กุมภาพันธ์
วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์
ให้พวกคุณรักกันเหมือนที่ผมรักพวกคุณ—ยน. 15:12
ข้อคัมภีร์ประจำวันนี้หมายความว่ายังไง? พระเยซูบอกต่อไปว่า พวกเขาต้องรักเพื่อนร่วมความเชื่อมากกว่ารักตัวเองจนถึงขนาดยอมตายแทนกันได้ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าความรักเป็นสิ่งสำคัญมาก หลายคนมีข้อคัมภีร์โปรด เช่น “พระเจ้าเป็นความรัก” (1 ยน. 4:8) “ให้รักคนอื่นเหมือนรักตัวเอง” (มธ. 22:39) “ความรักปิดคลุมบาปไว้มากมาย” (1 ปต. 4:8) “ความรักจะคงอยู่ตลอดไป” (1 คร. 13:8) ข้อคัมภีร์เหล่านี้และข้อคัมภีร์อื่น ๆ ทำให้เห็นชัดเลยว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องแสดงความรัก ความรักแท้มาจากพระยะโฮวา และเฉพาะคนที่มีพลังบริสุทธิ์จากพระองค์และได้รับพรจากพระองค์เท่านั้นถึงจะมีความรักแท้ต่อกันจริง ๆ (1 ยน. 4:7) นี่เลยเป็นเหตุผลที่พระเยซูบอกว่าความรักเป็นสิ่งที่ทำให้รู้ว่าใครคือคริสเตียนแท้ เหมือนที่พระเยซูบอกไว้ล่วงหน้า ผู้คนจะรู้ว่าใครเป็นคริสเตียนแท้ก็เพราะพวกเขารักกัน ห23.03 น. 27-28 ว. 5-8
วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์
บาปของคุณได้รับการอภัยแล้ว—ลก. 7:48
คุณรู้สึกว่าต้องให้อภัยคนอื่นมากขึ้นไหม? คุณอาจอ่านและคิดใคร่ครวญตัวอย่างในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับคนที่ให้อภัยและคนที่ไม่ให้อภัยคนอื่น ลองคิดถึงตัวอย่างของพระเยซู ท่านให้อภัยคนอื่นเสมอ ท่านมองข้ามข้อบกพร่องและมองหาสิ่งดี ๆ ในตัวพวกเขา (ลก. 7:47) ตรงกันข้ามกับพวกฟาริสีในสมัยของพระเยซู พวกเขา “ชอบดูถูกคนอื่น” (ลก. 18:9) เมื่อเราคิดถึงตัวอย่างเหล่านี้แล้ว ให้เราถามตัวเองว่า ‘เวลาฉันมองคนอื่น ฉันมองว่าเขาเป็นคนแบบไหน? ฉันมองที่ข้อเสียหรือมองที่นิสัยดี ๆ ของเขา?’ ถ้าคุณรู้สึกว่าให้อภัยบางคนได้ยาก ให้ลองเขียนออกมาให้มากที่สุดว่าคนนั้นมีคุณลักษณะและนิสัยที่ดีอะไรบ้าง แล้วถามตัวเองว่า ‘พระเยซูมองเขายังไง? ถ้าเป็นพระเยซู ท่านจะให้อภัยเขาไหม?’ การศึกษาตัวอย่างในคัมภีร์ไบเบิลและคิดใคร่ครวญแบบนี้จะช่วยปรับความคิดของเรา ตอนแรกก็อาจจะยากสักหน่อยที่เราจะให้อภัยคนที่ทำให้เราโกรธ แต่ถ้าเราฝึกต่อไปเรื่อย ๆ เราจะให้อภัยคนอื่นได้มากขึ้น ห22.04 น. 23 ว. 6
วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์
พระเยซูใช้ทูตสวรรค์ของท่านให้บอก . . . โดยใช้สัญลักษณ์—วว. 1:1
ในหนังสือวิวรณ์มีการใช้สัญลักษณ์เปรียบเทียบศัตรูของพระเจ้ากับสัตว์ร้ายหลายตัว เช่น “สัตว์ร้ายตัวหนึ่งขึ้นมาจากทะเล มันมีหัว 7 หัวกับเขา 10 เขา” (วว. 13:1) หลังจากนั้นก็มี “สัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่งขึ้นมาจากแผ่นดิน” มันพูดจาเหมือนพญานาคและ “ทำให้มีไฟตกจากฟ้าลงมาบนโลก” (วว. 13:11-13) แล้วก็มีสัตว์ร้ายตัวที่ 3 มันเป็น “สัตว์ร้ายสีแดงเข้ม” และมีผู้หญิงโสเภณีนั่งอยู่บนหลังมัน สัตว์ร้ายทั้ง 3 ตัวนี้หมายถึงศัตรูของพระยะโฮวาที่ต่อสู้กับพระองค์และรัฐบาลของพระองค์มาเป็นเวลานานแล้ว เลยเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราจะรู้ว่าพวกมันเป็นใคร (วว. 17:1, 3) เราต้องเข้าใจความหมายของ “สัญลักษณ์” ต่าง ๆ เหล่านั้น และวิธีที่จะช่วยเราได้ก็คือให้ข้อคัมภีร์อื่น ๆ อธิบายหนังสือวิวรณ์ ภาพเปรียบเทียบหลายอย่างในหนังสือเล่มนี้มีคำอธิบายอยู่ในหนังสือเล่มอื่น ๆ ในคัมภีร์ไบเบิล ห22.05 น. 8-9 ว. 3-4
วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์
ให้รักพระยะโฮวาพระเจ้าของคุณสุดหัวใจ—มธ. 22:37
เมื่อเราอายุมากหรือสุขภาพไม่ดีจนรับใช้พระเจ้าไม่ได้มากเหมือนเมื่อก่อน เราอาจรู้สึกรับได้ยาก ถ้าคุณรับใช้พระยะโฮวาไม่ได้มากเหมือนเมื่อก่อนและรู้สึกท้อ ให้ถามตัวเองว่า ‘พระยะโฮวาอยากได้อะไรจากฉัน?’ พระองค์อยากให้คุณทำดีที่สุดเท่าที่คุณทำได้ตอนนี้ ลองคิดถึงตัวอย่างนี้ พี่น้องหญิงที่อายุ 80 รู้สึกท้อใจที่รับใช้พระยะโฮวาไม่ได้มากเหมือนตอนอายุ 40 เธอคิดว่าถึงจะทำเต็มที่แค่ไหนก็ทำให้พระยะโฮวาพอใจไม่ได้หรอก แต่มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไหม? ลองคิดแบบนี้ ตอนที่เธออายุ 40 เธอก็ทำเต็มที่ พออายุ 80 เธอก็ทำเต็มที่เหมือนกัน ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่เธอก็รับใช้พระยะโฮวาอย่างเต็มที่สุดความสามารถตอนนั้น ถ้าเราทำเต็มที่สุดความสามารถ เราก็มั่นใจได้เลยว่าพระยะโฮวาจะบอกกับเราว่า “ดีมาก!” (เทียบกับมัทธิว 25:20-23) เราจะรับใช้อย่างมีความสุขถ้าเราสนใจสิ่งที่เราทำได้ไม่ใช่สิ่งที่เราทำไม่ได้ ห22.04 น. 10 ว. 2; น. 11 ว. 4-6
