กรกฎาคม
วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม
ให้คำพูด . . . ของคุณเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนที่ซื่อสัตย์—1 ทธ. 4:12
ความสามารถในการพูดเป็นของขวัญจากพระเจ้าที่รักเรา แต่ความสามารถนี้ก็ถูกนำไปใช้แบบผิด ๆ มารซาตานโกหกเอวาทำให้มนุษย์กลายเป็นคนบาปและไม่สมบูรณ์แบบ (ปฐก. 3:1-4) อาดัมก็ใช้ความสามารถในการพูดแบบผิด ๆ ด้วย เขาโทษเอวาที่ทำให้เขาต้องกินผลไม้ที่พระเจ้าห้าม และเขาถึงกับโทษพระเจ้าในเรื่องนี้ด้วย (ปฐก. 3:12) คาอินโกหกพระยะโฮวาหลังจากที่ฆ่าอาเบลน้องชายของเขา (ปฐก. 4:9) ทุกวันนี้แทบไม่มีหนังเรื่องไหนที่ไม่มีคำพูดสกปรกลามกเลย ส่วนนักเรียนก็ได้ยินคำพูดหยาบคายที่โรงเรียนจนเป็นเรื่องปกติ และคนในที่ทำงานก็พูดกันแบบนั้นด้วย ถ้าเราไม่ระวัง เราอาจชินกับคำพูดที่ไม่ดีและอาจพูดตามเขาไปด้วย แต่ถ้าเราอยากทำให้พระยะโฮวาพระเจ้าของเราพอใจ เราต้องไม่ใช่แค่ไม่พูดลามกหรือหยาบคายเท่านั้น แต่เราต้องใช้ความสามารถในการพูดซึ่งเป็นของขวัญจากพระเจ้าในทางที่ดีซึ่งก็คือยกย่องสรรเสริญพระเจ้า ห22.04 น. 4 ว. 1-3
วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม
คุณจะเป็นทั้งทาสพระเจ้าและทาสทรัพย์สมบัติด้วยไม่ได้—มธ. 6:24
พระเยซูมีความคิดที่ถูกต้องเรื่องทรัพย์สมบัติ ท่านมีความสุขที่ได้กินได้ดื่มอะไรดี ๆ (ลก. 19:2, 6, 7) ครั้งหนึ่งท่านเปลี่ยนน้ำเป็นไวน์ที่ดีที่สุดซึ่งเป็นการอัศจรรย์ครั้งแรกของท่าน (ยน. 2:10, 11) และวันที่พระเยซูตาย ท่านใส่เสื้อผ้าอย่างดีราคาแพงด้วย (ยน. 19:23, 24) แต่ท่านไม่ได้ให้ทรัพย์สมบัติเงินทองเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต พระเยซูสอนว่าถ้าเราให้การปกครองของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต พระยะโฮวาจะช่วยให้เราไม่ขาดสิ่งจำเป็นในชีวิตเลย (มธ. 6:31-33) หลายคนได้ประโยชน์เมื่อใช้คำแนะนำจากพระเจ้าในเรื่องทรัพย์สมบัติเงินทอง ตัวอย่างเช่น พี่น้องชายโสดที่ชื่อแดเนียลบอกว่า “ผมตัดสินใจตั้งแต่วัยรุ่นว่าจะให้งานรับใช้พระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต” แดเนียลใช้ชีวิตเรียบง่าย เขาเลยมีโอกาสใช้เวลาและความสามารถช่วยงานหลายอย่างในองค์การ เขาบอกอีกว่า “ต่อให้เอาเงินมากองเท่าไหร่ก็เทียบกันไม่ได้เลยกับพรที่พระยะโฮวาให้ผม” ห22.05 น. 21-22 ว. 6-7
วันพุธที่ 3 กรกฎาคม
[พระยะโฮวา] เรียกพวกคุณออกจากความมืดมาหาความสว่าง—1 ปต. 2:9
วิธีหนึ่งที่เราจะแสดงว่ารักความจริงก็คือโดยศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและหนังสือรวมทั้งสื่อต่าง ๆ ขององค์การเป็นประจำ ไม่ว่าเราจะเป็นพยานฯและอยู่ในความจริงมานานแค่ไหนแล้ว เรายังมีเรื่องที่ให้เรียนรู้ได้ไม่มีวันหมด การศึกษาเรียนรู้ความจริงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ มันต้องออกความพยายาม แต่มันก็คุ้มที่จะทำอย่างนั้น ไม่ใช่ทุกคนจะชอบอ่านและชอบศึกษา แต่พระยะโฮวาชวนเราให้ “หา” และ “ค้นหาต่อ ๆ ไป” เพื่อจะเข้าใจความจริงในคัมภีร์ไบเบิลลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ (สภษ. 2:4-6) ถ้าเราพยายามทำอย่างนั้น เราจะได้ประโยชน์แน่นอน พี่น้องที่ชื่อโครีย์เล่าว่าตอนที่เขาอ่านคัมภีร์ไบเบิล เขาจะสนใจข้อคัมภีร์ทีละข้อ เขาบอกว่า “ผมจะอ่านทุก ๆ เชิงอรรถ ค้นดูทุก ๆ ข้ออ้างโยง และค้นคว้าเพิ่มเติม . . . ผมได้รับประโยชน์มากจากการอ่านโดยวิธีนี้” ไม่ว่าเราจะใช้วิธีเดียวกันกับพี่น้องโครีย์หรือจะใช้วิธีอื่น ถ้าเราออกความพยายามและใช้เวลาเพื่อจะศึกษาค้นคว้าคัมภีร์ไบเบิล เราก็กำลังแสดงว่าเราเห็นค่าความจริง—สด. 1:1-3 ห22.08 น. 17 ว. 13; น. 18-19 ว. 15-16
วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม
เราเป็นนายช่างอยู่ข้างพระองค์แล้ว พระองค์รักเราทุกวัน เรามีความสุขที่ได้อยู่กับพระองค์ตลอดเวลา—สภษ. 8:30
ตอนที่พระเยซูลงมาเป็นมนุษย์บนโลก ท่านก็ใช้สิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติสอนสาวกเกี่ยวกับพระยะโฮวาพ่อของท่าน ให้เรามาดูตัวอย่างหนึ่งที่พระเยซูใช้ด้วยกัน พระยะโฮวารักมนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร ในคำบรรยายบนภูเขา พระเยซูสอนสาวกโดยใช้ตัวอย่างของดวงอาทิตย์และฝน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทั่วไปถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ทั้ง 2 อย่างนี้คือสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับทุกชีวิตบนโลก พระยะโฮวาอาจไม่ให้ดวงอาทิตย์และฝนกับมนุษย์ที่ไม่รับใช้พระองค์ก็ได้ แต่พระองค์ก็ยังให้ทุกคน (มธ. 5:43-45) พระเยซูเลยใช้เรื่องนี้สอนสาวกว่าพระยะโฮวาอยากให้เราแสดงความรักต่อทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร ตอนที่เราเห็นธรรมชาติที่สวยงาม เช่น ดวงอาทิตย์ตก หรือเห็นฝนโปรยปรายลงมาอย่างชุ่มฉ่ำ ให้เราคิดถึงความรักของพระยะโฮวาที่มีต่อมนุษย์ทุกคนโดยไม่ลำเอียง ตัวอย่างของพระองค์ทำให้เราอยากแสดงความรักแบบเดียวกันโดยประกาศกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร ห23.03 น. 17 ว. 9-10
วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม
ผมก็แปลกใจมาก—วว. 17:6
อะไรทำให้อัครสาวกยอห์นแปลกใจมาก? เขาเห็นผู้หญิงนั่งอยู่บนสัตว์ร้ายสีแดงเข้ม เธอเป็น “ผู้หญิงโสเภณีคนสำคัญ” ซึ่งถูกเรียกว่า “บาบิโลนใหญ่” เธอทำ “ผิดศีลธรรมทางเพศ” กับ “กษัตริย์ในโลก” (วว. 17:1-5) “บาบิโลนใหญ่” คือใคร? ผู้หญิงคนนี้จะหมายถึงองค์การทางการเมืองไม่ได้เพราะเธอทำผิดศีลธรรมทางเพศกับผู้นำทางการเมืองของโลก และเธอก็พยายามควบคุมพวกเขาเหมือนกับที่หนังสือวิวรณ์บอกว่าเธอนั่งบนพวกเขาซึ่งก็คือสัตว์ร้าย (วว. 18:9) และเธอจะหมายถึงองค์การทางการค้าของโลกซาตานก็ไม่ได้ด้วย เพราะหนังสือวิวรณ์ให้ภาพองค์การนี้ว่าเป็น “พวกพ่อค้าในโลก” (วว. 18:11, 15, 16) นอกจากนั้น เมืองบาบิโลนโบราณเป็นศูนย์กลางของการนมัสการเท็จ ดังนั้น บาบิโลนใหญ่จึงหมายถึงการนมัสการเท็จทุกรูปแบบและเป็นศาสนาเท็จทั้งหมดในโลก—วว. 17:5, 18 ห22.05 น. 11 ว. 14-16
วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม
มาร ศัตรูของคุณเหมือนสิงโตคำรามที่กำลังเดินไปเดินมาเสาะหาคนที่มันจะขย้ำกิน—1 ปต. 5:8
พี่น้องที่เป็นแม่อาจสงสัยว่าลูกโตมาจะรับใช้พระยะโฮวาหรือเปล่า พ่อแม่รู้ดีว่าลูกเจอความกดดันขนาดไหนในโลกของซาตาน พี่น้องหญิงหลายคนที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือสามีไม่ได้เป็นพยานฯก็ยิ่งรู้สึกว่ายากมากที่จะเลี้ยงลูกให้โตมารับใช้พระยะโฮวา การสอนลูกให้รักพระยะโฮวาไม่ใช่เรื่องยากแค่ในครอบครัวที่มีความเชื่อทางศาสนาต่างกันเท่านั้น แม้แต่ในครอบครัวที่พ่อกับแม่เป็นพยานฯด้วยกันทั้งคู่ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสอนลูกในแบบที่เข้าถึงหัวใจเพื่อจะช่วยเขาให้โตขึ้นมาเป็นผู้รับใช้พระเจ้า แต่คุณไม่ต้องกังวลมากเกินไปเพราะพระยะโฮวาจะช่วยคุณ คุณอาจขอไอเดียจากพ่อแม่ที่มีประสบการณ์ว่าพวกเขานำการนมัสการประจำครอบครัวกันยังไงบ้าง (สภษ. 11:14) นอกจากนั้น พระยะโฮวาจะช่วยคุณให้คุยกับลูกด้วย ให้คุณอธิษฐานขอพระองค์ให้ช่วยคุณใช้คำถามดี ๆ เพื่อจะเข้าใจว่าลูกคิดอะไรและรู้สึกยังไงจริง ๆ—สภษ. 20:5 ห22.04 น. 17 ว. 4, 7; น. 18 ว. 9
วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม
ผมเฝ้าอธิษฐานขอให้พวกคุณมีความรักมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับมีความรู้ที่ถูกต้องและความเข้าใจลึกซึ้ง—ฟป. 1:9
อีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้เรารักพระยะโฮวามากขึ้นก็คือการรู้จักพระเยซูมากขึ้น เพราะท่านเลียนแบบพระยะโฮวาได้อย่างสมบูรณ์แบบ (ฮบ. 1:3) และวิธีที่ดีที่สุดที่เราจะรู้จักพระเยซูมากขึ้นก็คือการอ่านหนังสือข่าวดีทั้ง 4 เล่ม ถ้าคุณยังไม่ได้มีนิสัยที่จะอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน ทำไมไม่ลองเริ่มวันนี้ดูล่ะ? เมื่อคุณอ่านเรื่องราวของพระเยซู ให้คุณสนใจที่คุณลักษณะของท่าน เช่น ท่านเป็นคนที่เข้าหาง่ายและใคร ๆ ก็ชอบเข้ามาคุยกับท่าน มีอยู่ครั้งหนึ่งพวกเด็ก ๆ ก็มาอยู่ใกล้ท่านและท่านก็กอดพวกเขา (มก. 10:13-16) นอกจากนั้น พระเยซูเป็นคนที่ใจดีมากและเป็นกันเอง พวกสาวกเลยไม่กลัวที่จะเล่าให้ท่านฟังว่าพวกเขารู้สึกยังไง (มธ. 16:22) เรารู้ว่าพระเยซูเป็นเหมือนพ่อของท่าน เราเลยมั่นใจว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่เข้าหาได้ง่ายด้วย เราสามารถอธิษฐานถึงพระองค์และระบายความรู้สึกของเราให้พระองค์ฟังได้ทุกเรื่อง และเราก็มั่นใจว่าพระยะโฮวาจะไม่ว่าอะไรเราแน่นอน เพราะพระองค์รักและเป็นห่วงเรา—1 ปต. 5:7 ห22.08 น. 3 ว. 4-5
วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม
พระยะโฮวา พระองค์ดีจริง ๆ และพร้อมจะให้อภัย—สด. 86:5
