ตุลาคม
วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม
คนที่ไม่สงสัยในตัวผมก็มีความสุข—มธ. 11:6
สิ่งที่เราเชื่อและสอนมาจากคัมภีร์ไบเบิล ถึงอย่างนั้น หลายคนก็ยังไม่สนใจสิ่งที่เราสอนเพราะพวกเขาคิดว่าการนมัสการของเราเป็นแบบเรียบง่ายเกินไปและไม่มีการฉลองเทศกาลอะไรแบบที่พวกเขาชอบ และเราก็สอนสิ่งที่พวกเขาไม่อยากฟัง อัครสาวกเปาโลบอกคริสเตียนที่อยู่ในกรุงโรมว่า “ความเชื่อจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้ยินข่าวดี และคนจะได้ยินข่าวดีก็ต่อเมื่อมีคนไปประกาศเรื่องพระคริสต์” (รม. 10:17) ถ้าเราอยากมีความเชื่อ เราต้องศึกษาคัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่ไปฉลองเทศกาลที่ไม่ได้เป็นไปตามคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลไม่ว่าเทศกาลเหล่านั้นจะดูน่าสนุกและน่าสนใจมากแค่ไหน คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ถ้าไม่มีความเชื่อก็ไม่มีทางทำให้พระเจ้าพอใจได้” ฉะนั้น เราต้องทำให้ความเชื่อของเราเข้มแข็งโดยมีความรู้ที่ถูกต้อง (ฮบ. 11:1, 6) เราไม่จำเป็นต้องเห็นการอัศจรรย์เพื่อจะพิสูจน์ว่าเราเจอความจริงแล้ว การที่เราศึกษาค้นคว้าคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลจะทำให้เรามีความเชื่อเข้มแข็งขึ้น และนี่ก็พอแล้วที่จะทำให้เรามั่นใจและไม่สงสัยว่าสิ่งที่เราเชื่อเป็นความจริง ห21.05 น. 4-5 ว. 11-12
วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม
เรื่องที่เกิดขึ้นกับผมนั้นกลับทำให้ข่าวดียิ่งแพร่ออกไป—ฟป. 1:12
อัครสาวกเปาโลต้องเจอปัญหาหลายอย่าง เขาต้องการพลังเป็นพิเศษตอนที่ถูกเฆี่ยน ถูกหินขว้าง และถูกขังคุก (2 คร. 11:23-25) และเปาโลก็ไม่อายที่จะยอมรับว่าบางครั้งเขาต้องสู้กับความคิดในแง่ลบ (รม. 7:18, 19, 24) นอกจากนั้น เขายังมีปัญหาสุขภาพที่เป็นเหมือนกับ ‘หนามในร่างกาย’ ที่เขาอ้อนวอนให้พระเจ้าเอามันออกไปจากตัวเขา (2 คร. 12:7, 8) พระยะโฮวาให้พลังกับเปาโลเพื่อเขาจะทำงานรับใช้ต่อไปได้ถึงแม้ต้องเจอปัญหาหลายอย่าง ลองคิดดูว่าเปาโลทำอะไรได้สำเร็จบ้าง ตัวอย่างเช่น ตอนที่ถูกกักตัวอยู่แต่ในบ้านที่กรุงโรม เขาประกาศอย่างกระตือรือร้นกับพวกผู้นำชาวยิวและอาจจะได้ประกาศกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลบางคนด้วย (กจ. 28:17; ฟป. 4:21, 22) ไม่ใช่แค่นั้น เปาโลประกาศกับทุกคนที่มาเยี่ยม และประกาศกับหลายคนที่เป็นองครักษ์ของจักรพรรดิ (กจ. 28:30, 31; ฟป. 1:13) นอกจากนั้น พระเจ้าใช้เปาโลให้เขียนจดหมายที่เป็นประโยชน์กับคริสเตียนในสมัยนั้น ห21.05 น. 21 ว. 4-5
วันอังคารที่ 3 ตุลาคม
อย่าเลยขอบเขตที่เขียนบอกไว้ พวกคุณจะได้ไม่ถือดี ไม่ไปยกย่องคนหนึ่งว่าดีกว่าอีกคนหนึ่ง—1 คร. 4:6
ความหยิ่งทำให้อุสซียาห์กษัตริย์ของยูดาห์ไม่ฟังคำแนะนำและทำสิ่งที่เขาไม่มีสิทธิ์จะทำ จริง ๆ แล้วอุสซียาห์เป็นคนเก่งมาก เขารบชนะสงครามหลายครั้ง สร้างเมืองหลายเมือง และเก่งในเรื่องการเกษตรด้วย คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้ . . . ช่วยให้เขาเจริญขึ้น” (2 พศ. 26:3-7, 10) “แต่เมื่อเขาแข็งแกร่งแล้ว เขาก็กลายเป็นคนหยิ่งจนทำให้เขาต้องพินาศ” พระยะโฮวาบอกไว้แล้วว่ามีแค่ปุโรหิตเท่านั้นที่จะเผาเครื่องหอมได้ แต่ทั้ง ๆ ที่รู้อย่างนี้อุสซียาห์ก็ยังเข้าไปในวิหารและเผาเครื่องหอมด้วยตัวเอง พระยะโฮวาไม่พอใจเขาและทำให้เขาเป็นโรคเรื้อน (2 พศ. 26:16-21) เป็นไปได้ไหมที่ความหยิ่งอาจทำให้เราติดกับดักเหมือนอุสซียาห์? เป็นไปได้ถ้าเราคิดถึงตัวเองมากเกินไป ขอให้เราจำไว้ว่าความสามารถทุกอย่างที่เรามีและสิทธิพิเศษทุกอย่างที่เราได้รับมาจากพระยะโฮวา (1 คร. 4:6, 7) ถ้าเราหยิ่ง พระยะโฮวาจะไม่ใช้เรา ห21.06 น. 16 ว. 7-8
วันพุธที่ 4 ตุลาคม
อย่าดีใจที่ปีศาจอยู่ใต้อำนาจพวกคุณ แต่ให้ดีใจที่ชื่อของพวกคุณจดไว้แล้วในสวรรค์—ลก. 10:20
พระเยซูรู้ว่าพวกสาวกจะไม่ได้เจอประสบการณ์ดี ๆ แบบนี้ทุกครั้ง และจริง ๆ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าคนที่ฟังพวกเขาในตอนนั้นในที่สุดแล้วมีกี่คนที่เข้ามาเป็นคริสเตียน พวกสาวกต้องเข้าใจว่าความสุขของพวกเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลงาน แต่ขึ้นอยู่กับการที่พระยะโฮวาพอใจในความพยายามของพวกเขา ถ้าเรารับใช้ต่อ ๆ ไปด้วยความอดทน เราจะได้ชีวิตตลอดไป เมื่อเราประกาศและสอนอย่างเต็มที่ เราก็กำลังหว่านเมล็ดของความจริง และเราก็กำลัง “หว่านตามที่พลังของพระเจ้าชี้นำ” ด้วยเพราะเรากำลังทำตามการชี้นำของพลังบริสุทธิ์ ถ้าเรา “ไม่ท้อ” และไม่ “เลิกทำดี” พระยะโฮวารับรองว่าเราจะ “เก็บเกี่ยวชีวิตตลอดไป” ไม่ว่าเราจะเคยช่วยใครให้อุทิศตัวและรับบัพติศมาหรือเปล่า—กท. 6:7-9 ห21.10 น. 26 ว. 8-9
วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม
พระเยซู . . . ก็รู้สึกสงสาร . . . จึงสอนพวกเขาหลายเรื่อง—มก. 6:34
มีอยู่ครั้งหนึ่งพระเยซูกับพวกสาวกเหนื่อยมากจากการประกาศและอยากพัก แต่ก็มีคนกลุ่มใหญ่มารออยู่ พระเยซูสงสารพวกเขามากเลยเริ่ม “สอนพวกเขาหลายเรื่อง” พระเยซูคิดถึงความรู้สึกของคนในกลุ่มนั้น ท่านเห็นว่าพวกเขาลำบากมากและไม่มีความหวังในชีวิต ท่านเลยอยากช่วยพวกเขา คนในทุกวันนี้ก็เหมือนกัน ถึงภายนอกจะดูมีความสุขดีแต่พวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยงซึ่งช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อัครสาวกเปาโลบอกว่าคนแบบนี้ไม่รู้จักพระเจ้าและไม่มีความหวัง (อฟ. 2:12) ถ้าเราคิดว่าคนในเขตน่าสงสาร เขาต้องรู้จักพระเจ้าจริง ๆ ความรักและความเห็นอกเห็นใจก็จะทำให้เราอยากไปช่วยพวกเขา และวิธีที่ดีที่สุดก็คือชวนเขาให้มาเรียนคัมภีร์ไบเบิล ห21.07 น. 5 ว. 8
วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม
อย่าถือว่าตัวเองสำคัญกว่าคนอื่น . . . และอย่าอิจฉากัน—กท. 5:26
คนที่คิดว่าตัวเองสำคัญกว่าคนอื่นเป็นคนหยิ่งและเห็นแก่ตัว คนที่อิจฉาไม่ใช่แค่อยากได้สิ่งที่คนอื่นมีเท่านั้น แต่อยากให้คนนั้นสูญเสียสิ่งที่เขามีด้วย จริง ๆ แล้วถ้าเราอิจฉาเขาก็แสดงว่าเราเกลียดเขา ความหยิ่งและการคิดว่าตัวเองสำคัญกว่าคนอื่นอาจจะเหมือนกับเศษสิ่งสกปรกที่อยู่ในถังน้ำมันของเครื่องบิน ถึงตอนแรกเครื่องบินจะบินขึ้นไปได้ แต่ไม่นานเศษสิ่งสกปรกก็จะอุดตันในสายน้ำมันและทำให้เครื่องบินตกลงมา เรื่องนี้ก็เหมือนคนที่อิจฉาคนอื่นและรับใช้พระเจ้าเพราะอยากเป็นคนสำคัญ ตอนแรกเขาอาจจะยังรับใช้พระยะโฮวาได้ แต่ในที่สุดเขาจะเลิกรับใช้พระองค์ (สภษ. 16:18) เขาไม่ได้แค่ทำร้ายตัวเองเท่านั้นแต่ทำร้ายคนอื่นด้วย เราจะไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญกว่าคนอื่นถ้าเราทำตามคำแนะนำของเปาโลที่บอกว่า “อย่าทำอะไรด้วยน้ำใจชิงดีชิงเด่นหรือถือว่าตัวเองสำคัญ แต่ให้ถ่อมตัวและมองว่าคนอื่นดีกว่าตัวเอง”—ฟป. 2:3 ห21.07 น. 15-16 ว. 6-8
วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม
เพราะข่าวดีที่เราประกาศนั้นไม่ได้มาถึงพวกคุณด้วยคำพูดเท่านั้น แต่มาพร้อมกับฤทธิ์อำนาจและพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าและด้วยความมั่นใจอย่างเต็มที่—1 ธส. 1:5
บางคนบอกว่าศาสนาแท้ต้องตอบได้ทุกเรื่องแม้แต่เรื่องที่คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้พูดถึง คนที่คิดแบบนี้มีเหตุผลไหม? ให้เรามาดูตัวอย่างของเปาโล เปาโลบอกให้พี่น้อง “ตรวจดูทุกสิ่งให้แน่ใจ” (1 ธส. 5:21) แต่เขาก็ยอมรับว่ามีหลายอย่างที่เขายังไม่เข้าใจ เขาบอกว่า “เรารู้แค่บางอย่าง . . . สิ่งที่เราเห็นในตอนนี้เป็นภาพสะท้อนราง ๆ ของกระจกเงาโลหะ” (1 คร. 13:9, 12) เปาโลไม่ได้เข้าใจทุกอย่างและเราก็ไม่ได้เข้าใจทุกอย่างเหมือนกัน แต่เปาโลเข้าใจความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับพระยะโฮวาและความประสงค์ของพระองค์ และนี่ก็มากพอแล้วที่เขาจะมั่นใจว่าสิ่งที่เขาเชื่อเป็นความจริง วิธีหนึ่งที่เราจะมั่นใจมากขึ้นว่าสิ่งที่เราเชื่อเป็นความจริงก็โดยดูว่าพระเยซูนมัสการพระเจ้ายังไง แล้วพยานพระยะโฮวาในทุกวันนี้ทำแบบเดียวกันไหม ห21.10 น. 18-19 ว. 2-4
วันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม
เขาจะเกษียณเมื่ออายุครบ 50 ปี—กดว. 8:25
