กันยายน
วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน
จากนั้น เราจะให้พลังของเรากับคนทุกประเภท—ยอล. 2:28
ตอนที่เปโตรยกคำพยากรณ์ของโยเอลมาพูด เขาได้รับการดลใจให้ใช้บางคำที่ไม่เหมือนกับโยเอล (กจ. 2:16, 17) แทนที่เปโตรจะเริ่มด้วยคำว่า “จากนั้น” เขากลับใช้คำว่า “ในสมัยสุดท้าย” ตามท้องเรื่องนี้หมายถึงสมัยสุดท้ายของระบบยิว ซึ่งก็คือไม่นานก่อนที่กรุงเยรูซาเล็มและวิหารจะถูกทำลาย ในช่วงนั้นพระเจ้าจะให้พลังบริสุทธิ์ของพระองค์กับ “คนทุกประเภท” เรื่องนี้ทำให้เห็นว่าคำพยากรณ์ของโยเอลนั้นเกิดขึ้นจริงหลังจากที่ชาวอิสราเอลกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนเป็นเวลานานแล้ว หลังจากที่พระเจ้าให้พลังบริสุทธิ์กับคริสเตียนในศตวรรษแรกแล้ว พวกเขาก็เริ่มทำงานประกาศซึ่งในที่สุดก็ขยายไปทั่วโลก ตอนที่อัครสาวกเปาโลเขียนจดหมายถึงคริสเตียนในเมืองโคโลสีประมาณปี ค.ศ. 61 เขาพูดได้ว่าข่าวดีได้รับการ “ประกาศไปทุกแห่งทั่วใต้ฟ้า” แล้ว (คส. 1:23) เมื่อเปาโลใช้คำว่า “ทุกแห่ง” เขาหมายถึงโลกที่เป็นที่รู้จักในสมัยนั้น และด้วยความช่วยเหลือจากพลังบริสุทธิ์งานประกาศในทุกวันนี้จึงขยายออกไปมากขึ้นจริง ๆ จน “ถึงสุดขอบโลก”—กจ. 13:47 ห20.04 น. 6-7 ว. 15-16
วันศุกร์ที่ 2 กันยายน
เราจะตามหาแกะของเราด้วยตัวเอง และเราจะดูแลพวกมัน—อสค. 34:11
พระยะโฮวารักแกะของพระองค์ทุกคนที่หลงหายไปจากฝูง (มธ. 18:12-14) พระยะโฮวาสัญญาว่าพระองค์จะตามหาแกะที่หลงหายและช่วยพวกเขาให้กลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ และยังบอกวิธีที่พระองค์จะช่วยแกะเหล่านั้นด้วยซึ่งคล้ายกันกับวิธีที่คนเลี้ยงแกะชาวอิสราเอลใช้เพื่อตามหาแกะที่หลงหายไปของเขา (อสค. 34:12-16) อย่างแรก คนเลี้ยงแกะจะใช้เวลาและความพยายามมากเพื่อตามหาแกะตัวที่หลงหายไป พอเขาเจอแกะตัวนั้นแล้ว เขาก็จะพามันกลับมาที่ฝูง นอกจากนั้น ถ้าแกะตัวนั้นเจ็บหรือหิว เขาก็จะดูแลมันอย่างดี พันแผลให้มัน อุ้มมัน และให้อาหารมัน ถ้ามีใครหลงหายไปจากประชาคม ผู้ดูแลที่ “เอาใจใส่ฝูงแกะของพระเจ้า” ก็จะทำคล้าย ๆ กัน (1 ปต. 5:2, 3) ผู้ดูแลจะตามหาเขา พาเขากลับมาที่ประชาคม ดูแลเอาใจใส่เขาเป็นอย่างดี เพื่อช่วยให้เขากลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระยะโฮวาอีกครั้ง ห20.06 น. 20 ว. 10
วันเสาร์ที่ 3 กันยายน
ทุ่งนา . . . เหลืองอร่ามพร้อมจะเกี่ยวได้แล้ว—ยน. 4:35
พระเยซูคาดหมายว่าทุกคนจะมาเป็นสาวกของท่านไหม เมื่อท่านบอกว่าทุ่งนาพร้อมให้เก็บเกี่ยว? ไม่ใช่ คัมภีร์ไบเบิลบอกล่วงหน้าว่าจะมีแค่ไม่กี่คนที่มีความเชื่อในตัวท่าน (ยน. 12:37, 38) พระเยซูอ่านใจคนได้และรู้ว่าหลายคนจะไม่สนใจสิ่งที่ท่านสอน (มธ. 9:4) ถึงท่านจะสนใจคนไม่กี่คนที่มีความเชื่อในตัวท่านเป็นพิเศษ แต่ท่านก็ยังขยันประกาศกับทุกคน เราอ่านหัวใจใครไม่ได้ เรายิ่งไม่ควรตัดสินว่าเขตไหนหรือคนไหนจะไม่สนใจ แต่ให้เรามองว่าผู้คนมีโอกาสเข้ามาเป็นสาวกของพระเยซูได้ ขอจำสิ่งที่พระเยซูบอกกับสาวกของท่าน ท่านบอกว่าทุ่งนาเหลืองอร่ามพร้อมเกี่ยวแล้ว ผู้คนสามารถเปลี่ยนและเข้ามาเป็นสาวกของพระคริสต์ได้ พระยะโฮวาเชื่อว่าผู้คนในเขตของเรามีโอกาสเป็นสาวกและเป็น “สิ่งมีค่า” (ฮกก. 2:7) ถ้าเรามองผู้คนในเขตเหมือนที่พระยะโฮวาและพระเยซูมอง เราจะพยายามหาว่าพวกเขาสนใจอะไร และพยายามเข้าใจภูมิหลังของพวกเขา เราจะไม่มองพวกเขาในแง่ลบหรือมองว่าพวกเขาเป็นคนแปลกหน้า แต่จะมองว่าพวกเขามีโอกาสเป็นพี่น้องของเราได้ในวันข้างหน้า ห20.04 น. 13 ว. 18-19
วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน
ผมเรียกพวกคุณว่าเพื่อน เพราะผมบอกพวกคุณให้รู้ทุกอย่างที่ผมได้ยินจากพ่อของผม—ยน. 15:15
คัมภีร์ไบเบิลบอกอย่างชัดเจนว่าเพื่อให้พระยะโฮวาพอใจ เราต้องรักพระเยซูและทำอย่างนั้นต่อ ๆ ไป วิธีหนึ่งที่เราจะเป็นเพื่อนกับพระเยซูได้ก็คือพยายามรู้จักท่านให้มากขึ้น เราจะทำอย่างนั้นได้โดยอ่านหนังสือมัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น เมื่อคิดใคร่ครวญเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซู เราก็จะรักและนับถือท่านเพราะเห็นท่านปฏิบัติกับผู้คนอย่างอ่อนโยน เช่น ถึงพระเยซูจะเป็นนาย แต่ท่านก็ไม่ได้ทำกับสาวกเหมือนกับพวกเขาเป็นทาส ท่านเล่าให้พวกเขาฟังว่าท่านคิดและรู้สึกอย่างไร เมื่อเห็นสาวกเศร้า ท่านก็เศร้าด้วย เมื่อเห็นพวกเขาร้องไห้ ท่านก็ร้องไห้ด้วย (ยน. 11:32-36) แม้แต่คนที่ต่อต้านท่านก็เห็นว่าท่านเป็นเพื่อนกับคนที่ฟังท่านสอน (มธ. 11:19) เมื่อเราเลียนแบบวิธีที่พระเยซูทำกับสาวกของท่าน ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนอื่นจะดีขึ้น เราจะมีความสุขมากขึ้น และเราก็จะรักและนับถือพระเยซูมากขึ้น ห20.04 น. 22 ว. 9-10