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์
ผมเห็นเมืองบริสุทธิ์ . . . คือเยรูซาเล็มใหม่—วว. 21:2
หนังสือวิวรณ์บท 21 เปรียบเทียบ 144,000 คนว่าเป็นเหมือนกับเมืองที่สวยงามที่เรียกว่า “เยรูซาเล็มใหม่” เมืองนั้น “มีหินฐานราก 12 ก้อน บนหินพวกนั้นมีชื่ออัครสาวก 12 คนของลูกแกะของพระเจ้าเขียนไว้” (วว. 21:10-14; อฟ. 2:20) เมืองนั้นไม่เหมือนเมืองไหนเลย ถนนสายหลักของเมืองนั้นเป็นทองคำบริสุทธิ์ ประตู 12 ประตูเป็นไข่มุก 12 เม็ด กำแพงเมืองกับฐานรากกำแพงประกอบด้วยเพชรพลอย และเมืองนั้นมีความกว้าง ความยาว และความสูงเท่ากันทุกด้านอย่างสมบูรณ์แบบ (วว. 21:15-21) แต่ยอห์นสังเกตว่าเมืองนั้นไม่มีอะไรบางอย่าง ยอห์นบอกว่า “ผมไม่เห็นว่ามีวิหารในเมืองนั้น เพราะพระยะโฮวาพระเจ้าผู้มีพลังอำนาจสูงสุดและลูกแกะของพระองค์เป็นวิหารของเมืองนั้น เมืองนั้นไม่ต้องใช้แสงจากดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ เพราะรัศมีของพระเจ้าทำให้เมืองสว่างไสว และลูกแกะของพระเจ้าเป็นตะเกียงของเมืองนั้น” (วว. 21:22, 23) 144,000 คนที่เป็นเยรูซาเล็มใหม่สามารถเข้าไปหาพระยะโฮวาได้โดยตรง—ฮบ. 7:27; วว. 22:3, 4 ห22.05 น. 17-18 ว. 14-15
วันอังคารที่ 6 กุมภาพันธ์
ขอให้ทนกันและกัน และให้อภัยกันอย่างใจกว้างต่อไป พวกคุณต้องเต็มใจให้อภัยกันเหมือนที่พระยะโฮวาเต็มใจให้อภัยคุณ—คส. 3:13
นอกจากพระยะโฮวาจะเป็นผู้สร้าง เป็นผู้ตั้งกฎหมาย และเป็นผู้พิพากษาแล้ว พระองค์ยังเป็นพ่อที่รักเราด้วย (สด. 100:3; อสย. 33:22) ถ้าเราทำบาปต่อพระองค์แล้วกลับใจจริง ๆ พระองค์ไม่ใช่แค่สามารถให้อภัยเราได้ แต่พระองค์อยากให้อภัยเราด้วย (สด. 86:5) พระยะโฮวาพูดผ่านทางผู้พยากรณ์อิสยาห์ซึ่งเป็นคำรับรองกับเราว่า “ถึงบาปของพวกเจ้าจะแดงก่ำ เราจะทำให้ขาวเหมือนหิมะ” (อสย. 1:18) เราทุกคนเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ เราเลยพูดหรือทำอะไรที่อาจทำให้คนอื่นโกรธ (ยก. 3:2) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะสนิทกันไม่ได้ ถ้าเราเรียนรู้ที่จะให้อภัยกันเราก็จะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข (สภษ. 17:9; 19:11; มธ. 18:21, 22) ถ้าเรามีเรื่องกระทบกระทั่งกันกับพี่น้องคนอื่นซึ่งเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พระยะโฮวาก็อยากให้เราให้อภัยกัน และเราควรทำแบบนั้นด้วยเพราะพระยะโฮวาก็ให้อภัยเรา “อย่างใจกว้าง”—อสย. 55:7 ห22.06 น. 8 ว. 1-2
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์
เลียนแบบคนที่ได้รับสิ่งที่พระเจ้าสัญญาเป็นรางวัลเพราะพวกเขามีความเชื่อและความอดทน—ฮบ. 6:12
ถึงเราจะไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น แต่เราก็ได้ประโยชน์จากการสังเกตตัวอย่างของผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ พระเยซูเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดที่เราควรจะเลียนแบบ ถึงพระเยซูจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ แต่เราก็เรียนได้จากตัวอย่างของท่านว่าท่านทำอะไรบ้างและมีคุณลักษณะที่ดีอะไรบ้าง (1 ปต. 2:21) ยิ่งเราพยายามสุดความสามารถที่จะเลียนแบบตัวอย่างของพระเยซู เราก็ยิ่งเป็นผู้รับใช้ที่ดีขึ้นของพระยะโฮวา ในคัมภีร์ไบเบิลมีตัวอย่างของผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าหลายคนทั้งผู้ชายและผู้หญิง ถึงพวกเขาจะเป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่เราก็สามารถเลียนแบบพวกเขาได้ อย่างเช่น ขอให้คิดถึงดาวิดที่พระยะโฮวาเรียกเขาว่าเป็น “คนที่เราพอใจ” (กจ. 13:22) ถึงดาวิดเคยทำผิดร้ายแรง แต่เขาก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเรา เพราะอะไร? เพราะดาวิดไม่ได้พยายามแก้ตัว แต่เขายอมรับคำแนะนำถึงจะเป็นคำแนะนำที่แรงมากก็ตาม และดาวิดก็เสียใจจริง ๆ กับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป นี่ทำให้พระยะโฮวาให้อภัยเขา—สด. 51:3, 4, 10-12 ห22.04 น. 13 ว. 11-12
วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์
มนุษย์ยอมสละได้ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด—โยบ 2:4
คัมภีร์ไบเบิลยอมรับว่าความตายเป็นศัตรู (1 คร. 15:25, 26) เราอาจรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเมื่อคิดถึงความตาย โดยเฉพาะตอนที่ตัวเราหรือคนที่เรารักป่วยหนัก ทำไมเราถึงกลัวตาย? ก็เพราะว่าพระยะโฮวาไม่ได้สร้างเราให้ตาย แต่สร้างเราให้มีชีวิตตลอดไป (ปญจ. 3:11) การกลัวตายก็เป็นประโยชน์ด้วย เพราะมันช่วยให้เรารู้จักเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ ไปหาหมอหรือกินยาเวลาเจ็บป่วย และไม่ทำอะไรที่เสี่ยงอันตราย ซาตานรู้ว่าเรารักชีวิต มันเลยอ้างว่าเรายอมสละทุกอย่างได้แม้แต่สัมพันธภาพของเรากับพระยะโฮวาเพื่อเราจะมีชีวิตอยู่ แต่ซาตานมันคิดผิดจริง ๆ (โยบ 2:5) แต่เนื่องจากมัน “สามารถทำให้คนตายได้” มันเลยพยายามใช้การกลัวตายเพื่อทำให้เราทิ้งพระยะโฮวา—ฮบ. 2:14, 15 ห22.06 น. 18 ว. 15-16
วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์
อย่าโกรธจนถึงดวงอาทิตย์ตก—อฟ. 4:26
ในช่วงที่ถูกสั่งห้าม เราอาจเจอกันได้แค่กลุ่มเล็ก ๆ ดังนั้นสิ่งสำคัญก็คือให้พี่น้องทุกคนรักกัน คนที่คุณต้องสู้ก็คือซาตาน ไม่ใช่มาสู้กันเอง ให้มองข้ามข้อผิดพลาดของพี่น้อง และถ้าคุณมีเรื่องไม่เข้าใจกันก็ให้รีบเคลียร์ (สภษ. 19:11) ให้พยายามเป็นฝ่ายริเริ่มที่จะช่วยเหลือกัน (ทต. 3:14) มีประสบการณ์หนึ่งที่พี่น้องในกลุ่มประกาศช่วยกันดูแลพี่น้องหญิงคนหนึ่ง และนั่นทำให้ทุกคนก็ได้รับประโยชน์ พี่น้องในกลุ่มการประกาศนั้นรักกันและสนิทกันมากขึ้นเหมือนเป็นครอบครัวจริง ๆ (สด. 133:1) พี่น้องของเราหลายแสนคนรับใช้พระยะโฮวาในประเทศที่รัฐบาลสั่งห้ามงานของพวกเรา บางคนต้องติดคุกเพราะความเชื่อ เราสามารถอธิษฐานเผื่อพวกเขาและเผื่อครอบครัวของพวกเขาได้ นอกจากนั้น มีพี่น้องหลายคนที่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยพี่น้องเหล่านั้นทั้งทางด้านความเชื่อ ร่างกาย และทางกฎหมาย เราก็อธิษฐานเผื่อพวกเขาได้ด้วย (คส. 4:3, 18) คำอธิษฐานของคุณมีพลังมากกว่าที่คุณคิด—2 ธส. 3:1, 2; 1 ทธ. 2:1, 2 ห22.12 น. 26-27 ว. 15-16
วันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์
เมื่อคุณสอนคนอื่น คุณไม่ได้สอนตัวเองด้วยหรือ?—รม. 2:21
ลูกมักจะเลียนแบบสิ่งที่พ่อแม่ทำ ก็จริงที่ไม่มีพ่อแม่คนไหนสมบูรณ์แบบ แต่พ่อแม่ที่ฉลาดจะพยายามสุดความสามารถที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก (รม. 3:23) พ่อคนหนึ่งพูดว่า “เด็ก ๆ ก็เป็นเหมือนกับฟองน้ำที่พร้อมจะซึมซับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเขา และถ้าเมื่อไหร่ที่เราไม่ได้ทำเหมือนกับที่เราสอน พวกเขาก็จะบอกเราทันที” ฉะนั้น ถ้าคุณอยากให้ลูกรักพระยะโฮวา คุณเองก็ต้องทำให้ลูกเห็นว่าคุณรักพระยะโฮวามาก มีหลายวิธีที่พ่อแม่จะสอนลูกให้รักพระยะโฮวา แอนดรูว์พี่น้องชายวัยรุ่นที่อายุ 17 บอกว่า “พ่อแม่พูดเสมอว่าการอธิษฐานสำคัญขนาดไหน พ่อจะอธิษฐานกับผมก่อนนอนทุกคืนแม้ว่าผมจะอธิษฐานเองไปแล้ว . . . ทุกวันนี้ผมเลยอธิษฐานถึงพระยะโฮวาได้อย่างสบายใจที่สุดและรู้สึกว่าพระองค์เป็นพ่อที่รักผมจริง ๆ” คุณที่เป็นพ่อแม่ ความรักที่คุณมีต่อพระยะโฮวาส่งผลกับลูกมากกว่าที่คุณคิด ห22.05 น. 28 ว. 7-8
วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์
ตอนนี้ การรับบัพติศมาช่วยพวกคุณให้รอด—1 ปต. 3:21
หนึ่งในสิ่งแรก ๆ ที่เราต้องทำเพื่อพร้อมจะรับบัพติศมาก็คือการกลับใจจริง ๆ (กจ. 2:37, 38) ถ้าคุณกลับใจจริง ๆ มันจะช่วยให้คุณเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริง ๆ คุณเลิกทำสิ่งที่พระยะโฮวาไม่ชอบแล้วหรือยัง เช่น การใช้ชีวิตแบบผิดศีลธรรม การสูบบุหรี่ หรือการพูดคำหยาบ? (1 คร. 6:9, 10; 2 คร. 7:1; อฟ. 4:29) ให้พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองต่อไป ลองคุยกับผู้นำการศึกษาของคุณหรือขอคำแนะนำจากผู้ดูแลในประชาคม ถ้าคุณยังเป็นเด็กหรือวัยรุ่นและยังอยู่กับพ่อแม่ ให้ขอพ่อแม่ช่วยคุณเลิกนิสัยที่ไม่ดีที่ทำให้คุณยังรับบัพติศมาไม่ได้ นอกจากนั้น เป็นเรื่องสำคัญด้วยที่คุณจะทำกิจกรรมของคริสเตียนเป็นประจำ เช่น เข้าร่วมการประชุมทุกครั้งและออกความเห็น (ฮบ. 10:24, 25) และเมื่อคุณมีคุณสมบัติจะไปประกาศตามบ้านได้ ให้คุณออกประกาศเป็นประจำสม่ำเสมอ ห23.03 น. 10-11 ว. 14-16
