ตุลาคม
วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม
“ใครจะรู้ใจพระยะโฮวาเพื่อจะสั่งสอนพระองค์ได้?” แต่เรามีจิตใจอย่างพระคริสต์—1 คร. 2:16
เมื่อเรารู้จักพระเยซู เราก็จะพยายามคิดและทำเหมือนท่าน ยิ่งเรารู้ว่าพระเยซูคิดอะไรและพยายามคิดเหมือนท่าน เราก็ยิ่งจะสนิทกับท่าน แต่เราจะเลียนแบบท่านได้อย่างไร? ให้เรามาดูเรื่องหนึ่ง พระเยซูคิดถึงการช่วยเหลือคนอื่นมากกว่าทำตามใจตัวเอง (มธ. 20:28; รม. 15:1-3) เมื่อท่านคิดแบบนี้ ท่านจึงเสียสละและให้อภัยคนอื่นได้ นี่ทำให้ท่านไม่เป็นคนโมโหง่ายเวลามีคนพูดไม่ดีเกี่ยวกับท่าน (ยน. 1:46, 47) และท่านไม่ตัดสินคนจากสิ่งไม่ดีที่เขาเคยทำในอดีต (1 ทธ. 1:12-14) พระเยซูบอกว่า “ทุกคนจะรู้ว่าพวกคุณเป็นสาวกของผม เมื่อพวกคุณรักกัน” (ยน. 13:35) ขอให้ถามตัวเองว่า “ฉันเลียนแบบพระเยซูโดยทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อจะรักษาสันติกับพี่น้องไหม?” ห20.04 น. 24 ว. 11
วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม
พวกเขาจะให้เกียรติชื่อของเรา—อสย. 29:23
ถึงโลกนี้จะเต็มไปด้วยคนที่ใส่ร้ายและหมิ่นประมาทชื่อของพระยะโฮวา แต่คุณมีโอกาสที่จะลุกขึ้นมาปกป้องชื่อของพระเจ้าและบอกความจริงว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ดี บริสุทธิ์ ถูกต้องชอบธรรม และรักมนุษย์จริง ๆ (สด. 37:9, 37; 146:5, 6, 10) ตอนที่เราสอนความจริงในคัมภีร์ไบเบิลเรามักจะเน้นเรื่องสิทธิการปกครองของพระองค์ เราชอบสอนว่าพระยะโฮวามีสิทธิ์ที่จะปกครองเอกภพ ถึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่จะเน้นว่าเราต้องทำตามกฎหมายของพระเจ้า แต่เป้าหมายหลักของเราควรจะเป็นการช่วยผู้คนให้รักและภักดีต่อพระยะโฮวาพ่อของเรา เราควรเน้นคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมของพระองค์ และเน้นว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าแบบไหน (อสย. 63:7) ถ้าเราสอนผู้คนแบบนี้ เราก็กำลังช่วยพวกเขาให้รักพระยะโฮวาและเชื่อฟังพระองค์เพราะพวกเขาอยากจะภักดีต่อพระองค์ ห20.06 น. 6 ว. 16; น. 7 ว. 19
วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม
ใครสร้างปากให้มนุษย์? . . . ไม่ใช่เรายะโฮวาหรอกหรือ?—อพย. 4:11
สมองของมนุษย์ถูกออกแบบมาอย่างน่าทึ่ง ลองคิดดูสิว่าตอนที่คุณอยู่ในท้องแม่ สมองของคุณจะพัฒนาตามที่ถูกออกแบบไว้ และเซลล์สมองหลายแสนเซลล์จะถูกสร้างขึ้นทุก ๆ นาที! นักวิจัยคาดว่าสมองของผู้ใหญ่มีเซลล์ประสาทหรือที่เรียกว่านิวรอนเกือบแสนล้านเซลล์ เซลล์เหล่านี้รวมกันเป็นสมองซึ่งหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม หนึ่งในความสามารถที่น่าทึ่งของสมองก็คือความสามารถในการพูด ลองคิดดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างตอนคุณพูด ตอนที่คุณพูดแต่ละคำออกมา สมองของคุณต้องควบคุมการเคลื่อนที่ของกล้ามเนื้อประมาณ 100 มัดในลิ้น คอ ปาก ขากรรไกร และอก และเพื่อคุณจะออกเสียงได้อย่างชัดเจน กล้ามเนื้อเหล่านี้ต้องขยับตามลำดับที่ถูกต้องด้วย งานวิจัยหนึ่งในปี 2019 พูดถึงความสามารถในการพูดภาษาว่า เด็กแรกเกิดสามารถรับรู้และตอบสนองต่อคำศัพท์แต่ละคำได้ งานวิจัยนี้สนับสนุนสิ่งที่นักวิจัยหลายคนเชื่อว่า เราทุกคนเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการรับรู้และเรียนรู้ภาษา เห็นได้ชัดว่าความสามารถในการพูดของเราเป็นของขวัญที่มาจากพระเจ้าจริง ๆ ห20.05 น. 22-23 ว. 8-9
วันอังคารที่ 4 ตุลาคม
เขากำลังรอคอยเมืองที่ตั้งอยู่บนฐานรากที่มั่นคง ซึ่งพระเจ้าเป็น ผู้ออกแบบและผู้สร้าง—ฮบ. 11:10
อับราฮัมเต็มใจออกจากเมืองเออร์ที่สะดวกสบาย ทำไม? เพราะเขารอคอย “เมืองที่ตั้งอยู่บนฐานรากที่มั่นคง” (ฮบ. 11:8-10, 16) เมืองที่อับราฮัมรอคอยคือรัฐบาลของพระเจ้า รัฐบาลนี้มีพระเยซูเป็นกษัตริย์และมีคริสเตียนผู้ถูกเจิม 144,000 คนร่วมปกครองกับท่าน เปาโลพูดถึงรัฐบาลนี้ว่าเป็น “เมืองของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ คือเยรูซาเล็มในสวรรค์” (ฮบ. 12:22; วว. 5:8-10; 14:1) พระเยซูก็สอนสาวกให้อธิษฐานเกี่ยวกับรัฐบาลนี้ และขอให้รัฐบาลนี้มาปกครองเพื่อทุกอย่างบนโลกจะเป็นอย่างที่พระเจ้าอยากให้เป็นเหมือนที่เป็นในสวรรค์ (มธ. 6:10) อับราฮัมรู้รายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับรัฐบาลของพระเจ้าไหม? เป็นเวลาหลายร้อยปีที่เรื่องนี้เป็น “ความลับศักดิ์สิทธิ์” (อฟ. 1:8-10; คส. 1:26, 27) แต่อับราฮัมรู้ว่าลูกหลานบางคนของเขาจะได้เป็นกษัตริย์เพราะพระยะโฮวาสัญญาเรื่องนี้กับเขา—ปฐก. 17:1, 2, 6 ห20.08 น. 2-3 ว. 2-4
วันพุธที่ 5 ตุลาคม
ให้ใช้ชีวิตแบบท่านต่อไป ให้มีความเชื่อที่มั่นคงในพระคริสต์—คส. 2:6, 7