วันจันทร์ที่ 5 กันยายน
กษัตริย์ทิศใต้จะเตรียมทำสงครามและยกทัพที่ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งมาต่อสู้—ดนล. 11:25
ในปี 1870 บริเตนเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งครอบครองดินแดนมากที่สุด และมีกองทัพที่แข็งแกร่งมากที่สุด คำพยากรณ์ของดาเนียลพูดถึงเขาเล็กที่เอาชนะอีก 3 เขา ซึ่งเขาเล็กหมายถึงบริเตน ส่วน 3 เขานั้นหมายถึงประเทศฝรั่งเศส สเปน และเนเธอร์แลนด์ (ดนล. 7:7, 8) บริเตนเป็นกษัตริย์ทิศใต้จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ในช่วงนั้นสหรัฐอเมริกาขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและจับมือเป็นพันธมิตรกับบริเตน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 สหรัฐเป็นพันธมิตรทางการทหารกับบริเตนซึ่งทำให้พวกเขามีกองทัพที่แข็งแกร่งมาก ตอนนั้นเองที่บริเตนกับสหรัฐซึ่งเคยเป็นอาณานิคมของบริเตนได้กลายมาเป็นมหาอำนาจอังกฤษ-อเมริกา นี่เกิดขึ้นจริงอย่างที่ดาเนียลพยากรณ์ไว้ กษัตริย์องค์นี้มี “ทัพที่ยิ่งใหญ่และเข้มแข็ง” ในช่วงสมัยสุดท้าย กษัตริย์ทิศใต้คือมหาอำนาจอังกฤษ-อเมริกา ห20.05 น. 4 ว. 7-8
วันอังคารที่ 6 กันยายน
น้ำกลับไปที่เดิม แล้วไหลลงมาอีก—ปญจ. 1:7
โลกมีน้ำในสถานะของเหลวได้เพราะโลกอยู่ในระยะที่ห่างจากดวงอาทิตย์พอดี ถ้าโลกเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์อีกนิด น้ำจะระเหยจนหมดและโลกก็จะร้อนและแห้งมากจนไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้ หรือถ้าโลกห่างจากดวงอาทิตย์อีกหน่อย ทั้งโลกก็จะมีแต่น้ำแข็งและกลายเป็นเหมือนก้อนน้ำแข็งกลม ๆ ก้อนใหญ่ แต่เพราะพระยะโฮวาสร้างโลกให้อยู่ในที่ที่พอเหมาะพอดีแบบนี้จึงทำให้มีวัฏจักรของน้ำซึ่งช่วยสิ่งมีชีวิตบนโลกให้มีชีวิตอยู่ได้ ดวงอาทิตย์ทำให้น้ำในมหาสมุทรและน้ำในที่ต่าง ๆ ร้อนขึ้นและระเหยขึ้นไปแล้วรวมตัวเป็นเมฆ ในแต่ละปีดวงอาทิตย์ทำให้น้ำระเหยเป็นล้าน ๆ ลิตร พอน้ำระเหยขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ มันก็จะอยู่ที่นั่นประมาณ 10 วันก่อนจะตกลงมาเป็นฝนหรือหิมะ แล้วในที่สุด น้ำก็จะกลับคืนสู่มหาสมุทรหรือแหล่งน้ำต่าง ๆ แล้ววัฏจักรนี้ก็หมุนเวียนซ้ำอีก พระยะโฮวาออกแบบวัฏจักรนี้เพื่อให้โลกมีน้ำตลอด เรื่องนี้ยืนยันว่าพระองค์ฉลาดและมีพลังอำนาจมาก—โยบ 36:27, 28 ห20.05 น. 22 ว. 6
วันพุธที่ 7 กันยายน
พวกคุณจะได้รับพลังจากพระเจ้า พลังบริสุทธิ์นั้นจะอยู่กับพวกคุณ—กจ. 1:8
พระเยซูบอกให้เราอธิษฐานขอพลังบริสุทธิ์อยู่เรื่อย ๆ (ลก. 11:9, 13) พระยะโฮวาใช้พลังบริสุทธิ์เพื่อช่วยเราให้มี “กำลังที่มากกว่าปกติ” (2 คร. 4:7) ความช่วยเหลือจากพลังของพระเจ้าทำให้เราสามารถอดทนกับการทดสอบและปัญหาทุกอย่างได้ พลังบริสุทธิ์ยังช่วยเราเมื่อทำงานรับใช้พระเจ้าด้วย พลังบริสุทธิ์ช่วยเพิ่มทักษะความสามารถที่เรามีให้เก่งขึ้นได้ เรารู้ว่าที่เราทำงานรับใช้ได้อย่างดีไม่ได้เป็นเพราะตัวเราเองแต่เพราะความช่วยเหลือจากพลังของพระเจ้า วิธีหนึ่งที่เราจะแสดงว่าเห็นค่าพลังบริสุทธิ์ก็คือ อธิษฐานขอให้เรารู้ว่าเรามีความคิดหรือความต้องการอะไรที่ไม่ดีในใจหรือไม่ (สด. 139:23, 24) ถ้าเราอธิษฐานขอแบบนี้ พระยะโฮวาก็จะใช้พลังบริสุทธิ์ช่วยเราให้รู้ว่าเรามีความคิดหรือความต้องการที่ไม่ดีอะไรไหม จากนั้น เราก็ควรอธิษฐานขอพลังของพระเจ้าให้เรามีกำลังที่จะเอาชนะความคิดหรือความต้องการนั้น ถ้าเราทำอย่างนั้น เราก็แสดงให้พระยะโฮวาเห็นว่าเราไม่อยากทำอะไรก็ตามที่ทำให้พระองค์ไม่ให้พลังบริสุทธิ์กับเรา—อฟ. 4:30 ห20.05 น. 28-29 ว. 10-12
วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน
ผมทำให้พวกเขารู้จักชื่อของพระองค์แล้ว—ยน. 17:26