พี่น้องที่สูงอายุ ไม่ว่าตอนนี้คุณจะรับใช้เต็มเวลาหรือไม่ คุณก็ยังช่วยพี่น้องคนอื่นได้ คุณจะช่วยได้ยังไง? ก็โดยการที่คุณปรับตัวให้เข้ากับสภาพการณ์ใหม่ พยายามตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ และสนใจสิ่งที่คุณทำได้แทนที่จะสนใจในสิ่งที่คุณทำไม่ได้ กษัตริย์ดาวิดอยากจะสร้างวิหารให้พระยะโฮวามาก แต่พระยะโฮวาบอกว่าพระองค์จะให้สิทธิพิเศษนี้กับโซโลมอน พอดาวิดได้ยินแบบนั้น เขาก็ยอมรับการตัดสินใจของพระยะโฮวาและเต็มใจสนับสนุนงานนี้ (1 พศ. 17:4; 22:5) ดาวิดไม่ได้คิดว่าเขาน่าจะเหมาะกับงานนี้มากกว่าเพราะโซโลมอน “อายุยังน้อยและไม่มีประสบการณ์” (1 พศ. 29:1) ดาวิดรู้ว่าที่งานนี้จะประสบความสำเร็จได้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุหรือประสบการณ์ของคนที่นำหน้าในงานนี้ แต่ขึ้นอยู่กับการอวยพรจากพระยะโฮวา พี่น้องสูงอายุในทุกวันนี้ก็เหมือนกับดาวิด ถึงแม้งานมอบหมายของพวกเขาจะเปลี่ยนไป แต่พวกเขาก็ยังทำสิ่งที่ทำได้อย่างดีที่สุด และพวกเขารู้ว่าพระยะโฮวาจะอวยพรพี่น้องที่อายุน้อยกว่าที่กำลังทำงานที่พวกเขาเคยทำ ห21.09 น. 9 ว. 4; น. 10 ว. 5, 8
วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม
พระองค์จะชี้นำคนอ่อนน้อมให้เดินในทางที่ถูกต้อง และจะสอนทางของพระองค์ให้กับคนถ่อมตน—สด. 25:9
ถ้าเราตั้งเป้าหมายในงานรับใช้พระยะโฮวา ชีวิตของเราก็จะมีความหมายและมีความสุข แต่ที่สำคัญก็คือเราต้องตั้งเป้าหมายที่เราทำได้ไม่ใช่ทำตามคนอื่น เพราะถ้าทำอย่างนั้นเราอาจจะผิดหวังและท้อใจได้ (ลก. 14:28) คุณเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวาและอยู่ในครอบครัวของพระองค์ พระองค์เห็นว่าคุณมีค่าและไม่มีใครเหมือนคุณ พระยะโฮวาชักนำให้คุณมาหาพระองค์ไม่ใช่เพราะว่าคุณดีกว่าหรือเก่งกว่าคนอื่น แต่เพราะพระองค์เห็นหัวใจคุณว่าคุณเป็นคนถ่อม พร้อมที่จะเรียนรู้และยอมที่จะให้พระองค์ปรับเปลี่ยนตัวคุณ ขอให้คุณมั่นใจว่าถ้าคุณรับใช้พระยะโฮวาสุดความสามารถ พระองค์ก็เห็นค่า และคุณก็ทำให้พระองค์มีความสุข การที่คุณอดทนและรักษาความเชื่อก็แสดงว่าคุณมี “หัวใจดีและซื่อสัตย์” (ลก. 8:15) ขอให้คุณรับใช้พระยะโฮวาสุดความสามารถของคุณต่อ ๆ ไป แล้วคุณก็จะมีความสุขและ “ภูมิใจกับตัวเอง”—กท. 6:4 ห21.07 น. 23 ว. 15; น. 25 ว. 20
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม
คนที่ช่วยเขาให้หันกลับจากทางผิด ก็ช่วยเขาให้รอดพ้น—ยก. 5:20
เราอาจต้องอดทนรอความยุติธรรม เช่น เมื่อผู้ดูแลรู้ว่ามีการทำผิดร้ายแรงในประชาคม พวกเขาจะอธิษฐานขอ “สติปัญญาจากเบื้องบน” เพื่อจะมองเรื่องนั้นแบบที่พระยะโฮวามอง (ยก. 3:17) เป้าหมายของผู้ดูแลก็คือช่วยคนที่ทำผิด “ให้หันกลับจากทางผิด” (ยก. 5:19, 20) และพวกเขาจะพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อปกป้องประชาคม และให้กำลังใจพี่น้องที่ได้รับผลกระทบจากการทำผิดนั้น (2 คร. 1:3, 4) และเมื่อผู้ดูแลรู้ว่ามีการทำผิดร้ายแรงพวกเขาต้องหาข้อเท็จจริงทั้งหมดก่อนซึ่งเรื่องนี้อาจต้องใช้เวลา จากนั้น พวกเขาจะอธิษฐานและดูคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลเพื่อจะว่ากล่าวแก้ไขคนที่ทำผิด “ตามสมควร” (ยรม. 30:11) ผู้ดูแลจะไม่รีบร้อนตัดสินด้วย เมื่อผู้ดูแลทำตามการชี้นำของพระยะโฮวา ทุกคนในประชาคมก็จะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดกับทุกฝ่าย ห21.08 น. 10-11 ว. 12-13
วันพุธที่ 11 ตุลาคม
แม่ไปไหน ลูกจะไปด้วย . . . ชนร่วมชาติของแม่จะเป็นชนร่วมชาติของลูก และพระเจ้าของแม่จะเป็นพระเจ้าของลูก—นรธ. 1:16
ช่วงที่มีการขาดแคลนอาหารในอิสราเอล นาโอมี สามีของเธอ และลูกชายอีก 2 คนต้องย้ายไปโมอับ ตอนอยู่ที่นั่นสามีของเธอตาย ต่อมาลูกชายทั้ง 2 คนแต่งงาน แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ตายด้วย (นรธ. 1:3-5) นี่ทำให้นาโอมีรู้สึกเศร้าและเสียใจหนักเข้าไปอีก เธอท้อใจจนคิดว่าพระยะโฮวามองว่าเธอเป็นศัตรู เธอบอกว่า “พระยะโฮวาไม่พอใจแม่” “ผู้มีพลังอำนาจสูงสุดทำให้ชีวิตฉันขมขื่นจริง ๆ” “พระยะโฮวากลายเป็นศัตรูของฉันและผู้มีพลังอำนาจสูงสุดทำให้เรื่องร้าย ๆ อย่างนี้เกิดขึ้นกับฉัน” (นรธ. 1:13, 20, 21) พระยะโฮวารู้ว่าปัญหาหรือความทุกข์ “ทำให้คนฉลาดคลุ้มคลั่งได้” (ปญจ. 7:7) พระองค์เลยให้รูธช่วยนาโอมีและแสดงความรักที่มั่นคงกับเธอ รูธอ่อนโยนและเต็มใจช่วยนาโอมีไม่ให้ท้อใจเกินไปและช่วยให้เห็นว่าพระยะโฮวายังรักเธออยู่ ห21.11 น. 9 ว. 9; น. 10 ว. 10, 13
วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม
พยายามขอจากพระเจ้าต่อ ๆ ไป—ยก. 1:5