เราต้องปฏิเสธความคิดของคนที่ทรยศพระเจ้า ตั้งแต่ตอนที่ประชาคมคริสเตียนเริ่มตั้งขึ้นใหม่ ๆ ซาตานก็พยายามใช้คนหลอกลวงให้หว่านความสงสัยลงในหัวใจของผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้า ดังนั้นเราต้องแยกให้ออกว่าอะไรเป็นความจริงและอะไรเป็นคำโกหก ศัตรูของเราพยายามใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียเพื่อทำให้เราเชื่อพระยะโฮวาน้อยลงและรักพี่น้องของเราน้อยลง แต่จำไว้ว่าใครอยู่เบื้องหลังคำโกหกเหล่านี้ คุณต้องปฏิเสธมัน! (1 ยน. 4:1, 6; วว. 12:9) ซาตานพยายามทำให้ความเชื่อของเราอ่อนลง เพื่อจะสู้กับมันได้ เราต้องเชื่อในพระเยซูมากขึ้นและเราต้องมั่นใจว่าพระเยซูเป็นคนที่พระยะโฮวาใช้ให้ทำหน้าที่ต่าง ๆ เพื่อทำให้ความประสงค์ของพระองค์สำเร็จ นอกจากนั้นเราต้องไว้ใจทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม และมั่นใจว่าพวกเขาเป็นคนกลุ่มเดียวเท่านั้นที่พระยะโฮวาใช้เพื่อชี้นำพวกเราในทุกวันนี้ (มธ. 24:45-47) เพื่อเราจะมีความเชื่อและมั่นใจมากขึ้น เราต้องศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ ถ้าเราทำอย่างนั้นความเชื่อของเราก็จะเป็นเหมือนต้นไม้ที่มีรากลึกลงไปในดิน ห20.07 น. 23-24 ว. 11-12
วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม
มนุษย์มองที่รูปร่างหน้าตาภายนอก แต่พระยะโฮวามองที่หัวใจ—1 ซม. 16:7
เราไม่สมบูรณ์แบบ เราเลยชอบตัดสินคนอื่นจากภายนอก (ยน. 7:24) แต่เราคงไม่สามารถรู้จักใครได้จริง ๆ โดยอาศัยสิ่งที่เรามองเห็นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น หมอที่เก่งและมีประสบการณ์มากคงไม่รู้ว่าคนไข้เป็นอะไรจริง ๆ ถ้าเขาแค่มองคนไข้เฉย ๆ หมอต้องตั้งใจฟังถึงจะรู้ว่าคนไข้เคยเป็นอะไรมาบ้าง ตอนนี้รู้สึกอย่างไร และมีอาการอย่างไร บางทีหมออาจถึงกับต้องขอเอกซเรย์เพื่อจะเห็นว่าข้างในร่างกายคนไข้เป็นอย่างไร ถ้าหมอไม่ทำขั้นตอนเหล่านี้ เขาก็อาจวินิจฉัยโรคผิดได้ เหมือนกันเราคงไม่เข้าใจพี่น้องจริง ๆ ถ้าเราแค่มองจากภายนอก เราต้องพยายามมองให้ลึกเข้าไปข้างในว่าเขาเป็นคนอย่างไร ก็จริงที่เราอ่านใจคนอื่นไม่ได้ แต่เราพยายามเต็มที่ได้เพื่อจะเลียนแบบพระองค์ พระองค์ฟังผู้รับใช้ของพระองค์ คิดถึงภูมิหลังและสภาพการณ์ของพวกเขา และเห็นอกเห็นใจพวกเขา ห20.04 น. 14-15 ว. 1-3
วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม
ให้คิดอย่างสมเหตุสมผล—รม. 12:3
เราต้องถ่อมเพราะคนหยิ่งไม่ได้ “คิดอย่างสมเหตุสมผล” คนหยิ่งคิดว่าตัวเองสำคัญและชอบแข่งขันกับคนอื่น สิ่งที่เขาคิดและทำมักจะทำให้ตัวเขาเองและคนอื่นเจ็บ คนแบบนี้เป็นคนที่คิดอะไรไม่ถูกต้อง เขาไม่เห็นความจริงในชีวิต และเขาจะเป็นอย่างนี้ต่อไปถ้าเขาไม่เปลี่ยนความคิด (2 คร. 4:4; 11:3) คนถ่อมจะคิดอย่างสมเหตุสมผล เขาจะมองตัวเองตามความเป็นจริง และมองว่าคนอื่นดีกว่าเขาในหลายด้าน (ฟป. 2:3) และเขารู้ว่า “พระเจ้าต่อต้านคนหยิ่ง แต่พระองค์แสดงความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ต่อคนอ่อนน้อมถ่อมตน” (1 ปต. 5:5) คนที่คิดอย่างสมเหตุสมผลจะไม่อยากเป็นศัตรูกับพระยะโฮวา เพื่อเราจะเป็นคนถ่อมเสมอ เราต้องทำตามคำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิลที่ให้ “ทิ้งลักษณะนิสัยเก่ากับสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำ แล้วปลูกฝังลักษณะนิสัยใหม่” เราต้องศึกษาตัวอย่างของพระเยซูและเลียนแบบท่านให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้—คส. 3:9, 10; 1 ปต. 2:21 ห20.07 น. 7 ว. 16-17
วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม
ในร่างกายหนึ่งมีอวัยวะหลายส่วน—1 คร. 12:12
เป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่เราได้เป็นส่วนของประชาคมของพระยะโฮวา เรามีความสุขและรู้สึกสงบใจที่ได้นมัสการพระองค์ด้วยกันกับพี่น้องในประชาคม แล้วคุณล่ะ คุณมีบทบาทอะไรในประชาคม? เปาโลเปรียบเทียบประชาคมเป็นเหมือนกับร่างกาย และพี่น้องแต่ละคนเป็นเหมือนกับอวัยวะแต่ละส่วน (รม. 12:4-8; 1 คร. 12:12-27; อฟ. 4:16) บทเรียนหนึ่งที่เราได้เรียนจากตัวอย่างที่เปาโลใช้ก็คือ เราแต่ละคนเป็นส่วนสำคัญของครอบครัวพระยะโฮวา เปาโลเริ่มพูดถึงตัวอย่างนี้โดยบอกว่า “เหมือนกับที่ร่างกายของเรามีอวัยวะหลายส่วน และอวัยวะแต่ละส่วนมีหน้าที่ต่างกัน ดังนั้น ถึงแม้เรามีกันหลายคน แต่ก็เป็นเหมือนร่างกายเดียวที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ และเป็นเหมือนอวัยวะของกันและกัน” (รม. 12:4, 5) เปาโลหมายถึงอะไร? ถึงเราจะมีบทบาทต่างกัน แต่เราทุกคนมีค่าและสำคัญกับประชาคม ห20.08 น. 20 ว. 1-2; น. 21 ว. 4
วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม
พระยะโฮวาถามว่า “เจ้าจะทำอย่างไร?”—1 พก. 22:21
คนที่เป็นพ่อแม่ คุณจะเลียนแบบความถ่อมของพระยะโฮวาได้อย่างไร? ให้คุณลองถามความคิดเห็นของลูก ๆ และถ้าเห็นว่าโอเค ก็ขอให้คุณลองทำตามนั้น วิธีหนึ่งที่พระยะโฮวาแสดงความถ่อมก็คือ พระองค์อดทน พระองค์อดทนกับผู้รับใช้ที่สงสัยในการตัดสินใจของพระองค์ ถึงอับราฮัมจะบอกว่าสิ่งที่พระยะโฮวาทำกับเมืองโสโดมและโกโมราห์เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่พระองค์ก็อดทนฟังเขา (ปฐก. 18:22-33) และถึงซาราห์จะหัวเราะตอนที่พระยะโฮวาสัญญาว่าจะให้เธอมีลูกตอนแก่ แต่พระยะโฮวากลับให้เกียรติเธอ พระองค์ไม่ได้โกรธและไม่ได้แสดงว่าไม่พอใจเธอ (ปฐก. 18:10-14) คนที่เป็นพ่อแม่หรือผู้ดูแลในประชาคม คุณจะเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของพระยะโฮวา? คุณจะทำอย่างไรถ้าลูก ๆ หรือพี่น้องในประชาคมไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของคุณ? คุณจะรีบบอกทันทีว่าความคิดของคุณถูกและความคิดของพวกเขาผิดไหม? หรือคุณจะพยายามเข้าใจความคิดของพวกเขา? ถ้าคนที่มีอำนาจพยายามเลียนแบบตัวอย่างของพระยะโฮวา คนในครอบครัวหรือพี่น้องในประชาคมก็จะได้รับประโยชน์แน่ ๆ ห20.08 น. 10 ว. 7-9
วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม
เมื่อเจ้าอ่อนแอ พลังอำนาจของเราก็แสดงได้อย่างเต็มที่—2 คร. 12:9
ตอนที่เราเรียนความจริงใหม่ ๆ เราอาจชอบขอให้คนอื่นช่วยเพราะเรารู้ว่ายังมีอะไรอีกเยอะที่เราต้องเรียน (1 คร. 3:1, 2) แล้วตอนนี้ล่ะ? พออยู่ในความจริงมานานและมีประสบการณ์เยอะ เราอาจจะไม่อยากให้ใครมาช่วยโดยเฉพาะถ้าคนนั้นเป็นคนที่อยู่ในความจริงไม่นานเท่าเรา แต่พระยะโฮวาใช้พี่น้องของเราเพื่อให้กำลังใจและช่วยให้เราเข้มแข็ง (รม. 1:11, 12) ดังนั้นถ้าเราอยากได้กำลังจากพระยะโฮวา เราต้องยอมให้พี่น้องช่วย การที่คนเราจะทำอะไรให้สำเร็จได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสุขภาพ การเรียนสูง ความร่ำรวย หรือภูมิหลัง แต่ขึ้นอยู่กับความถ่อมและการพึ่งพระยะโฮวา ขอให้เราทุกคนรับใช้ต่อไปโดย (1) พึ่งพระยะโฮวา (2) เรียนจากตัวอย่างในคัมภีร์ไบเบิล และ (3) ยอมให้พี่น้องช่วย ถ้าเราทำอย่างนั้น ไม่ว่าเราจะรู้สึกอ่อนแอขนาดไหน พระยะโฮวาก็จะทำให้เราเข้มแข็ง ห20.07 น. 14 ว. 2; น. 19 ว. 18-19
วันอังคารที่ 11 ตุลาคม
ให้พวกคุณแต่ละคนขยันขันแข็งต่อไป . . . พวกคุณจะได้ไม่เป็นคนเฉื่อยชา แต่จะเลียนแบบคนที่ได้รับสิ่งที่พระเจ้าสัญญาเป็นรางวัลเพราะพวกเขามีความเชื่อและความอดทน—ฮบ. 6:11, 12
สถานการณ์หนึ่งที่อาจทำให้เรารู้สึกว่ายากที่จะแสดงความอดทนก็คือ ตอนที่ประกาศกับญาติที่ไม่มีความเชื่อ หลักการที่ปัญญาจารย์ 3:1, 7 ช่วยเราได้ ที่นั่นบอกว่า “มีเวลา . . . เงียบและเวลาพูด” ความประพฤติที่ดีอาจช่วยให้ญาติฟังเรา แต่เราก็ต้องพยายามพูดเรื่องพระยะโฮวากับพวกเขาทุกครั้งที่มีโอกาส (1 ปต. 3:1, 2) เราต้องประกาศและสอนอย่างกระตือรือร้น แต่เราต้องอดทนเสมอกับทุกคนรวมถึงญาติของเราด้วย เราสามารถเรียนรู้ที่จะอดทนได้จากตัวอย่างของผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ในสมัยคัมภีร์ไบเบิลและในสมัยปัจจุบันด้วย เช่น ฮาบากุกอยากให้ความชั่วหมดไปเร็ว ๆ แต่เขาก็แสดงความอดทนโดยบอกว่า “ผมจะยืนเฝ้าประจำที่ต่อไป” (ฮบก. 2:1) อัครสาวกเปาโลอยากทำงานมอบหมายของเขาให้สำเร็จและได้รับรางวัลในสวรรค์ แต่เขาก็อดทนต่อไปที่จะ “ประกาศข่าวดีเรื่องความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าให้ทั่วถึง”—กจ. 20:24 ห20.09 น. 11-12 ว. 12-14
วันพุธที่ 12 ตุลาคม
[พระเยซู] ไม่เคยคิดจะชิงอำนาจเพื่อจะมีฐานะเท่าเทียมกับพระเจ้า—ฟป. 2:6
ถึงพระเยซูจะมีอำนาจมาก ท่านเป็นรองแค่พระยะโฮวาเท่านั้น แต่ท่านก็ไม่เคยคิดถึงตัวเองมากเกินไป ผู้รับใช้พระเจ้าที่ถ่อมเลียนแบบพระเยซูโดยแสดงความรักต่อกันและกันมากขึ้น และนั่นแสดงว่าพวกเขาเป็นผู้รับใช้แท้ของพระเจ้า (ลก. 9:48; ยน. 13:35) ถ้าดูเหมือนว่าในประชาคมมีปัญหาบางอย่างที่ผู้ดูแลไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย คุณจะทำอย่างไร? แทนที่จะบ่น คุณสามารถแสดงความถ่อมได้โดยสนับสนุนคนที่นำหน้าในประชาคม (ฮบ. 13:17) เพื่อจะทำอย่างนั้นได้ให้คุณถามตัวเองว่า ‘ปัญหานี้มันหนักถึงขนาดที่ต้องมีใครจัดการจริง ๆ ไหม? มันต้องจัดการตอนนี้จริง ๆ เหรอ? แล้วมันใช่หน้าที่ของฉันไหม? ลึก ๆ แล้วฉันอยากให้ประชาคมเป็นหนึ่งเดียวกัน หรืออยากให้คนอื่นมองว่าฉันเป็นคนสำคัญกันแน่?’ พระยะโฮวามองว่าความถ่อมสำคัญกว่าความสามารถที่เรามี และความสามัคคีก็ดีกว่าผลงานที่ออกมา ฉะนั้นขอให้คุณทำสุดความสามารถเพื่อจะรับใช้พระยะโฮวาด้วยความถ่อม ถ้าคุณทำอย่างนั้น คุณก็ช่วยให้ประชาคมสามัคคีและเป็นหนึ่งเดียวกัน—อฟ. 4:2, 3 ห20.07 น. 4-5 ว. 9-11
วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม
พระเยซูบอกพวกเธอว่า “ไม่ต้องกลัว ไปเล่าเรื่องนี้ให้พี่น้องของผมฟัง”—มธ. 28:10
พระเยซูเห็นค่าผู้หญิง “ที่ใช้ทรัพย์สินของตัวเอง” เพื่อสนับสนุนท่าน (ลก. 8:1-3) ท่านเปิดเผยความจริงสำคัญเกี่ยวกับความต้องการของพระเจ้าให้กับพวกเธอ ตัวอย่างเช่น ท่านบอกกับพวกเธอว่าท่านจะตายและจะฟื้นขึ้นจากตาย (ลก. 24:5-8) และท่านเตรียมพวกเธอให้พร้อมสำหรับการทดสอบที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าเหมือนกับที่ท่านช่วยพวกอัครสาวกด้วย (มก. 9:30-32; 10:32-34) น่าสังเกตว่าตอนที่พระเยซูถูกจับ พวกอัครสาวกทิ้งท่านไป แต่ตอนที่พระเยซูกำลังจะตายบนเสาทรมาน ผู้หญิงบางคนในกลุ่มที่สนับสนุนท่านก็ยังอยู่กับท่าน (มธ. 26:56; มก. 15:40, 41) นอกจากนั้น พวกผู้หญิงเป็นคนกลุ่มแรกที่เห็นพระเยซูฟื้นขึ้นจากตาย ท่านมอบหมายผู้หญิงกลุ่มนี้ให้ไปบอกพวกอัครสาวกว่าท่านฟื้นขึ้นจากตายแล้ว (มธ. 28:5, 9, 10) ในวันเพ็นเทคอสต์ปี ค.ศ. 33 น่าจะมีผู้หญิงหลายคนที่ได้รับการเจิมด้วยพลังบริสุทธิ์ด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเธอก็น่าจะได้รับความสามารถในการพูดภาษาอื่น และบอกคนอื่นเกี่ยวกับ “สิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ ของพระเจ้า”—กจ. 1:14; 2:2-4, 11 ห20.09 น. 23 ว. 11-12
วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม
เอาใจใส่ตัวคุณและการสอนของคุณให้ดี—1 ทธ. 4:16
งานสอนคนให้เป็นสาวกเป็นงานช่วยชีวิต เรารู้ได้อย่างไร? พระเยซูสั่งเรื่องนี้ในมัทธิว 28:19, 20 ท่านบอกว่า “ไปสอนคน . . . ให้เป็นสาวก ให้พวกเขารับบัพติศมา” การรับบัพติศมาสำคัญมากเพราะถ้าใครอยากได้รับการช่วยให้รอด เขาก็ต้องรับบัพติศมา คนที่อยากจะรับบัพติศมาต้องเชื่อว่า ทางเดียวที่เขาจะได้รับความรอดคือการที่พระเยซูตายเป็นค่าไถ่และฟื้นขึ้นจากตาย นี่เป็นเหตุผลที่เปโตรบอกเพื่อนคริสเตียนของเขาว่า “การรับบัพติศมาช่วยพวกคุณให้รอดเพราะพวกคุณเชื่อในการฟื้นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์” (1 ปต. 3:21) ดังนั้นคนที่รับบัพติศมาและเข้ามาเป็นสาวกก็มีความหวังที่จะได้รับความรอด เพื่อเราจะช่วยคนให้เป็นสาวก เราต้องเป็นผู้สอนที่ดีและพัฒนา “ศิลปะการสอน” (2 ทธ. 4:1, 2) เพราะอะไร? พระเยซูสั่งเราว่าให้ “ไปสอนคน. . . ให้เป็นสาวก” และอัครสาวกเปาโลก็บอกว่าให้ “มุ่งมั่น” ทำงานนี้ “เพราะถ้าทำอย่างนั้นคุณจะช่วยทั้งตัวเองและคนที่ฟังคุณให้รอด” ห20.10 น. 14 ว. 1-2
วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม
ต่อไปนี้คุณจะไปหาคนแทนที่จะหาปลา—ลก. 5:10
เปโตรเรียนรู้ที่จะรักการ “หาคน” และด้วยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา ในที่สุดเขากลายมาเป็นคนที่ทำงานนี้ได้ดีมาก (กจ. 2:14, 41) เหตุผลหลักที่เราอยากไปประกาศก็คือเพราะเรารักพระยะโฮวา ความรักนี้จะช่วยให้เราสามารถเอาชนะความรู้สึกที่ว่าตัวเองไม่ดีพอหรือรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถที่จะทำงานนี้ ตอนที่พระเยซูเชิญเปโตรให้เข้ามาทำงาน “หาคน” ท่านบอกเขาว่า “ไม่ต้องกลัว” (ลก. 5:8-11) จริง ๆ แล้วเปโตรไม่ได้กลัวว่าถ้าเป็นสาวกของพระเยซูเขาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง แล้วเขากลัวอะไร? ตอนที่พระเยซูทำการอัศจรรย์ช่วยเขากับเพื่อน ๆ จับปลาได้เยอะมาก เขาตกตะลึงมาก และนี่ทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ดีพอที่จะทำงานด้วยกันกับพระเยซู คุณอาจจะกลัวเหมือนกันก็ได้ คุณอาจรู้สึกกลัวว่าจะต้องเจออะไรบ้างถ้าเป็นสาวกของพระคริสต์ ถ้าเป็นอย่างนั้นขอให้คุณรักพระยะโฮวา รักพระเยซู และรักคนอื่นให้มากขึ้น แล้วนี่จะทำให้คุณอยากตอบรับคำเชิญของพระเยซูที่ให้ออกไป “หาคน”—มธ. 22:37, 39; ยน. 14:15 ห20.09 น. 3 ว. 4-5
วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม
ให้พวกคุณไปสอนคน . . . ให้เป็นสาวก—มธ. 28:19, 20