ตอนที่เราปกป้องชื่อของพระยะโฮวา เรากำลังทำตามตัวอย่างของพระเยซูคริสต์ พระเยซูทำให้คนรู้จักชื่อพระยะโฮวาพ่อของท่านไม่ใช่แค่โดยใช้ชื่อนั้น แต่ท่านปกป้องชื่อเสียงของพระองค์และสอนให้คนรู้ว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าแบบไหนจริง ๆ เช่น ท่านโต้แย้งกับพวกฟาริสีซึ่งชอบทำให้ผู้คนมองพระยะโฮวาว่าเป็นพระเจ้าที่ดูห่างไกล โหดร้าย ชอบเรียกร้อง และไม่มีความเมตตา แต่พระเยซูช่วยผู้คนให้มองพ่อของท่านว่าเป็นพระเจ้าที่มีเหตุผล อดทน รักและให้อภัยมนุษย์ ท่านยังช่วยผู้คนให้รู้จักพระยะโฮวาโดยเลียนแบบคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์ในชีวิตของท่านได้อย่างสมบูรณ์แบบ (ยน. 14:9) เหมือนกับพระเยซู เราต้องบอกเรื่องที่เรารู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาและสอนผู้คนว่าพระองค์เป็นพระเจ้าที่ใจดีและรักพวกเขามากขนาดไหน เมื่อเราทำอย่างนั้น เราก็กำลังพิสูจน์ว่าคำโกหกและเรื่องที่พระยะโฮวาถูกใส่ร้ายเป็นเรื่องที่ไม่จริง เรากำลังช่วยให้ผู้คนเคารพนับถือชื่อที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระยะโฮวา สิ่งที่เราพูดและทำจะช่วยให้ผู้คนเห็นว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าแบบไหนจริง ๆ และเมื่อเราทำอย่างนั้น เราก็กำลังช่วยทำให้ชื่อของพระองค์เป็นที่เคารพนับถืออยู่เสมอ ห20.06 น. 6 ว. 17-18
วันศุกร์ที่ 9 กันยายน
อย่าถือว่าตัวเองสำคัญกว่าคนอื่น อย่ายั่วยุให้มีการแข่งขันกัน และอย่าอิจฉากัน—กท. 5:26
จริง ๆ โซเชียลมีเดียก็มีประโยชน์ เช่น เราใช้โซเชียลมีเดียเพื่อติดต่อกับคนในครอบครัวและเพื่อน ๆ ได้ แต่คุณสังเกตไหมว่าบางคนชอบโพสต์บางอย่างในโซเชียลเพื่อโปรโมทตัวเอง มันเหมือนกับเขากำลังพูดว่า “ดูฉันสิ” ส่วนบางคนคอมเมนต์ใต้รูปตัวเองและรูปที่คนอื่นโพสต์ด้วยคำพูดที่หยาบคายและลามก การทำอย่างนี้ไม่ได้เป็นการรู้จักถ่อมตัวและเห็นอกเห็นใจอย่างที่คริสเตียนควรทำ (1 ปต. 3:8) ตอนที่คุณใช้โซเชียลมีเดียให้ถามตัวเองว่า ‘รูปภาพ วีดีโอ หรือคอมเมนต์ที่ฉันโพสต์ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าฉันกำลังอวดไหม? ฉันทำให้คนอื่นอิจฉาไหม?’ คริสเตียนไม่คิดว่าเขาจำเป็นต้องโปรโมทตัวเอง พวกเขาทำตามคำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิลที่บอกไว้ในข้อคัมภีร์วันนี้ ความถ่อมจะช่วยให้เราไม่คิดเหมือนคนในโลกที่ชอบโปรโมทตัวเอง—1 ยน. 2:16 ห20.07 น. 6 ว. 14-15
วันเสาร์ที่ 10 กันยายน
เมื่อก่อนผมเคยเป็นคนหมิ่นประมาทพระเจ้า ข่มเหงคนของพระองค์ และเป็นคนอวดดี แต่ผมกลับได้รับความเมตตาเพราะเมื่อก่อนผมทำไปโดยไม่รู้—1 ทธ. 1:13
ก่อนที่เปาโลจะมาเป็นสาวก เขาเคยเป็นคนอวดดีและข่มเหงสาวกของพระคริสต์ (กจ. 7:58) แต่พระเยซูทำให้เขาเลิกข่มเหงประชาคมคริสเตียน ท่านพูดจากฟ้าและทำให้เขาตาบอด นี่เลยทำให้เขาต้องไปขอความช่วยเหลือจากพวกคนที่เขาเคยข่มเหง เขาถ่อมตัวลงแล้วในที่สุดก็ได้รับการช่วยเหลือจากอานาเนียและเขาก็กลับมามองเห็นได้อีกครั้ง (กจ. 9:3-9, 17, 18) เปาโลกลายเป็นคริสเตียนที่ใคร ๆ ก็รู้จัก แต่เขาก็ไม่เคยลืมบทเรียนที่ได้จากพระเยซูตอนที่ท่านพูดกับเขาระหว่างทางไปกรุงดามัสกัส เปาโลยังถ่อมตัวเสมอและยอมรับการช่วยเหลือจากพี่น้องคนอื่น เขายอมรับว่า “พวกเขานี่แหละที่ให้กำลังใจผมอย่างมาก”—คส. 4:10, 11 ห20.07 น. 18-19 ว. 16-17
วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน
พระเจ้าผู้เป็นพ่อของพวกคุณตั้งใจแล้วว่าจะให้รัฐบาลของพระองค์กับพวกคุณ—ลก. 12:32
ถึงพระยะโฮวาจะเป็นพระเจ้าที่มีพลังอำนาจสูงสุดและไม่จำเป็นต้องมีใครมาช่วย แต่พระองค์ก็ให้หน้าที่รับผิดชอบกับคนอื่น ๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น พระองค์แต่งตั้งพระเยซูให้เป็นกษัตริย์ในรัฐบาลของพระองค์ และแต่งตั้ง 144,000 คนให้ร่วมปกครองกับท่าน ถึงพระยะโฮวาฝึกพระเยซูให้เป็นกษัตริย์และมหาปุโรหิต และฝึกคนที่จะปกครองกับพระเยซูให้ทำงานมอบหมายของพวกเขา พระองค์ก็ไม่ได้ควบคุมการทำงานของพวกเขาในทุกรายละเอียด แต่ไว้ใจว่าพวกเขาจะทำให้ความต้องการของพระองค์สำเร็จ (ฮบ. 5:8, 9; วว. 5:10) ถ้าพ่อบนสวรรค์ของเราที่ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วยยังมอบหน้าที่รับผิดชอบให้คนอื่น เราก็ยิ่งต้องทำเหมือนกันด้วย คุณเป็นหัวหน้าครอบครัวหรือผู้ดูแลในประชาคมไหม? ขอให้คุณเลียนแบบตัวอย่างของพระยะโฮวาที่ให้หน้าที่รับผิดชอบกับคนอื่น และพยายามไม่เข้าไปควบคุมการทำงานของพวกเขาในทุกรายละเอียดหรือเจ้ากี้เจ้าการกับพวกเขา ถ้าคุณเลียนแบบพระยะโฮวา นอกจากงานของคุณจะเสร็จแล้ว คุณยังได้ฝึกคนอื่นและช่วยพวกเขาให้มีความมั่นใจมากขึ้นด้วย—อสย. 41:10 ห20.08 น. 9 ว. 5-6
วันจันทร์ที่ 12 กันยายน
ลูกมนุษย์ มาตามหาและช่วยคนที่หลงหายแบบนี้ให้รอด—ลก. 19:10