การที่เราสนใจทำงานมอบหมายของเราให้ดีในตอนนี้หมายความว่าเราไม่ต้องหาวิธีรับใช้พระยะโฮวามากขึ้นไหม? ไม่ใช่อย่างนั้น เราน่าจะตั้งเป้าที่จะรับใช้ให้ดีขึ้นและพยายามช่วยพี่น้องมากขึ้นด้วย เราจะทำอย่างนั้นได้ถ้าเราตั้งเป้าที่ทำได้จริงและสนใจที่จะรับใช้คนอื่นไม่ใช่คิดถึงตัวเอง นี่แสดงว่าเราเป็นคนฉลาดและเจียมตัว (สภษ. 11:2; กจ. 20:35) คุณจะตั้งเป้าหมายอะไรได้บ้าง? ให้ขอพระยะโฮวาช่วยคุณให้รู้ว่ามีเป้าหมายอะไรที่คุณสามารถทำได้จริง (สภษ. 16:3) คุณจะลองตั้งเป้าหมายเป็นไพโอเนียร์สมทบหรือไพโอเนียร์ประจำ รับใช้ที่เบเธล หรือช่วยงานก่อสร้างหอประชุมและอาคารต่าง ๆ ขององค์การได้ไหม? หรือคุณอาจจะลองเรียนภาษาใหม่ก็ได้เพื่อจะประกาศมากขึ้นหรือถึงกับย้ายไปในเขตที่ใช้ภาษานั้น ห21.08 น. 23 ว. 14-15
วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม
[พระยะโฮวา] มีความรักที่มั่นคงตลอดไป—สด. 136:1
พระยะโฮวามองว่าความรักที่มั่นคงสำคัญมาก (ฮชย. 6:6) พระยะโฮวาใช้ผู้พยากรณ์มีคาห์ให้บอกเราให้ “รักความรักที่มั่นคง” (มคา. 6:8, เชิงอรรถ) แต่เพื่อเราจะทำอย่างนั้นได้ เราต้องรู้ว่าความรักที่มั่นคงเป็นยังไง คำว่า “รักมั่นคง” “รักไม่เปลี่ยนแปลง” และคำคล้ายกันนี้มีในคัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลโลกใหม่ ภาษาไทยประมาณ 190 ครั้ง ส่วนอธิบายศัพท์ในคัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลโลกใหม่บอกว่าความรักที่มั่นคงหมายถึง “ความรักที่เกิดจากความซื่อสัตย์ ความภักดี และความผูกพันอย่างลึกซึ้ง คำนี้มักใช้เมื่อพูดถึงความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ แต่ก็เป็นความรักที่มนุษย์มีต่อกันได้ด้วย” พระยะโฮวาเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในการแสดงความรักที่มั่นคง นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้กษัตริย์ดาวิดบอกว่า “พระยะโฮวา ความรักที่มั่นคงของพระองค์มากล้นจดสวรรค์ . . . พระเจ้าของผม ความรักที่มั่นคงของพระองค์มีค่ามาก มนุษย์จะเข้ามาหลบภัยใต้ร่มปีกของพระองค์” (สด. 36:5, 7) เรามองความรักที่มั่นคงของพระเจ้าว่ามีค่ามากเหมือนกับที่ดาวิดมองไหม? ห21.11 น. 2 ว. 1-2; น. 3 ว. 4
วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม
คุณควรจะอธิษฐานตามแบบนี้ว่า “พระเจ้า พ่อของพวกเราในสวรรค์”—มธ. 6:9
ครอบครัวของพระยะโฮวามีทั้งพระเยซู “ลูกคนแรกที่ถูกสร้างก่อนทุกสิ่ง” และทูตสวรรค์อีกหลายล้านองค์ (คส. 1:15; เชิงอรรถ; สด. 103:20) ตอนที่พระเยซูมาบนโลก ท่านสอนว่าเราสามารถเรียกพระยะโฮวาว่าพ่อได้ อย่างเช่น ตอนที่ท่านคุยกับสาวก ท่านพูดถึงพระยะโฮวาว่า “พ่อของผมซึ่งเป็นพ่อของพวกคุณ” (ยน. 20:17) และตอนที่เราอุทิศตัวและรับบัพติศมา เราก็ได้มาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพี่น้องคริสเตียน (มก. 10:29, 30) พระเยซูมองว่าพระยะโฮวาเป็นพ่อที่รักท่านและคุยได้ตลอด ท่านอยากให้เรามองพระยะโฮวาแบบนั้นเหมือนกัน ท่านไม่อยากให้เราคิดว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ใช้แต่อำนาจและไม่มีความรู้สึก แต่อยากให้เรามองว่าพระองค์เป็นพระเจ้าที่รักและห่วงใยเรา ตอนที่พระเยซูสอนให้อธิษฐาน ท่านเริ่มด้วยคำว่า “พระเจ้า พ่อของพวกเรา” จริง ๆ แล้วท่านอาจจะใช้คำอื่นเรียกพระยะโฮวาก็ได้ เช่น “ผู้มีพลังอำนาจสูงสุด” “ผู้สร้าง” หรือ “ผู้เป็นกษัตริย์ตลอดไป” (ปฐก. 49:25; อสย. 40:28; 1 ทธ. 1:17) แต่ท่านบอกให้เราเรียกพระองค์ว่า “พ่อ” ห21.09 น. 20 ว. 1, 3
วันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม
มนัสเสห์จึงรู้ว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้—2 พศ. 33:13
มนัสเสห์ไม่ฟังคำเตือนของผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวาเลย พระองค์ “จึงส่งแม่ทัพของกษัตริย์อัสซีเรียมาโจมตี [ยูดาห์] พวกเขาจับมนัสเสห์และเอาตะขอเกี่ยวเขา แล้วใส่ตรวนทองแดง 2 อันพาไปที่บาบิโลน” ตอนอยู่ในคุก เขาคิดอย่างจริงจังถึงสิ่งที่เขาทำลงไป มนัสเสห์ “ถ่อมตัวลงอย่างมากต่อพระเจ้าของปู่ย่าตายาย” เขาถึงกับ “อ้อนวอนขอความเมตตาจากพระยะโฮวาพระเจ้าของเขา” และ “อธิษฐานถึงพระเจ้าหลายครั้งหลายหน” (2 พศ. 33:10-12) คำอธิษฐานของมนัสเสห์ทำให้พระยะโฮวาเห็นว่าเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วจริง ๆ พระองค์เลยตอบคำอธิษฐานของเขาและให้เขาเป็นกษัตริย์อีกครั้ง มนัสเสห์ทำหลายอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเขากลับใจจริง ๆ ห21.10 น. 4 ว. 10-11
วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม
สองคนก็ดีกว่าคนเดียว เพราะพวกเขาจะได้ผลดีจากการทำงานหนัก—ปญจ. 4:9
อะควิลลากับปริสสิลลาต้องทิ้งที่ที่ตัวเองคุ้นเคย ไปหาบ้านใหม่ และไปทำงานในที่ใหม่ พอทั้งสองคนไปถึงโครินธ์ พวกเขาก็ไปช่วยประชาคมที่นั่นและทำงานด้วยกันกับเปาโลเพื่อช่วยให้พี่น้องเข้มแข็งขึ้น และหลังจากนั้นพวกเขาก็ย้ายไปอีกหลายเมืองที่ต้องการผู้ประกาศมากกว่า (กจ. 18:18-21; รม. 16:3-5) ชีวิตของทั้งสองคนนี้มีอะไรหลายอย่างให้ทำและมีความสุขจริง ๆ สามีภรรยาในทุกวันนี้เลียนแบบปริสสิลลากับอะควิลลาได้โดยให้รัฐบาลของพระเจ้ามาก่อนอย่างอื่น พวกเขาทำอย่างนั้นได้โดยคุยกันเกี่ยวกับเป้าหมายในการรับใช้ แต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะทำอย่างนี้ก็น่าจะเป็นตอนที่ทั้งสองคนยังเป็นแฟนกันอยู่ เมื่อทั้งสองคนตัดสินใจด้วยกันและพยายามทำตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ พวกเขาก็จะมีโอกาสได้เห็นมากขึ้นว่าพระยะโฮวาช่วยพวกเขายังไงบ้าง—ปญจ. 4:12 ห21.11 น. 17 ว. 11-12
วันอังคารที่ 17 ตุลาคม
พวกเจ้าต้องนับถือพ่อแม่ . . . เราคือยะโฮวาพระเจ้าของพวกเจ้า—ลนต. 19:3
เรารู้ว่าสำคัญมากที่เราต้องทำตามคำสั่งของพระเจ้าที่ให้นับถือพ่อแม่ เราต้องจำไว้ว่าคำสั่งในเลวีนิติ 19:3 ที่พระยะโฮวาสั่งให้เรานับถือพ่อแม่นั้นเป็นคำสั่งที่ต่อจากคำพูดของพระองค์ที่บอกว่า “พวกเจ้าต้องเป็นคนบริสุทธิ์ เพราะเรายะโฮวาพระเจ้าของพวกเจ้าเป็นพระเจ้าที่บริสุทธิ์” (ลนต. 19:2) พอเราคิดถึงคำสั่งของพระยะโฮวาที่ให้นับถือพ่อแม่ เราอาจต้องถามตัวเองว่า ‘ฉันกำลังทำอย่างนั้นจริง ๆ ไหม?’ ถ้าคุณรู้สึกว่าที่ผ่านมายังทำได้ไม่ดีพอและคุณก็ย้อนเวลากลับไปเปลี่ยนอดีตไม่ได้ ก็ให้คุณทำให้ดีขึ้นตั้งแต่ตอนนี้เลย เช่น คุณอาจจะใช้เวลากับพ่อแม่มากขึ้นและทำอะไรหลาย ๆ อย่างให้กับพวกเขา อย่างเช่น คุณอาจจะช่วยพวกเขาด้านค่าใช้จ่าย หรือช่วยพวกเขาทางด้านความเชื่อ นอกจากนั้น คุณอาจจะให้กำลังใจพวกเขาได้และดูแลพวกเขาด้านอารมณ์และความรู้สึก ถ้าคุณทำแบบนี้คุณก็กำลังทำตามคำสั่งที่เลวีนิติ 19:3 ห21.12 น. 4-5 ว. 10-12
วันพุธที่ 18 ตุลาคม
คุณต้องเลิกตัดสินคนอื่น—มธ. 7:1
ดาวิดทำผิดร้ายแรงหลายอย่าง เช่น เขาเล่นชู้กับบัทเชบาและถึงกับส่งสามีของเธอไปตายในสนามรบ (2 ซม. 11:2-4, 14, 15, 24) ดาวิดไม่เพียงทำให้ตัวเองเจ็บปวดเท่านั้น แต่เขายังทำให้ภรรยาคนอื่น ๆ ของเขาและครอบครัวเจ็บปวดไปด้วย (2 ซม. 12:10, 11) มีอีกครั้งหนึ่ง ดาวิดไม่ได้แสดงว่าไว้วางใจพระยะโฮวาเต็มที่ เขาสั่งให้นับจำนวนทหารทั้งหมด ที่ดาวิดทำแบบนั้นอาจเป็นเพราะเขาภูมิใจที่มีกองทัพใหญ่ การทำแบบนี้ทำให้ชาวอิสราเอล 70,000 คนตายเพราะโรคระบาด (2 ซม. 24:1-4, 10-15) คุณจะคิดไหมว่าเขาไม่สมควรได้รับความเมตตาจากพระยะโฮวาเลย? แต่พระยะโฮวาไม่ได้คิดอย่างนั้น พระองค์สนใจว่าที่ผ่านมาดาวิดซื่อสัตย์มาตลอดและพระองค์เห็นว่าเขากลับใจจริง ๆ พระยะโฮวาเลยให้อภัยดาวิดที่ทำผิดร้ายแรงสองครั้งนั้น พระองค์รู้ว่าดาวิดรักพระองค์มากและอยากทำสิ่งที่ถูกต้อง เราขอบคุณจริง ๆ ที่พระยะโฮวามองแต่ส่วนดีของเรา—1 พก. 9:4; 1 พศ. 29:10, 17 ห21.12 น. 19 ว. 11-13
วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม
ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นได้ แล้วเดินตามพระเยซูไปพร้อมกับสรรเสริญพระเจ้า—ลก. 18:43
พระเยซูเห็นใจคนพิการ ลองคิดถึงตอนที่ท่านให้คนไปบอกยอห์นผู้ให้บัพติศมาว่า “คนตาบอดกลับมองเห็นได้ คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายเป็นปกติ คนหูหนวกได้ยิน คนตายฟื้นขึ้นมา” พระเยซูทำการอัศจรรย์เพื่อช่วยคนเหล่านี้ และพอประชาชนเห็น พวกเขา “ก็พากันสรรเสริญพระเจ้า” (ลก. 7:20-22) คริสเตียนในทุกวันนี้ก็อยากเลียนแบบพระเยซูด้วยเหมือนกัน เราเลยเห็นอกเห็นใจ อดทน และช่วยเหลือคนพิการ ถึงพระยะโฮวาจะไม่ได้ให้อำนาจเราทำการอัศจรรย์ แต่เราก็มีสิทธิพิเศษได้บอกข่าวดีให้กับผู้คนในโลกที่มืดบอดเพราะไม่รู้จักพระเจ้าและยังได้ประกาศให้คนที่ตาบอดจริง ๆ ฟังด้วย เราได้บอกกับพวกเขาว่าอีกไม่นานโลกจะกลายเป็นสวนอุทยาน ทุกคนจะสนิทกับพระยะโฮวาและมีสุขภาพดีสมบูรณ์แข็งแรง (ลก. 4:18) ในทุกวันนี้หลายคนก็ได้มาสรรเสริญพระยะโฮวาเพราะข่าวดีนี้ ห21.12 น. 9 ว. 5
วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม
