน่ ๆ โดยเฉพาะตอนที่เขาถูกอับซาโลมลูกชายของเขาทรยศ (2 ซม. 15:5-14, 31; 18:6-14) ก่อนที่คุณจะอ่าน ให้อธิษฐานถึงพระยะโฮวา บอกพระองค์ว่าคุณรู้สึกยังไงตอนที่คุณถูกทรยศหรือทำให้เสียใจ (สด. 6:6-8) หลังจากนั้นให้คุณลองคิดดูว่าดาวิดจะรู้สึกยังไงตอนที่เจอเรื่องทั้งหมดนี้ ทั้ง ๆ ที่เขารักอับซาโลมและไว้ใจอาหิโธเฟลมาก แต่สองคนนี้กลับทรยศเขาและพยายามจะฆ่าเขาด้วยซ้ำ นี่ทำให้ดาวิดรู้สึกเจ็บและเสียใจมากจริง ๆ พอเจอเรื่องแบบนี้เขาอาจจะคิดว่าเพื่อนคนอื่นคงทิ้งเขาไปอยู่ข้างอับซาโลมหมดแล้ว ไม่มีใครที่ไว้ใจได้อีกต่อไป หรือดาวิดอาจจะคิดถึงแต่ตัวเองและหนีออกนอกประเทศคนเดียว หรือเขาอาจจะหมดอาลัยตายอยากจนไม่อยากทำอะไรเลย แต่ดาวิดไม่ได้เป็นแบบนั้น เขาอธิษฐานขอให้พระยะโฮวาช่วยและขอความช่วยเหลือจากเพื่อนของเขา เขาลงมือทำตามสิ่งที่ตัดสินใจไว้ทันที และเขายังไว้ใจพระยะโฮวาและไว้ใจเพื่อนของเขาด้วย ห21.03 น. 15 ว. 7-8; น. 17 ว. 10-11