พระยะโฮวาเป็นผู้สร้างเรา พระองค์เลยรู้จักทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเรา คิดดูสิ พระยะโฮวารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับทุกคนบนโลก! (สด. 139:15-17) นี่เลยทำให้พระองค์เห็นความไม่สมบูรณ์แบบทุกอย่างที่เราได้รับจากพ่อแม่ นอกจากนั้น พระองค์ยังรู้ว่าชีวิตของเราผ่านอะไรมาบ้างที่ทำให้ตัวเราเป็นแบบนี้ การที่พระยะโฮวารู้จักมนุษย์ดีขนาดนี้ทำให้พระองค์อยากทำอะไร? พระองค์อยากเมตตาเรา (สด. 78:39; 103:13, 14) พระยะโฮวาทำให้เห็นชัดว่าพระองค์อยากให้อภัยเราจริง ๆ พระองค์รู้ว่าเพราะอาดัมทำบาป เราเลยกลายเป็นคนบาปและต้องตาย (รม. 5:12) ไม่ว่าเราจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม ไม่มีทางที่เราจะช่วยตัวเราเองหรือว่าช่วยคนอื่นให้พ้นจากบาปและความตายได้ (สด. 49:7-9) แต่พระยะโฮวารักและเห็นอกเห็นใจเรามาก พระองค์เลยทำบางอย่างเพื่อช่วยเรา ยอห์น 3:16 บอกว่าพระยะโฮวาส่งลูกชายคนเดียวมาตายแทนเราทุกคน เพื่อทุกคนที่แสดงความเชื่อในท่านจะพ้นจากบาปและความตาย—มธ. 20:28; รม. 5:19 ห22.06 น. 3 ว. 5-6
วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม
คนมีเมตตาจะได้สิ่งดีกลับมา—สภษ. 11:17
ถ้าเราให้อภัย พระยะโฮวาก็จะให้อภัยเรา เราเห็นเรื่องนี้ชัดเจนจากสิ่งที่พระองค์บอกให้โยบทำ โยบถูกเพื่อน 3 คนซึ่งก็คือ เอลีฟัส บิลดัด และโศฟาร์พูดไม่ดีใส่ซึ่งทำให้โยบเสียใจมาก แต่พระยะโฮวาบอกให้โยบอธิษฐานเพื่อพวกเขา พอโยบทำตาม พระองค์ก็อวยพรเขา (โยบ 42:8-10) ถ้าเราไม่ให้อภัย เราก็ทำร้ายตัวเอง ตอนที่เราโกรธใครไม่หาย เราจะรู้สึกเหมือนแบกอะไรหนัก ๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเราปล่อยวาง เราก็จะโล่งใจสบายใจ และพระยะโฮวาอยากให้เราเป็นอย่างนั้น (อฟ. 4:31, 32) พระองค์บอกว่า “อย่าโกรธและอย่าโมโห” (สด. 37:8) การทำตามคำแนะนำนี้ฉลาดจริง ๆ เพราะการโกรธไม่หายมีผลเสียกับทั้งร่างกายและจิตใจของเรา (สภษ. 14:30) การไม่ให้อภัยและโกรธไม่หายก็เหมือนกับการกินยาพิษ มันไม่มีผลอะไรกับคนที่เราโกรธเลย เราต่างหากที่ได้รับผลเสีย ในทางตรงกันข้าม การให้อภัยเป็นเหมือนการให้ของขวัญกับตัวเอง เราจะรู้สึกสบายใจและรับใช้พระยะโฮวาอย่างมีความสุขต่อไปได้ ห22.06 น. 10 ว. 9-10
วันพุธที่ 10 กรกฎาคม
เอาความเชื่อและความรักใส่เป็นเสื้อเกราะป้องกันอก และเอาความหวังเรื่องความรอดมาสวมเป็นหมวกเกราะ—1 ธส. 5:8
ความหวังเป็นเหมือนหมวกเกราะที่ช่วยป้องกันความคิดของเรา และทำให้เราไม่เลือกใช้ชีวิตแบบเห็นแก่ตัวซึ่งจะทำลายสายสัมพันธ์ที่เรามีกับพระยะโฮวา (1 คร. 15:33, 34) ความหวังของเราที่เป็นเหมือนหมวกเกราะป้องกันเราไม่ให้มีความคิดที่ว่าเราไม่มีทางทำให้พระยะโฮวาพอใจได้ ลองคิดถึงเอลีฟัสเพื่อนจอมปลอมของโยบ เขาก็พูดทำนองนี้กับโยบด้วย เขาบอกว่า “มนุษย์จะบริสุทธิ์ได้หรือ?” แถมเอลีฟัสยังพูดถึงพระเจ้าว่า “แม้แต่ทูตสวรรค์ พระองค์ยังไม่ไว้ใจ ขนาดสวรรค์พระองค์ก็มองว่าไม่บริสุทธิ์” (โยบ 15:14, 15) มันไม่จริงเลย! จำได้ไหมว่าใครอยู่เบื้องหลังความคิดแบบนี้? ซาตานใช่ไหม? มันรู้ว่าถ้ามันทำให้คุณคิดแบบนี้ได้ ความหวังของคุณจะเริ่มไม่ชัดเจน ดังนั้น อย่าไปฟังคำโกหกของมัน ให้คิดถึงคำสัญญาของพระยะโฮวาไว้เสมอ อย่าสงสัยเลยว่าพระยะโฮวาอยากให้คุณมีชีวิตตลอดไปหรือเปล่า พระองค์อยากแน่นอนและจะช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายนั้น—1 ทธ. 2:3, 4 ห22.10 น. 25-26 ว. 8-10
วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม
โยบก็ไม่ได้พูดอะไรที่ไม่ดีเลย—โยบ 2:10
ซาตานอยากให้โยบเชื่อว่าที่เขาเจอแบบนี้ก็เพราะพระยะโฮวาไม่พอใจเขา ตัวอย่างเช่น ซาตานใช้พายุพัดบ้านที่ลูก 10 คนของโยบกินเลี้ยงกันอยู่จนพังพินาศ (โยบ 1:18, 19) และมันยังให้มีไฟพุ่งลงมาจากสวรรค์มาเผาฝูงสัตว์ของโยบและคนเลี้ยงตายหมด (โยบ 1:16) พายุกับไฟนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โยบเลยคิดว่าพระยะโฮวาเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น โยบคิดว่าเขาต้องทำอะไรให้พระยะโฮวาโกรธแน่ ๆ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้แช่งด่าพระองค์ โยบบอกว่าพระเจ้าให้สิ่งดี ๆ กับเขามาหลายปี เขาคิดว่าถ้าเขารับสิ่งดี ๆ จากพระองค์มาได้ สิ่งไม่ดีจะรับไม่ได้เลยเหรอ โยบเลยบอกว่า “ขอให้ชื่อของพระยะโฮวาได้รับการสรรเสริญต่อ ๆ ไป”—โยบ 1:20, 21 ห22.06 น. 21 ว. 7
วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม
ทุกคนจะเกลียดชังคุณเพราะคุณเป็นสาวกของผม แต่คนที่อดทนจนถึงที่สุดจะได้รับการช่วยให้รอด—มก. 13:13
พระเยซูได้เตือนสาวกของท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้คล้าย ๆ กันที่ยอห์น 17:14 แล้วเราก็เห็นคำพยากรณ์นี้เป็นจริงโดยเฉพาะในช่วง 100 ปีหลัง ไม่นานหลังจากที่พระเยซูเป็นกษัตริย์ในปี 1914 ซาตานก็ถูกเหวี่ยงมาบนโลกและรอถูกทำลาย (วว. 12:9, 12) แต่มันไม่อยู่เฉย ๆ มันโกรธมากและพยายามโจมตีคนของพระยะโฮวา (วว. 12:13, 17) นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมคนในโลกของซาตานถึงเกลียดพวกเรามาก แต่เราไม่ต้องกลัวซาตานและพรรคพวกของมัน เรามั่นใจเหมือนเปาโลได้ว่า “ถ้าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา ใครจะต่อสู้เราได้?” (รม. 8:31) เรามั่นใจแบบนี้ได้แน่นอน ห22.07 น. 18 ว. 14-15
วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม
จะมีการประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าไปทั่วโลก—มธ. 24:14
พระเยซูไม่ได้เป็นห่วงว่าในสมัยสุดท้ายจะมีคนทำงานประกาศพอไหม เพราะท่านรู้ว่าคำพยากรณ์ในหนังสือสดุดีจะเกิดขึ้นจริงที่บอกว่า “ประชาชนของท่านจะเต็มใจเสนอตัวในวันที่ท่านนำทัพออกไปรบ” (สด. 110:3) ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการทำงานประกาศ คุณก็กำลังสนับสนุนพระเยซูและทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม และคุณกำลังมีส่วนช่วยให้คำพยากรณ์นี้เกิดขึ้นจริง งานนี้ก้าวหน้าไปอย่างดีแต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอะไร? อย่างแรกที่ทำให้งานประกาศไม่ใช่เรื่องง่ายก็คือการต่อต้าน พวกคนทรยศพระเจ้า ผู้นำศาสนา และนักการเมืองพยายามทำให้หลายคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับงานของเรา แล้วถ้าญาติของเรา คนรู้จัก หรือเพื่อนในที่ทำงานได้ยินข้อมูลผิด ๆ เหล่านั้น พวกเขาก็อาจจะกดดันเราให้เลิกรับใช้พระยะโฮวาและเลิกประกาศ ในบางประเทศการต่อต้านอาจมาในรูปแบบการข่มขู่ ใช้กำลัง หรืออาจถึงขั้นจับเราขังคุกด้วยซ้ำ ห22.07 น. 8 ว. 1; น. 9 ว. 5-6
วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม
พวกเราจะได้เข้ารัฐบาลของพระเจ้าโดยผ่านความยากลำบากหลายอย่าง—กจ. 14:22
พระยะโฮวาอยากให้เราจัดเวลาอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำและคิดใคร่ครวญ แล้วถ้าเราทำตามสิ่งที่เราอ่าน ความเชื่อของเราก็จะเข้มแข็งขึ้นและเราก็จะสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น ซึ่งนั่นจะช่วยให้เรามีกำลังมากขึ้นที่จะอดทนกับปัญหา นอกจากนั้น พระยะโฮวายังให้พลังบริสุทธิ์กับทุกคนที่ทำตามสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอก พลังบริสุทธิ์จะช่วยให้เรามี “กำลังที่มากกว่าปกติ” เพื่อจะอดทนได้ (2 คร. 4:7-10) พระยะโฮวาให้ “ทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม” เตรียมสื่อต่าง ๆ ให้กับเรามากมาย ทั้งบทความ วีดีโอ และเพลงที่ช่วยให้เรามีความเชื่อเข้มแข็งและสนิทกับพระองค์เสมอ (มธ. 24:45) พระยะโฮวาสอนให้คนของพระองค์รักกันและให้กำลังใจกันในช่วงที่ยากลำบากนี้ (2 คร. 1:3, 4; 1 ธส. 4:9) เมื่อเรามีปัญหาพี่น้องของเราก็เป็นห่วงเราและอยากช่วยเราให้ซื่อสัตย์กับพระยะโฮวาต่อ ๆ ไปได้ ห22.08 น. 12-13 ว. 12-14
วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม
พยายาม . . . ที่จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันด้วยพลังของพระเจ้า และมีสันติสุขที่ผูกพันคนเราให้เป็นหนึ่งเดียว—อฟ. 4:3
ถ้าเราพูดถึงส่วนดีของพี่น้อง มันจะทำให้พี่น้องในประชาคมจะสนิทกันและรักกันมากขึ้น บางครั้งแม้แต่คริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ก็อาจขัดแย้งและมีปัญหากัน อัครสาวกเปาโลกับบาร์นาบัสซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันก็เคยเป็นแบบนั้น ทั้งสองคนคิดไม่ตรงกันว่าจะเอามาระโกไปด้วยไหมในงานมิชชันนารี พวกเขา “ทะเลาะกัน” จนต้องแยกกันไปคนละทาง (กจ. 15:37-39) แต่ในที่สุด เปาโล บาร์นาบัส และมาระโกก็รักกันเหมือนเดิม และต่อมาเปาโลก็ยังพูดถึงบาร์นาบัสกับมาระโกในแง่ดีด้วย (1 คร. 9:6; คส. 4:10) ถ้าเราเองมีปัญหากับพี่น้อง เราต้องรีบคืนดีและมองที่ส่วนดีของพี่น้องเสมอ ถ้าเราทำแบบนั้นเราก็จะทำให้เกิดความสงบสุขและเป็นหนึ่งเดียวกัน ห22.08 น. 22-23 ว. 10-11
วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม
คุณต้องเลิกตัดสินคนอื่น พระเจ้าจะได้ไม่ตัดสินคุณ—มธ. 7:1
ตอนที่เราพยายามใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระองค์ เราต้องระวังที่จะไม่ตัดสินคนอื่นและคิดว่าตัวเองดีกว่าพวกเขา เราต้องจำไว้ว่าพระยะโฮวาเป็น “ผู้พิพากษาโลกทั้งสิ้น” (ปฐก. 18:25) พระองค์ไม่ได้ให้เรามีหน้าที่ตัดสินคนอื่น ให้เรามาดูตัวอย่างของโยเซฟ โยเซฟไม่ตัดสินใครแม้จะเป็นคนที่ทำไม่ดีกับเขา พวกพี่ ๆ เคยทำร้ายเขา ขายเขาเป็นทาส แถมยังไปหลอกพ่ออีกว่าเขาตายแล้ว หลายปีต่อมาโยเซฟได้กลับมาเจอครอบครัวอีก แถมเขายังมีตำแหน่งใหญ่โตในอียิปต์ด้วย เขาอาจจะถือโอกาสแก้แค้นพวกพี่ ๆ ก็ได้ ถึงแม้พวกพี่ ๆ จะขอโทษจากใจจริงแต่พวกเขาก็ยังกลัวมากว่าโยเซฟจะมาล้างแค้น แต่โยเซฟรับรองกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวเลยครับพี่ ผมไม่ใช่พระเจ้าจะได้มาลงโทษพวกพี่” (ปฐก. 37:18-20, 27, 28, 31-35; 50:15-21) โยเซฟถ่อมตัวและไม่ตัดสินใคร เขาฝากเรื่องนั้นไว้กับพระยะโฮวาจริง ๆ ห22.08 น. 30 ว. 18-19