พระยะโฮวาอยากให้เรารู้สึกอย่างไรกับแกะที่หลงหายของพระองค์? เราเรียนเรื่องนี้ได้จากตัวอย่างของพระเยซู ท่านรู้ว่าแกะทุกตัวมีค่ามากสำหรับพระยะโฮวา ท่านก็เลยพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วย “แกะที่หลงหาย” ให้กลับมาหาพระองค์ (มธ. 15:24) นอกจากนั้น พระเยซูเป็นคนเลี้ยงแกะที่ดี ท่านพยายามเต็มที่เพื่อจะไม่ให้แกะของพระยะโฮวาหลงหายไปแม้แต่ตัวเดียว (ยน. 6:39) อัครสาวกเปาโลกระตุ้นผู้ดูแลในประชาคมที่เมืองเอเฟซัสให้เลียนแบบตัวอย่างของพระเยซู เขาบอกว่า “พวกคุณต้อง . . . ช่วยคนที่อ่อนแอ และอย่าลืมสิ่งที่พระเยซูผู้เป็นนายเคยพูดไว้ว่า ‘การให้ทำให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ’” (กจ. 20:17, 35) ข้อนี้ทำให้เราเห็นชัดเจนว่าผู้ดูแลมีหน้าที่สำคัญจริง ๆ ซัลวาดอร์ผู้ดูแลจากประเทศสเปนบอกว่า “ยิ่งผมคิดว่าพระยะโฮวาเป็นห่วงแกะของพระองค์มากขนาดไหน ผมก็ยิ่งอยากทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยเหลือพวกเขา ผมมั่นใจว่าพระองค์อยากให้ผมดูแลเอาใจใส่ฝูงแกะของพระองค์” ห20.06 น. 23 ว. 15-16
วันอังคารที่ 13 กันยายน
สิ่งที่เคยมีอยู่นั้นผ่านพ้นไปแล้ว—วว. 21:4
พระยะโฮวารู้ว่าเราจะเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบตอนจบสมัยพันปี และพระองค์ก็อดทนรอให้ถึงวันนั้น แต่กว่าจะถึงตอนนั้น พระยะโฮวาก็เต็มใจให้อภัยบาปของเรา ฉะนั้นเราก็ควรเลียนแบบตัวอย่างที่ดีของพระยะโฮวาด้วยโดยมองข้อดีของคนอื่นและอดทนกับพวกเขา พระเยซูและทูตสวรรค์มีความสุขมากตอนที่เห็นโลกถูกสร้างขึ้น ลองคิดดูว่าในอนาคตพระเยซูและทูตสวรรค์จะมีความสุขมากแค่ไหนตอนที่เห็นโลกเต็มไปด้วยมนุษย์สมบูรณ์แบบที่รักและรับใช้พระยะโฮวา และลองคิดดูว่าคนที่ร่วมปกครองกับพระเยซูจะมีความสุขมากขนาดไหนเมื่อพวกเขาได้เห็นมนุษย์ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่พวกเขาทำ (วว. 4:4, 9-11; 5:9, 10) ลองคิดภาพดูว่าคุณจะไม่ต้องร้องไห้เสียน้ำตาเพราะความทุกข์และความเจ็บปวด จะมีแต่น้ำตาแห่งความสุขและความดีใจ ตอนนั้นจะไม่มีความเจ็บป่วย ความโศกเศร้า และความตายอีกต่อไป กว่าจะถึงตอนนั้น ขอให้คุณตั้งใจเลียนแบบพระยะโฮวาพ่อที่ฉลาด อดทน และรักคุณ ถ้าคุณทำอย่างนั้น คุณก็จะมีความสุขเสมอไม่ว่าคุณจะต้องเจอกับอะไรก็ตาม (ยก. 1:2-4) เราขอบคุณคำสัญญาของพระยะโฮวาจริง ๆ ที่มีการ “ฟื้นขึ้นจากตาย”—กจ. 24:15 ห20.08 น. 19 ว. 18-19
วันพุธที่ 14 กันยายน
จะมีการประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าไปทั่วโลก—มธ. 24:14
คัมภีร์ไบเบิลเป็นของขวัญที่พระเจ้าให้เราด้วยความรัก พ่อในสวรรค์ของเราดลใจมนุษย์ให้เขียนคัมภีร์ไบเบิลเพราะพระองค์รักเรามาก โดยทางคัมภีร์ไบเบิล พระยะโฮวาตอบคำถามที่สำคัญที่สุดที่เราอาจสงสัย เช่น เรามาจากไหน? จุดมุ่งหมายของชีวิตคืออะไร? และอนาคตจะเป็นอย่างไร? พระยะโฮวาอยากให้ลูก ๆ ของพระองค์ทุกคนรู้คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ พระองค์เลยให้มีหลายคนแปลคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาต่าง ๆ ทุกวันนี้มีคัมภีร์ไบเบิลครบชุดหรือบางส่วนมากกว่า 3,000 ภาษา คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ถูกแปลและแจกจ่ายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เราแสดงว่าเห็นค่าคัมภีร์ไบเบิลโดยการอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน คิดใคร่ครวญสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลสอน และพยายามทำเต็มที่เพื่อเอาสิ่งที่ได้เรียนไปใช้ในชีวิต เราแสดงว่าเห็นค่าพระเจ้าของเราด้วยเมื่อเราพยายามบอกข่าวสารในคัมภีร์ไบเบิลกับผู้คนมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้—สด. 1:1-3; มธ. 28:19, 20 ห20.05 น. 24-25 ว. 15-16
วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน
คำของพระยะโฮวาทำให้ผมถูกดูหมิ่นและถูกเยาะเย้ยตลอดวัน—ยรม. 20:8
ผู้พยากรณ์เยเรมีย์ได้รับงานมอบหมายให้ไปประกาศในเขตที่ยากมาก เขารู้สึกท้อจนอยากเลิกรับใช้พระยะโฮวา แต่เขาไม่ได้ทำอย่างนั้น เพราะอะไร? เพราะ “คำของพระยะโฮวา” อยู่ในใจเขาเหมือนไฟ เขาเลยเก็บมันเอาไว้ไม่ได้และต้องพูดออกมา (ยรม. 20:9) เหมือนกันถ้าเราให้คำของพระเจ้าอยู่เต็มหัวใจเราโดยศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและคิดใคร่ครวญเรื่องนั้นอย่างลึกซึ้งทุกวัน เราก็จะมีความสุขมากขึ้นและคนอื่นก็อาจจะสนใจที่เราประกาศมากขึ้นด้วย (ยรม. 15:16) ดังนั้นถ้าคุณท้อใจ ให้อธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา แล้วพระองค์จะช่วยให้คุณรับมือกับความไม่สมบูรณ์แบบ จุดอ่อนของคุณ และความเจ็บป่วยพระองค์ได้ นอกจากนั้นพระองค์จะช่วยให้คุณมองงานมอบหมายอย่างถูกต้องและช่วยให้คุณมองงานรับใช้ในแง่บวก และไม่ว่าคุณจะต้องเจอกับปัญหาอะไร ขอให้คุณอธิษฐานระบายความรู้สึก เล่าให้พระยะโฮวาพ่อในสวรรค์ฟัง แล้วพระองค์จะช่วยคุณให้สู้กับความท้อใจได้แน่นอน ห20.12 น. 27 ว. 20-21
