มิถุนายน
วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน
พระยะโฮวา พระองค์ดีจริง ๆ และพร้อมจะให้อภัย—สด. 86:5
ตอนนี้เราได้ประโยชน์จากค่าไถ่ของพระเยซูอยู่แล้ว เช่น พระยะโฮวาให้อภัยเราได้โดยอาศัยค่าไถ่ ที่จริงพระยะโฮวาไม่จำเป็นต้องให้อภัยเราก็ได้ แต่พระองค์อยากทำอย่างนั้น (สด. 103:3, 10-13) บางคนอาจรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรที่จะได้รับการอภัยจากพระยะโฮวา ที่จริงไม่มีใครในพวกเราที่คู่ควรจะได้รับการอภัยจากพระองค์ อัครสาวกเปาโลเข้าใจเรื่องนี้ดีเพราะเขาบอกว่า เขา “ไม่เหมาะที่จะถูกเรียกว่าอัครสาวกด้วยซ้ำ” แต่ถึงอย่างนั้นเปาโลก็ยังบอกว่า “ผมได้ทำหน้าที่นี้ก็เพราะความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” (1 คร. 15:9, 10) เมื่อเรากลับใจจากบาป พระยะโฮวาก็เต็มใจที่จะให้อภัยเรา เพราะอะไร? ไม่ใช่เพราะเราคู่ควรที่จะได้รับการอภัยบาป แต่เพราะพระยะโฮวารักเรา ดังนั้น ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรที่จะได้รับการอภัยจากพระยะโฮวา ขอให้จำไว้ว่าพระองค์จัดเตรียมค่าไถ่ ไม่ใช่สำหรับคนที่ไม่เคยทำบาปเลย แต่สำหรับคนบาปที่กลับใจ—ลก. 5:32; 1 ทธ. 1:15 ห25.01 น. 26-27 ว. 3-4
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน
คนมีเมตตาจะได้สิ่งดีกลับมา แต่คนโหดร้ายทำให้ตัวเองเดือดร้อน—สภษ. 11:17
เราควบคุมสิ่งที่คนอื่นพูดหรือทำไม่ได้ แต่เราควบคุมตัวเราเองได้ และวิธีที่ดีที่สุดที่เราควรทำก็คือให้อภัย เพราะอะไร? เพราะเรารักพระยะโฮวาและพระองค์อยากให้เราให้อภัยคนอื่น ถ้าเรามัวแต่โกรธไม่หายแล้วไม่ยอมให้อภัย เราก็มักจะทำอะไรที่ไม่ฉลาดและนี่อาจจะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของเราด้วย (สภษ. 14:17, 29, 30) เมื่อเราไม่เก็บความโกรธไว้ในใจ เราก็จะไม่กลายเป็นคนที่มีแต่ความขมขื่นหรือเจ้าคิดเจ้าแค้น นอกจากนั้น เรากำลังให้ของขวัญกับตัวเองด้วย นั่นก็คือการใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง คุณจะหายโกรธแล้วกลับมามีความสุขอีกครั้งได้ยังไง? วิธีหนึ่งที่ทำได้ก็คือ ให้เวลาตัวเองเพื่อจะฟื้นฟูสภาพจิตใจ เหมือนกับคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องใช้เวลาฟื้นฟูร่างกาย เราก็ต้องใช้เวลาเยียวยาจิตใจก่อนจะให้อภัยคนอื่นจากใจได้จริง ๆ (ปญจ. 3:3; 1 ปต. 1:22) ให้คุณอธิษฐานถึงพระยะโฮวา ขอพระองค์ช่วยคุณให้อภัยคนอื่น ห25.02 น. 16-17 ว. 8-11
วันพุธที่ 3 มิถุนายน
อาหารแข็งเป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่—ฮบ. 5:14