วันพุธที่ 17 กรกฎาคม
อย่ากีดกันสิ่งดี ๆ ไว้จากคนที่สมควรได้รับ ในเมื่อลูกมีกำลังที่จะช่วยเขาได้—สภษ. 3:27
คุณรู้ไหมถ้ามีใครอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา พระองค์อาจจะใช้คุณเพื่อเป็นคำตอบให้คนนั้นก็ได้? ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ดูแล ผู้ช่วยงานรับใช้ ไพโอเนียร์ หรือผู้ประกาศ และไม่ว่าคุณจะเป็นเด็กหรือผู้สูงอายุ ผู้ชายหรือผู้หญิง พระองค์ก็ใช้คุณได้ พระยะโฮวาชอบใช้ผู้ดูแลและผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์คนอื่น ๆ เพื่อ “ให้กำลังใจ” คนที่ขอความช่วยเหลือ (คส. 4:11) ถ้าพระยะโฮวาใช้เราให้ทำแบบนั้น เราก็มีความสุขและรู้สึกเป็นสิทธิพิเศษที่ได้รับใช้พระองค์และรับใช้พี่น้อง และเราก็ทำแบบนั้นได้ด้วยในช่วงโรคระบาด และตอนที่พี่น้องต้องเจอภัยพิบัติหรือการข่มเหง ถึงจะเป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะช่วยพี่น้องแต่เราก็ยังอยากช่วยพวกเขา และพระยะโฮวาก็ดีใจที่เห็นเราพยายามทำมากที่สุดเท่าที่จะทำได้—สภษ. 19:17 ห22.12 น. 22 ว. 1-2
วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม
นี่เป็นคำสั่งของผม คือ ให้พวกคุณรักกันเหมือนที่ผมรักพวกคุณ—ยน. 15:12
ความรักเป็นพื้นฐานของความไว้ใจ พระเยซูบอกว่ากฎหมาย 2 ข้อที่สำคัญที่สุดคือรักพระยะโฮวาและรักคนอื่น (มธ. 22:37-39) เรารักพระยะโฮวา เราเลยอยากเลียนแบบพระองค์ที่ใคร ๆ ก็ไว้ใจพระองค์ได้เสมอ และเราก็รักพี่น้อง เราเลยอยากเก็บความลับของพวกเขาและไม่เล่าเรื่องส่วนตัวของพวกเขาให้คนอื่นฟัง เราไม่อยากทำร้ายพวกเขา และไม่อยากให้พวกเขาอายหรือรู้สึกเจ็บเพราะเรา นอกจากนั้น ความถ่อมช่วยให้เราเป็นคนไว้ใจได้ คนถ่อมจะไม่พยายามทำให้คนอื่นประทับใจว่าตัวเองเป็นคนแรกที่รู้เรื่องนั้นเรื่องนี้โดยเอาไปพูดกับคนอื่น (ฟป. 2:3) เขาจะไม่ทำให้พี่น้องเข้าใจว่าเขาเป็นคนสำคัญเพราะเขารู้ความลับบางอย่างที่ไม่ควรบอกใคร และถ้าเราเป็นคนถ่อม เราจะไม่พูดไปทั่วเกี่ยวกับเรื่องที่เราก็เดาเอาเองและไม่มีคำอธิบายในคัมภีร์ไบเบิลหรือหนังสือขององค์การ ห22.09 น. 12 ว. 12-13
วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม
ความรู้แท้จะมีอย่างมากมาย—ดนล. 12:4
ทูตสวรรค์บอกดาเนียลว่าผู้รับใช้ของพระยะโฮวาจะเข้าใจคำพยากรณ์ในหนังสือดาเนียลมากขึ้น แต่ “จะไม่มีคนชั่วสักคนเข้าใจเรื่องนี้” (ดนล. 12:10) ตอนนี้เป็นเวลาที่เราทุกคนต้องพิสูจน์ว่าเราไม่อยู่ในกลุ่มของคนชั่วพวกนั้น (มลค. 3:16-18) พระยะโฮวากำลังรวบรวม “ชนชาติพิเศษ” ซึ่งก็คือคนที่พระองค์ถือว่ามีค่ามาก เราอยากอยู่ในกลุ่มนี้แน่ ๆ เรากำลังมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นจริง ๆ แต่อีกไม่นานจะมีเหตุการณ์หลายอย่างที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่านี้อีก เราจะได้เห็นความชั่วถูกทำลายจนหมดสิ้น ต่อจากนั้น เราจะได้เห็นคำสัญญาที่พระยะโฮวาบอกกับดาเนียลเกิดขึ้นจริงที่ว่า “คุณจะลุกขึ้นมารับส่วนแบ่งของคุณเมื่อถึงเวลา” (ดนล. 12:13) คุณอยากเห็นวันที่ดาเนียลกับคนที่คุณรักซึ่งตายไปแล้ว “ลุกขึ้นมา” อีกครั้งหนึ่งไหม? ถ้าใช่ ก็ขอให้คุณซื่อสัตย์จนถึงที่สุด แล้วคุณก็จะมั่นใจได้ว่าชื่อของคุณจะยังอยู่ในหนังสือรายชื่อคนที่จะได้ชีวิตแน่นอน ห22.09 น. 24 ว. 17; น. 25 ว. 19-20
วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม
เราจะส่งเจ้าไป—อสค. 2:3
คำพูดนี้ต้องทำให้เอเสเคียลได้กำลังใจแน่ ๆ เพราะอะไร? เอเสเคียลคงคิดถึงคำพูดของพระยะโฮวาคล้าย ๆ กันนี้ตอนที่พระองค์ส่งโมเสสกับอิสยาห์ไปเป็นผู้พยากรณ์ (อพย. 3:10; อสย. 6:8) เอเสเคียลยังรู้ด้วยว่าพระยะโฮวาช่วยผู้พยากรณ์ 2 คนนี้ยังไงให้เอาชนะความยากลำบากตอนที่พวกเขาทำงานรับใช้ ดังนั้น ตอนที่พระยะโฮวาบอกกับเอเสเคียล 2 ครั้งว่า “เราจะส่งเจ้าไป” เขาต้องมั่นใจแน่ ๆ ว่าพระองค์จะช่วยเขา นอกจากนั้น ในหนังสือเอเสเคียลเรายังได้เจอประโยคเหล่านี้หลายครั้งที่บอกว่า “พระยะโฮวาส่งข่าวมาถึงผม” และ “พระยะโฮวาส่งข่าวมาถึงผมอีก” (อสค. 3:16; 6:1) การที่พระยะโฮวาส่งข่าวไปถึงเอเสเคียลหลายครั้งแบบนี้ทำให้เขามั่นใจว่าพระองค์เป็นผู้ที่ส่งเขาไปทำงานมอบหมายและพระองค์จะช่วยเขาแน่นอน และเนื่องจากเอเสเคียลเป็นลูกของปุโรหิต พ่อของเขาคงต้องสอนเขาว่าพระยะโฮวาบอกกับผู้พยากรณ์และผู้รับใช้ของพระองค์เสมอว่าพระองค์จะช่วยพวกเขา เช่น พระองค์พูดแบบนี้กับอิสอัค ยาโคบ และเยเรมีย์ว่า “เราอยู่กับเจ้า”—ปฐก. 26:24; 28:15; ยรม. 1:8 ห22.11 น. 2 ว. 3
วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม
พวกเขาจะได้ชีวิตตลอดไป—ยน. 17:3
ถึงอาดัมกับเอวาจะทำบาปและทำให้ลูกหลานของพวกเขาทุกคนต้องตาย แต่ความตั้งใจของพระยะโฮวาก็ยังเป็นเหมือนเดิม (อสย. 55:11) พระองค์ยังอยากให้คนที่ซื่อสัตย์มีชีวิตตลอดไป ให้เรามาดูสิ่งที่พระองค์เคยบอกไว้และสิ่งที่พระองค์ได้ทำไปแล้ว พระยะโฮวาสัญญาว่าพระองค์จะปลุกคนตายให้ฟื้นขึ้นมาและให้พวกเขามีชีวิตตลอดไป (กจ. 24:15; ทต. 1:1, 2) ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้ามั่นใจว่าพระองค์อยากปลุกคนที่ตายแล้วให้ฟื้นขึ้นมา (โยบ 14:14, 15) ผู้พยากรณ์ดาเนียลรู้ว่ามนุษย์จะฟื้นขึ้นจากตายและมีชีวิตตลอดไป (สด. 37:29; ดนล. 12:2, 13) ชาวยิวในสมัยของพระเยซูก็รู้ด้วยว่าพระยะโฮวาจะให้ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ “ได้ชีวิตตลอดไป” (ลก. 10:25; 18:18) พระเยซูเองก็พูดถึงคำสัญญานี้หลายครั้ง และพระยะโฮวาพ่อของท่านก็ปลุกท่านให้ฟื้นขึ้นจากตายด้วย—มธ. 19:29; 22:31, 32; ลก. 18:30; ยน. 11:25 ห22.12 น. 4-5 ว. 8-9
วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม
พระยะโฮวา ผมวางใจพระองค์—สด. 31:14
พระยะโฮวาชวนเราให้เข้าไปใกล้ชิดและสนิทกับพระองค์ (ยก. 4:8) พระองค์อยากเป็นพระเจ้าของเรา พ่อของเรา และเพื่อนของเราด้วย พระยะโฮวาตอบคำอธิษฐานของเราและช่วยเราเสมอเมื่อเรามีปัญหา นอกจากนั้น พระองค์ยังใช้องค์การของพระองค์เพื่อสอนและปกป้องเรา เราจะใกล้ชิดและสนิทกับพระยะโฮวาได้ถ้าเราอธิษฐานถึงพระองค์ อ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำและคิดใคร่ครวญ ถ้าเราทำอย่างนั้น เราก็จะรักพระองค์มาก และรู้สึกขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่พระองค์ทำให้กับเรา เราจะอยากเชื่อฟังพระองค์และสรรเสริญพระองค์ด้วย (วว. 4:11) ยิ่งเรารู้จักพระยะโฮวามากขึ้น เราก็จะยิ่งไว้วางใจพระองค์และองค์การของพระองค์มากขึ้นด้วย ซาตานพยายามทำให้เราไม่ไว้วางใจพระยะโฮวาและองค์การของพระองค์ทีละเล็กทีละน้อย แต่เราต้องไม่หลงกลมัน ถ้าเรามีความเชื่อเข้มแข็ง มั่นใจในพระยะโฮวา และไว้วางใจพระองค์เต็มร้อย เราก็จะไม่มีทางทิ้งพระองค์และองค์การของพระองค์แน่นอน—สด. 31:13, 14 ห22.11 น. 14 ว. 1-3
วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม
พวกเขา . . . ยอมตายดีกว่าที่จะนับถือหรือกราบไหว้เทพเจ้าองค์อื่น นอกจากพระเจ้าของพวกเขา—ดนล. 3:28
คริสเตียนแท้มากมายหลายคนยอมติดคุกและยอมตายเพราะพวกเขารักพระยะโฮวาและยอมรับว่าพระองค์เป็นผู้ปกครองที่มีอำนาจสูงสุด พวกเขาซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาเป็นเหมือนชายชาวฮีบรู 3 คนที่ยอมถูกโยนลงเตาไฟที่ร้อนแรงเพราะตั้งใจที่จะซื่อสัตย์ต่อพระผู้สูงสุด ดาวิดพูดถึงความสำคัญของการซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาว่า “พระยะโฮวาจะพิพากษาชนชาติต่าง ๆ พระยะโฮวา โปรดตัดสินผมโดยดูที่ความดีของผม และความซื่อสัตย์ที่ผมมีต่อพระองค์” (สด. 7:8) แล้วเขายังบอกอีกว่า “ขอให้ความซื่อสัตย์และความซื่อตรงคุ้มครองผม” (สด. 25:21) สิ่งที่ดีที่สุดที่เราควรทำก็คือซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาและภักดีต่อพระองค์เสมอ ถ้าเราทำอย่างนี้ เราจะเป็นเหมือนที่ผู้เขียนหนังสือสดุดีบอกไว้ว่า “คนที่ใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าก็มีความสุข คือคนที่ทำตามกฎหมายของพระยะโฮวา”—สด. 119:1, เชิงอรรถ ห22.10 น. 17 ว. 18-19
วันพุธที่ 24 กรกฎาคม
พระเจ้าเป็นผู้ที่มนุษย์มองไม่เห็น แต่เมื่อมนุษย์สังเกตสิ่งที่พระองค์สร้างไว้ ก็จะเห็นคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์—รม. 1:20
ตลอดชีวิตของโยบ เขาคงมีโอกาสได้คุยกับผู้คนมากมาย แต่เขาคงไม่มีวันลืมการคุยกันครั้งหนึ่งซึ่งเป็นครั้งที่พิเศษที่สุด คือตอนที่เขาได้คุยกับพระยะโฮวา พระยะโฮวาบอกให้โยบดูสิ่งที่พระองค์สร้างบางอย่างที่น่ามหัศจรรย์มากเพื่อให้โยบรู้ว่าพระองค์มีสติปัญญาขนาดไหน และเพื่อทำให้โยบมั่นใจว่าพระองค์จะดูแลคนของพระองค์ได้ เช่น พระยะโฮวาบอกให้โยบรู้ว่าพระองค์ดูแลสัตว์ต่าง ๆ ยังไง และพระองค์ก็จะดูแลเขาได้เหมือนกัน (โยบ 38:39-41; 39:1, 5, 13-16) พอโยบได้คิดถึงสิ่งที่พระองค์สร้าง เขาก็ได้เรียนรู้คุณลักษณะต่าง ๆ ที่ยอดเยี่ยมของพระยะโฮวา เราเองเรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาได้เมื่อเราสังเกตสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์สร้าง แต่เราอาจรู้สึกว่าการทำแบบนี้ไม่ง่าย ถ้าเราอยู่ในเมืองใหญ่ เราคงแทบไม่เห็นธรรมชาติที่สวยงามเท่าไหร่ และถึงแม้เราอยู่ในชนบท เราก็อาจไม่มีเวลาที่จะคิดถึงมัน แต่เป็นเรื่องดีที่เราจะใช้เวลาและพยายามสังเกตสิ่งต่าง ๆ ที่พระยะโฮวาสร้าง ห23.03 น. 15 ว. 1-2
วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม
คนฉลาดมองเห็นอันตรายแล้วหนีไปซ่อนตัว—สภษ. 22:3
พระเยซูบอกว่าจะเกิด “แผ่นดินไหวใหญ่” ในที่ต่าง ๆ และจะมีภัยพิบัติหลายอย่างก่อนที่จุดจบมาถึง (ลก. 21:11) ท่านยังบอกด้วยว่า “ความชั่วจะเพิ่มขึ้น” และเราก็เห็นแบบนั้น ในทุกวันนี้อาชญากรรม ความรุนแรง และการก่อการร้ายมีเพิ่มขึ้นมากจริง ๆ (มธ. 24:12) พระเยซูไม่เคยบอกว่าที่เราต้องเจอภัยพิบัติก็เพราะพระยะโฮวาไม่สนใจเรา จริง ๆ แล้วผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์หลายคนเจอภัยพิบัติหรือเหตุการณ์แย่ ๆ มาแล้ว (อสย. 57:1; 2 คร. 11:25) ถ้าเราต้องเจอภัยพิบัติ พระยะโฮวาอาจไม่ปกป้องเราโดยการอัศจรรย์ แต่พระองค์จะให้ทุกอย่างที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อจะสงบใจได้ ถ้าเราวางแผนล่วงหน้าว่าจะทำยังไงตอนที่เกิดภัยพิบัติ เราก็จะรับมือได้ง่ายกว่า แต่การทำอย่างนั้นหมายความว่าเราขาดความเชื่อไหม? ไม่ใช่ การที่เราเตรียมตัวไว้ก่อนแสดงว่าเรามีความเชื่อและมั่นใจว่าพระยะโฮวาสามารถดูแลเราได้ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? คัมภีร์ไบเบิลแนะนำให้เราเตรียมรับมือกับภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้น ห22.12 น. 18 ว. 9-10
วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม
พระเจ้าส่งผมมาก่อน จะได้ช่วยชีวิตผู้คนไว้—ปฐก. 45:5
ตอนที่โยเซฟยังอยู่ในคุก พระยะโฮวาให้ฟาโรห์ฝัน 2 เรื่อง พอเขารู้ว่าโยเซฟช่วยได้ เขาก็ส่งคนไปเรียกโยเซฟออกมาจากคุกทันที และพระยะโฮวาก็ช่วยให้โยเซฟบอกความหมายของความฝันนั้นได้ แถมยังให้คำแนะนำที่ดีกับฟาโรห์ด้วย เนื่องจากฟาโรห์เห็นว่าพระยะโฮวาอยู่กับโยเซฟ เขาก็เลยแต่งตั้งโยเซฟให้บริหารจัดการเรื่องอาหารในประเทศอียิปต์ทั้งหมด (ปฐก. 41:38, 41-44) ต่อมา การขาดแคลนอาหารรุนแรงขึ้น จนไม่ใช่แค่คนในอียิปต์เท่านั้นที่เดือดร้อนแต่มันลุกลามไปถึงแผ่นดินคานาอันซึ่งเป็นที่ที่ครอบครัวของโยเซฟอาศัยอยู่ นี่ก็เลยทำให้โยเซฟมีโอกาสได้ช่วยชีวิตคนในครอบครัวของเขาซึ่งเป็นการปกป้องเชื้อสายที่เมสสิยาห์จะมาเกิด เห็นได้ชัดเลยว่าพระยะโฮวานั่นแหละที่ทำให้ทุกอย่างที่โยเซฟทำประสบผลสำเร็จ พระยะโฮวาทำให้แผนร้ายของพวกพี่ชายกลับกลายเป็นผลดี และทำให้ความประสงค์ของพระองค์เป็นจริง ห23.01 น. 17 ว. 11-12
วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม
ระวังตัวให้ดี—ลก. 21:34
คนที่ระวังตัวจะคอยดูว่ามีอันตรายอะไรบ้างที่อาจทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับพระยะโฮวามีปัญหาและจะไม่ทำสิ่งนั้น เขาเลยเป็นที่รักของพระเจ้าเสมอ (สภษ. 22:3; ยด. 20, 21) อัครสาวกเปาโลบอกคริสเตียนให้คอยระวังด้วย เช่น เขาบอกพี่น้องในเมืองเอเฟซัสว่า “คอยระวังไว้ให้ดี อย่าใช้ชีวิตเหมือนคนโง่ แต่ให้ใช้ชีวิตเหมือนคนฉลาด” (อฟ. 5:15, 16) ซาตานพยายามไม่หยุดที่จะทำลายสายสัมพันธ์ที่เรามีกับพระยะโฮวา คัมภีร์ไบเบิลเลยเตือนเราว่า “ให้พยายามเข้าใจว่าพระยะโฮวาต้องการอะไร” ถ้าเราทำอย่างนั้น เราก็จะรับมือกับการโจมตีของซาตานได้ทุกรูปแบบ (อฟ. 5:17) เพื่อที่เราจะตัดสินใจอย่างฉลาด เราเลยต้องพยายามเข้าใจว่า “พระยะโฮวาต้องการอะไร” เราทำแบบนั้นได้โดยอ่านและค้นคว้าคัมภีร์ไบเบิลและคิดใคร่ครวญเป็นประจำ ยิ่งเรารู้ว่าพระยะโฮวาต้องการให้เราทำอะไรและพยายามมี “จิตใจอย่างพระคริสต์” ก็ยิ่งเป็นไปได้ที่เราจะตัดสินใจอย่าง “ฉลาด” แม้แต่ตอนที่เราไม่มีคำแนะนำที่บอกชัด ๆ ว่าควรทำอะไรหรือไม่ควรทำอะไร—1 คร. 2:14-16 ห23.02 น. 16-17 ว. 7-9
วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม
ให้เปลี่ยนแปลงตัวเองโดยเปลี่ยนความคิดของคุณใหม่ เพื่อคุณจะได้ตรวจดูจนแน่ใจว่าอะไรคือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราทำซึ่งเป็นสิ่งที่ดี สมบูรณ์ และทำให้พระองค์พอใจ—รม. 12:2