วันศุกร์ที่ 16 กันยายน
พูดกับผู้หญิงสูงอายุเหมือนพูดกับแม่ และพูดกับผู้หญิงสาว ๆ เหมือนพูดกับพี่สาวน้องสาวด้วยความบริสุทธิ์ใจ—1 ทธ. 5:2
พี่น้องหญิงบางคนแทบไม่มีโอกาสได้เจอกับพี่น้องคนอื่นเลยนอกจากที่การประชุม ดังนั้นเราอยากจะใช้โอกาสนี้เพื่อต้อนรับพวกเธอ คุยกับพวกเธอ และทำให้พวกเธอรู้ว่าเราเป็นห่วง นอกจากนั้น เราเลียนแบบพระเยซูได้โดยพยายามให้เวลากับพี่น้องหญิงของเรา (ลก. 10:38-42) เราอาจจะชวนพวกเธอมากินข้าวที่บ้านหรือทำอะไร ๆ ด้วยกัน ในช่วงเวลาแบบนั้นเราอยากจะพูดอะไรดี ๆ ที่ให้กำลังใจกัน (รม. 1:11, 12) ผู้ดูแลควรจะคิดแบบเดียวกับพระเยซู ท่านรู้ว่าการเป็นโสดไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบางคน ท่านทำให้เห็นชัดเจนว่าความสุขแท้ไม่ได้มาจากการแต่งงานหรือการมีลูก แต่มาจากการให้งานรับใช้สำคัญที่สุดในชีวิต (ลก. 11:27, 28; มธ. 19:12) เป็นเรื่องสำคัญมากที่ผู้ดูแลจะปฏิบัติกับพี่น้องหญิงเหมือนพวกเธอเป็นแม่หรือพี่สาวน้องสาวของเขา ผู้ดูแลทำอย่างนั้นได้โดยให้เวลาคุยกับพี่น้องหญิงก่อนหรือหลังการประชุม ห20.09 น. 21-22 ว. 7-9
วันเสาร์ที่ 17 กันยายน
เหมือนชาวไร่ชาวนาที่เฝ้าคอยพืชผลที่มีค่า . . . พวกคุณก็เหมือนกัน ขอให้อดทนรอ—ยก. 5:7, 8
ในประเทศอิสราเอลชาวไร่ชาวนาจะเริ่มหว่านเมล็ดในช่วงที่เริ่มมีฝนประมาณกลางเดือนตุลาคม แล้วพวกเขาก็จะเริ่มเก็บเกี่ยวในช่วงปลายฝนประมาณกลางเดือนเมษายน (มก. 4:28) ขอให้เราตั้งใจเลียนแบบความอดทนของชาวไร่ชาวนา แต่บางครั้งการอดทนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ปกติแล้วเวลามนุษย์ไม่สมบูรณ์ทำอะไรก็อยากจะเห็นผลเร็ว ๆ แต่ถ้าเราอยากปลูกอะไรให้ได้ผล เราต้องดูแลเอาใจใส่มันอย่างดีและต้องอดทน เราต้องหมั่นรดน้ำพรวนดินและถอนวัชพืช งานสอนคนให้เป็นสาวกก็ต้องใช้ความพยายามและความอดทนเหมือนกัน เราต้องใช้เวลาเพื่อช่วยนักศึกษาให้ขจัดอคติที่เป็นเหมือนวัชพืชในใจของเขา ความอดทนจะช่วยให้เราไม่ท้อตอนที่คนไม่ฟังเรา แต่ถึงจะมีคนที่อยากฟังและอยากศึกษา เราก็ต้องอดทนอยู่ดี เราไม่สามารถบังคับนักศึกษาให้ก้าวหน้าและมีความเชื่อได้ แม้แต่สาวกของพระเยซูก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะเข้าใจบางเรื่องที่ท่านสอน (ยน. 14:9) จำไว้ว่าเราอาจจะเป็นคนปลูกและรดน้ำ แต่พระเจ้าเป็นผู้ที่ทำให้เติบโต—1 คร. 3:6 ห20.09 น. 11 ว. 10-11
วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน
ผมจะสรรเสริญพระยะโฮวาสุดหัวใจ ในหมู่คนซื่อตรงและในที่ประชุมของพวกเขา—สด. 111:1
เราทุกคนอยากให้นักศึกษาก้าวหน้าจนรับบัพติศมา วิธีที่สำคัญวิธีหนึ่งที่เราช่วยพวกเขาได้ก็คือกระตุ้นพวกเขาให้ไปประชุม ปกติแล้วนักศึกษาที่ก้าวหน้าเร็วที่สุดคือนักศึกษาที่มาประชุมทันที ผู้นำการศึกษาบางคนบอกนักศึกษาว่าเขาจะเรียนอะไรได้หลายอย่างจากการศึกษา แต่มันอาจจะเป็นความรู้แค่ครึ่งเดียว ถ้าเขาอยากได้ความรู้อีกครึ่งหนึ่ง เขาต้องไปประชุม อ่านฮีบรู 10:24, 25 กับนักศึกษาของคุณ อธิบายให้เขาฟังว่าเขาจะได้ประโยชน์อะไรถ้าเขามาประชุม ลองเล่าให้เขาฟังดูสิว่าสิ่งที่คุณได้เรียนในการประชุมครั้งล่าสุดน่าสนใจขนาดไหน ถ้าคุณทำอย่างนี้ก็อาจจะทำให้เขาอยากมาประชุมมากกว่าที่คุณชวนเขาเฉย ๆ ตอนที่เขาไปประชุมครั้งแรกเขาจะได้เห็นว่าการมาประชุมกับเราดีกว่าการไปทำกิจกรรมทางศาสนาที่เขาเคยไป (1 คร. 14:24, 25) และเขาจะได้รู้จักหลายคนที่เป็นตัวอย่างที่ดีซึ่งจะช่วยให้เขาก้าวหน้าจนรับบัพติศมาด้วย ห20.10 น. 10-11 ว. 14-15
วันจันทร์ที่ 19 กันยายน
ใครจะสั่งสอนได้ดีเท่าพระองค์?—โยบ 36:22
พลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะช่วยคุณให้เอาสิ่งที่ได้อ่านและศึกษาในคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ ขอให้คุณอธิษฐานอย่างที่ผู้เขียนหนังสือสดุดีเขียนไว้ว่า “พระยะโฮวา ขอสอนผมให้รู้จักทางของพระองค์ ผมจะใช้ชีวิตตามแนวทางแห่งความจริงของพระองค์ ขอช่วยผมให้เกรงกลัวชื่อของพระองค์หมดหัวใจ” (สด. 86:11) ดังนั้น ขอให้คุณอ่านและศึกษาคัมภีร์ไบเบิล รวมทั้งหนังสือและสื่อต่าง ๆ ที่องค์การของพระยะโฮวาจัดเตรียม ให้จำไว้ว่าเป้าหมายของคุณไม่ใช่แค่เพื่อจะมีความรู้มากขึ้น แต่คุณต้องทำให้ตัวเองมั่นใจว่าสิ่งที่คุณได้เรียนเป็นความจริงและเอาความรู้นั้นไปใช้ในชีวิต พลังบริสุทธิ์ของพระยะโฮวาจะช่วยให้คุณทำแบบนั้นได้ นอกจากนั้นคุณต้องให้กำลังใจพี่น้องของคุณด้วย (ฮบ. 10:24, 25) เพราะอะไร? เพราะพวกเขาเป็นครอบครัวของคุณ ให้คุณอธิษฐานขอพลังบริสุทธิ์จากพระเจ้าเพื่อจะช่วยคุณให้สามารถออกความคิดเห็นจากหัวใจและทำงานมอบหมายของคุณอย่างสุดความสามารถ โดยวิธีเหล่านี้คุณก็แสดงให้พระยะโฮวาและลูกของพระองค์เห็นว่าคุณรัก “แกะ” ที่มีค่าของพระองค์ทั้งสอง (ยน. 21:15-17) ดังนั้น ให้คุณฟังครูองค์ยิ่งใหญ่ของคุณโดยเรียนรู้จากทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์จัดเตรียมให้คุณ ห20.10 น. 24 ว. 14-15