ตัวอย่างคำสอนพื้นฐานของคริสเตียนก็อย่างเช่น การกลับใจ ความเชื่อ การรับบัพติศมา และการฟื้นขึ้นจากตาย (ฮบ. 6:1, 2) คำสอนเหล่านี้เป็นคำสอนพื้นฐานที่คริสเตียนทุกคนต้องเชื่อ นี่เลยเป็นเหตุผลที่อัครสาวกเปโตรพูดถึงคำสอนเหล่านี้ตอนที่เขาประกาศกับผู้คนในวันเพ็นเทคอสต์ (กจ. 2:32-35, 38) เราต้องยอมรับคำสอนพื้นฐานเพื่อจะเป็นสาวกของพระเยซูได้ เปาโลก็เน้นเรื่องนี้ เช่น เปาโลเตือนว่าถ้าใครไม่เชื่อคำสอนเรื่องการฟื้นขึ้นจากตาย เขาก็ไม่ใช่คริสเตียนแท้ (1 คร. 15:12-14) แต่เราต้องไม่พอใจแค่รู้คำสอนพื้นฐานเท่านั้น ความรู้ที่ลึกซึ้งในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเป็นเหมือนอาหารแข็งต่างกันกับคำสอนพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิล อาหารแข็งไม่ได้มีแค่กฎหมายของพระยะโฮวาเท่านั้นแต่รวมถึงหลักการของพระองค์ด้วยซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจความคิดของพระยะโฮวา เพื่อที่เราจะได้ประโยชน์จากความรู้ที่ลึกซึ้งเหล่านี้ เราต้องอ่าน ค้นคว้า คิดใคร่ครวญ และเอาคำแนะนำต่าง ๆ จากคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ในชีวิต ถ้าเราทำแบบนี้เราก็กำลังฝึกตัวเองให้ตัดสินใจในแบบที่ทำให้พระยะโฮวาพอใจ ห24.04 น. 5 ว. 12-13
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน
เมื่อพระเจ้ามาพิพากษา ชาวเมืองนีนะเวห์จะฟื้นขึ้นจากตาย—มธ. 12:41
พระยะโฮวาเตือนโยนาห์ว่าชาวนีนะเวห์ “ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด” (ยนา. 1:1, 2; 3:10; 4:9-11) ในเวลาต่อมา พระเยซูใช้ตัวอย่างนี้เพื่อสอนผู้คนเกี่ยวกับความยุติธรรมและความเมตตาของพระยะโฮวา พระเยซูหมายความว่ายังไงที่บอกว่า “เมื่อพระเจ้ามาพิพากษา ชาวเมืองนีนะเวห์จะฟื้นขึ้นจากตาย”? ท่านพูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งตอนนั้นจะมีคนที่ “ฟื้นขึ้นมาแล้วถูกพิพากษา” (ยน. 5:29) พระเยซูกำลังพูดถึงช่วงสมัย 1,000 ปีที่ท่านปกครอง ซึ่งในตอนนั้น “ทั้งคนดีและคนชั่ว” จะฟื้นขึ้นจากตาย (กจ. 24:15) สำหรับคนชั่ว พวกเขา “จะฟื้นขึ้นมาแล้วถูกพิพากษา” นี่หมายความว่าทั้งพระยะโฮวาและพระเยซูจะคอยสังเกตความประพฤติของพวกเขาและดูว่าพวกเขาจะตอบรับความจริงไหม ถ้าชาวนีนะเวห์ที่ฟื้นขึ้นจากตายเลือกที่จะไม่นมัสการพระยะโฮวา พวกเขาก็จะถูกพิพากษาลงโทษ (อสย. 65:20) แต่สำหรับคนที่เลือกที่จะนมัสการพระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์ พวกเขาจะมีโอกาสได้ชีวิตตลอดไป—ดนล. 12:2 ห24.05 น. 5 ว. 13-14
