มีนาคม
วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม
เรามั่นใจว่าความหวังนั้นจะเป็นจริงแน่นอน—รม. 5:5
ก็จริงที่ตอนนี้โลกใหม่ยังไม่มา แต่ให้คิดถึงบางอย่างที่เราเห็นในตอนนี้ก่อน เช่น ดวงดาวมากมายบนท้องฟ้า ต้นไม้ สัตว์ต่าง ๆ รวมถึงมนุษย์ ไม่มีใครคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่ภาพลวงตาหรือเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง แม้ก่อนหน้านี้สิ่งเหล่านี้ยังไม่มีอยู่เลย แต่พอพระยะโฮวาสร้าง มันก็มีขึ้นมา (ปฐก. 1:1, 26, 27) เหมือนกันพระยะโฮวาก็ตั้งใจจะทำให้มีโลกใหม่ และพระองค์จะทำให้เรื่องนี้เป็นจริงแน่นอน ในโลกใหม่ผู้คนจะมีโอกาสได้ชีวิตตลอดไปและมีสุขภาพดีเยี่ยมสมบูรณ์แบบ เมื่อถึงเวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้ โลกใหม่ก็จะเกิดขึ้นจริงเหมือนกับที่เอกภพรอบตัวเรามีจริง (อสย. 65:17; วว. 21:3, 4) ตอนนี้ให้ใช้ทุกโอกาสที่คุณมีเพื่อทำให้ความเชื่อของคุณเข้มแข็งขึ้นโดยเห็นค่าเรื่องค่าไถ่ คิดถึงพลังอำนาจของพระยะโฮวา และทำกิจกรรมของคริสเตียนเป็นประจำ ถ้าคุณทำแบบนี้ คุณก็จะเป็นหนึ่งใน “คนที่ได้รับสิ่งที่พระเจ้าสัญญาเป็นรางวัลเพราะพวกเขามีความเชื่อและความอดทน”—ฮบ. 6:11, 12 ห23.04 น. 31 ว. 18-19
วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม
ผมเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าคุณเชื่อ คุณจะได้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า?—ยน. 11:40
แล้วท่านก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าและอธิษฐานถึงพระยะโฮวาต่อหน้าทุกคน ท่านอยากให้พระองค์ได้รับการยกย่องสรรเสริญจากสิ่งที่ท่านกำลังจะทำ จากนั้นท่านก็ร้องเรียกเสียงดังว่า “ลาซารัส ออกมา” (ยน. 11:43) แล้วลาซารัสก็เดินออกมา พระเยซูทำสิ่งที่บางคนคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้เรื่องนี้ทำให้เรามั่นใจในเรื่องการฟื้นขึ้นจากตายมากขึ้น ทำไมถึงบอกแบบนั้น? จำได้ไหมพระเยซูสัญญากับมาร์ธาว่า “เขาจะฟื้นขึ้นจากตาย”? (ยน. 11:23) พระเยซูก็เหมือนพระยะโฮวา ท่านอยากปลุกคนให้ฟื้นขึ้นจากตาย และท่านก็มีทั้งความสามารถและอำนาจที่จะทำได้ การที่พระเยซูร้องไห้ทำให้เห็นว่าท่านอยากปลุกคนตายให้ฟื้นและอยากกำจัดความตายที่ทำให้มนุษย์เป็นทุกข์ และตอนที่ลาซารัสออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ เราเห็นว่าพระเยซูมีพลังอำนาจและมีความสามารถที่จะปลุกคนตายให้ฟื้นได้ นอกจากนั้น ขอให้คิดถึงคำพูดที่พระเยซูพูดกับมาร์ธาในข้อคัมภีร์ประจำวันนี้ เรามีเหตุผลหนักแน่นมากมายที่จะเชื่อว่าคำสัญญาเรื่องการฟื้นขึ้นจากตายจะเกิดขึ้นจริงแน่นอน ห23.04 น. 11-12 ว. 15-16
วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม
พระยะโฮวาอยู่ใกล้ทุกคนที่ร้องเรียกพระองค์คือทุกคนที่ร้องเรียกพระองค์ด้วยความจริงใจ—สด. 145:18
เราอาจต้องเปลี่ยนสิ่งที่เราขอในคำอธิษฐานเมื่อเราเข้าใจชัดเจนขึ้นว่าพระยะโฮวาต้องการอะไรจริง ๆ เราต้องจำไว้ว่าพระยะโฮวากำหนดเวลาไว้แล้วว่าจะทำให้ความต้องการของพระองค์เป็นจริงเมื่อไหร่ ความต้องการของพระองค์อย่างหนึ่งก็คือพระองค์จะจัดการกับปัญหาที่เลวร้ายทุกอย่างตอนนี้ให้หมดไปอย่างถาวร เช่น ภัยธรรมชาติ ความเจ็บป่วย และความตาย พระองค์จะใช้รัฐบาลของพระองค์ทำให้ความต้องการของพระองค์ในเรื่องนี้เป็นจริง (ดนล. 2:44; วว. 21:3, 4) แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น พระยะโฮวาก็ยอมให้ซาตานได้ปกครองโลกนี้ (ยน. 12:31; วว. 12:9) ถ้าพระยะโฮวาแก้ปัญหาทั้งหมดของมนุษย์ตั้งแต่ตอนนี้ มันก็จะดูเหมือนว่าซาตานปกครองโลกนี้ได้ดีมาก ดังนั้น เราเลยต้องรอให้คำสัญญาของพระยะโฮวาเป็นจริง แต่ระหว่างที่รอ พระองค์ก็ไม่ได้ทิ้งเราไปเลย พระยะโฮวาจะคอยช่วยเรา ห23.05 น. 8 ว. 4; น. 9-10 ว. 7-8
วันอังคารที่ 4 มีนาคม
พวกคุณจะได้รู้ว่าควรตอบแต่ละคนอย่างไร—คส. 4:6
เราจะช่วยคนอื่นให้ได้รับประโยชน์จากการประชุมอนุสรณ์ได้ยังไง? อย่างแรกก็คือเราต้องไปเชิญพวกเขา นอกจากจะไปเชิญคนตามบ้านแล้ว เราอาจจะทำรายชื่อคนที่เราอยากเชิญด้วยก็ได้ เช่น ญาติ ๆ เพื่อนที่ทำงาน หรือเพื่อนที่โรงเรียน และถึงแม้เราอาจมีใบเชิญการประชุมอนุสรณ์ไม่พอ เราก็สามารถส่งลิงก์ให้กับพวกเขาได้ ถ้าเราพยายามทำอย่างนี้อาจจะมีคนมาประชุมอนุสรณ์มากกว่าที่เราคิดก็ได้ (ปญจ. 11:6) จำไว้ว่าคนที่เราเชิญก็อาจจะมีคำถามด้วย โดยเฉพาะถ้าเขาไม่เคยมาประชุมกับเราเลย เราอยากจะเตรียมตัวเพื่อตอบคำถามของเขา หลังจากที่เข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์แล้ว ผู้สนใจอาจจะมีคำถามเพิ่มเติม เราอยากจะทำทุกอย่างที่เราทำได้ไม่ว่าจะเป็นช่วงก่อน ระหว่าง หรือหลังจากการประชุมอนุสรณ์ เพื่อช่วยคนที่ “เต็มใจตอบรับความจริง” ให้ได้รับประโยชน์จากการประชุมที่สำคัญนี้—กจ. 13:48 ห24.01 น. 12 ว. 13, 15; น. 13 ว. 16