วันอังคารที่ 20 กันยายน
แล้วสาวกทุกคนก็ทิ้งพระเยซูและหนีไป—มก. 14:50
พระเยซูทำอะไรกับอัครสาวกที่ท้อใจ? หลังจากที่ท่านฟื้นขึ้นจากตายไม่นาน ท่านก็บอกกับสาวกบางคนว่า “ไม่ต้องกลัว ไปเล่าเรื่องนี้ให้พี่น้องของผมฟัง [ว่าผมฟื้นขึ้นจากตายแล้ว]” (มธ. 28:10ก) เราเห็นว่าพระเยซูไม่ได้หมดหวังในตัวอัครสาวกของท่าน ขนาดพวกเขาทิ้งท่านไป ท่านก็ยังเรียกพวกเขาว่า “พี่น้องของผม” พระเยซูเมตตาและให้อภัยเหมือนกับพระยะโฮวาจริง ๆ (2 พก. 13:23) เราคิดถึงพี่น้องที่เลิกประกาศและเป็นห่วงพวกเขามาก พวกเขายังเป็นพี่น้องของเรา และเรารักพวกเขามากจริง ๆ เราไม่ลืมงานหนักและความรักที่พวกเขามีต่อพระยะโฮวา ซึ่งพวกเขาบางคนทำอย่างนั้นมาเป็นสิบ ๆ ปี (ฮบ. 6:10) เราคิดถึงพวกเขาจริง ๆ (ลก. 15:4-7) ให้เราชวนพี่น้องที่เลิกประกาศมาประชุมด้วยกัน แล้วตอนที่พวกเขากลับมาประชุมอีกครั้งหนึ่ง เราก็ควรเข้าไปหาพวกเขาและต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น ห20.11 น. 6 ว. 14-17
วันพุธที่ 21 กันยายน
อย่าเลยขอบเขตที่เขียนบอกไว้—1 คร. 4:6
ตอนที่สาวกยากอบกับยอห์นและแม่ของพวกเขามาขอสิทธิพิเศษที่พระเยซูไม่มีสิทธิ์จะให้ พระเยซูตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า มีแต่พระยะโฮวาพระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์เท่านั้นที่เป็นคนตัดสินใจว่า ใครจะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของท่านในรัฐบาลของพระเจ้า (มธ. 20:20-23) นี่แสดงให้เห็นว่าพระเยซูเจียมตัวจริง ๆ ท่านยอมรับว่าตัวเองมีขีดจำกัด และไม่เคยทำอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่พระยะโฮวาสั่ง (ยน. 12:49) ดังนั้น เราจะเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของพระเยซู? เราเลียนแบบตัวอย่างของพระเยซูเรื่องการเจียมตัวได้โดยทำตามหลักการที่บอกไว้ในข้อคัมภีร์วันนี้ ดังนั้น เมื่อมีคนมาขอคำแนะนำจากเรา เราต้องไม่รีบให้คำแนะนำ หรือให้คำแนะนำโดยใช้ความคิดของเราเอง แต่เราควรให้คำแนะนำโดยอาศัยหลักการที่มาจากคัมภีร์ไบเบิลและหนังสือต่าง ๆ ขององค์การ ถ้าเราทำแบบนั้น เราก็กำลังยอมรับว่าตัวเรามีขีดจำกัด และยอมรับว่าคำแนะนำที่มาจากพระยะโฮวานั้นดีกว่าความคิดของเราเสมอ—วว. 15:3, 4 ห20.08 น. 11-12 ว. 14-15
วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน
อย่าคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น อย่าอวดว่าฉลาดล้นฟ้า คุณจะหาเรื่องให้ตัวเองพินาศทำไม?—ปญจ. 7:16
ถ้าคุณรู้สึกว่าต้องให้คำแนะนำกับเพื่อน คุณต้องคิดถึงอะไรบ้าง? ก่อนจะไปให้คำแนะนำเขาให้ถามตัวเองว่า ‘ฉัน “คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น” ไหม?’ คนที่คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นจะชอบตัดสินคนอื่นโดยใช้ความคิดของตัวเอง ไม่ใช่มาตรฐานของพระยะโฮวา และเขาไม่ค่อยมีความเมตตา หลังจากที่คุณถามตัวเองเรื่องนี้แล้วและก็ยังเห็นว่าเพื่อนของคุณจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจริง ๆ ก็ให้เข้าไปคุยกับเขา บอกเขาว่าเขามีปัญหาอะไร และพยายามใช้คำถามเพื่อจะรู้ว่าเขาคิดอะไร ถ้าคุณทำแบบนี้ก็จะง่ายขึ้นที่คุณจะช่วยให้เขารู้ว่าเขาผิดตรงไหน คุณต้องแน่ใจว่าสิ่งที่คุณพูดมาจากคัมภีร์ไบเบิล และขอจำไว้ว่าคนที่จะตัดสินเขาคือพระยะโฮวาไม่ใช่คุณ ฉะนั้นคุณต้องช่วยให้เพื่อนเห็นว่าพระยะโฮวารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เขาทำ (รม. 14:10) อย่าพึ่งความคิดของตัวเอง แต่ให้พึ่งสติปัญญาที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล (สภษ. 3:5) ตอนที่แนะนำใคร ให้เราเลียนแบบความเมตตาของพระเยซู เพราะอะไร? เพราะพระยะโฮวาจะทำกับเราแบบเดียวกับที่เราทำกับคนอื่น—มธ. 12:20; ยก. 2:13 ห20.11 น. 21 ว. 13
วันศุกร์ที่ 23 กันยายน
เลิกตัดสินตามที่เห็นภายนอกเถอะ แต่ให้ตัดสินอย่างยุติธรรม—ยน. 7:24