เราเต็มใจที่จะใช้เวลาของเรา เรี่ยวแรง และสิ่งต่าง ๆ ที่เรามีเพื่อจะช่วยคนที่ “เต็มใจตอบรับความจริงซึ่งทำให้ได้ชีวิตตลอดไป” (กจ. 13:48) เพราะถ้าเราทำอย่างนั้น เราก็กำลังเลียนแบบตัวอย่างของพระเยซู เหมือนที่ท่านเคยบอกว่า “อาหารของผมคือการทำตามความประสงค์ของผู้ที่ใช้ผมมาและทำงานของพระองค์ให้สำเร็จ” (ยน. 4:34; 17:4) เราตั้งใจที่จะทำแบบนั้นด้วย เราอยากจะทำงานที่พระเยซูฝากไว้ให้เราจนสำเร็จ (ยน. 20:21) และเราอยากให้คนอื่นซึ่งรวมถึงพี่น้องที่เคยเลิกประกาศกลับมาทำงานรับใช้กับเรา และอดทนทำงานนี้ด้วยกันต่อ ๆ ไป (มธ. 24:13) ถึงการทำตามคำสั่งของพระเยซูจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เราไม่ได้ทำงานนี้ด้วยตัวเราเอง พระเยซูสัญญาว่าท่านจะอยู่กับเราเสมอ และตอนที่เราทำงานสอนคนให้เป็นสาวก เราก็เป็น “เพื่อนร่วมงานของพระเจ้า” และทำงานนี้ “ในฐานะสาวกของพระคริสต์” (1 คร. 3:9; 2 คร. 2:17) เราเลยมั่นใจว่าพระยะโฮวาและพระเยซูจะช่วยเราให้ทำงานนี้สำเร็จได้แน่นอน เรารู้สึกมีความสุขและเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่ได้ทำงานนี้ และได้ช่วยคนอื่น ๆ ให้ทำงานนี้ด้วยกันกับเรา—ฟป. 4:13 ห20.11 น. 7 ว. 19-20
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม
พระเยซูเติบโตและเฉลียวฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ ท่านเป็นที่ชื่นชอบของพระเจ้าและของคนทั่วไปมากขึ้นทุกที—ลก. 2:52
หลายครั้งการตัดสินใจของพ่อแม่ก็มีผลกับลูกในระยะยาว ถ้าพ่อแม่ตัดสินใจผิด นั่นก็อาจทำให้ลูกมีปัญหา ถ้าพ่อแม่ตัดสินใจถูก เขาก็ทำให้ลูกมีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีและมีความสุข แต่ลูก ๆ เองก็ต้องตัดสินใจให้ถูกด้วย การตัดสินใจที่ดีที่สุดก็คือ การเลือกรับใช้พระยะโฮวาพระเจ้าพ่อบนสวรรค์ของพวกเรา (สด. 73:28) พ่อแม่ของพระเยซูตั้งใจช่วยให้ลูก ๆ รับใช้พระยะโฮวา และการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ของพวกเขาก็แสดงว่าการรับใช้พระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขา (ลก. 2:40, 41, 52) พระเยซูเองก็ตัดสินใจถูกด้วย การตัดสินใจแบบนั้นช่วยให้ท่านทำตามความประสงค์ของพระเจ้าได้สำเร็จ (มธ. 4:1-10) ท่านเติบโตมาเป็นผู้ชายที่อ่อนโยน ภักดี และกล้าหาญ พ่อแม่ทุกคนที่รักพระยะโฮวาคงภูมิใจและมีความสุขมากถ้ามีลูกแบบนี้ ห20.10 น. 26 ว. 1-2
วันอังคารที่ 18 ตุลาคม
ให้ตาของลูกมองตรงไป และจ้องมองสิ่งที่อยู่ข้างหน้า—สภษ. 4:25
ลองคิดถึงสถานการณ์ต่อไปนี้ พี่น้องหญิงคนหนึ่งที่อายุมากแล้วคิดถึงช่วงเวลาดี ๆ ตอนที่เธอยังเป็นสาว ถึงตอนนี้อะไร ๆ จะลำบากขึ้นแต่เธอก็ยังทำสุดความสามารถเพื่อพระยะโฮวา ทุกวันเธอคิดภาพของตัวเองตอนที่ได้อยู่ในโลกใหม่กับครอบครัวและเพื่อน ๆ (1 คร. 15:58) พี่น้องหญิงอีกคนหนึ่งรู้สึกเจ็บที่เพื่อนในประชาคมทำไม่ดีกับเธอ แต่เธอเลือกที่จะไม่คิดถึงเรื่องนั้นอีก (คส. 3:13) ส่วนพี่น้องชายอีกคนรู้ดีว่าเขาเคยทำผิดอะไรมา แต่เขาเลือกที่จะไม่คิดถึงเรื่องนั้น และพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อรักษาความซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาในตอนนี้ (สด. 51:10) ทั้ง 3 คนนี้มีอะไรที่เหมือนกัน? ทุกคนจำเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตได้ แต่พวกเขาเลือกที่จะไม่จมอยู่กับมัน พวกเขา “มองตรงไป” ที่อนาคต ทำไมการทำอย่างนี้ถึงสำคัญ? เพราะว่าถ้าเรามัวแต่มองไปข้างหลัง เราก็คงเดินไม่ตรงทาง เหมือนกันถ้าเรามัวแต่คิดถึงอดีต เราก็จะรับใช้พระยะโฮวาเต็มที่ไม่ได้—ลก. 9:62 ห20.11 น. 24 ว. 1-3
วันพุธที่ 19 ตุลาคม
เมื่อโกลิอัทมองเห็นดาวิดก็หัวเราะเยาะ—1 ซม. 17:42
ดาวิดดูอ่อนแอมากเมื่อเทียบกับโกลิอัทที่เป็นนักรบที่รูปร่างใหญ่โตและแข็งแรง โกลิอัทตัวใหญ่กว่า มีอาวุธครบมือ และก็ได้รับการฝึกมาพร้อมที่จะรบ แต่ดาวิดเป็นแค่เด็กหนุ่มที่ไม่มีประสบการณ์ แล้วก็ไม่ได้มีอาวุธอะไรไปสู้กับโกลิอัท ถึงดาวิดอาจจะดูอ่อนแอ แต่จริง ๆ แล้วเขาเข้มแข็งเพราะเขาพึ่งพลังที่มาจากพระยะโฮวา และนี่ทำให้เขาเอาชนะศัตรูได้ (1 ซม. 17:41-45, 50) ดาวิดต้องเจอกับอีกอย่างหนึ่งที่อาจทำให้เขารู้สึกอ่อนแอ เขาจงรักภักดีกับซาอูลกษัตริย์ที่พระยะโฮวาแต่งตั้ง และตอนแรกซาอูลก็ชื่นชมดาวิด แต่ต่อมาซาอูลก็กลายเป็นคนหยิ่งและนั่นทำให้เขาอิจฉาดาวิด เขาทำไม่ดีกับดาวิดและถึงกับพยายามจะฆ่าดาวิดด้วยซ้ำ (1 ซม. 18:6-9, 29; 19:9-11) ถึงซาอูลจะทำไม่ดีกับดาวิด แต่ดาวิดก็ยังนับถือเขา เพราะเขาเป็นคนที่พระยะโฮวาแต่งตั้ง (1 ซม. 24:6) ตอนที่ดาวิดต้องทนกับสิ่งไม่ดีที่ซาอูลทำ เขาไม่ได้โทษพระยะโฮวา แต่เขาพึ่งพระองค์เพื่อจะได้กำลังและอดทนกับปัญหาที่เจอได้—สด. 18:1 และหัวบท ห20.07 น. 17 ว. 11-13
วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม
ในสมัยสุดท้าย กษัตริย์ทิศใต้กับกษัตริย์ทิศเหนือจะสู้กัน—ดนล. 11:40