วันพุธที่ 5 มีนาคม
พวกคุณเป็นเหมือนหมอกที่อยู่แค่ประเดี๋ยวเดียวแล้วก็จางหายไป—ยก. 4:14
คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงการฟื้นขึ้นจากตายของมนุษย์ 8 คนบนโลก ลองศึกษาค้นคว้าแต่ละเรื่องและดูว่าคุณได้เรียนอะไร แล้วคิดว่าแต่ละเรื่องช่วยให้คุณเห็นยังไงว่าพระยะโฮวาอยากปลุกพวกเขาและพระองค์มีความสามารถและอำนาจที่จะทำอย่างนั้นจริง ๆ ที่สำคัญที่สุดให้ศึกษาเกี่ยวกับการฟื้นขึ้นจากตายของพระเยซู จำไว้ว่ามีหลายร้อยคนที่เห็นพระเยซูซึ่งฟื้นขึ้นจากตายแล้ว และการฟื้นขึ้นจากตายของท่านช่วยให้มั่นใจในการฟื้นขึ้นจากตายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (1 คร. 15:3-6, 20-22) เราขอบคุณพระยะโฮวาจริง ๆ สำหรับคำสัญญาเรื่องการฟื้นขึ้นจากตาย เรามั่นใจว่ามันจะเกิดขึ้นจริงแน่นอนเพราะพระองค์อยากปลุกคนตายให้ฟื้นขึ้นมา และพระองค์มีอำนาจกับความสามารถที่จะทำอย่างนั้น ให้เราพยายามทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อจะมั่นใจมากขึ้นในความหวังนี้ ถ้าเราทำอย่างนั้น เราจะสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น พระองค์สัญญากับเราทุกคนว่า ‘คนที่คุณรักจะฟื้นขึ้นจากตาย’—ยน. 11:23 ห23.04 น. 8 ว. 2; น. 12 ว. 17; น. 13 ว. 20
วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม
ใช้ชีวิตตามแนวทางของพระเจ้าด้วยความเจียมตัว—มคา. 6:8
ความถ่อมและความเจียมตัวคล้ายกันมาก ถ้าเราเป็นคนเจียมตัว เราจะไม่มองว่าตัวเองสำคัญเกินไป เราจะรู้ขีดจำกัดของตัวเองว่าเราทำอะไรไม่ได้บ้าง และถ้าเราเป็นคนถ่อม เราจะมองว่าคนอื่นดีกว่าตัวเอง (ฟป. 2:3) ปกติแล้ว คนที่เจียมตัวจะเป็นคนถ่อมด้วย กิเดโอนเป็นคนถ่อมและเจียมตัว ตอนที่พระยะโฮวาให้ทูตสวรรค์มาบอกกิเดโอนว่าเขาถูกเลือกให้ช่วยชาวอิสราเอลให้รอดจากชาวมีเดียนที่แข็งแกร่ง กิเดโอนพูดด้วยความถ่อมว่า “วงศ์ตระกูลของผมก็เล็กที่สุดในตระกูลมนัสเสห์ แถมผมยังไม่ใช่คนโดดเด่นอะไรในบ้านของพ่อด้วย” (วนฉ. 6:15) กิเดโอนรู้สึกว่าเขาไม่เหมาะที่จะทำหน้าที่ที่พระเจ้ามอบหมายให้เขา แต่พระองค์รู้ว่าเขาทำได้ และเขาก็สามารถทำงานมอบหมายได้สำเร็จจริง ๆ เพราะพระยะโฮวาช่วยเขา ผู้ดูแลพยายามเต็มที่ที่จะเป็นคนถ่อมและเจียมตัว (มคา. 6:8; กจ. 20:18, 19) พวกเขาจะไม่อวดความสามารถของตัวเองหรืออวดความสำเร็จ และเมื่อพวกเขาทำอะไรผิดพลาด พวกเขาก็จะไม่จมอยู่กับความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าเพราะทำงานออกมาไม่ดี ห23.06 น. 3 ว. 4-5
วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม
เขาจะบดขยี้หัวเจ้า—ปฐก. 3:15
คำพยากรณ์ที่บอกว่าหัวของซาตานจะถูกบดขยี้จะเกิดขึ้นในอีกมากกว่า 1,000 ปีข้างหน้า (วว. 20:7-10) ก่อนที่จะถึงเวลานั้น คัมภีร์ไบเบิลได้บอกล่วงหน้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะส่งผลต่อคนทั้งโลก ก่อนอื่นชาติต่าง ๆ จะประกาศว่า “สงบสุขและปลอดภัยแล้ว!” (1 ธส. 5:2, 3) และ “ทันที” หลังจากนั้น รัฐบาลของชาติต่าง ๆ จะโจมตีศาสนาเท็จทั้งหมด ซึ่งเป็นตอนที่ความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่เริ่มต้น (วว. 17:16) ต่อจากนั้น พระเยซูจะพิพากษามนุษย์โดยแยกพวกเขาออกจากกันเหมือนผู้เลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ (มธ. 25:31-33, 46) ในช่วงนั้น ซาตานไม่ได้อยู่เฉย ๆ มันยังพยายามต่อต้านพระยะโฮวา มันเกลียดผู้รับใช้ของพระองค์มาก มันจะกระตุ้นกลุ่มชาติต่าง ๆ ที่ร่วมมือกันซึ่งคัมภีร์ไบเบิลเรียกว่าโกกแห่งแผ่นดินมาโกกให้โจมตีคนของพระยะโฮวา (อสค. 38:2, 10, 11) แล้วในช่วงใดช่วงหนึ่ง ผู้ถูกเจิมที่ยังเหลืออยู่จะถูกรวบรวมให้ไปสวรรค์เพื่อไปเข้าร่วมกับพระเยซูและกองทัพสวรรค์ แล้วมาสู้ในสงครามอาร์มาเกดโดนซึ่งเป็นฉากสุดท้ายของความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่ (มธ. 24:31; วว. 16:14, 16) จากนั้น การปกครองช่วง 1,000 ปีของพระเยซูก็จะเริ่มต้น—วว. 20:6 ห23.10 น. 20-21 ว. 9-10
วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม
ผมเป็นคนเกรงกลัวพระยะโฮวามาตั้งแต่เด็ก—1 พก. 18:12
ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาหลายคนในทุกวันนี้อยู่ในประเทศที่งานของเราถูกสั่งห้าม พวกเขานับถืออำนาจรัฐบาล แต่พวกเขาก็เป็นเหมือนโอบาดีห์ที่ไม่ยอมเลิกนมัสการพระยะโฮวาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม (มธ. 22:21) พี่น้องเหล่านี้เกรงกลัวพระเจ้าโดยเชื่อฟังพระองค์มากกว่ามนุษย์ (กจ. 5:29) พวกเขาทำอย่างนั้นโดยพยายามประกาศและประชุมเป็นประจำถึงแม้ว่าต้องทำอย่างลับ ๆ (มธ. 10:16, 28) นอกจากนั้น พวกเขาพยายามช่วยพี่น้องให้มีสิ่งจำเป็นเพื่อจะมีความเชื่อเข้มแข็งและยังสนิทกับพระยะโฮวาต่อ ๆ ไปได้ ลองดูตัวอย่างของอองรีที่อยู่แถบแอฟริกาซึ่งงานของเราถูกสั่งห้ามช่วงหนึ่ง ในช่วงนั้นอองรีอาสาเอาหนังสือขององค์การไปให้พี่น้อง เขาเขียนว่า “จริง ๆ แล้วผมเป็นคนขี้อายมาก . . . ที่ผมกล้า . . . ก็เพราะผมเกรงกลัวพระยะโฮวามาก” ถ้าเป็นคุณ คุณจะกล้าหาญแบบอองรีได้ไหม? ได้แน่นอนถ้าคุณฝึกที่จะเกรงกลัวพระเจ้าตั้งแต่ตอนนี้ ห23.06 น. 16 ว. 9, 11
วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม
บาปเข้ามาในโลกเพราะคนคนเดียว—รม. 5:12
ตอนที่อาดัมกับเอวากบฏ ดูเหมือนว่าซาตานสามารถขัดขวางความประสงค์ของพระยะโฮวาที่ต้องการให้มนุษย์สมบูรณ์แบบที่เชื่อฟังพระองค์มีอยู่เต็มโลก ซาตานอาจจะคิดว่าพระยะโฮวาเหลือทางเลือกไม่เยอะ ทางเลือกหนึ่งที่พระองค์อาจต้องทำก็คือพระองค์ต้องฆ่าอาดัมกับเอวาและสร้างมนุษย์สมบูรณ์แบบขึ้นมาใหม่เพื่อจะทำให้ความประสงค์ของพระองค์เป็นจริง แต่ถ้าพระยะโฮวาทำอย่างนั้น ซาตานก็อาจจะกล่าวหาว่าพระองค์โกหกได้ เพราะอะไร? เพราะอย่างที่บอกในปฐมกาล 1:28 พระยะโฮวาบอกอาดัมกับเอวาว่าลูกหลานของพวกเขาจะเพิ่มจำนวนจนเต็มโลก นอกจากนั้น ซาตานอาจคิดว่าพระยะโฮวาคงยอมให้อาดัมกับเอวามีลูก แต่ลูกหลานของพวกเขาก็จะเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบ (ปญจ. 7:20; รม. 3:23) ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นซาตานก็คงบอกได้ว่าพระยะโฮวาล้มเหลว เพราะโลกจะมีแต่มนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบ ห23.11 น. 5-6 ว. 15-16
วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม
อย่าเลยขอบเขตที่เขียนบอกไว้—1 คร. 4:6
พระยะโฮวาให้คำแนะนำที่ชัดเจนกับเราผ่านทางคัมภีร์ไบเบิลและผ่านทางองค์การของพระองค์อยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องเพิ่มคำแนะนำอะไรเข้าไป (สภษ. 3:5-7) ดังนั้น เราไม่ควรเลยขอบเขตที่เขียนบอกไว้หรือตั้งกฎเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวให้พี่น้องทั้ง ๆ ที่คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอกซาตานใช้ “คำหลอกลวงเหลวไหล” และ “แนวคิดต่าง ๆ ของโลก” เพื่อทำให้ผู้คนแตกแยกและชักนำพวกเขาไปผิดทาง (คส. 2:8) ในสมัยศตวรรษแรก สิ่งเหล่านี้ได้แก่ปรัชญาต่าง ๆ ของมนุษย์ คำสอนของพวกยิวที่ไม่ได้เป็นไปตามพระคัมภีร์ และคำสอนที่ว่าคริสเตียนยังต้องทำตามกฎหมายของโมเสส สิ่งเหล่านี้เป็นคำหลอกลวงเพราะมันทำให้ผู้คนไม่สนใจพระยะโฮวาผู้ให้สติปัญญาแท้ ทุกวันนี้ซาตานก็ใช้สื่อต่าง ๆ และโซเชียลมีเดียเพื่อแพร่ทฤษฎีสมคบคิดและข่าวปลอมที่มาจากพวกผู้นำทางการเมือง ห23.07 น. 16 ว. 11-12
วันอังคารที่ 11 มีนาคม
พระยะโฮวา ผลงานของพระองค์ยิ่งใหญ่จริง ๆ ความคิดของพระองค์ลึกซึ้งมาก—สด. 92:5
วิธีที่พระยะโฮวาแก้ไขปัญหาต้องเป็นแบบที่ซาตานคิดไม่ถึงแน่ ๆ เพราะนี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ความประสงค์ของพระองค์เป็นจริง ถึงแม้อาดัมกับเอวาจะกบฏก็ตาม ที่พระยะโฮวายอมให้อาดัมกับเอวามีลูกหลานจนเต็มโลกเป็นข้อพิสูจน์ว่าพระองค์ไม่ได้โกหก พระยะโฮวายังพิสูจน์ด้วยว่าพระองค์ไม่ได้ล้มเหลวเพราะพระองค์ได้เตรียม “ลูกหลาน” คนหนึ่งไว้เพื่อจะช่วยลูกหลานของอาดัมกับเอวาที่เชื่อฟังให้รอดได้ (ปฐก. 3:15; 22:18) ซาตานคงตกตะลึงกับการจัดเตรียมนี้แน่ ๆ เพราะนี่เป็นการแสดงความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวของพระยะโฮวา ซึ่งตัวมันเองไม่เคยมีความรักแบบนี้เลย (มธ. 20:28; ยน. 3:16) แล้วการจัดเตรียมเรื่องค่าไถ่จะทำให้เกิดอะไรขึ้นตอนสิ้นสุดสมัยพันปีที่พระเยซูปกครอง? ลูกหลานของอาดัมและเอวาที่เชื่อฟังจะกลายเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ และพวกเขาจะได้อยู่ในโลกที่เป็นสวนอุทยานอย่างที่พระยะโฮวาตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ห23.11 น. 6 ว. 17
วันพุธที่ 12 มีนาคม
พระเจ้าจะตัดสินลงโทษ—ฮบ. 13:4