คุณชอบให้คนอื่นมาตัดสินว่าคุณเป็นคนอย่างไรจากสีผิวหรือรูปร่างหน้าตาของคุณไหม? คงจะไม่ เราดีใจที่รู้ว่าพระยะโฮวาไม่ได้ตัดสินเราอย่างที่มนุษย์เห็น ตัวอย่างเช่น ตอนที่ซามูเอลมองลูกชายของเจสซี เขาไม่ได้มองเหมือนที่พระยะโฮวามอง พระยะโฮวาบอกซามูเอลว่าลูกชายคนหนึ่งของเจสซีจะเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล แต่คนไหนล่ะ? ตอนที่ซามูเอลเห็นเอลีอับลูกคนโต เขาพูดว่า “คนนี้ต้องเป็นคนที่พระยะโฮวาจะเจิมแน่ ๆ” ดูแล้วเอลีอับมีแววที่จะเป็นกษัตริย์ “แต่พระยะโฮวาบอกซามูเอลว่า ‘อย่าสนใจที่หน้าตาและรูปร่างสูงสง่าของเขา เราไม่ได้เลือกคนนี้’” เราได้บทเรียนอะไร? พระยะโฮวาบอกต่อว่า “มนุษย์มองที่รูปร่างหน้าตาภายนอก แต่พระยะโฮวามองที่หัวใจ” (1 ซม. 16:1, 6, 7) ขอให้เราเลียนแบบพระยะโฮวาเมื่อปฏิบัติกับพี่น้อง ห20.04 น. 14 ว. 1; น. 15 ว. 3
วันเสาร์ที่ 24 กันยายน
เงยหน้ามองดูทุ่งนาสิ รวงข้าวเหลืองอร่ามพร้อมจะเกี่ยวได้แล้ว—ยน. 4:35
ตอนที่พระเยซูไปกาลิลี ท่านผ่านทุ่งนาซึ่งน่าจะเป็นทุ่งข้าวบาร์เลย์ที่เพิ่งโต (ยน. 4:3-6) กว่าข้าวพวกนี้จะเกี่ยวได้ก็ต้องรออีกประมาณ 4 เดือน เลยเป็นเรื่องแปลกที่พระเยซูบอกว่า “เงยหน้ามองดูทุ่งนาสิ รวงข้าวเหลืองอร่ามพร้อมจะเกี่ยวได้แล้ว” (ยน. 4:35, 36) พระเยซูกำลังหมายถึงอะไร? ดูเหมือนว่าพระเยซูหมายถึงการรวบรวมผู้คนไม่ใช่การเกี่ยวข้าว ขอให้คิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ปกติแล้วชาวยิวจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับชาวสะมาเรีย แต่พระเยซูประกาศกับผู้หญิงสะมาเรียคนหนึ่ง แล้วเธอก็ฟังท่านด้วย ที่จริงตอนพระเยซูบอกว่า “รวงข้าวเหลืองอร่ามพร้อมจะเกี่ยวได้แล้ว” ฝูงชนชาวสะมาเรียที่ได้ยินเรื่องพระเยซูจากผู้หญิงคนนี้ก็กำลังมาหาท่านเพื่อจะเรียนจากท่านมากขึ้น (ยน. 4:9, 39-42) หนังสืออธิบายคัมภีร์ไบเบิลเล่มหนึ่งบอกว่า “ความกระตือรือร้นของผู้คนเหล่านั้น . . . แสดงว่าพวกเขาเป็นเหมือนข้าวที่พร้อมจะเกี่ยวได้แล้ว” ห20.04 น. 8 ว. 1-2
วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน
ให้เราสนใจกัน เราจะได้กระตุ้นกันให้มีความรักและทำความดี—ฮบ. 10:24
เมื่อเราไปประชุม เราก็ถูกฝึกให้รับใช้เก่งขึ้นเหมือนกับทหารที่ถูกฝึกให้รบเก่งขึ้น ตัวอย่างเช่น เรารู้วิธีที่จะใช้เครื่องมือสำหรับการสอนให้ดีขึ้น ดังนั้นก่อนประชุม ให้คุณเตรียมตัวอย่างดี และระหว่างประชุม ให้คุณตั้งใจฟัง และหลังประชุมก็ให้เอาสิ่งที่เรียนไปใช้ ถ้าคุณทำอย่างนั้น คุณจะเป็น “ทหารที่ดีของพระคริสต์เยซู” (2 ทธ. 2:3) เราได้รับความช่วยเหลือจากทูตสวรรค์ที่มีพลังมากอีกหลายล้านองค์ด้วย คุณจำได้ไหมว่าทูตสวรรค์แค่องค์เดียวมีพลังทำอะไรได้มากแค่ไหน? (อสย. 37:36) แล้วถ้ามีทูตสวรรค์เป็นกองทัพล่ะจะเป็นยังไง? ไม่มีมนุษย์คนไหนหรือปีศาจตนไหนที่จะเอาชนะกองทัพของพระยะโฮวา เคยมีการพูดว่าแค่พยานฯ ที่ซื่อสัตย์คนเดียวบวกกับพระยะโฮวาก็มีพลังมากกว่าศัตรูทั้งหมดไม่ว่าจะมีกี่คนก็ตาม (วนฉ. 6:16) เรามั่นใจในเรื่องนี้ได้เลย ให้คุณคิดถึงเรื่องนี้ตอนที่คนที่ทำงาน เพื่อนที่โรงเรียน หรือญาติ ๆ พูดหรือทำอะไรที่ทำให้คุณกลัวหรือท้อใจ จำไว้ว่าคุณไม่ได้สู้อยู่คนเดียว คุณกำลังทำตามคำสั่งและการชี้นำของพระยะโฮวา ดังนั้น พระองค์จะช่วยคุณแน่นอน ห21.03 น. 29 ว. 13-14
วันจันทร์ที่ 26 กันยายน
ถ้าคนตายจะไม่ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นมาก็ “มากินมาดื่มกันดีกว่า เพราะพรุ่งนี้เราก็จะตาย”—1 คร. 15:32
เปาโลอาจจะพูดถึงความคิดของชาวอิสราเอลที่อยู่ในอิสยาห์ 22:13 แทนที่พวกเขาจะพยายามสนิทกับพระยะโฮวาให้มากขึ้น พวกเขากลับสนใจแต่ความสนุกสนาน คนสมัยนี้ก็คิดเหมือนกับชาวอิสราเอล หลายคนบอกว่า “ชีวิตของเราใช้ซะ เดี๋ยวก็จะตายแล้ว” เห็นชัดเลยว่าการที่เรารู้ว่าพระยะโฮวาปลุกคนตายให้ฟื้นควรมีผลกับการเลือกคบเพื่อนของเรา พี่น้องในเมืองโครินธ์ต้องระวังที่จะไม่คบกับคนที่ไม่เชื่อเรื่องการฟื้นขึ้นจากตาย บทเรียนสำหรับเราก็คือไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะคบกับคนที่สนใจแต่เรื่องสนุกสนานโดยที่ไม่คิดถึงอนาคต การใช้เวลามากกับคนแบบนี้จะมีผลเสียกับความคิดและนิสัยของเรา และอาจถึงกับทำให้เราทำสิ่งที่พระยะโฮวาเกลียดด้วยซ้ำ นี่เป็นเหตุผลที่เปาโลเตือนตรง ๆ ว่า “ตื่นได้แล้วและกลับมาทำสิ่งที่ถูกต้องเถอะและอย่าทำบาปอีกเลย”—1 คร. 15:33, 34 ห20.12 น. 9 ว. 3, 5-6
วันอังคารที่ 27 กันยายน