พวกคุณเคยได้ยินเรื่องความอดทนของโยบและรู้ว่าตอนจบพระยะโฮวาให้อะไรกับเขาบ้าง—ยก. 5:11
ตอนที่ยากอบสอน เขาใช้พระคัมภีร์เป็นหลักเพื่อช่วยให้ผู้ฟังรู้ว่าถ้าพวกเขาซื่อสัตย์กับพระยะโฮวาเหมือนกับโยบ พวกเขาจะได้รับรางวัล และยากอบอธิบายเรื่องนี้ในแบบที่เข้าใจง่าย ๆ และใช้คำง่าย ๆ วิธีที่ยากอบสอนทำให้คนที่ฟังเขาสนใจที่พระยะโฮวาไม่ใช่สนใจที่ตัวเขา บทเรียนคือเราต้องสอนแบบง่าย ๆ และใช้คัมภีร์ไบเบิล นอกจากนั้น เราไม่ควรพยายามทำให้นักศึกษาประทับใจที่เรารู้เยอะ แต่ให้เน้นว่าพระยะโฮวาฉลาดและรักเขามากขนาดไหน (รม. 11:33) เราจะทำแบบนั้นได้โดยใช้คัมภีร์ไบเบิลเสมอ ตัวอย่างเช่น แทนที่เราจะบอกนักศึกษาว่าถ้าเป็นเรา เราจะทำแบบนี้หรือทำแบบนั้น แต่เราจะช่วยนักศึกษาให้คิดถึงตัวอย่างในคัมภีร์ไบเบิลและช่วยให้เขาเข้าใจว่าพระยะโฮวาคิดและรู้สึกยังไงในเรื่องนั้น เมื่อเราทำอย่างนี้ นักศึกษาจะเอาสิ่งที่เรียนไปใช้เพราะอยากทำให้พระยะโฮวาพอใจ ไม่ใช่อยากทำให้เราพอใจ ห22.01 น. 11 ว. 9-10
วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม
ให้รักคนอื่นเหมือนรักตัวเอง—ลนต. 19:18
พระยะโฮวาไม่ใช่แค่ต้องการให้เราไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเท่านั้น แต่พระองค์สนใจด้วยว่าเราปฏิบัติกับคนอื่นยังไง ถ้าเราอยากทำให้พระยะโฮวาพอใจ เราก็ต้องทำตามคำสั่งนี้ พระเยซูแสดงให้เห็นว่าคำสั่งในเลวีนิติ 19:18 สำคัญมาก ตอนที่ฟาริสีมาถามพระเยซูว่า “กฎหมายของโมเสสข้อไหนสำคัญที่สุด?” พระเยซูตอบว่า “กฎหมายข้อที่สำคัญที่สุดและเป็นข้อแรก” คือให้รักพระยะโฮวาสุดหัวใจ สุดชีวิต และสุดความคิด แล้วพระเยซูก็พูดต่อโดยยกเลวีนิติ 19:18 ที่บอกว่า “ข้อที่สองก็คล้ายกันคือ ‘ให้รักคนอื่นเหมือนรักตัวเอง’” (มธ. 22:35-40) ที่จริง มีหลายวิธีที่เราจะแสดงว่าเรารักคนอื่นได้ วิธีหนึ่งคือการเอาคำแนะนำในเลวีนิติ 19:18 ไปใช้ที่บอกว่า “อย่าแก้แค้นหรือผูกพยาบาท” ห21.12 น. 10-11 ว. 11-13
วันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม
แต่เมื่อมองที่พายุ เขาก็กลัวและเริ่มจะจม เขาร้องตะโกนว่า “อาจารย์ ช่วยผมด้วย!”—มธ. 14:30
พระเยซูเลยยื่นมือจับเปโตรและช่วยเขาไว้ เราเห็นชัดเลยว่าเมื่อเปโตรมองไปที่พระเยซู เขาก็สามารถเดินบนน้ำได้ แต่เมื่อเขามองไปที่พายุ เขาเริ่มกลัวแล้วก็จมน้ำ (มธ. 14:24-31) เมื่อเปโตรก้าวเท้าออกจากเรือ เขาคงไม่คิดว่าตัวเองจะกลัวพายุและจมน้ำ เขาอยากจะเดินไปหาพระเยซูนายของเขา แต่เขาไม่ได้มองพระเยซูตลอด ทุกวันนี้แม้เราจะเดินบนน้ำไม่ได้ แต่เราก็ต้องเจอกับเรื่องที่ทดสอบความเชื่อเหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้มองไปที่พระยะโฮวาและคำสัญญาของพระองค์เสมอ เราก็จะจมอยู่กับความกังวล ดังนั้น ไม่ว่าเราจะเจอกับปัญหาหรือมรสุมชีวิตที่ใหญ่แค่ไหนก็ตาม เราต้องมองไปที่พระยะโฮวาเสมอและไว้ใจว่าพระองค์จะช่วยเราได้แน่นอน ห21.12 น. 17-18 ว. 6-7
วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม
ผมจะเข้ามาในวิหารของพระองค์ เพราะพระองค์มีความรักที่ยิ่งใหญ่และมั่นคง—สด. 5:7
การอธิษฐาน การศึกษาส่วนตัว และการคิดใคร่ครวญคือการนมัสการพระเจ้า ตอนที่เราอธิษฐาน เราได้คุยกับพระยะโฮวาพ่อที่รักเรามาก ตอนที่เราศึกษาส่วนตัว เรามีโอกาสได้เรียน “ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า” ซึ่งเป็นผู้ที่ฉลาดที่สุด (สภษ. 2:1-5) และตอนที่เราคิดใคร่ครวญเป็นตอนที่เราได้คิดว่าพระยะโฮวาดีขนาดไหน คิดถึงคุณลักษณะของพระองค์ และคิดว่าพระยะโฮวาทำสิ่งดี ๆ อะไรบ้างเพื่อเราและเพื่อมนุษย์ทุกคน การทำสิ่งเหล่านี้แหละเป็นการใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่สุด แล้วอะไรจะช่วยให้เราทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้แม้เราจะไม่ค่อยมีเวลา? ถ้าเป็นไปได้ ให้หาที่เงียบ ๆ เพื่อคิดใคร่ครวญ พระเยซูเป็นตัวอย่างที่ดีมากในเรื่องนี้ ก่อนที่ท่านจะเริ่มทำงานรับใช้บนโลก ท่านไปอยู่ในที่กันดาร 40 วัน (ลก. 4:1, 2) ที่นั่นเงียบสงบมากเลยทำให้พระเยซูสามารถอธิษฐานถึงพระยะโฮวาและคิดใคร่ครวญเหตุผลที่พระองค์ส่งท่านมาบนโลก นี่ช่วยเตรียมพระเยซูให้พร้อมที่จะเจอการทดสอบ ห22.01 น. 27-28 ว. 7-8
วันอังคารที่ 24 ตุลาคม
ถ้ามีที่ปรึกษาหลายคนแผนการจะสำเร็จ—สภษ. 15:22