เราเชื่อฟังกฎหมายของพระยะโฮวาในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตและเลือด เพราะอะไร? เพราะเลือดหมายถึงชีวิตซึ่งเป็นของขวัญที่มีค่าจากพระยะโฮวา (ลนต. 17:14) ตอนที่พระยะโฮวาอนุญาตให้มนุษย์กินเนื้อสัตว์ได้เป็นครั้งแรก พระองค์ก็บอกว่าไม่ให้กินเลือด (ปฐก. 9:4) และต่อมาพระองค์ก็ให้มีการเขียนคำสั่งนี้อย่างชัดเจนในกฎหมายของโมเสส (ลนต. 17:10) พอมาถึงสมัยคริสเตียนยุคแรกพระยะโฮวาก็ชี้นำคณะกรรมการปกครองให้สั่งคริสเตียนทุกคนว่า “ให้งดเว้น . . . จากเลือด” (กจ. 15:28, 29) เราในทุกวันนี้จะเชื่อฟังและหนักแน่นมั่นคงในเรื่องนี้ตอนที่เราต้องตัดสินใจเรื่องการรักษาพยาบาล นอกจากนั้น เราต้องทำตามมาตรฐานด้านศีลธรรมของพระยะโฮวาเสมอ อัครสาวกเปาโลแนะนำให้เรา “กำจัดแนวโน้มแบบโลกซึ่งอยู่ในอวัยวะ” ของเรา ซึ่งหมายถึงเราต้องพยายามสุดความสามารถที่จะกำจัดความต้องการแบบผิด ๆ เราต้องไม่ดูและไม่ทำอะไรก็ตามที่จะทำให้เราทำผิดศีลธรรมทางเพศ—คส. 3:5; โยบ 31:1 ห23.07 น. 15 ว. 5-6
วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม
เขาก็บอกทุกอย่างกับเธอ—วนฉ. 16:17
บางทีอาจเป็นเพราะแซมสันรักเดลิลาห์มากจนเขาไม่ได้สงสัยเจตนาของเธอเลย เดลิลาห์เซ้าซี้และรบเร้าแซมสันไม่เลิกเพื่อให้บอกเธอว่าอะไรทำให้เขามีพละกำลังมหาศาล และในที่สุดเขาก็ยอมบอกเธอ ความผิดพลาดของแซมสันทำให้เขาต้องสูญเสียพละกำลังและทำให้พระยะโฮวาไม่ได้อยู่กับเขาไปช่วงหนึ่ง (วนฉ. 16:16-20) แซมสันต้องเจอผลที่เลวร้ายเพราะเขาเชื่อเดลิลาห์มากกว่าเชื่อพระยะโฮวา เขาถูกพวกฟีลิสเตียจับตัวและควักลูกตาออก พวกเขาจับแซมสันไปขังไว้ที่กาซา พวกเขาเลยเอาคืนโดยจับแซมสันไปทำงานเหมือนทาสและใช้เขาหมุนเครื่องโม่ในคุก จากนั้น ชาวฟีลิสเตียก็จัดงานเลี้ยงโดยถวายเครื่องบูชาครั้งใหญ่ให้พระดาโกนเพราะพวกเขาเชื่อว่าพระดาโกนช่วยให้พวกเขาจับแซมสันได้ แล้วพวกเขาก็เอาแซมสันออกมาจากคุกเพื่อ “ทำอะไรสนุก ๆ” ให้พวกเขาดู และเพื่อทำให้แซมสันต้องอับอาย—วนฉ. 16:21-25 ห23.09 น. 5-6 ว. 13-14
วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม
พยายามทำสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าดี—รม. 12:17
บางครั้งเพื่อนที่โรงเรียนหรือเพื่อนที่ทำงานอาจมาถามเราเกี่ยวกับมาตรฐานด้านศีลธรรมในคัมภีร์ไบเบิล เราต้องพยายามเต็มที่ที่จะอธิบายกับเขาว่าทำไมมาตรฐานในคัมภีร์ไบเบิลถึงดีที่สุด แต่ในเวลาเดียวกัน เราก็ต้องเคารพความคิดเห็นของเขาด้วย (1 ปต. 3:15) ดังนั้น แทนที่เราจะมองว่าเขาถามเพราะอยากหาเรื่องหรืออยากลองภูมิเรา ให้เราคิดว่าคำถามของเขาช่วยให้เรารู้จักเขามากขึ้น แต่ไม่ว่าเหตุผลของคนที่มาถามคืออะไร เราก็จะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะตอบอย่างอ่อนโยน คำตอบของเราอาจทำให้เขากลับไปคิดว่าสิ่งที่เขาเชื่อมีเหตุผลไหม เมื่อมีคนมาถามเรา สำคัญมากที่เราจะคิดว่าเขาถามด้วยเหตุผลอะไร สมมุติว่าเพื่อนร่วมงานมาถามว่าทำไมเราถึงไม่ฉลองวันเกิด ให้ลองคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่เขาอาจจะสงสัยว่าพยานทำอะไรสนุก ๆ ไม่ได้เลยถ้าเป็นแบบนั้นเราก็อาจจะช่วยให้เขากังวลน้อยลงโดยขอบคุณที่เขาสนใจในเพื่อนร่วมงานคนอื่น การทำแบบนี้อาจช่วยให้เรามีโอกาสดี ๆ ที่จะได้คุยกับเขาว่าคัมภีร์ไบเบิลพูดถึงวันเกิดยังไงบ้าง ห23.09 น. 17 ว. 10-11
วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม
ให้ระวังอย่าถูกชักนำให้หลงไปกับพวกเขาด้วยเรื่องเท็จของคนชั่วและกลายเป็นคนไม่มั่นคง—2 ปต. 3:17
เรามีสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่ได้ใช้เวลาที่ยังเหลืออยู่ในตอนนี้เพื่อประกาศกับคนทั่วโลก อัครสาวกเปโตรกระตุ้นให้เรา “คิดอยู่เสมอว่าวันของพระยะโฮวาใกล้เข้ามาแล้ว” (2 ปต. 3:11, 12) เราจะทำแบบนั้นได้ยังไง? ถ้าเป็นไปได้เราควรคิดใคร่ครวญทุกวันว่าชีวิตในโลกใหม่จะเป็นยังไง ลองนึกภาพตอนที่คุณได้สูดอากาศบริสุทธิ์ ได้กินอาหารอร่อย ๆ ที่มีประโยชน์ ได้ต้อนรับคนที่คุณรักที่ฟื้นขึ้นจากตาย และได้สอนคนที่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อหลายร้อยปีมาแล้วเกี่ยวกับคำพยากรณ์ที่เกิดขึ้นจริงในคัมภีร์ไบเบิล การคิดถึงสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณเฝ้าคอยและคิดถึงวันของพระยะโฮวาเสมอ และมั่นใจว่าจุดจบของโลกชั่วจะมาถึงแน่นอน เมื่อเรารู้ว่าจะมีอนาคตดี ๆ อะไรรอเราอยู่ เราก็จะไม่ถูกคนที่ไม่เชื่อว่าวันของพระยะโฮวาใกล้เข้ามาแล้ว “ชักนำให้หลงไป” ห23.09 น. 27 ว. 5-6
วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม
ให้เชื่อฟังพ่อแม่ตามที่พระเจ้าอยากให้ทำ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องในสายตาพระองค์—อฟ. 6:1