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์
พระยะโฮวาพระเจ้าพูดกับงูว่า “เพราะเจ้าทำอย่างนี้ เจ้าเลยต้องถูกสาปแช่ง”—ปฐก. 3:14
ปฐมกาล 3:14, 15 พูดถึง “งู” และ “ลูกหลาน” ของงู นี่ไม่ใช่งูจริง ๆ เพราะงูที่เป็นสัตว์ไม่เข้าใจสิ่งที่พระยะโฮวาพูดกับเอวาในสวนเอเดน ฉะนั้น มันต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา ถ้าอย่างนั้น มันหมายถึงใคร? ในวิวรณ์ 12:9 บอกชัดว่า “งูตัวแรกนั้น” คือมารซาตาน บางครั้ง คำว่า “ลูกหลาน” ในคัมภีร์ไบเบิลหมายถึงคนที่คิดและทำอะไรคล้าย ๆ กับอีกคนหนึ่งที่เป็นเหมือนพ่อของเขา ฉะนั้น ลูกหลานของงูจึงหมายถึงทูตสวรรค์และมนุษย์ที่ต่อต้านพระยะโฮวากับคนของพระองค์ นี่รวมถึงทูตสวรรค์ที่ทิ้งงานมอบหมายของตัวเองเพื่อลงมาบนโลกในสมัยของโนอาห์และคนชั่วที่ทำตัวเหมือนกับซาตานพ่อของพวกเขาด้วย—ปฐก. 6:1, 2; ยน. 8:44; 1 ยน. 5:19; ยด. 6 ห22.07 น. 14-15 ว. 4-5
วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์
มองให้ออกว่าอะไรสำคัญกว่า—ฟป. 1:10
เปาโลรักพี่น้องมาก ตัวเขาเองเคยเจอความยากลำบากมาก่อน เขาก็เลยเห็นอกเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกของพี่น้องที่เจอความยากลำบาก ครั้งหนึ่งเปาโลไม่มีเงิน เขาต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองและคนที่อยู่กับเขา (กจ. 20:34) เปาโลเป็นช่างทำเต็นท์ ตอนที่เขามาถึงเมืองโครินธ์ใหม่ ๆ เขาทำงานกับเพื่อนที่เป็นช่างทำเต็นท์เหมือนกันชื่ออะควิลลากับปริสสิลลา แต่ “ทุกวันสะบาโต” เขาจะประกาศกับชาวยิวและชาวกรีก แล้วพอสิลาสกับทิโมธีมาหาเขาที่เมืองโครินธ์ เขาก็ยิ่ง “ทุ่มเทเวลาในการประกาศคำสอนของพระเจ้า” (กจ. 18:2-5) เปาโลคิดอยู่เสมอว่าเป้าหมายในชีวิตของเขาก็คือการรับใช้พระยะโฮวา และเพราะเปาโลขยันรับใช้และทำงานหาเลี้ยงตัวเอง เขาก็เลยเป็นตัวอย่างที่ดีและสามารถให้คำแนะนำที่ให้กำลังใจพี่น้องได้ เขาเตือนพี่น้องว่าอย่าให้ความกดดันในชีวิตและความกังวลเรื่องการหาเลี้ยงครอบครัวมาทำให้ละเลยสิ่งที่ “สำคัญกว่า” ซึ่งก็คือการนมัสการพระเจ้า ห22.08 น. 20 ว. 3
วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์
จะต้องมีการประกาศข่าวดีกับคนทุกชาติ—มก. 13:10
พระเจ้าต้องการให้มีการประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระองค์ไปทั่วโลก (1 ทธ. 2:3, 4) งานนี้เป็นงานของพระยะโฮวาและพระองค์ถือว่านี่เป็นงานที่สำคัญมาก พระองค์เลยให้พระเยซูลูกที่พระองค์รักมากดูแลงานนี้ เรามั่นใจว่าเพราะพระเยซูชี้นำงานนี้อยู่ มันเลยต้องสำเร็จอย่างที่พระยะโฮวาต้องการแน่นอนก่อนที่จุดจบจะมาถึง (มธ. 24:14) เรารู้ได้ยังไง? ก่อนที่พระเยซูจะไปสวรรค์ ท่านได้เจอกับสาวกหลายคนบนภูเขาในแคว้นกาลิลี ท่านบอกพวกเขาว่า “พระเจ้ามอบอำนาจให้ผมปกครองทุกสิ่งในสวรรค์และบนโลกนี้แล้ว” และขอสังเกตสิ่งที่ท่านพูดกับพวกเขาในประโยคถัดไป ท่านบอกว่า “ดังนั้น ให้พวกคุณไปสอนคนทุกชาติให้เป็นสาวก” (มธ. 28:18, 19) เราเห็นเลยว่าอำนาจอย่างหนึ่งที่พระเยซูได้รับจากพระยะโฮวาก็คือการดูแลงานประกาศ และท่านยังคงดูแลงานนี้เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้จริง ๆ ห22.07 น. 8 ว. 1, 3; น. 9 ว. 4
วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์
จะมีเวลาที่ทุกคนซึ่งอยู่ในอุโมงค์ฝังศพจะได้ยินเสียงท่าน และจะออกมา คนที่ทำดีจะฟื้นขึ้นมาแล้วได้ชีวิต—ยน. 5:28, 29
คนที่ทำดีก่อนที่พวกเขาจะตายจะ “ฟื้นขึ้นมาแล้วได้ชีวิต” เพราะชื่อของพวกเขาอยู่ในหนังสือรายชื่อคนที่จะได้ชีวิตแล้ว นี่จึงหมายความว่า “คนที่ทำดี” ในยอห์น 5:29 กับ “คนดี” ในกิจการ 24:15 หมายถึงคนกลุ่มเดียวกัน ที่โรม 6:7 บอกว่า “คนที่ตายแล้วก็พ้นจากบาปของเขา” ก็จริงพอพวกเขาตาย บาปของพวกเขาจะถูกลบล้าง แต่ประวัติการรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพวกเขาจะอยู่ต่อไป เลยทำให้ชื่อของพวกเขายังอยู่ในหนังสือรายชื่อคนที่จะได้ชีวิตแม้พวกเขาจะตายไปแล้ว (ฮบ. 6:10) และพวกเขาต้องรักษาความซื่อสัตย์เพื่อที่ชื่อของพวกเขาจะยังอยู่ในหนังสือเล่มนี้ต่อ ๆ ไป ห22.09 น. 18 ว. 13, 15
วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์
ทุกสิ่งที่ [พระยะโฮวา] ทำก็ไว้ใจได้—สด. 33:4
ผู้พยากรณ์ดาเนียลเป็นตัวอย่างที่ดีมากของคนที่ไว้ใจได้ แม้เขาจะถูกจับเป็นเชลยที่บาบิโลน แต่ไม่นานเขาก็มีชื่อเสียงว่าเป็นคนไว้ใจได้ ตอนที่พระยะโฮวาช่วยเขาให้แปลความฝันของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์ของบาบิโลน ผู้คนก็ยิ่งไว้ใจเขามากขึ้น (ดนล. 4:20-22, 25) หลายปีผ่านไป ดาเนียลแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนไว้ใจได้อีกครั้งตอนที่เขาแปลข้อความลึกลับบนผนังวังในกรุงบาบิโลน (ดนล. 5:5, 25-29) ต่อมาในสมัยของกษัตริย์ดาริอัสชาวมีเดีย กษัตริย์กับพวกข้าราชการเห็นเลยว่าดาเนียล “มีปัญญาและความสามารถพิเศษ” พวกเขายอมรับว่าดาเนียล “เป็นคนซื่อสัตย์ ไม่เคยทุจริตหรือละเลยหน้าที่” (ดนล. 6:3, 4) เราควรถามตัวเองว่า ‘คนที่ไม่ใช่พยานฯมองว่าฉันเป็นคนที่มีความรับผิดชอบและไว้ใจได้ไหม?’ ถ้าเราเป็นคนไว้ใจได้ พระยะโฮวาจะได้รับการยกย่องสรรเสริญ ห22.09 น. 8-9 ว. 2-4
วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์
ให้พวกคุณเลียนแบบพระเจ้าอย่างลูกที่รักของพระองค์—อฟ. 5:1
ถ้าเราทำตามมาตรฐานของพระยะโฮวา เราจะได้ประโยชน์แน่นอน ลองนึกดูว่าถ้าแต่ละคนทำตามมาตรฐานของตัวเองจะเป็นยังไง เช่น ถ้าแต่ละธนาคารกำหนดค่าเงินขึ้นมาเอง หรือบริษัทก่อสร้างกำหนดหน่วยวัดของตัวเองขึ้นมา ทุกอย่างคงยุ่งวุ่นวายมาก หรือถ้าหมอและพยาบาลไม่ทำตามมาตรการดูแลผู้ป่วยก็คงมีหลายคนต้องตาย เราเห็นเลยว่ามาตรฐานที่เที่ยงตรงและไว้ใจได้ปกป้องเราจริง ๆ มาตรฐานของพระยะโฮวาที่บอกว่าอะไรถูกอะไรผิดก็ปกป้องเราเหมือนกัน พระยะโฮวาจะอวยพรทุกคนที่พยายามทำตามมาตรฐานของพระองค์ พระองค์สัญญากับคนที่ทำแบบนั้นว่า “คนดีจะได้อยู่ในโลก พวกเขาจะได้อยู่ในโลกตลอดไป” (สด. 37:29) ลองนึกภาพว่า ถ้าทุกคนทำตามมาตรฐานของพระยะโฮวา โลกจะสงบสุขและเราจะมีความสุขและเป็นหนึ่งเดียวกันมากแค่ไหน พระยะโฮวาอยากให้คุณมีชีวิตแบบนั้นแหละ ตอนนี้เราเห็นแล้วว่าเราทุกคนควรจะรักมาตรฐานของพระยะโฮวา ห22.08 น. 27-28 ว. 6-8
วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์
ขอให้มีสติในทุกสถานการณ์—2 ทธ. 4:5
ถ้ามีบางอย่างทำให้เรารู้สึกแย่หรือไม่สบายใจ นั่นอาจเป็นการทดสอบความภักดีของเราว่าเราจะยังไว้วางใจพระยะโฮวาและองค์การของพระองค์อยู่ไหม แล้วเราควรทำยังไง? เราต้องมีสติ ตื่นตัว และมีความเชื่อที่มั่นคง การมีสติหมายถึงมีใจสงบ พยายามคิดอย่างมีเหตุผล และมองเรื่องต่าง ๆ อย่างที่พระยะโฮวามอง ถ้าเราทำแบบนั้น เราจะควบคุมอารมณ์ได้ และอารมณ์ความรู้สึกจะไม่มีผลต่อความคิดของเรา ถ้าเรารู้สึกว่าพี่น้องพูดหรือทำไม่ดีกับเรา บางทีอาจเป็นผู้ดูแลด้วยซ้ำ จริง ๆ แล้วพวกเขาคงไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณเจ็บ (รม. 3:23; ยก. 3:2) แต่บางครั้งมันก็อาจทำให้คุณรู้สึกแย่มาก แล้วคุณก็อาจเริ่มสงสัยว่า ‘ถ้าพี่น้องทำกันแบบนี้ นี่จะใช่องค์การของพระเจ้าจริง ๆ ไหม?’ แต่คุณอย่าลืมว่าซาตานอยากให้เราคิดอย่างนี้แหละ เพราะความคิดอย่างนี้จะทำให้เราห่างจากพระยะโฮวาและไม่ไว้วางใจองค์การของพระองค์ (2 คร. 2:11) ถ้าเราเจอเรื่องแบบนี้ เราต้องไม่เก็บความโกรธไว้ ห22.11 น. 20 ว. 1, 3; น. 21 ว. 4
วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์
พระยะโฮวาพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระองค์เป็นความหวังของผม—สด. 71:5