อาจจะมีผู้ดูแลหรือพี่น้องมาบอกเราตรง ๆ ว่าเราต้องปรับปรุงตัวเอง ถ้ามีพี่น้องที่รักเราถึงขนาดที่กล้าให้คำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลกับเรา ก็ให้เราพยายามทำตามสิ่งที่เขาแนะนำ ที่จริง คำแนะนำตรง ๆ นี่แหละที่เรารับได้ยากและอาจทำให้เรารู้สึกโกรธด้วยซ้ำ เพราะถึงแม้ว่าเราจะยอมรับว่าเราเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ แต่เราก็อาจไม่ค่อยยอมรับคำแนะนำถ้ามีคนบอกว่าเราผิด (ปญจ. 7:9) เราอาจคิดเข้าข้างตัวเอง แก้ตัว หรือสงสัยว่าเขาไม่ชอบเราหรือเปล่า เราอาจไม่ชอบวิธีที่เขาแนะนำและอาจถึงขนาดคิดว่า ‘เขาก็ไม่ใช่ว่าจะดี แล้วมีสิทธิ์อะไรมาแนะนำฉัน’ และถ้าเราไม่ชอบคำแนะนำนั้น เราอาจไม่สนใจจะทำตาม และถึงกับไปหาคนอื่นเพื่อจะได้คำแนะนำที่ถูกใจเรา ห22.02 น. 8-9 ว. 2-4
วันพุธที่ 25 ตุลาคม
ถ้าพวกเจ้ามีใจที่สงบและวางใจเรา พวกเจ้าก็จะมีความเข้มแข็ง—อสย. 30:15
ในโลกใหม่เราจะถูกทดสอบอีกไหมว่าเราไว้ใจว่าทุกอย่างที่พระยะโฮวาทำถูกต้องเสมอ? ให้เราคิดถึงตัวอย่างของชาวอิสราเอลตอนที่พวกเขาออกจากอียิปต์ได้ไม่นาน หลายคนบ่นคิดถึงอาหารในอียิปต์และพูดดูถูกมานาที่พระยะโฮวาให้พวกเขา (กดว. 11:4-6; 21:5) เราจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกันไหมหลังจากอาร์มาเกดโดน? เราไม่รู้ว่าเราต้องทำงานเยอะแค่ไหนตอนที่เก็บกวาดซากปรักหักพังและช่วยกันทำให้ทั้งโลกเป็นสวนอุทยาน แต่เราจะมีงานเยอะแน่ ๆ และตอนแรกเราก็อาจจะลำบากบ้าง อะไร ๆ ก็อาจจะไม่สะดวกสำหรับเรา แต่เราจะบ่นไหม? ที่แน่ ๆ ก็คือ ถ้าเราเห็นค่าและขอบคุณสิ่งที่พระยะโฮวาให้เราตั้งแต่ตอนนี้ เราก็จะยิ่งเห็นค่าและขอบคุณสิ่งที่พระยะโฮวาให้เราตอนนั้นด้วย ห22.02 น. 7 ว. 18-19
วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม
คนจากทุกชาติทุกภาษามาจับชายเสื้อชาวยิวคนหนึ่งไว้แน่น และบอกว่า “พวกเราอยากไปกับคุณ”—ศคย. 8:23
คำพยากรณ์ในเศคาริยาห์ 8:23 คำว่า “ชาวยิว” และ “พวกคุณ” หมายถึงคนกลุ่มเดียวกัน คือพวกผู้ถูกเจิมที่ยังเหลืออยู่บนโลก (รม. 2:28, 29) ส่วน “10 คนจากทุกชาติทุกภาษา” หมายถึงแกะอื่น พวกเขา “จับชายเสื้อชาวยิวคนหนึ่งไว้แน่น” หมายความว่าแกะอื่นภักดีและมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับพวกผู้ถูกเจิม ทั้งสองกลุ่มนมัสการพระยะโฮวาร่วมกันอย่างเป็นหนึ่งเดียว เรื่องนี้ก็คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในคำพยากรณ์ที่เอเสเคียล 37:15-19, 24, 25 พระยะโฮวาทำให้ผู้ถูกเจิมและแกะอื่นเป็นหนึ่งเดียวกัน ในคำพยากรณ์นี้พูดถึงไม้สองท่อน ไม้ท่อนแรกเป็นไม้ “สำหรับยูดาห์” (ตระกูลที่มีกษัตริย์ปกครองชาติอิสราเอล) หมายถึงคนที่มีความหวังจะไปสวรรค์ ไม้ท่อนที่สองเป็นไม้ “ของเอฟราอิม” ซึ่งหมายถึงคนที่มีความหวังที่จะอยู่ตลอดไปบนโลก พระยะโฮวาเอาไม้สองท่อนนี้มารวมกันเป็น “ท่อนเดียว” ซึ่งหมายถึงคนสองกลุ่มนี้จะรับใช้อย่างเป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้การชี้นำของพระเยซูคริสต์—ยน. 10:16 ห22.01 น. 22 ว. 9-10
วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม
ระวัง อย่าทำดีเพื่ออวดคนอื่น—มธ. 6:1
พระเยซูพูดถึงคนที่ช่วยคนจนเพราะอยากให้คนอื่นเห็นและมายกย่องเขา ท่านบอกว่าคนที่ทำแบบนี้แทบไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาของพระยะโฮวา (มธ. 6:2-4) เราจะเป็นคนดีจริง ๆ ก็ต่อเมื่อเราทำดีโดยไม่หวังผลประโยชน์ ให้ลองถามตัวเองว่า ‘ฉันไม่ใช่แค่รู้ว่าอะไรถูก แต่ฉันลงมือทำด้วยไหม? และที่ฉันทำ ฉันทำเพราะอะไร?’ พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ไม่อยู่เฉย ๆ พระองค์ลงมือทำสิ่งต่าง ๆ พลังบริสุทธิ์ก็เป็นพลังที่พระเจ้าใช้ในการทำงาน ฉะนั้นเราเห็นว่าการลงมือทำสำคัญมาก (ปฐก. 1:2) ในเรื่องคุณลักษณะต่าง ๆ ที่เป็นส่วนของผลที่เกิดจากพลังของพระเจ้าก็เหมือนกัน เราต้องลงมือทำด้วย ตัวอย่างเช่น ยากอบพูดถึงความเชื่อว่า “ความเชื่อที่ไม่มีการกระทำก็ตายแล้ว” และสำหรับคุณลักษณะอื่น ๆ ถ้าไม่แสดงออกมาก็จะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน (ยก. 2:26) ยิ่งเราพยายามแสดงผลที่เกิดจากพลังของพระเจ้า พลังบริสุทธิ์ก็จะยิ่งช่วยเราให้มี “ลักษณะนิสัยใหม่” เสมอ ห22.03 น. 11-12 ว. 14-16
วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม
แต่ให้เป็นคนบริสุทธิ์ในการกระทำทุกอย่างเหมือนพระเจ้าองค์บริสุทธิ์ที่เรียกพวกคุณมา—1 ปต. 1:15