เด็กและวัยรุ่นต้องอยู่กับเด็กคนอื่นที่ “ไม่เชื่อฟังพ่อแม่” (2 ทธ. 3:1, 2) แล้วทำไมเด็กและวัยรุ่นหลายคนถึงไม่เชื่อฟังพ่อแม่? เด็กบางคนอาจรู้สึกว่าพ่อแม่ของตัวเองทำอย่างที่สอนไม่ได้ ส่วนเด็กคนอื่น ๆ ก็รู้สึกว่าคำแนะนำของพ่อแม่ใช้ไม่ได้จริง ๆ หรอก แถมยังโบราณและเข้มงวดเกินไป ถ้าคุณยังเป็นเด็กและวัยรุ่น คุณรู้สึกแบบนี้ไหม? หลายคนรู้สึกยากที่จะทำตามคำสั่งของพระยะโฮวาอย่างที่บอกไว้ในข้อคัมภีร์ประจำวันนี้ แล้วอะไรจะช่วยให้คุณทำตามคำสั่งนี้ของพระยะโฮวาได้? พระเยซูเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในเรื่องการเชื่อฟังพ่อแม่ และคุณก็เรียนจากท่านได้ (1 ปต. 2:21-24) พระเยซูเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ แต่พ่อแม่ของท่านไม่สมบูรณ์แบบ ถึงจะเป็นอย่างนั้นพระเยซูก็ให้เกียรติพ่อแม่ แม้แต่ตอนที่พ่อแม่ทำผิดและเข้าใจท่านผิด—อพย. 20:12 ห23.10 น. 7 ว. 4-5
วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม
ข้อกำหนดเดิมจึงถูกยกเลิกไปเพราะขาดพลังและไม่เกิดผลเท่าที่ควร—ฮบ. 7:18
อัครสาวกเปาโลอธิบายว่าเครื่องบูชาที่ต้องถวายตามกฎหมายของโมเสสไม่มีทางขจัดบาปได้หมด กฎหมายของโมเสสก็เลย “ถูกยกเลิกไป” จากนั้นเปาโลสอนคริสเตียนเหล่านี้เกี่ยวกับคำสอนที่ลึกซึ้ง เปาโลเตือนพวกเขาให้นึกถึง “ความหวังที่ดีกว่า” ซึ่งเป็นจริงได้โดยเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซู และนั่นจะช่วยให้พวกเขา “ใกล้ชิดพระเจ้า” ได้จริง ๆ (ฮบ. 7:19) เปาโลอธิบายกับคริสเตียนชาวฮีบรูว่าทำไมการนมัสการของคริสเตียนถึงเหนือกว่าการนมัสการของชาวยิว การนมัสการของชาวยิวตามกฎหมายของโมเสส “เป็นแค่เงาของสิ่งที่จะมีมา แต่ของจริงมาทางพระคริสต์” (คส. 2:17) เงาคือเค้าโครงของวัตถุ แต่ไม่ใช่วัตถุนั้นจริง ๆ การนมัสการของชาวยิวในสมัยโบราณก็เลยเป็นแค่เงาของการนมัสการของคริสเตียน เราต้องเข้าใจเรื่องการจัดเตรียมของพระยะโฮวาที่ช่วยให้เราได้รับการอภัยบาปเพื่อที่เราจะนมัสการพระองค์ในแบบที่พระองค์ยอมรับ ห23.10 น. 25 ว. 4-5
วันอังคารที่ 18 มีนาคม
ในสมัยสุดท้าย กษัตริย์ทิศใต้กับกษัตริย์ทิศเหนือจะสู้กัน กษัตริย์ทิศเหนือจะ . . . มากระหน่ำโจมตี—ดนล. 11:40
ดาเนียลบท 11 พูดถึงกษัตริย์ 2 องค์ซึ่งก็คืออำนาจทางการเมือง 2 อำนาจที่แข่งกันเพื่อจะเป็นใหญ่ เมื่อเราเทียบคำพยากรณ์นี้กับคำพยากรณ์อื่น ๆ ในคัมภีร์ไบเบิล เราก็เข้าใจว่า “กษัตริย์ทิศเหนือ” ในทุกวันนี้ก็คือรัสเซียกับชาติพันธมิตร ส่วน “กษัตริย์ทิศใต้” ก็คือมหาอำนาจโลกอังกฤษ-อเมริกา คนของพระเจ้าที่อยู่ใต้การปกครองของ “กษัตริย์ทิศเหนือ” ต้องเจอกับการข่มเหง พยานพระยะโฮวาหลายคนถูกทุบตีและถูกขังคุกเพราะความเชื่อ แต่แทนที่พวกเขาจะกลัว พวกเขากลับยิ่งมีความเชื่อมากขึ้น ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? พวกเขารู้ว่าการที่คนของพระเจ้าถูกข่มเหงทำให้คำพยากรณ์ในดาเนียลเกิดขึ้นจริง (ดนล. 11:41) การรู้เรื่องนี้ช่วยให้เรามั่นใจในความหวังและตั้งใจที่จะซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาต่อ ๆ ไป ห23.08 น. 11 ว. 15-16
วันพุธที่ 19 มีนาคม
ใครที่แตะต้องเจ้าก็เท่ากับแตะต้องดวงตาของเรา—ศคย. 2:8
เนื่องจากพระยะโฮวารักเรามาก พระองค์เลยเข้าใจความรู้สึกของเราและพระองค์พร้อมที่จะปกป้องเรา ถ้าเราเจ็บพระองค์ก็เจ็บด้วย เราเลยมั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะตอบคำอธิษฐานของเราแน่นอนถ้าเราขอให้พระองค์ปกป้องเรา “เหมือนปกป้องแก้วตาของพระองค์” (สด. 17:8) ดวงตาเป็นอวัยวะที่มีค่ามากและบอบบาง ดังนั้น เมื่อพระยะโฮวาเปรียบเราเหมือนดวงตาของพระองค์ ก็เหมือนกับพระองค์กำลังบอกว่า ‘ใครที่แตะต้องเจ้า ก็เท่ากับแตะต้องของมีค่าของเรา’ พระยะโฮวาอยากให้คุณมั่นใจว่าพระองค์รักคุณมาก แต่พระองค์ก็รู้ด้วยว่าเรื่องเลวร้ายที่คุณเคยเจอในอดีตอาจทำให้คุณสงสัยว่าพระองค์รักคุณจริง ๆ ไหม หรือปัญหาที่คุณเจอในตอนนี้อาจทำให้คุณไม่มั่นใจว่าพระองค์รักคุณหรือเปล่า แล้วอะไรจะทำให้เรามั่นใจในความรักของพระยะโฮวามากขึ้น? ให้เรามาดูกันว่าพระยะโฮวาแสดงความรักยังไงต่อพระเยซู ผู้ถูกเจิม และต่อเราทุกคน ห24.01 น. 27 ว. 6-7
วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม
พระเจ้าก็คอยปกป้องคุ้มครองเรา พระองค์ช่วยเราให้รอดพ้นจากศัตรู—อสร. 8:31
เอสราได้เห็นมาแล้วว่าพระยะโฮวาช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ยังไงในช่วงเวลาที่ลำบาก ในปี 484 ก่อน ค.ศ. เอสราน่าจะอยู่ที่บาบิโลนตอนที่กษัตริย์อาหะสุเอรัสออกคำสั่งให้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวทั่วจักรวรรดิเปอร์เซีย (อสธ. 3:7, 13-15) ชีวิตของเอสราและชาวยิวกำลังตกอยู่ในอันตราย พอพวกเขาได้ยินข่าวนี้พวกเขารู้สึกกลัวมากจนอดอาหารและร้องไห้คร่ำครวญและอธิษฐานถึงพระยะโฮวาขอให้พระองค์ช่วย (อสธ. 4:3) แต่พอคนที่คิดจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวถูกกำจัดซะเอง ลองนึกดูว่าเอสรากับชาวยิวจะดีใจขนาดไหน (อสธ. 9:1, 2) เหตุการณ์นั้นคงเตรียมเอสราให้พร้อมสำหรับสิ่งที่เขาต้องเจอในวันข้างหน้า และทำให้เขามั่นใจมากขึ้นว่าพระยะโฮวาสามารถปกป้องคนของพระองค์ได้ ห23.11 น. 17 ว. 12-13
วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม
ดาวิดเคยพูดถึงความสุขของคนที่พระเจ้ายอมรับทั้ง ๆ ที่เขาทำตามกฎหมายได้ไม่ครบ—รม. 4:6
อัครสาวกเปาโลกำลังพูดถึงการ “ทำตามกฎหมาย” ที่พระเจ้าได้ให้กับชาติอิสราเอล (รม. 3:21, 28) ดูเหมือนว่า คริสเตียนชาวยิวบางคนในสมัยนั้นยังคิดว่าพวกเขาต้องทำตามกฎหมายของโมเสสอยู่ เปาโลเลยยกตัวอย่างของอับราฮัมเพื่อพิสูจน์ว่าคนเราไม่ต้อง “ทำตามกฎหมาย” ของโมเสสเพื่อจะเป็นคนที่พระเจ้ายอมรับ แต่สิ่งสำคัญก็คือต้องมีความเชื่อ เรื่องนี้ให้กำลังใจพวกเราในทุกวันนี้ด้วย เพราะถ้าเรามีความเชื่อในพระยะโฮวาและพระเยซู เราก็สามารถเป็นคนที่พระเจ้ายอมรับได้เหมือนกัน “การกระทำ” ที่พูดถึงในยากอบบท 2 ไม่ได้หมายถึงการ “ทำตามกฎหมาย” ของโมเสส แต่หมายถึงการทำอย่างอื่นที่คริสเตียนควรทำซึ่งแสดงว่าเขามีความเชื่อแท้ ห23.12 น. 3 ว. 8; น. 4-5 ว. 10-11
วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม
สามีเป็นผู้นำของภรรยา—อฟ. 5:23
พี่น้องหญิงที่คิดจะแต่งงานต้องคิดเรื่องนี้ให้รอบคอบมาก ๆ ขอให้จำไว้ว่าคนที่คุณแต่งงานด้วยจะเป็นผู้นำของคุณและคุณจะต้องอยู่ใต้อำนาจเขา (รม. 7:2; อฟ. 5:33) ดังนั้น ให้ถามตัวเองว่า ‘เขาเป็นคริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ไหม? เขาให้พระยะโฮวาสำคัญที่สุดในชีวิตไหม? เมื่อเขาต้องตัดสินใจบางเรื่อง เขาตัดสินใจอย่างฉลาดไหม? เมื่อเขาทำผิด เขายอมรับผิดไหม? เขาให้เกียรติผู้หญิงไหม? เขาสามารถหาเลี้ยงฉันได้ไหม? เขาสามารถช่วยฉันให้สนิทกับพระยะโฮวาได้ไหม? เมื่อฉันทุกข์ใจหรือกังวล เขาพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างฉันไหม?’ แน่นอนว่าถ้าคุณอยากได้สามีที่ดี คุณก็ต้องเป็นภรรยาที่ดีด้วย ภรรยาเป็น “ผู้ช่วย” ของสามีและ “เป็นคู่ที่เหมาะกับเขา มาเติมเต็มชีวิตให้เขา” (ปฐก. 2:18) และเพราะเธอรักพระยะโฮวา มันก็เลยทำให้สามีมีชื่อเสียงที่ดีด้วย (สภษ. 31:11, 12; 1 ทธ. 3:11) เพื่อจะเตรียมตัวสำหรับหน้าที่รับผิดชอบนี้ในอนาคต พี่น้องหญิงโสดจะเตรียมตัวได้โดยพัฒนาความรักที่มีต่อพระยะโฮวาให้มากขึ้น และเป็นผู้ช่วยที่ดีของครอบครัวและของประชาคมตั้งแต่ตอนนี้ ห23.12 น. 22-23 ว. 18-19
วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม
ถ้าใครในพวกคุณขาดสติปัญญา ให้เขาพยายามขอจากพระเจ้า—ยก. 1:5
พระยะโฮวาสัญญาว่าพระองค์จะให้เรามีสติปัญญาเพื่อจะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เราจำเป็นต้องมีสติปัญญาจากพระองค์โดยเฉพาะตอนที่ตัดสินใจเรื่องที่จะมีผลกับเราทั้งชีวิตพระยะโฮวาให้กำลังเพื่อจะอดทนได้ พระยะโฮวาเคยให้กำลังกับเปาโลมาแล้ว พระองค์ก็จะให้กำลังกับเราด้วยเพื่อจะอดทนกับความยากลำบากได้ (ฟป. 4:13) พระยะโฮวาใช้พี่น้องให้ช่วยเรา ในคืนสุดท้ายที่พระเยซูมีชีวิตอยู่ ท่านอธิษฐานอย่างหนัก ท่านขอพระยะโฮวาช่วยท่านไม่ให้ถูกตราหน้าว่าเป็นคนที่ดูหมิ่นพระเจ้า แต่แทนที่พระยะโฮวาจะทำตามที่พระเยซูขอ พระองค์กลับช่วยท่านโดยส่งทูตสวรรค์ซึ่งเป็นพี่น้องของท่านเพื่อให้กำลังใจท่าน (ลก. 22:42, 43) พระยะโฮวาก็อาจช่วยเราแบบนี้เหมือนกัน พระองค์อาจให้พี่น้องโทรมาให้กำลังใจหรือมาหาเราที่บ้าน ให้เราทุกคนมองหาโอกาสที่จะใช้ “คำพูดดี ๆ” เพื่อให้กำลังใจพี่น้องของเรา—สภษ. 12:25 ห23.05 น. 10-11 ว. 9-11
วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม
ขอให้พวกคุณคอยให้กำลังใจกันและเสริมสร้างกัน—1 ธส. 5:11
คนที่เลิกประกาศอาจรู้สึกไม่กล้าอยู่แล้วที่จะกลับมาประชุม ดังนั้น อย่าถามอะไรที่ทำให้เขารู้สึกอายหรือพูดอะไรที่ทำให้เขาเสียใจ พวกเขาเป็นพี่น้องของเราและเราดีใจที่จะได้นมัสการพระยะโฮวากับพวกเขาอีกครั้ง (สด. 119:176; กจ. 20:35) เรารู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่พระเยซูบอกให้เราจัดการประชุมอนุสรณ์ทุกปี เรารู้ว่านี่เป็นการประชุมที่สำคัญมากและเมื่อเราเข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์ เราเองก็จะได้ประโยชน์และช่วยคนอื่นให้ได้ประโยชน์ด้วย (อสย. 48:17, 18) เช่น เรารักพระยะโฮวาและพระเยซูมากขึ้น เราได้มีโอกาสแสดงว่าเราเห็นค่าสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทั้งสองทำเพื่อเรา เราสนิทกับพี่น้องของเรามากขึ้น และเราได้ช่วยคนอื่น ๆ ให้เรียนรู้ว่าพวกเขาจะได้ประโยชน์จากค่าไถ่เหมือนกันกับเราได้ยังไง ดังนั้น ขอให้พวกเราพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมอนุสรณ์ในปีนี้ ซึ่งเป็นวันที่สำคัญที่สุดในรอบปี ห24.01 น. 14 ว. 18-19