รายละเอียดส่วนใหญ่ของคำพยากรณ์เรื่องกษัตริย์ทิศเหนือและกษัตริย์ทิศใต้เกิดขึ้นแล้ว เราเลยมั่นใจว่าส่วนที่เหลือก็จะเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน เพื่อจะเข้าใจคำพยากรณ์ในดาเนียลบท 11 เราต้องจำไว้ว่าคำพยากรณ์นี้พูดถึงผู้ปกครองหรือรัฐบาลที่มีผลโดยตรงกับคนของพระเจ้าเท่านั้น นอกจากนั้น ถึงแม้ว่าผู้รับใช้ของพระเจ้าจะมีจำนวนน้อยมากถ้าเทียบกับจำนวนประชากรโลก แต่รัฐบาลเหล่านั้นก็มุ่งแต่จะโจมตีคนของพระเจ้า ทำไม? ก็เพราะทั้งซาตานและระบบทั้งหมดของมันมีเป้าหมายเดียวคือต้องการกำจัดคนที่รับใช้พระยะโฮวาและพระเยซู (ปฐก. 3:15; วว. 11:7; 12:17) และเพื่อจะเข้าใจความหมายคำพยากรณ์ของดาเนียล เราต้องจำไว้ด้วยว่าคำพยากรณ์นี้ต้องไม่ขัดแย้งกับคำพยากรณ์อื่นในคัมภีร์ไบเบิล ที่จริง เราต้องดูส่วนอื่น ๆ ของคัมภีร์ไบเบิลด้วยเพื่อจะเข้าใจคำพยากรณ์นี้ได้อย่างถูกต้อง ห20.05 น. 2 ว. 1-2
วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม
คนตายจะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นมาอย่างไร? พวกเขาจะมีร่างกายแบบไหน?—1 คร. 15:35
หลายคนในทุกวันนี้คิดไปต่าง ๆ นานาว่าชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร ให้เรามาดูว่าคัมภีร์ไบเบิลสอนอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อคนเราตายร่างกายของเขาก็เน่าเปื่อยและสูญสลายไปหมด แต่พระเจ้าที่สร้างเอกภพจากความว่างเปล่าก็สามารถปลุกเขาให้ฟื้นขึ้นมาและสร้างร่างกายใหม่ที่เหมาะสมให้กับเขาได้แน่นอน (ปฐก. 1:1; 2:7) เมื่อเปาโลพูดถึงการฟื้นขึ้นจากตายไปสวรรค์ เขาใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบที่ทำให้เราเห็นว่าพระเจ้าไม่จำเป็นต้องปลุกคนเราให้มีชีวิตในร่างกายเดิม ลองคิดถึงตอนที่เราเพาะ “เมล็ด” ลงในดิน พอมันโตขึ้นเป็นต้นใหม่ มันก็ไม่เหลือเค้าเดิมของเมล็ดเลย เปาโลใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าผู้สร้างทุกสิ่งสามารถให้ “ร่างกายตามที่พระองค์เห็นว่าดี” แล้วเปาโลก็ยังบอกอีกว่ามี “ร่างกายสำหรับสวรรค์และร่างกายสำหรับโลก” เขาหมายความว่าอย่างไร? คนที่อยู่บนโลกมีร่างกายที่มีเลือดมีเนื้อ แต่คนที่อยู่ในสวรรค์มีร่างกายแบบทูตสวรรค์—1 คร. 15:36-41 ห20.12 น. 9-10 ว. 7-9
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม
ผมจะต้องกังวล และเศร้าใจทุกวันไปอีกนานแค่ไหน?—สด. 13:2
เราทุกคนอยากมีชีวิตที่สงบสุขและสบายใจ ไม่มีใครชอบความกังวลหรอก แต่ทุกวันนี้เราอาจจะต้องเจอเรื่องที่ทำให้กังวลหรือเครียดมาก และถามเหมือนกับที่กษัตริย์ดาวิดถามในข้อคัมภีร์วันนี้ มีหลายอย่างที่อาจทำให้เรากังวล บางอย่างเราก็พอจะควบคุมมันได้บ้าง แต่บางอย่างเราก็ควบคุมมันไม่ได้เลย ตัวอย่างเช่น เราควบคุมไม่ได้ว่าในแต่ละปีราคาข้าวปลาอาหารจะแพงขึ้นมากแค่ไหน หรือราคาเสื้อผ้าและค่าเช่าบ้านจะเป็นอย่างไร และเราควบคุมเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนที่โรงเรียนไม่ให้มากดดันเราให้ไม่ซื่อสัตย์หรือทำผิดศีลธรรมก็ไม่ได้ หรือเราบังคับขโมยไม่ให้มาขโมยแถวบ้านเราก็ไม่ได้ เราต้องเจอปัญหาพวกนี้เพราะเราอยู่ในโลกที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ทำตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิล นอกจากนั้น ซาตานพระเจ้าของโลกนี้รู้ว่าบางคนจะไม่รับใช้พระยะโฮวาเพราะ “กังวลกับชีวิตในโลกนี้” เลยไม่แปลกที่โลกนี้มีแต่ปัญหาที่ทำให้ผู้คนเครียดมาก—มธ. 13:22; 1 ยน. 5:19 ห21.01 น. 2 ว. 1, 3
วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม
คนที่เกลียดพี่น้องก็เป็นผู้ฆ่าคน และพวกคุณก็รู้ว่าผู้ฆ่าคนจะไม่ได้ชีวิตตลอดไป—1 ยน. 3:15
ยอห์นเตือนเราว่าเราต้องไม่เกลียดพี่น้องของเรา ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็กำลังเปิดช่องให้กับซาตาน (1 ยน. 2:11) เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นกับพี่น้องของเราในช่วงปลายศตวรรษแรก ซาตานพยายามทำให้พี่น้องในตอนนั้นเกลียดกันและแตกแยกกัน ช่วงที่ยอห์นเขียนจดหมายมีบางคนที่มีนิสัยเหมือนกับซาตานได้เข้ามาในประชาคม ดิโอเตรเฟสเป็นคนหนึ่งที่พยายามสร้างความแตกแยกในประชาคม เขาไม่แสดงความนับถือคนที่คณะกรรมการปกครองส่งมาที่ประชาคม เขาถึงกับพยายามไล่พี่น้องที่ต้อนรับคนที่เขาไม่ชอบด้วยซ้ำ เขาเป็นคนที่หยิ่งมากจริง ๆ (3 ยน. 9, 10) ในทุกวันนี้ซาตานก็ยังพยายามทำให้คนของพระเจ้าเกลียดและแตกแยกกัน แต่ขออย่าให้เรายอมให้ความเกลียดชังมาทำให้เราแตกแยกกันกับพี่น้องเลย ห21.01 น. 11 ว. 14
วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม
เมื่อพวกเขาทำงานประกาศเสร็จแล้ว สัตว์ร้าย . . . จะทำสงครามกับพวกเขา สัตว์ร้ายตัวนั้นจะชนะและฆ่าพวกเขา—วว. 11:7
ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งรัฐบาลเยอรมันและรัฐบาลบริเตนข่มเหงผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ไม่ยอมไปรบในสงคราม ส่วนรัฐบาลของสหรัฐก็จับคนที่นำหน้าในการประกาศเข้าคุกซึ่งทำให้คำพยากรณ์ในวิวรณ์ 11:7-10 เกิดขึ้นจริง ต่อมา ตั้งแต่ปี 1930 โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กษัตริย์ทิศเหนือโจมตีคนของพระเจ้าอย่างหนัก ตอนที่พรรคนาซีกุมอำนาจประเทศเยอรมนี ฮิตเลอร์และผู้สนับสนุนของเขาสั่งห้ามงานที่คนของพระเจ้าทำ กษัตริย์ทิศเหนือฆ่าคนของพระยะโฮวาประมาณ 1,500 คนและส่งหลายพันคนไปค่ายกักกัน เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงอย่างที่ดาเนียลได้พยากรณ์ไว้ กษัตริย์ทิศเหนือ “ทำให้ที่ศักดิ์สิทธิ์ .. . แปดเปื้อน และทำให้การถวายเครื่องบูชาที่ทำเป็นประจำต้องหยุดไป” โดยทำให้ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาไม่มีอิสระในการสรรเสริญชื่อของพระองค์ (ดนล. 11:30ข, 31ก) ฮิตเลอร์ถึงกับสาบานว่าจะกวาดล้างคนของพระเจ้าให้หมดไปจากเยอรมนี ห20.05 น. 6 ว. 12-13
วันอังคารที่ 25 ตุลาคม
ให้รักกันแบบพี่น้อง ริเริ่มให้เกียรติคนอื่นก่อน—รม. 12:10
ถ้าเราแสดงความรักต่อกัน เราจะไม่พยายามแข่งขันกันหรือคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น ให้เราคิดถึงตัวอย่างของโยนาธาน เขาไม่อิจฉาดาวิดหรือมองว่าดาวิดเป็นคู่แข่งชิงบัลลังก์ (1 ซม. 20:42) เราทุกคนสามารถเลียนแบบตัวอย่างของโยนาธานได้โดยไม่มองพี่น้องว่าเป็นคู่แข่งหรืออิจฉาพวกเขาเพราะความสามารถของพวกเขา “แต่ให้ถ่อมตัวและมองว่าคนอื่นดีกว่าตัวเอง” (ฟป. 2:3) จำไว้ว่าเราทุกคนมีอะไรดี ๆ บางอย่างที่จะช่วยประชาคมได้ ถ้าเราถ่อมตัวอยู่เสมอ เราก็จะมองเห็นคุณลักษณะดี ๆ ของพี่น้องและเลียนแบบตัวอย่างที่ดีของพวกเขา (1 คร. 12:21-25) ถ้าเราแสดงความรักต่อกัน เราจะให้กำลังใจพี่น้องของเราได้ตอนที่เขามีปัญหา และเราจะช่วยให้พี่น้องเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น นอกจากนั้นเราแสดงว่าเราเป็นสาวกของพระเยซู และนี่จะช่วยให้คนที่มีหัวใจดีอยากเข้ามานมัสการพระยะโฮวา และที่สำคัญที่สุด เรายกย่องสรรเสริญพระยะโฮวา “พ่อที่มีความเมตตากรุณาและเป็นพระเจ้าที่คอยให้กำลังใจในทุกสถานการณ์”—2 คร. 1:3 ห21.01 น. 24 ว. 14; น. 25 ว. 16
วันพุธที่ 26 ตุลาคม
พวกคุณไม่ได้เป็นคนของโลกนี้แล้ว . . . โลกนี้จึงเกลียดคุณ—ยน. 15:19
ทุกวันนี้เราที่เป็นคนของพระเจ้าก็โดนดูถูกว่าเป็นคนไม่ฉลาดและเป็นคนต่ำต้อย ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? ก็เพราะว่าเราไม่เห็นด้วยกับความคิดของผู้คนในโลก คนในโลกชอบคนหยิ่งและภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น พวกเขายกย่องคนทะเยอทะยานและคนที่ไม่ยอมใคร แต่เราพยายามที่จะเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนและเชื่อฟัง นอกจากนั้นเราก็ไม่ยุ่งกับการเมืองและเรื่องทหาร เลยไม่แปลกที่เราจะถูกคนอื่นดูถูกและมองว่าเราเป็นคนที่ด้อยกว่าพวกเขา (รม. 12:2) ไม่ว่าใครจะมองเราอย่างไร พระยะโฮวาก็ช่วยเราให้ทำงานที่ยิ่งใหญ่ได้ พระองค์ช่วยคนของพระองค์ให้ทำงานประกาศที่กว้างไกลออกไปทั่วโลก คนของพระองค์ผลิตหนังสือซึ่งหนังสือเหล่านี้ได้รับการแปลและแจกจ่ายมากที่สุดในโลก และพวกเขายังใช้คัมภีร์ไบเบิลเพื่อช่วยหลายล้านคนให้มีชีวิตที่ดีขึ้นในตอนนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพระยะโฮวาช่วยกลุ่มคนที่ดูเหมือนอ่อนแอในสายตาของคนอื่นให้ทำสิ่งเหล่านี้ได้ ห20.07 น. 15 ว. 5-6
วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม
ผมกำลังทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อสั่งไว้—ยน. 14:31
พระเยซูยอมอยู่ใต้อำนาจพระยะโฮวา แต่ที่ท่านทำอย่างนั้นไม่ใช่เพราะว่าท่านไม่ฉลาดหรือไม่มีความสามารถ เรารู้ว่าพระเยซูเป็นคนที่ฉลาดมากเพราะท่านสอนได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย (ยน. 7:45, 46) พระยะโฮวามั่นใจในความสามารถของพระเยซูมากถึงขนาดที่พระองค์ยอมให้ท่านช่วยพระองค์สร้างสวรรค์และโลก (สภษ. 8:30; ฮบ. 1:2-4) และหลังจากที่พระเยซูฟื้นขึ้นจากตาย พระยะโฮวาก็ ‘มอบอำนาจให้ท่านปกครองทุกสิ่งในสวรรค์และบนโลก’ (มธ. 28:18) ถึงพระเยซูจะเก่งมากขนาดนี้ แต่ท่านก็ยังขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา เพราะอะไร? เพราะท่านรักพระองค์ คนที่เป็นสามีควรจำไว้ว่าที่พระยะโฮวาให้ภรรยาอยู่ใต้อำนาจสามีไม่ใช่เพราะพระองค์คิดว่าผู้หญิงต่ำกว่าผู้ชาย เราเข้าใจเรื่องนี้ได้เพราะพระองค์เลือกทั้งผู้ชายและผู้หญิงให้มาปกครองร่วมกับพระเยซูบนสวรรค์ (กท. 3:26-29) พระยะโฮวาแสดงว่าพระองค์ไว้ใจพระเยซูโดยให้อำนาจกับท่าน สามีที่ฉลาดก็จะเลียนแบบพระองค์โดยให้อำนาจกับภรรยาเหมือนกัน ห21.02 น. 11 ว. 13-14
วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม
เราถือว่าคนที่อดทนก็มีความสุข—ยก. 5:11
คัมภีร์ไบเบิลเป็นเหมือนกับกระจก คัมภีร์ไบเบิลช่วยให้รู้ว่าเราต้องปรับปรุงตรงไหนและจะทำอย่างนั้นได้ยังไง (ยก. 1:23-25) ตัวอย่างเช่น เมื่อเราศึกษาคัมภีร์ไบเบิล เราอาจจะเห็นว่าเราต้องปรับปรุงตัวเองในเรื่องการควบคุมอารมณ์ แล้วพระยะโฮวาก็ช่วยให้รู้ว่าเราจะใจเย็นและอ่อนโยนได้ยังไงตอนที่เราเจออะไรที่ทำให้อารมณ์เสียหรือเจอคนที่ทำให้เราโกรธ พอเราเป็นคนอย่างนั้น เราก็จะคิดหาทางออกได้ดีกว่าและตัดสินใจได้ดีกว่า (ยก. 3:13) เราเห็นว่าการรู้คัมภีร์ไบเบิลอย่างดีเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ บางทีกว่าเราจะรู้ว่าอะไรไม่ควรทำก็ตอนที่เราพลาดทำสิ่งนั้นไปแล้ว แต่แทนที่เราจะเรียนจากประสบการณ์ของตัวเอง ให้เราเรียนจากประสบการณ์ของคนอื่น นี่เป็นวิธีที่ดีกว่าที่เราจะได้สติปัญญา เพราะอย่างนี้ยากอบถึงบอกให้เราดูตัวอย่างของคนที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิล อย่างเช่น อับราฮัม ราหับ โยบ และเอลียาห์ (ยก. 2:21-26; 5:10, 11, 17, 18) ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวาเหล่านี้มีความสุขทั้ง ๆ ที่ต้องทนกับปัญหา ตัวอย่างของพวกเขาทำให้เรามั่นใจว่าถ้าเราพึ่งพระยะโฮวา เราก็จะทำได้เหมือนกัน ห21.02 น. 29-30 ว. 12-13
วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม
แผนการสำเร็จเพราะมีการปรึกษาหารือ และการทำสงครามต้องพึ่งคำแนะนำที่ดี—สภษ. 20:18
คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบที่จะช่วยนักศึกษาให้เข้าใจคัมภีร์ไบเบิลคือผู้นำการศึกษา แต่ถ้าผู้นำการศึกษาชวนคุณให้ไปศึกษาด้วย คุณก็มีหน้าที่ที่จะช่วยเขาและสนับสนุนเขา (ปญจ. 4:9, 10) แล้วคุณจะทำอะไรได้บ้างตอนที่คุณไปศึกษากับพี่น้อง? เตรียมก่อนศึกษา อย่างแรก คุณอาจจะถามผู้นำการศึกษาเกี่ยวกับนักศึกษาของเขา นักศึกษาเชื่อเรื่องอะไร? เขาอายุเท่าไหร่? ครอบครัวของเขาเป็นแบบไหน? ตอนนี้กำลังศึกษาเรื่องอะไรกันอยู่? มีจุดไหนไหมที่อยากจะเน้นเป็นพิเศษในการศึกษาครั้งนี้? มีอะไรที่ฉันต้องระวังไหม? มีอะไรที่ฉันควรพูดหรือไม่ควรพูดไหม? มีอะไรที่ฉันพอจะทำได้ไหมเพื่อช่วยให้นักศึกษาก้าวหน้ามากขึ้น? ก็จริงที่ผู้นำการศึกษาจะไม่เล่าความลับของนักศึกษาให้คุณฟัง แต่สิ่งที่เขาบอกจะเป็นประโยชน์กับคุณแน่นอน มิชชันนารีที่ชื่อจอยบอกว่า “มันช่วยให้เขารู้ว่าจะพูดอะไรตอนที่ไปศึกษาด้วยกัน และทำให้เขาอยากช่วยนักศึกษาของฉันด้วย” ห21.03 น. 9 ว. 5-6
วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม
ถ้าโลกนี้เกลียดพวกคุณ ก็ให้จำไว้ว่าโลกเกลียดผมก่อน—ยน. 15:18
บางครั้งเราถูกเกลียดเพราะเราใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระเจ้าที่ไม่เหมือนกันเลยกับมาตรฐานของโลกนี้ ตัวอย่างเช่น คนในเมืองโสโดมและโกโมราห์ถูกทำลายเพราะพวกเขาใช้ชีวิตแบบผิดศีลธรรม แต่คนในทุกวันนี้กลับมองว่าการใช้ชีวิตแบบนั้นเป็นเรื่องธรรมดาและยอมรับได้ (ยด. 7) เพราะเราทำตามมาตรฐานในคัมภีร์ไบเบิล หลายคนเลยเยาะเย้ยเราและบอกว่าเราเป็นพวกใจแคบ (1 ปต. 4:3, 4) ถ้าเราโดนเกลียดหรือโดนว่า อะไรจะช่วยให้เราอดทนได้? ความเชื่อนั่นเอง เราต้องเชื่อมั่นว่าพระยะโฮวาจะช่วยเรา ความเชื่อเป็นเหมือนโล่ใหญ่ที่ “จะดับลูกธนูไฟทุกดอกของตัวชั่วร้ายได้” (อฟ. 6:16) แต่แค่เรามีความเชื่ออย่างเดียวยังไม่พอ เราต้องมีความรักด้วย เพราะความรัก “ไม่โมโหง่าย” แต่ความรักยอมทนรับทุกอย่างและช่วยเราอดทนกับทุกสิ่งที่ทำให้เราเสียใจ (1 คร. 13:4-7, 13) ความรักที่มีต่อพระยะโฮวา ต่อพี่น้อง และต่อศัตรูช่วยเราให้อดทนกับความเกลียดชังได้ ห21.03 น. 20-21 ว. 3-4
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม
อย่าโกรธง่าย เพราะความโกรธอยู่ในใจของคนโง่—ปญจ. 7:9
บางครั้งเราแสดงความรักกับพี่น้องโดยที่ไม่ทำอะไรบางอย่าง ตัวอย่างเช่นเราจะไม่เป็นคนโกรธง่ายเวลาได้ยินพี่น้องพูดอะไรบางอย่าง ลองคิดถึงเหตุการณ์หนึ่งตอนที่พระเยซูอยู่บนโลก ท่านบอกสาวกของท่านว่า ถ้าพวกเขาอยากได้ชีวิตก็ต้องกินเนื้อและดื่มเลือดของท่าน (ยน. 6:53-57) หลายคนที่ได้ยินพระเยซูพูดอย่างนั้นก็ช็อคมากและทิ้งท่านไป แต่เพื่อนแท้ของท่านไม่ได้ทำอย่างนั้น ถึงพวกเขาไม่เข้าใจและอาจจะรู้สึกตกใจกับคำพูดของพระเยซู แต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกรับไม่ได้กับคำพูดของท่านและทิ้งท่านไป พวกเขายังไว้ใจในตัวท่านเพราะรู้ว่าท่านเป็นคนที่พูดความจริง (ยน. 6:60, 66-69) ดังนั้นเวลาพี่น้องเราพูดอะไร สำคัญมากที่เราจะไม่เป็นคนโกรธง่าย แต่เราจะให้โอกาสเขาอธิบายว่าที่เขาพูดหมายความว่าอย่างไรจริง ๆ—สภษ. 18:13 ห21.01 น. 11 ว. 13