พระยะโฮวาให้ความหวังที่เราจะมีชีวิตตลอดไป บางคนมีความหวังจะได้อยู่ตลอดไปในสวรรค์และมีร่างกายที่ไม่มีวันตาย (1 คร. 15:50, 53) แต่พวกเราส่วนใหญ่มีความหวังที่จะอยู่บนโลกตลอดไป มีสุขภาพที่ดีเยี่ยมสมบูรณ์แบบและมีความสุข (วว. 21:3, 4) ไม่ว่าเราจะมีความหวังที่จะอยู่ในสวรรค์หรือบนโลก ความหวังเป็นสิ่งที่มีค่าจริง ๆ สำหรับเรา เรามั่นใจในความหวังเกี่ยวกับอนาคตได้เพราะความหวังนี้มาจากพระยะโฮวา (รม. 15:13) เรารู้ว่าถ้าพระยะโฮวาสัญญาอะไร พระองค์จะทำให้มันเป็นจริงแน่นอน (กดว. 23:19) เรามั่นใจว่าพระยะโฮวาอยากทำให้สิ่งที่พระองค์สัญญาไว้เกิดขึ้นจริง และพระองค์ก็มีอำนาจที่จะทำได้ พระยะโฮวาพระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์รักเรามาก พระองค์อยากให้เราวางใจพระองค์ และเมื่อเราวางใจพระยะโฮวาและทำให้ความหวังของเราชัดเจนเสมอ เราก็จะอดทนกับความยากลำบากได้และพร้อมจะเผชิญกับอนาคตด้วยความกล้าหาญและมีความสุข ห22.10 น. 24 ว. 1-3
วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์
พวกเขาเป็นคนที่ชอบกบฏ . . . ไม่ยอมเชื่อฟังกฎหมายที่เรายะโฮวาให้ไว้—อสย. 30:9
ชาวอิสราเอลเหล่านี้ไม่ยอมฟังพระยะโฮวา อิสยาห์ก็เลยบอกล่วงหน้าว่าพระองค์จะยอมให้พวกเขาเจอหายนะ (อสย. 30:5, 17; ยรม. 25:8-11) แล้วพวกเขาก็เจอแบบนั้นจริง ๆ ตอนที่ถูกจับเป็นเชลยที่บาบิโลน ถึงอย่างนั้นก็ยังมีชาวอิสราเอลที่ยังซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาอยู่ อิสยาห์บอกว่าวันหนึ่งพระองค์จะให้พวกเขาได้กลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองที่กรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งพระองค์ก็รักษาสัญญาจริง ๆ (อสย. 30:18, 19) แต่พระองค์ก็ไม่ได้ช่วยให้พวกเขารอดทันที คำพูดของพระยะโฮวาที่บอกว่า “พระยะโฮวายังรอวันที่จะได้ช่วยพวกคุณ พระองค์จะเมตตาพวกคุณจริง ๆ” ทำให้รู้ว่าต้องผ่านไปหลายปีกว่าชาวอิสราเอลที่ซื่อสัตย์เหล่านี้จะถูกปล่อยจากการเป็นเชลย ที่จริงต้องใช้เวลาถึง 70 ปี กว่าที่พวกเขาจะได้กลับไปที่กรุงเยรูซาเล็ม (อสย. 10:21; ยรม. 29:10) และเมื่อพวกเขาได้กลับไปที่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง น้ำตาที่ไหลออกมากลายเป็นน้ำตาของความดีใจ ห22.11 น. 9 ว. 4
วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์
คนที่ถูกข่มเหงเพราะทำสิ่งที่ถูกต้องก็มีความสุข—มธ. 5:10-12
ตอนนี้ พี่น้องของเราในหลายประเทศกำลังเจอเหมือนที่พวกอัครสาวกเคยเจอตอนที่ถูกข่มเหงเพราะประกาศเรื่องพระเยซู มีหลายครั้งที่พวกผู้พิพากษาศาลสูงของชาวยิว “สั่งให้ [พวกเขา] เลิกพูดเกี่ยวกับพระเยซู หรือสอนในนามของท่าน” (กจ. 4:18-20; 5:27, 28, 40) แต่พวกเขารู้ว่าผู้ที่มีอำนาจสูงกว่าผู้พิพากษาเหล่านี้ ‘สั่งพวกเขาให้ประกาศกับผู้คนและเป็นพยานยืนยันให้รู้ทั่วกัน’ เกี่ยวกับพระคริสต์ (กจ. 10:42) ดังนั้น เปโตรกับยอห์นซึ่งเป็นตัวแทนของอัครสาวกจึงพูดอย่างกล้าหาญว่าพวกเขาต้องเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าเชื่อฟังผู้พิพากษาเหล่านั้น และยังบอกด้วยว่าพวกเขาจะไม่เลิกประกาศเรื่องพระเยซู (กจ. 5:29) หลังจากที่พวกอัครสาวกถูกเฆี่ยนเพราะซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า พวกเขาก็ออกไปจากศาลสูงของชาวยิว “ด้วยความดีใจ เพราะถือว่าที่พวกเขาโดนดูถูกเหยียดหยามเพราะชื่อของพระเยซูนั้นเป็นเกียรติอย่างสูง” แล้วพวกเขาก็ทำงานประกาศต่อไป—กจ. 5:41, 42 ห22.10 น. 12-13 ว. 2-4
วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์
เป็นเรื่องดีที่ผมเข้ามาใกล้พระเจ้า—สด. 73:28
ตอนเริ่มเรียนเกี่ยวกับพระยะโฮวา เราได้เรียนเรื่องง่าย ๆ ที่เป็นคำสอนพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิล ในจดหมายที่เปาโลเขียนถึงพี่น้องชาวฮีบรู เขาเรียกคำสอนเหล่านี้ว่า “เรื่องพื้นฐาน” แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่า “หลักคำสอนเบื้องต้น” เหล่านี้ไม่สำคัญ ที่จริง เขาเปรียบว่ามันเป็นเหมือนน้ำนมที่เด็กทารกต้องกิน (ฮบ. 5:12; 6:1) แล้วเปาโลก็กระตุ้นคริสเตียนทุกคนว่าไม่ควรพอใจแค่คำสอนพื้นฐานเท่านั้น แต่ให้อยากรู้ความจริงที่ลึกซึ้งในคัมภีร์ไบเบิลด้วย คุณอยากเรียนรู้คำสอนที่ลึกซึ้งในคัมภีร์ไบเบิลไหม? คุณอยากรู้มากขึ้นอีกเกี่ยวกับพระยะโฮวาและความประสงค์ของพระองค์ไหม? แต่พวกเราหลายคนอาจไม่ค่อยชอบเรียนชอบศึกษาค้นคว้า แล้วคุณล่ะ? สมัยที่คุณเรียนหนังสือ คุณเรียนจนอ่านได้คล่องและค้นคว้าเก่งไหม? คุณชอบเรียนหนังสือ และรู้สึกว่ายิ่งเรียนยิ่งสนุกและได้ประโยชน์ไหม? หรือคุณคิดว่าคุณอ่านหนังสือหรือเรียนหนังสือไม่เก่งไหม? ถ้าคุณรู้สึกอย่างนี้ก็ไม่ใช่คุณคนเดียว แต่คุณไม่ต้องกลัว พระยะโฮวาจะช่วยคุณ พระองค์เป็นครูที่เก่งและดีที่สุด ห23.03 น. 9-10 ว. 8-10
วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์
น้อมรับเมื่อพระเจ้าปลูกฝังคำสอนของพระองค์ไว้ในตัวคุณ เพราะคำสอนนั้นช่วยชีวิตคุณได้—ยก. 1:21
ถ้าเราอ่อนน้อมยอมฟังคำสอนของพระเจ้า เราก็จะให้คำสอนนั้นเปลี่ยนแปลงตัวเรา และถ้าเราอยากเป็นคนเมตตา เห็นอกเห็นใจ และมีความรักมากขึ้นอย่างที่คัมภีร์ไบเบิลบอก เราต้องไม่หยิ่งและไม่คิดว่าคำสอนนั้นมีไว้สำหรับคนอื่นเท่านั้น วิธีที่เราปฏิบัติต่อคนอื่นจะแสดงให้เห็นว่าเราให้คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนแปลงตัวเราหรือเปล่า พวกฟาริสีไม่ได้ให้คำสอนในพระคัมภีร์เปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขา พวกเขาก็เลย “กล่าวโทษคนที่ไม่มีความผิด” (มธ. 12:7) เหมือนกัน วิธีที่เรามองคนอื่นและปฏิบัติต่อคนอื่นจะทำให้เห็นว่าเราให้คำสอนในคัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนแปลงตัวเราไหม เช่น เรามักจะมองหาส่วนดีในตัวคนอื่นหรือเราชอบจับผิด? เราเป็นคนเมตตาและพร้อมจะให้อภัยไหม หรือเราเป็นคนชอบวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นและโกรธไม่หาย? การตรวจสอบตัวเองจะทำให้เห็นว่าเราให้สิ่งที่อ่านมีผลต่อความคิด ความรู้สึก และการกระทำของเราหรือเปล่า—1 ทธ. 4:12, 15; ฮบ. 4:12 ห23.02 น. 12 ว. 13-14
วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์
เรายะโฮวาพระเจ้าของเจ้ากำลังจับมือขวาของเจ้าไว้ และบอกว่า “ไม่ต้องกลัว เราจะช่วยเจ้า”—อสย. 41:13
ให้เรามาดูตัวอย่างของโยเซฟจากเมืองอาริมาเธีย เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงในชุมชนของชาวยิวเพราะเขาเป็นสมาชิกของศาลแซนเฮดรินซึ่งเป็นศาลสูงของชาวยิว แต่โยเซฟไม่ค่อยมีความกล้าเท่าไหร่ ยอห์นบอกว่า “โยเซฟคนนี้เป็นสาวกคนหนึ่งของพระเยซูที่ไม่เปิดเผยตัวเพราะกลัวพวกยิว” (ยน. 19:38) แม้โยเซฟจะสนใจข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า แต่เขาก็ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขามีความเชื่อในพระเยซู อาจเป็นไปได้ว่าเขากลัวว่าจะสูญเสียตำแหน่งและความนับหน้าถือตา แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าหลังจากที่พระเยซูตาย โยเซฟก็ “รวบรวมความกล้าและไปขอศพพระเยซูจากปีลาต” (มก. 15:42, 43) โยเซฟไม่ต้องปิดซ่อนเรื่องการเป็นสาวกของพระเยซูอีกแล้ว คุณเคยกลัวคนเหมือนที่โยเซฟกลัวไหม? ห23.01 น. 30 ว. 13-14
วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์
ประชาชนของท่านกับข้าราชสำนักที่คอยรับใช้ใกล้ชิดและได้ยินคำพูดที่ฉลาดหลักแหลมของท่านคงมีความสุขมากจริง ๆ—1 พก. 10:8
ข่าวเรื่องความสงบสุขและความรุ่งเรืองของชาติอิสราเอลที่อยู่ภายใต้การปกครองของโซโลมอนได้ยินถึงหูราชินีแห่งเชบา เธอเลยเดินทางไกลเพื่อมาดูด้วยตาตัวเอง (1 พก. 10:1) พอได้เห็นแล้ว เธอก็บอกอย่างที่เราอ่านในข้อคัมภีร์ประจำวันนี้ แต่ความสงบสุขในสมัยของโซโลมอนเป็นแค่ตัวอย่างของสิ่งที่พระยะโฮวาจะทำเพื่อมนุษย์ภายใต้การปกครองของพระเยซู พระเยซูเหนือกว่าโซโลมอนในทุกด้าน โซโลมอนเป็นแค่มนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบซึ่งทำผิดพลาดหลายครั้งและทำให้ทั้งชาติอิสราเอลเจอหายนะ ตรงกันข้ามกับพระเยซูซึ่งเป็นผู้ปกครองที่สมบูรณ์แบบและไม่เคยทำผิดเลย (ลก. 1:32; ฮบ. 4:14, 15) พระเยซูพิสูจน์ให้เห็นว่าท่านไม่เคยทำบาปหรือทำผิดอะไรที่จะนำความเสียหายมาสู่คนที่อยู่ภายใต้การปกครองของท่าน พระเยซูเป็นกษัตริย์ที่ดีที่สุดของเราจริง ๆ ห22.12 น. 11 ว. 9-10
วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์
ให้เชื่อฟังและยอมรับอำนาจคนที่นำหน้าในหมู่พวกคุณ เพราะพวกเขาคอยดูแลพวกคุณอยู่—ฮบ. 13:17