วันอังคารที่ 25 มีนาคม
เรายะโฮวา . . . นำทางเจ้า—อสย. 48:17
พระยะโฮวาชี้นำเรายังไง? วิธีหลักที่พระองค์ใช้ก็คือคัมภีร์ไบเบิล แต่นอกจากนั้น พระองค์ก็ยังใช้ตัวแทนที่เป็นมนุษย์เพื่อชี้นำเราด้วย ตัวอย่างเช่น พระองค์ใช้ “ทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม” เพื่อให้ความรู้ที่เสริมความเชื่อซึ่งช่วยเราให้ตัดสินใจได้อย่างฉลาด (มธ. 24:45) ไม่เพียงเท่านั้น พระยะโฮวายังใช้ผู้ชายที่มีความสามารถเพื่อชี้นำเราด้วย เช่น ผู้ดูแลหมวดและผู้ดูแลในประชาคม พวกเขาคอยให้กำลังใจและให้คำแนะนำที่ช่วยเราผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ เรารู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่มีคำแนะนำที่ไว้ใจได้ที่ช่วยให้เรารับมือกับปัญหาต่าง ๆ ในสมัยสุดท้าย ช่วยเราให้เป็นคนที่พระยะโฮวายอมรับ และช่วยเราให้อยู่บนเส้นทางที่นำไปสู่ชีวิตต่อ ๆ ไป แต่บางครั้งเราอาจรู้สึกว่ายากที่จะทำตามการชี้นำของพระยะโฮวาโดยเฉพาะถ้าเราได้รับคำแนะนำจากมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ ตอนที่เรารู้สึกแบบนั้น เรายิ่งต้องทำให้ตัวเองมั่นใจว่าพระยะโฮวากำลังชี้นำประชาชนของพระองค์ และการทำตามการชี้นำของพระองค์จะทำให้เราได้รับพรจริง ๆ ห24.02 น. 20 ว. 2-3
วันพุธที่ 26 มีนาคม
อย่าให้เรารักด้วยลมปากเท่านั้น แต่ให้รักด้วยการกระทำและด้วยความจริงใจ—1 ยน. 3:18
เราจะรักพระยะโฮวามากขึ้นได้โดยขยันอ่านและศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ทุกครั้งที่อ่านคัมภีร์ไบเบิลให้พยายามดูว่าเรื่องนั้นช่วยคุณยังไงให้รู้จักพระยะโฮวามากขึ้น และให้ถามตัวเองว่า “เรื่องที่ฉันอ่านทำให้ฉันเห็นยังไงว่าพระยะโฮวารักฉัน? และเรื่องนี้ช่วยฉันยังไงให้รักพระองค์?” อีกวิธีหนึ่งที่เราจะรักพระยะโฮวามากขึ้นได้ก็คือ การอธิษฐานถึงพระองค์เป็นประจำ บอกพระองค์ว่าเรารู้สึกยังไง (สด. 25:4, 5) และพระยะโฮวาจะตอบคำอธิษฐานของเราแน่นอน (1 ยน. 3:21, 22) เราต้องรักคนอื่นมากขึ้นด้วย หลายปีหลังจากที่เปาโลมาเป็นคริสเตียน เขาได้เจอกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อทิโมธี ทิโมธีรักพระยะโฮวาและรักคนอื่น เปาโลบอกกับพี่น้องในเมืองฟีลิปปีว่า “ตอนนี้ ผมไม่มีใครที่มีน้ำใจเหมือนเขาที่จะสนใจทุกข์สุขของพวกคุณจริง ๆ” (ฟป. 2:20) เปาโลไม่ได้ชมทิโมธีที่บริหารจัดการเก่งหรือสอนเก่ง แต่เปาโลประทับใจที่ทิโมธีรักพี่น้องมาก พี่น้องในประชาคมที่ทิโมธีจะไปเยี่ยมคงรอคอยที่จะได้เจอเขา—1 คร. 4:17 ห23.07 น. 9 ว. 7-10
วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม
เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้าเลย—ฮบ. 13:5
โมเสสตายก่อนที่ชาวอิสราเอลจะได้เข้าไปในแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญา แล้วประชาชนของพระเจ้าถูกทอดทิ้งไหม? ไม่ พระยะโฮวาดูแลพวกเขาเสมอตลอดเวลาที่พวกเขาซื่อสัตย์ต่อพระองค์ ก่อนที่โมเสสตาย พระยะโฮวาสั่งเขาให้มอบหน้าที่ผู้นำชาติอิสราเอลให้โยชูวา ซึ่งก่อนหน้านั้นโมเสสก็ได้ฝึกโยชูวามาแล้วหลายสิบปี (อพย. 33:11; ฉธบ. 34:9) นอกจากนั้น โมเสสยังเลือกผู้ชายที่มีความสามารถอีกหลายคนให้เป็นผู้นำด้วย เช่น บางคนเป็นหัวหน้าดูแลคนพันคน ร้อยคน ห้าสิบคน และสิบคน (ฉธบ. 1:15) คนของพระยะโฮวาได้รับการดูแลอย่างดีจริง ๆ เราได้เห็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่คล้ายกันนั่นคือเอลียาห์ เอลียาห์นำหน้าประชาชนในการนมัสการบริสุทธิ์มานานหลายสิบปี แต่พระยะโฮวาเปลี่ยนงานมอบหมายให้เขาไปรับใช้ที่ยูดาห์ (2 พก. 2:1; 2 พศ. 21:12) ตอนนั้นพวกผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวาที่อยู่ในอิสราเอล 10 ตระกูลทางเหนือถูกทอดทิ้งไหม? ไม่ เอลียาห์ได้ฝึกเอลีชาหลายปีมาแล้ว ไม่มีอะไรขัดขวางความประสงค์ของพระยะโฮวาได้ และพระองค์จะดูแลผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์อย่างแน่นอน ห24.02 น. 5 ว. 12
วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม
ขอให้ใช้ชีวิตแบบคนที่อยู่ในความสว่างต่อไป—อฟ. 5:8