พระคริสต์เป็นผู้นำของผู้ชายทุกคน ผู้ชายเป็นผู้นำของผู้หญิง และพระเจ้าเป็นผู้นำของพระคริสต์—1 คร. 11:3
ข้อคัมภีร์ข้อนี้อธิบายวิธีที่พระยะโฮวาจัดระเบียบครอบครัวของพระองค์ที่อยู่ในสวรรค์และบนโลก การเป็นผู้นำเกี่ยวข้องกับ 2 อย่างที่สำคัญคือ การใช้อำนาจและความรับผิดชอบ พระยะโฮวาเป็น “ผู้นำ” และมีอำนาจสูงสุด ถึงอย่างนั้นพระองค์ก็ให้อำนาจกับลูก ๆ ของพระองค์ทั้งทูตสวรรค์และมนุษย์ แต่พวกเขาก็ต้องรับผิดชอบต่อพระองค์ด้วย (รม. 14:10; อฟ. 3:14, 15) พระยะโฮวาให้พระเยซูมีอำนาจเหนือประชาคม แต่ท่านก็ต้องรับผิดชอบต่อพระยะโฮวาในสิ่งที่ท่านทำกับเรา (1 คร. 15:27) พระยะโฮวาให้สามีมีอำนาจเหนือภรรยาและลูก ๆ ด้วย เพื่อผู้ชายจะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี อย่างแรกเขาต้องรู้ว่าพระยะโฮวาอยากให้เขาทำอะไร เขาต้องรู้ด้วยว่าทำไมพระยะโฮวาถึงให้อำนาจกับบางคน และเขาจะเลียนแบบตัวอย่างของพระยะโฮวาและพระเยซูได้ยังไง ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ? เพราะเขาเป็นหัวหน้าครอบครัว พระยะโฮวาเลยให้อำนาจกับเขา และพระองค์คาดหมายให้เขาใช้อำนาจอย่างถูกต้อง—ลก. 12:48ข ห21.02 น. 2 ว. 1-3
วันพุธที่ 28 กันยายน
เรายะโฮวาเป็นพระเจ้าของเจ้า เราสอนเจ้าก็เพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง—อสย. 48:17
เราพยายามเลียนแบบพระยะโฮวาได้ด้วยในการเลือกที่จะลืมบางอย่าง ตัวอย่างเช่น ถึงพระยะโฮวาจำรายละเอียดได้ทุกอย่าง แต่พระองค์ก็เลือกที่จะให้อภัยและลืมความผิดที่เราทำถ้าเรากลับใจจริง ๆ (สด. 25:7; 130:3, 4) และพระองค์อยากให้เราทำอย่างนั้นกับคนอื่นด้วย เมื่อเขาเสียใจกับสิ่งที่เขาทำให้เรารู้สึกไม่ดี (มธ. 6:14; ลก. 17:3, 4) เราจะแสดงว่าเห็นค่าสมองที่เราได้มาเป็นของขวัญโดยใช้มันเพื่อยกย่องผู้ที่ให้สิ่งนี้กับเรา บางคนใช้ของขวัญนี้อย่างเห็นแก่ตัวโดยตั้งมาตรฐานเองว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่เพราะพระยะโฮวาสร้างเรา เราจึงมีเหตุผลที่จะคิดว่ามาตรฐานของพระองค์ดีกว่ามาตรฐานที่เราตั้งขึ้นเองแน่นอน (รม. 12:1, 2) เมื่อเราใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระองค์ ชีวิตของเราก็สงบสุข (อสย. 48:18) และเรามีจุดมุ่งหมายในชีวิตคือเพื่อยกย่องพระเจ้าผู้สร้างและพ่อในสวรรค์ของเรา และทำให้พระองค์ภูมิใจ—สภษ. 27:11 ห20.05 น. 23-24 ว. 13-14
วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน
ให้รักกันแบบพี่น้อง—รม. 12:10
เราต้องทำอย่างไรเพื่อจะรักและสนิทกับพี่น้อง? พอเรารู้จักพี่น้องของเราดีขึ้น มันก็จะง่ายขึ้นที่เราจะเข้าใจพวกเขาและรักพวกเขา เราไม่ควรให้อายุหรือภูมิหลังที่ต่างกันมาขัดขวางไม่ให้เราเป็นเพื่อนกับพี่น้อง จำได้ไหมว่าโยนาธานกับดาวิดที่อายุห่างกันประมาณ 30 ปีก็ยังสนิทกันได้ ตอนนี้ลองคิดถึงคนที่เด็กกว่าหรือแก่กว่าในประชาคมของคุณ คุณจะเป็นเพื่อนกับพวกเขาได้ไหม? ถ้าคุณทำอย่างนั้น คุณก็แสดงว่าคุณ “รักพี่น้องคริสเตียนทุกคน” (1 ปต. 2:17) การที่เรารักพี่น้องหมายความว่าเราจะสนิทกับทุกคนในประชาคมเท่ากันไหม? มันเป็นไปไม่ได้ จริง ๆ แล้วไม่ได้ผิดถ้าเราจะรู้สึกสนิทกับบางคนเป็นพิเศษเพราะชอบอะไรเหมือน ๆ กัน แม้แต่พระเยซูเอง ถึงท่านจะเรียกอัครสาวกทุกคนของท่านว่า “เพื่อน” แต่ท่านก็รู้สึกสนิทกับยอห์นเป็นพิเศษ (ยน. 13:23; 15:15; 20:2) ถึงอย่างนั้นพระเยซูก็ไม่ได้ลำเอียงและทำดีกับยอห์นมากกว่าคนอื่น—มก. 10:35-40 ห21.01 น. 21 ว. 12-13
วันศุกร์ที่ 30 กันยายน
พวกคุณดูเป็นคนเคร่งศาสนาและนับถือพระต่าง ๆ มากกว่าใคร ๆ—กจ. 17:22
เมื่อเปาโลประกาศกับคนต่างชาติที่กรุงเอเธนส์ เขาไม่ได้พูดเหมือนตอนที่ประกาศในที่ประชุมของชาวยิว เขามองดูรอบ ๆ และสังเกตธรรมเนียมศาสนาของพวกเขา (กจ. 17:23) หลังจากนั้น เขาก็พยายามหาจุดที่เหมือนกันระหว่างความเชื่อของคนที่นั่นกับความจริงในพระคัมภีร์ เปาโลเต็มใจปรับวิธีพูด เขาบอกกับชาวเอเธนส์ว่าเรื่องที่เขาประกาศมาจาก “พระเจ้าที่ไม่รู้จัก” ที่พวกเขาพยายามกราบไหว้ ถึงคนต่างชาติจะไม่คุ้นเคยกับพระคัมภีร์ แต่เปาโลก็ไม่ได้คิดว่าพวกเขาไม่มีวันจะเข้ามาเป็นคริสเตียนได้ เปาโลมองว่าพวกเขาเป็นเหมือนข้าวที่พร้อมจะเกี่ยวได้แล้ว และเขาปรับวิธีประกาศข่าวดี คุณต้องช่างสังเกตเหมือนเปาโล ตอนไปประกาศให้พยายามมองหาสิ่งที่ช่วยคุณให้รู้ว่าคนในเขตเชื่อเรื่องอะไร เช่น คนที่คุณคุยด้วยแต่งบ้านหรือรถของเขาอย่างไร? ชื่อของเขา การแต่งตัว หรือคำศัพท์ที่เขาพูดทำให้รู้ไหมว่าเขานับถือศาสนาอะไร? ห20.04 น. 9-10 ว. 7-8