แล้วถ้ามีโรคระบาดเกิดขึ้นในเขตที่เราอยู่ล่ะ? เราควรเชื่อฟังมาตรการของรัฐบาล เช่น การล้างมือ การรักษาระยะห่าง การสวมหน้ากาก และการกักตัว ถ้าเราให้ความร่วมมือในการทำสิ่งเหล่านี้ก็แสดงว่าเราเห็นค่าชีวิตที่พระเจ้าให้กับเรา ในช่วงที่เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน บางทีเราอาจได้ยินข้อมูลที่ไม่ถูกต้องซึ่งส่งต่อ ๆ กันมาจากเพื่อน เพื่อนบ้าน หรือสื่อต่าง ๆ แทนที่เราจะเชื่อ “คำพูดทุกคำ” ให้เราฟังจากแหล่งที่น่าเชื่อถือที่สุดของรัฐบาลและหน่วยงานด้านสาธารณสุข (สภษ. 14:15) คณะกรรมการปกครองและสำนักงานสาขาต่าง ๆ พยายามสุดความสามารถที่จะหาข้อมูลที่ถูกต้องก่อนที่จะให้คำแนะนำกับพี่น้องเรื่องการประชุมและการประกาศ ถ้าเราให้ความร่วมมือกับองค์การ เราก็จะปกป้องตัวเองและคนอื่น ๆ ให้ปลอดภัยได้ และเรายังอาจสร้างชื่อเสียงที่ดีให้กับองค์การด้วย—1 ปต. 2:12 ห23.02 น. 23 ว. 11-12
วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์
ฟัง และได้เรียนรู้ที่จะเกรงกลัวพระยะโฮวาพระเจ้า—ฉธบ. 31:13
ตอนที่ชาวอิสราเอลเข้าไปในแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญา พวกเขากระจัดกระจายกันไปตามที่ต่าง ๆ ชาวอิสราเอลที่อยู่กันคนละพื้นที่ก็อาจไม่สนใจกัน พระยะโฮวาเลยจัดเตรียมให้ชาวอิสราเอลมาชุมนุมกันบางช่วงของปีเพื่อฟังการอ่านและอธิบายข้อบัญญัติของพระองค์ (ฉธบ. 31:10-12; นหม. 8:2, 8, 18) ลองคิดดูว่าชาวอิสราเอลจะรู้สึกยังไงตอนที่พวกเขาเดินทางเข้ามาในกรุงเยรูซาเล็ม และเห็นเพื่อนผู้นมัสการนับล้านจากทุกภูมิภาคของประเทศ นี่แหละเป็นวิธีที่พระยะโฮวาช่วยให้พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน ต่อมาในยุคคริสเตียน ประชาคมประกอบด้วยคริสเตียนทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่มีความหลากหลาย ต่างภาษา ต่างฐานะอาชีพ แต่พวกเขาก็นมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้อย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน คนที่เข้ามาเป็นคริสเตียนจะเข้าใจคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลได้ก็ต่อเมื่อมีคนสอนเขาและจากการที่เขามาประชุม—กจ. 2:42; 8:30, 31 ห23.02 น. 3 ว. 7
วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์
พวกเขาจะได้ชีวิตตลอดไป—ยน. 17:3
พระยะโฮวาสัญญาว่าคนที่เชื่อฟังพระองค์จะได้ “ชีวิตตลอดไป” (รม. 6:23) เมื่อเราคิดถึงคำสัญญานี้ เราก็ยิ่งรักพระองค์มากขึ้น ลองคิดดูสิว่าพระยะโฮวารักเรามากถึงกับไม่ยอมสูญเสียเราและไม่ยอมให้เราจากพระองค์ไป คำสัญญาของพระเจ้าเรื่องชีวิตตลอดไปช่วยให้เราอดทนกับความยากลำบากที่เรากำลังเจอตอนนี้ ถึงแม้ศัตรูขู่ว่าจะฆ่าเราแต่เราก็ไม่ยอมเลิกรับใช้พระยะโฮวา เพราะอะไร? เหตุผลหนึ่งก็คือเรารู้ว่าถ้าเราตายเพราะซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวา พระองค์จะปลุกเราให้ฟื้นขึ้นจากตาย และให้เรามีโอกาสที่จะมีชีวิตตลอดไป (ยน. 5:28, 29; 1 คร. 15:55-58; ฮบ. 2:15) เรารู้ว่าพระยะโฮวาทำให้เรามีชีวิตตลอดไปได้ เพราะพระองค์เป็นบ่อเกิดของชีวิตและพระองค์มีชีวิตตลอดไป (สด. 36:9) คัมภีร์ไบเบิลยืนยันว่าพระยะโฮวามีชีวิตอยู่ตลอดมาและจะอยู่ตลอดไปไม่มีวันตาย—สด. 90:2; 102:12, 24, 27 ห22.12 น. 2 ว. 1-3
วันพฤหัสบดีที่ 29 กุมภาพันธ์
จะมีอะไรมาขัดขวางพระคริสต์ไม่ให้รักเราได้หรือ? จะเป็นความยากลำบาก ความทุกข์ การข่มเหง . . . อย่างนั้นไหม?—รม. 8:35
เราเป็นคนของพระยะโฮวา เราเลยไม่แปลกใจที่ต้องเจอปัญหาหรือความทุกข์ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พวกเราจะได้เข้ารัฐบาลของพระเจ้าโดยผ่านความยากลำบากหลายอย่าง” (กจ. 14:22) นอกจากนั้น เรายังรู้ด้วยว่าปัญหาบางอย่างไม่มีทางแก้ไขได้จนกว่าจะถึงโลกใหม่ ตอนนั้น “ความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความโศกเศร้าหรือเสียงร้องไห้เสียใจหรือความเจ็บปวดจะไม่มีอีกเลย” (วว. 21:4) พระยะโฮวาไม่ได้ปกป้องเราไม่ให้เจอปัญหาหรือความทุกข์ แต่พระองค์ช่วยเราให้อดทนได้ ตอนที่อัครสาวกเปาโลเขียนจดหมายถึงพี่น้องในกรุงโรม เขาพูดถึงปัญหาและความยากลำบากหลายอย่างที่ตัวเขาเองกับพี่น้องต้องเจอ หลังจากนั้นเขาก็บอกว่า “เรา . . . ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดด้วยความช่วยเหลือจากผู้นั้นที่รักพวกเรา” (รม. 8:36, 37) นี่หมายความว่าพระยะโฮวาสามารถช่วยคุณให้ประสบผลสำเร็จได้ทั้ง ๆ ที่คุณกำลังเจอปัญหาอยู่ ห23.01 น. 14 ว. 1-2