แม้ว่าเราจะนมัสการพระยะโฮวาเป็นประจำและทำดีกับคนอื่น เปโตรก็ยังกระตุ้นให้ทำอย่างหนึ่งที่สำคัญด้วย ก่อนที่เปโตรจะบอกให้เป็นคนบริสุทธิ์ เขาบอกว่า “พวกคุณต้องเตรียมจิตใจไว้ให้พร้อมที่จะทำงานหนัก” (1 ปต. 1:13) งานที่ว่าคืออะไร? เปโตรบอกกับพี่น้องของพระคริสต์ว่าพวกเขาต้อง “‘ป่าวประกาศคุณความดี’ ของพระองค์ที่เรียก” พวกเขา (1 ปต. 2:9) คริสเตียนทุกคนในทุกวันนี้ก็เหมือนกัน เรารู้สึกเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่ได้ประกาศและสอนผู้คนซึ่งถือว่าเป็นงานที่สำคัญที่สุด และเป็นงานที่ช่วยชีวิตคนอื่นมากกว่างานไหน ๆ (มก. 13:10) เมื่อเราพยายามทำอย่างนั้น นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเรารักพระเจ้าและรักคนอื่น และยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าเราอยาก “เป็นคนบริสุทธิ์ในการกระทำทุกอย่าง” ห21.12 น. 13 ว. 18
วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม
ใครที่พวกคุณให้อภัย ผมก็ให้อภัยด้วย—2 คร. 2:10
เปาโลมองพี่น้องในแง่บวกเสมอ เปาโลรู้ด้วยว่าการทำสิ่งที่ไม่ดีกับการเป็นคนไม่ดีไม่เหมือนกัน เปาโลรักพี่น้องและมองส่วนดีของพี่น้องเสมอ และถ้าพวกเขาทำผิดพลาด เปาโลก็จะมองว่าจริง ๆ แล้วพี่น้องคนนั้นตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่แค่ต้องมีใครสักคนช่วยเขาให้ทำได้ ให้เรามาดูตัวอย่างของเปาโลที่เขาช่วยยูโอเดียกับสินทิเคที่อยู่ในประชาคมเมืองฟีลิปปี (ฟป. 4:1-3) พี่น้องหญิงสองคนนี้มีปัญหากันแต่เปาโลก็ไม่ได้ว่าพวกเขาแรง ๆ หรือตัดสินว่าพวกเขาเป็นคนไม่ดี เปาโลพยายามมองที่ส่วนดีของพวกเขาว่าพวกเขาเป็นคนที่รับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์มาเป็นเวลานาน และเปาโลก็รู้ว่าพระยะโฮวารักเขาสองคนมาก เขาก็เลยพยายามช่วยให้สองคนคืนดีกัน เพราะเปาโลมองที่ส่วนดีของพี่น้องหญิงสองคนนี้ เขาเองเลยมีความสุขและสนิทกับพี่น้องในประชาคมนั้น ห22.03 น. 30 ว. 16-18
วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม
พระยะโฮวาอยู่ใกล้คนที่หัวใจแตกสลาย พระองค์คอยช่วยคนที่เศร้าเสียใจ—สด. 34:18
สันติสุขของพระเจ้าจะช่วยให้สงบใจและคิดออกว่าจะทำยังไงดี เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงกับพี่น้องหญิงชื่อลูส เธอเล่าว่า “หลายครั้งฉันรู้สึกโดดเดี่ยวตัวคนเดียว จนบางครั้งก็รู้สึกว่าพระยะโฮวาคงไม่รักฉันแล้ว พอฉันรู้สึกอย่างนั้น ฉันจะรีบอธิษฐานถึงพระยะโฮวาและเล่าให้พระองค์ฟังว่าฉันรู้สึกยังไง การอธิษฐานช่วยฉันได้มากจริง ๆ ค่ะ” ประสบการณ์ของพี่น้องหญิงคนนี้ทำให้เห็นว่าการอธิษฐานช่วยให้เราสงบใจได้จริง ๆ (ฟป. 4:6, 7) ถ้าคนที่เรารักตายจากไป เรามั่นใจว่าพระยะโฮวาและพระเยซูจะช่วยเราแน่นอน และพอเราเห็นพระยะโฮวาและพระเยซูเห็นอกเห็นใจผู้คน เราก็อยากเห็นอกเห็นใจคนอื่นด้วยตอนที่เราไปประกาศและสอนพวกเขา นอกจากนั้น เรายังได้กำลังใจด้วยที่รู้ว่าพระยะโฮวาและพระเยซูเข้าใจความอ่อนแอของเราและอยากจะช่วยเราให้อดทนได้ เรารอวันที่พระยะโฮวาจะ “เช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของพวก [เรา]”—วว. 21:4 ห22.01 น. 15 ว. 7; น. 19 ว. 19-20
วันอังคารที่ 31 ตุลาคม
ให้คุณเข้าไปทางประตูแคบ เพราะประตูที่เปิดกว้างและทางที่กว้างใหญ่นั้นนำไปถึงความพินาศ และมีคนมากมายเข้าไปทางนั้น—มธ. 7:13
พระเยซูพูดถึงประตู 2 บานที่แตกต่างกันซึ่งนำไปสู่ทาง 2 สายที่แตกต่างกันด้วย ทางหนึ่งคือ “ทางที่กว้างใหญ่” และอีกทางหนึ่งคือ “ทางแคบที่เดินลำบาก” (มธ. 7:14) เราต้องเลือกว่าจะเดินบนทางไหน ไม่มีทางอื่นนอกจากนี้ และเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดเพราะเราจะได้ชีวิตตลอดไปหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกของเรา “ทางที่กว้างใหญ่” เป็นทางที่คนชอบเดินเพราะมันเดินง่าย และน่าเสียดายที่หลายคนเลือกทางนี้และทำตามคนส่วนใหญ่ แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าซาตานอยากให้ผู้คนเดินบนทางเส้นนี้และปลายทางของมันคือความตาย (1 คร. 6:9, 10; 1 ยน. 5:19) ตรงกันข้ามกับ “ทางที่กว้างใหญ่” ก็คือ “ทางแคบที่เดินลำบาก” พระเยซูบอกว่ามีไม่กี่คนที่พบทางนี้ เพราะอะไร? ในข้อคัมภีร์ถัดไปพระเยซูเตือนสาวกของท่านให้ระวังผู้พยากรณ์เท็จ—มธ. 7:15 ห21.12 น. 22-23 ว. 3-5