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน
ลูกมนุษย์มาตามหาและช่วยคนที่หลงหายแบบนี้ให้รอด—ลก. 19:10
พระเยซูทำให้ผู้คนนึกภาพออกเลยว่าพระยะโฮวาพ่อของท่านเป็นพระเจ้าที่เมตตามากขนาดไหน (ยน. 14:9) พระเยซูแสดงออกทั้งคำพูดและการกระทำว่าพระยะโฮวารักผู้คนมากและอยากช่วยพวกเขาให้ต่อสู้และเอาชนะบาปได้ พระเยซูทำให้คนบาปอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตและเข้ามาเป็นผู้ติดตามท่าน (ลก. 5:27, 28) พระเยซูรู้ดีว่าอีกไม่นานท่านจะต้องเจออะไร ท่านบอกสาวกหลายครั้งว่าท่านจะถูกทรยศและถูกประหารชีวิตบนเสาทรมาน (มธ. 17:22; 20:18, 19) พระเยซูรู้ว่าการตายของท่านจะช่วยรับบาปของโลกไป ท่านยังสอนด้วยว่าหลังจากที่ได้สละชีวิตแล้ว ท่านจะ “ชักนำคนทุกชนิดมาหา” ท่าน (ยน. 12:32) คนบาปสามารถทำให้พระยะโฮวาพอใจได้ถ้าแสดงความเชื่อในพระเยซูและเชื่อฟังคำสั่งของท่าน ถ้าทำแบบนั้น ในที่สุดพวกเขาก็จะ “ได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสของบาป” (รม. 6:14, 18, 22; ยน. 8:32) ดังนั้น พระเยซูจึงเต็มใจสละชีวิตอย่างกล้าหาญเพื่อช่วยเราทุกคน—ยน. 10:17, 18 ห24.08 น. 5 ว. 11-12
วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน
จะต้องมีการประกาศข่าวดีกับคนทุกชาติก่อน—มก. 13:10
ลองนึกถึงตอนที่คุณได้เรียนความจริงในคัมภีร์ไบเบิลครั้งแรก คุณรู้สึกยังไง? คุณได้รู้ว่าพระยะโฮวาพ่อในสวรรค์รักคุณมาก พระองค์อยากให้คุณเข้ามาเป็นคนในครอบครัวของพระองค์ พระองค์สัญญาว่าความเจ็บปวดและความทุกข์จะหมดไป คุณมีความหวังที่จะได้เจอกับคนที่คุณรักกลับมามีชีวิตอีกครั้งในโลกใหม่ และยังมีอีกหลายเรื่องที่คุณได้เรียน (มก. 10:29, 30; ยน. 5:28, 29; รม. 8:38, 39; วว. 21:3, 4) ความจริงเหล่านี้ให้กำลังใจคุณมาก ๆ (ลก. 24:32) คุณรักสิ่งที่ได้เรียนและอยากจะบอกให้คนอื่นได้รู้ด้วย (เทียบกับเยเรมีย์ 20:9) เมื่อเรารักความจริงในคัมภีร์ไบเบิลแล้ว เราก็อดไม่ได้ที่จะบอกให้คนอื่นรู้ด้วย (ลก. 6:45) เรารู้สึกเหมือนกับสาวกของพระเยซูในศตวรรษแรกที่บอกว่า “พวกเราจะหยุดพูดเรื่องที่ได้เห็นและได้ยินนั้นไม่ได้” (กจ. 4:20) เรารักความจริงในคัมภีร์ไบเบิลมากจนอยากจะบอกให้คนอื่นรู้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ห24.05 น. 15 ว. 5; น. 16 ว. 7
วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน
ขอให้มานมัสการพระยะโฮวาอย่างมีความสุข—สด. 100:2
เราเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวา เราไปประกาศเพราะเรารักพระองค์และอยากให้คนอื่นรู้จักพระองค์ แต่พี่น้องบางคนก็รู้สึกว่างานประกาศยากเหลือเกิน เพราะอะไร? เพราะบางคนอาจขี้อายและรู้สึกไม่มั่นใจ บางคนอาจรู้สึกไม่ค่อยดีที่จะต้องไปบ้านคนอื่นทั้ง ๆ ที่เจ้าของบ้านไม่ได้เชิญ ส่วนบางคนก็กลัวว่าจะโดนปฏิเสธ และบางคนอาจถูกสอนว่าอย่าทำให้คนอื่นหงุดหงิด และพี่น้องก็อาจรู้สึกว่าการคุยกับคนแปลกหน้าเรื่องข่าวดีเป็นเรื่องที่ยากจริง ๆ คุณมีความรู้สึกเหมือนกับในข้อก่อนหน้านี้จนไม่ค่อยมีความสุขในงานรับใช้ไหม? ถ้าใช่ ก็อย่าเพิ่งท้อ การที่คุณไม่มั่นใจอาจเป็นเพราะคุณถ่อมและไม่อยากให้คนอื่นสนใจที่ตัวคุณมากเกินไป และคุณไม่อยากเป็นต้นเหตุทำให้เกิดการโต้เถียง ที่จริง พวกเราเองก็ไม่มีใครอยากถูกปฏิเสธโดยเฉพาะตอนที่เราพยายามทำดีกับคนอื่น พระยะโฮวาพ่อในสวรรค์รู้ดีว่าคุณกำลังเจอปัญหาอะไรและพระองค์อยากช่วยคุณจริง ๆ—อสย. 41:13 ห24.04 น. 14 ว. 1-2
วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน
คนเจียมตัวจะมีสติปัญญา—สภษ. 11:2
เมื่อคุณอ่านคัมภีร์ไบเบิล แทนที่คุณจะทำตามคำแนะนำทั้งหมดในคราวเดียว คุณสามารถเลือกที่จะทำตามเป้าหมายสัก 1 หรือ 2 อย่างก่อน คุณอาจจะลองทำแบบนี้ ให้เขียนออกมาว่ามีอะไรบ้างที่คุณอยากปรับปรุง จากนั้นเลือก 1 หรือ 2 จุดที่คุณอยากจะทำก่อน ส่วนที่เหลือก็เอาไว้ทำทีหลัง แล้วคุณควรเริ่มต้นยังไง? คุณอาจจะเริ่มจากสิ่งที่คุณทำได้ง่ายหรือเริ่มจากสิ่งที่คุณคิดว่าต้องปรับปรุงมากที่สุดก่อน เมื่อมีเป้าหมายแล้วก็ให้ค้นดูในหนังสือขององค์การ ให้อธิษฐานเกี่ยวกับเป้าหมายของคุณ ขอพระยะโฮวาช่วยคุณให้มี “ทั้งความต้องการและกำลัง” (ฟป. 2:13) จากนั้นให้นำสิ่งที่เรียนไปใช้ พอคุณทำตามเป้าหมายแรกได้แล้ว คุณก็จะมีแรงกระตุ้นที่จะทำเป้าหมายอื่น ๆ ต่อไป เมื่อคุณเห็นว่าคุณเปลี่ยนแปลงตัวเองและมีคุณลักษณะแบบคริสเตียนได้ คุณก็จะรู้สึกง่ายขึ้นที่จะปรับปรุงในเรื่องอื่น ๆ ด้วย ห24.09 น. 6 ว. 13-14
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน
พวกคุณพิสูจน์ตัวในทุกด้านแล้วว่าตัวเองบริสุทธิ์ในเรื่องนี้—2 คร. 7:11
คุณอาจรู้สึกทุกข์ใจเพราะสิ่งที่คุณเคยทำในอดีตทำให้คนอื่นเจ็บปวด แล้วอะไรจะช่วยคุณได้? ให้พยายามทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อเยียวยาความสัมพันธ์ ซึ่งรวมถึงการขอโทษคนนั้นจากใจจริง ให้คุณอธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยคนที่เสียใจเพราะสิ่งที่คุณทำ พระองค์จะช่วยทั้งตัวคุณและเขาให้กลับมามีสันติสุขอีกครั้งและรับใช้พระองค์ต่อ ๆ ไปได้ ขอให้คุณเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองและเต็มใจให้พระยะโฮวาใช้คุณไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้เรามาดูตัวอย่างของผู้พยากรณ์โยนาห์ด้วยกัน พระยะโฮวามอบหมายให้โยนาห์ไปประกาศที่เมืองนีนะเวห์ แต่เขากลับหนีไปในทิศทางตรงกันข้าม พระองค์ก็เลยสั่งสอนโยนาห์และเขาก็ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง (ยนา. 1:1-4, 15-17; 2:7-10) พระยะโฮวาไม่ได้หมดหวังในตัวโยนาห์ พระองค์ให้โอกาสเขาอีกครั้งที่จะกลับไปที่เมืองนีนะเวห์ และคราวนี้โยนาห์ก็เชื่อฟังพระยะโฮวาทันที โยนาห์ไม่ได้เอาแต่เสียใจกับความผิดพลาดของตัวเองจนไม่ยอมรับงานมอบหมายจากพระยะโฮวา—ยนา. 3:1-3 ห24.10 น. 8-9 ว. 10-11
วันพุธที่ 10 มิถุนายน
ดังนั้น ให้กลับใจและเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ เพื่อบาปของพวกคุณจะถูกลบล้าง แล้วจากนี้ไปพวกคุณจะได้รับความสดชื่นจากพระยะโฮวา—กจ. 3:19
พระยะโฮวาไม่ได้แค่ยกหนี้บาปของเราเท่านั้น แต่ลบล้างมันออกไปด้วย เมื่อพูดถึงการยกหนี้ เราอาจจะนึกภาพจำนวนเงินที่มีเครื่องหมายกากบาทขีดทับไว้ ถึงจะมีกากบาทแต่ก็ยังเห็นจำนวนเงินอยู่ดี แต่การลบล้างหนี้ไม่เหมือนกับการยกหนี้ เพื่อจะเข้าใจภาพเปรียบเทียบนี้ จำไว้ว่าในสมัยโบราณ หมึกทำมาจากถ่านผสมกับยางไม้และน้ำ ถ้าอยากจะลบสิ่งที่เขียนไว้ ก็แค่ใช้ฟองน้ำเปียกเช็ดออกไป ดังนั้น เมื่อหนี้ถูก “ลบล้าง” จำนวนเงินที่เขียนไว้ก็ถูกลบหายไปจนเหมือนกับมันไม่เคยถูกเขียนอยู่ก่อนเลย เรารู้สึกดีใจมากที่รู้ว่าพระยะโฮวาไม่ใช่แค่ยกหนี้บาปให้กับเรา แต่พระองค์ยังลบล้างมันออกไปจนหมดด้วย—สด. 51:9 ห25.02 น. 10 ว. 11
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน
อย่าโกรธและอย่าโมโห อย่าหงุดหงิดแล้วไปทำชั่ว—สด. 37:8
เมื่อมีคนเข้าใจเราผิดหรือทำไม่ดีกับเรา เราต้องไว้วางใจว่าพระยะโฮวารู้ว่าความจริงคืออะไร นี่จะช่วยให้เราอดทนได้ตอนที่เจอความไม่ยุติธรรมเพราะเรารู้ว่าในที่สุดพระยะโฮวาจะจัดการเรื่องนั้นอย่างถูกต้อง และเมื่อเราฝากไว้กับพระยะโฮวา มันจะทำให้เราไม่โกรธหรือเก็บความอาฆาตแค้นไว้ในใจ เพราะความรู้สึกไม่ดีเหล่านั้นอาจทำให้เราทำอะไรวู่วาม ไม่มีความสุข และทำลายสายสัมพันธ์ที่เรามีกับพระยะโฮวา แน่นอนว่าเราไม่สามารถเลียนแบบพระเยซูได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ บางครั้งเราอาจพูดหรือทำอะไรที่ทำให้เราเสียใจทีหลัง (ยก. 3:2) และความไม่ยุติธรรมที่เราเจออาจทำให้เรามีบาดแผลทางจิตใจและร่างกายที่ยากจะรับมือได้ ถ้าคุณเจอแบบนั้นขอให้มั่นใจว่าพระยะโฮวารู้ว่าคุณกำลังเจออะไร และพระเยซูที่เคยเจอความไม่ยุติธรรมเหมือนกันเข้าใจดีว่าคุณรู้สึกยังไง (ฮบ. 4:15, 16) เรามีความสุขจริง ๆ ที่พระยะโฮวาให้คำแนะนำที่ใช้ได้จริงที่ช่วยให้เรารับมือกับความไม่ยุติธรรมได้ ห24.11 น. 6 ว. 12-13