คุณทำความสะอาดบ้านบ่อยแค่ไหน? บางทีก่อนที่คุณจะย้ายเข้าไปในบ้านใหม่ คุณก็ต้องทำความสะอาดบ้านอย่างละเอียดก่อน แต่ถ้าหลังจากนั้นคุณไม่ทำอะไรเลย ไม่นานบ้านก็จะสกปรกมากเพราะฝุ่นกับสิ่งสกปรกจะเข้ามาในบ้านเรื่อย ๆ เพื่อจะให้บ้านคุณน่าอยู่ คุณก็ต้องทำความสะอาดเป็นประจำ ในเรื่องความคิดและนิสัยของเราก็เหมือนกัน ก่อนที่เราจะรับบัพติศมา เราพยายามอย่างมากเลยที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อ “ชำระตัวให้สะอาดจากทุกสิ่งที่ทำให้ร่างกายและจิตใจแปดเปื้อน” (2 คร. 7:1) แต่หลังจากที่เรารับบัพติศมาแล้ว เราก็ต้องทำตามคำแนะนำของเปาโลด้วยที่บอกว่า “ให้พวกคุณเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่อย่างต่อเนื่อง” (อฟ. 4:23) ที่เราต้องทำอย่างต่อเนื่องก็เพราะว่าความคิดและการกระทำของคนในโลกที่เป็นเหมือนสิ่งสกปรกจะเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ และก็อาจจะมีผลกับเราอย่างรวดเร็ว เพื่อจะไม่เป็นแบบนั้นและเพื่อจะทำให้พระยะโฮวาพอใจเราเสมอ เราต้องเช็กตัวเองบ่อย ๆ ในเรื่องความคิด นิสัย และความต้องการของเรา ห23.01 น. 8 ว. 1-2
วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม
ยอห์นเห็นพลังของพระเจ้ารูปร่างเหมือนนกเขาลงมาบนพระเยซู—มธ. 3:16
ลองนึกดูว่าถ้าเรามีโอกาสนั่งฟังพระเยซูสอนจะเป็นยังไง ท่านจำพระคัมภีร์ได้แม่นและยกขึ้นมาพูดบ่อย ๆ ดูเหมือนว่าตอนที่พระเยซูรับบัพติศมาและได้รับการเจิมด้วยพลังบริสุทธิ์ พระยะโฮวาทำให้ความทรงจำของพระเยซูช่วงที่ท่านอยู่บนสวรรค์กลับมา คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าคำพูดแรกหลังจากที่ท่านรับบัพติศมาและคำพูดช่วงท้าย ๆ ก่อนที่ท่านจะตายก็มาจากพระคัมภีร์ (ฉธบ. 8:3; สด. 31:5; ลก. 4:4; 23:46) ในช่วง 3 ปีครึ่งที่พระเยซูรับใช้บนโลก ท่านอ่านและยกข้อคัมภีร์มาอธิบายให้ผู้คนฟังบ่อยมาก (มธ. 5:17, 18, 21, 22, 27, 28; ลก. 4:16-20) หลายปีก่อนที่พระเยซูจะเริ่มงานรับใช้ ท่านได้อ่านและได้ฟังการอ่านพระคัมภีร์เป็นประจำ โยเซฟกับมารีย์คงต้องยกข้อความจากพระคัมภีร์มาพูดคุยกับลูก ๆ เป็นประจำแน่ ๆ (ฉธบ. 6:6, 7) นอกจากนั้น พระเยซูต้องได้ไปที่ประชุมของชาวยิวทุกวันสะบาโตกับพ่อแม่ (ลก. 4:16) ตอนอยู่ที่นั่นท่านคงตั้งใจฟังการอ่านพระคัมภีร์จริง ๆ ห23.02 น. 8 ว. 1-2
วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม
คุณต้องรักพระยะโฮวาพระเจ้าของคุณ—มก. 12:30
มีหลายเหตุผลที่ทำให้คุณรักพระยะโฮวาใช่ไหม? เช่น คุณได้รู้ว่าพระองค์เป็น “บ่อเกิดของชีวิต” และพระองค์ให้ “ของดี ๆ และสมบูรณ์ทุกอย่าง” กับคุณ (สด. 36:9; ยก. 1:17) สิ่งดี ๆ ทุกอย่างที่คุณมีในชีวิตมาจากพระยะโฮวาพระเจ้าที่รักคุณ ค่าไถ่เป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยมที่พระยะโฮวาให้กับเรา ทำไมถึงบอกแบบนั้น? ลองคิดดูว่าพระยะโฮวากับพระเยซูสนิทกันมากขนาดไหน พระเยซูบอกว่า “พ่อรักผม” และท่านก็บอกด้วยว่า “ผมรักพระองค์” (ยน. 10:17; 14:31) พระยะโฮวากับพระเยซูอยู่ด้วยกันมานานเป็นพัน ๆ ล้านปีแล้ว ยิ่งพระองค์ทั้งสองอยู่ด้วยกันนานเท่าไหร่ก็ยิ่งรักกันและสนิทกันมาก (สภษ. 8:22, 23, 30) ลองคิดดูว่าพระยะโฮวาจะเจ็บปวดขนาดไหนตอนที่พระองค์ยอมให้พระเยซูต้องมาทนทุกข์และต้องตาย พระยะโฮวารักมนุษย์มากซึ่งรวมถึงคุณด้วย พระองค์ถึงขนาดเต็มใจสละลูกชายที่พระองค์รักมากมาเป็นเครื่องบูชาเพื่อที่คุณและคนอื่น ๆ จะมีโอกาสได้ชีวิตตลอดไป (ยน. 3:16; กท. 2:20) นี่เลยเป็นเหตุผลสำคัญที่สุดที่เรารักพระยะโฮวา ไม่มีเหตุผลอะไรสำคัญกว่านี้อีกแล้ว ห23.03 น. 4-5 ว. 11-13
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม
ขอให้พวกคุณยึดมั่นกับสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่—วว. 2:25
เราต้องไม่ฟังคำสอนของคนทรยศพระเจ้า พระเยซูว่าคริสเตียนบางคนในเมืองเปอร์กามัมที่สนับสนุนคำสอนของมนุษย์และทำให้เกิดความแตกแยกในประชาคม (วว. 2:14-16) พระเยซูชมคริสเตียนในเมืองธิยาทิราที่ไม่ยุ่งกับ “สิ่งลึกซึ้งของซาตาน” และท่านกระตุ้นพวกเขาให้ “ยึดมั่น” กับความจริงต่อ ๆ ไปด้วย (วว. 2:24-26) คริสเตียนในประชาคมเหล่านั้นที่ความเชื่ออ่อนแอและเริ่มฟังคำสอนเท็จของคนทรยศพระเจ้าต้องกลับใจ แล้วเราล่ะ? เราต้องไม่ฟังคำสอนที่ขัดกับความคิดของพระยะโฮวา คนทรยศพระเจ้าอาจดูเหมือน “เคร่งศาสนา” แต่จริง ๆ แล้วพวกเขา “ไม่ได้ใช้ชีวิตตามคำสอนของศาสนา” (2 ทธ. 3:5) ถ้าเราขยันศึกษาคัมภีร์ไบเบิล เราก็จะดูออกได้ง่ายขึ้นว่าอะไรเป็นคำสอนเท็จและไม่ไปฟังคำสอนเหล่านั้น (2 ทธ. 3:14-17; ยด. 3, 4) เราต้องทำให้แน่ใจว่าพระยะโฮวายอมรับการนมัสการของเรา และถ้าเห็นว่าเราทำอะไรบางอย่างที่พระยะโฮวาอาจจะไม่ยอมรับ เราต้องรีบจัดการและเปลี่ยนแปลงทันที—วว. 2:5, 16; 3:3, 16 ห22.05 น. 4 ว. 9; น. 5 ว. 11