คริสเตียนในเมืองเอเฟซัสเต็มใจตอบรับความจริงจากคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเป็นเหมือนความสว่าง (สด. 119:105) พวกเขาเลิกทำพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จทุกอย่างและเลิกทำผิดศีลธรรม พวกเขา “เลียนแบบพระเจ้า” และพยายามเต็มที่ที่จะนมัสการพระยะโฮวาและทำให้พระองค์พอใจ (อฟ. 5:1) พวกเราเองก็เหมือนกัน ก่อนจะเรียนคัมภีร์ไบเบิล เราอยู่ในความมืดทางด้านศาสนาและอยู่ในความมืดทางด้านศีลธรรม พวกเราบางคนเคยฉลองวันหยุดทางศาสนา ส่วนบางคนก็เคยใช้ชีวิตแบบผิดศีลธรรมด้วย แต่พอมีโอกาสได้รู้จักพระยะโฮวา เราก็เปลี่ยนแปลงตัวเองและเริ่มใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระองค์ ผลก็คือเราได้ประโยชน์หลายอย่างจริง ๆ (อสย. 48:17) แม้ตอนนี้เราอาจเจอปัญหาในชีวิต แต่เราต้องอยู่ให้ห่างจากทางของความมืดที่เราทิ้งไปแล้ว และ “ใช้ชีวิตแบบคนที่อยู่ในความสว่างต่อไป” ห24.03 น. 21-22 ว. 6-7
วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม
ไม่ว่าเราก้าวหน้าถึงขั้นไหนแล้ว ก็ให้เราก้าวหน้าแบบนั้นต่อไปเรื่อย ๆ เหมือนที่เคยทำมา—ฟป. 3:16
คุณอาจยังไม่พร้อมที่จะอุทิศตัวและรับบัพติศมา ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่าคุณต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองอีกเพื่อจะทำตามมาตรฐานของพระยะโฮวาได้ หรือคุณอาจต้องการเวลาอีกหน่อยเพื่อจะทำให้ความเชื่อของตัวเองเข้มแข็งขึ้น (คส. 2:6, 7) ไม่ใช่ว่านักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลทุกคนจะก้าวหน้าเร็วได้เท่ากัน และไม่ใช่ว่าเด็กพยานฯ ทุกคนจะพร้อมอุทิศตัวและรับบัพติศมาตอนอายุเท่ากัน ดังนั้น ให้สังเกตว่าตัวคุณเองก้าวหน้าถึงไหนแล้วและยังมีอะไรอีกต้องปรับปรุง และอย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น (กท. 6:4, 5) ถึงแม้คุณอาจเห็นแล้วว่าคุณยังไม่พร้อมจริง ๆ ที่จะอุทิศตัวให้กับพระยะโฮวา แต่ก็อย่าเพิ่งล้มเลิกความตั้งใจ ขอให้คุณตั้งเป้าหมายต่อ ๆ ไป ให้อธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยคุณแก้ไขในจุดที่คุณยังต้องปรับปรุง (ฟป. 2:13) คุณมั่นใจได้เลยว่าพระยะโฮวาจะฟังคำอธิษฐานของคุณและช่วยคุณจริง ๆ—1 ยน. 5:14 ห24.03 น. 5 ว. 9-10
วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม
สามีอยู่กินกับภรรยาต่อไปด้วยความเข้าใจ—1 ปต. 3:7
มีครั้งหนึ่งที่ซาราห์รู้สึกแย่มาก เธอพูดแบบใส่อารมณ์กับอับราฮัมว่าเธอรู้สึกยังไง และถึงกับโทษอับราฮัมด้วยว่าเป็นความผิดของเขา เขารู้ว่าจริง ๆ แล้วซาราห์เป็นภรรยาที่ยอมอยู่ใต้อำนาจและสนับสนุนสามีเสมอ อับราฮัมฟังและพยายามแก้ปัญหาให้กับซาราห์ (ปฐก. 16:5, 6) เราเรียนอะไรได้จากเรื่องนี้? พวกคุณที่เป็นสามี พระเจ้าให้อำนาจคุณที่จะตัดสินใจให้กับครอบครัว (1 คร. 11:3) แต่ถ้าคุณรักภรรยา คุณจะฟังความคิดเห็นของเธอก่อนจะตัดสินใจ โดยเฉพาะถ้าเรื่องนั้นมีผลกับเธอ (1 คร. 13:4, 5) มีครั้งหนึ่งที่อับราฮัมอยากต้อนรับแขกที่เขาไม่ได้คิดว่าจะได้ต้อนรับ เขารีบไปบอกซาราห์ให้ทำขนมปังเยอะมากให้กับแขก (ปฐก. 18:6) ซาราห์สนับสนุนการตัดสินใจของสามีและทำตามที่เขาบอกทันที พวกคุณที่เป็นภรรยา คุณจะเลียนแบบซาราห์ได้โดยสนับสนุนการตัดสินใจของสามี ถ้าคุณทำอย่างนั้น คุณก็กำลังทำให้ชีวิตคู่ของคุณมั่นคง—1 ปต. 3:5, 6 ห23.05 น. 24-25 ว. 16-17
วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม
สติปัญญาจากเบื้องบนนั้น . . . พร้อมจะเชื่อฟัง—ยก. 3:17
หลังจากที่กิเดโอนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้วินิจฉัยนำหน้าชาวอิสราเอล เขาต้องเชื่อฟังและกล้าหาญ กิเดโอนได้รับงานมอบหมายที่อันตรายมาก นั่นคือให้ทำลายแท่นบูชาพระบาอัลซึ่งเป็นของพ่อเขา (วนฉ. 6:25, 26) นอกจากนั้น หลังจากกิเดโอนรวบรวมทหารได้ พระยะโฮวาก็สั่งให้เขาลดจำนวนทหารลงถึง 2 รอบ (วนฉ. 7:2-7) ในที่สุดพระองค์ก็สั่งให้เขาโจมตีศัตรูตอนกลางดึก (วนฉ. 7:9-11) ผู้ดูแลควร “พร้อมจะเชื่อฟัง” ผู้ดูแลที่เชื่อฟังจะพร้อมเสมอที่จะทำตามคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลและองค์การของพระยะโฮวา เขาเลยเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับพี่น้องคนอื่น แต่บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำอย่างนั้น เช่น องค์การอาจมีคำแนะนำหลายอย่างและมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เขาเลยอาจรู้สึกว่ายากที่จะตามให้ทัน นอกจากนั้น เขาอาจสงสัยว่าคำแนะนำบางอย่างมันใช้ได้จริงไหมหรือเป็นคำแนะนำที่ฉลาดจริง ๆ ไหม หรือเขาอาจได้รับมอบหมายให้ทำงานที่อาจทำให้เขาต้องถูกจับ แล้วผู้ดูแลจะเลียนแบบการเชื่อฟังของกิเดโอนได้ยังไงเมื่อเจอสถานการณ์เหล่านี้? ตั้งใจฟังการชี้นำและทำตาม ห23.06 น. 4-5 ว. 9-11