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน
ถ้าคุณอยากให้พระเจ้าพอใจ ให้พวกคุณทำสิ่งที่แสดงว่าพวกคุณมีความเชื่อในผู้ที่พระองค์ใช้มา—ยน. 6:29
การแสดงความเชื่อในพระเยซูเป็นสิ่งสำคัญเพื่อจะ “มีชีวิตตลอดไป” (ยน. 3:16-18, 36) ชาวยิวหลายคนไม่สนใจคำสอนของพระเยซูที่ให้ทำสิ่งที่แสดงว่ามีความเชื่อเพื่อจะมีชีวิตตลอดไป พวกเขาถามท่านว่า “แล้วท่านจะทำการอัศจรรย์อะไรให้พวกเราเห็นล่ะ พวกเราจะได้เชื่อท่าน?” (ยน. 6:30) แล้วพวกเขาก็บอกว่าในสมัยโมเสส บรรพบุรุษของพวกเขาก็ได้กินมานาซึ่งอาจเทียบได้กับขนมปัง (นหม. 9:15; สด. 78:24, 25) เห็นได้ชัดเลยว่าในหัวของพวกเขาคิดถึงแต่การได้กินขนมปังจริง ๆ นอกจากนั้น ตอนที่พระเยซูพูดถึง “อาหารแท้จากสวรรค์” ซึ่งดีกว่ามานา พวกเขาก็ไม่ได้ถามท่านว่ามันหมายถึงอะไร (ยน. 6:32) พวกเขาเอาแต่คิดถึงการสนองความต้องการของร่างกายจนไม่สนใจความจริงที่พระเยซูพยายามสอนกับพวกเขา ห24.12 น. 5-6 ว. 10-11
วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน
ผู้ที่สร้างทุกสิ่งก็คือพระเจ้า—ฮบ. 3:4
ตอนลูกเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เขาอาจได้เรียนเกี่ยวกับอีกรูปแบบหนึ่งที่เห็นได้ในธรรมชาติ เช่น เกล็ดหิมะแต่ละเกล็ดจะมีลักษณะพิเศษที่แตกเป็นแขนงย่อยเล็กลงเรื่อย ๆ คุณลักษณะแบบนี้ถูกเรียกว่าสาทิสรูป ซึ่งเป็นคำที่ใช้เพื่อบอกรูปทรงที่เป็นแบบเดิมเสมอ เป็นรูปแบบที่ซ้ำ ๆ กันหลายขนาดเรียงซ้อนกัน เราเห็นรูปแบบนี้ในธรรมชาติอื่น ๆ อีกมากมายด้วย แต่ใครล่ะที่เป็นผู้สร้างและออกแบบรูปแบบที่สวยงามเหล่านี้? ยิ่งลูกของคุณคิดถึงคำถามแบบนี้ เขาก็จะยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่ามีพระเจ้าผู้สร้างทุกสิ่ง และพอมีโอกาสคุณก็อาจจะถามลูกได้ว่า “ถ้าพระเจ้าสร้างตัวเรา พระองค์ก็ต้องมีคำแนะนำดี ๆ ให้เราใช่ไหมว่าเราต้องทำยังไงถึงจะมีความสุขในชีวิต?” แล้วคุณก็บอกลูกว่าพระองค์ให้คำแนะนำดี ๆ เหล่านั้นในคัมภีร์ไบเบิล ห24.12 น. 16 ว. 8
วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน
ผมได้รับรายงานว่ามีการทำผิดศีลธรรมทางเพศในหมู่พวกคุณ ซึ่งความผิดแบบนี้แม้แต่คนที่ไม่นับถือพระเจ้าก็ยังไม่ทำกัน คือมีคนหนึ่งอยู่กินกับภรรยาของพ่อตัวเอง—1 คร. 5:1
อัครสาวกเปาโลได้รับการดลใจให้เขียนจดหมายเพื่ออธิบายว่าคนทำผิดที่ไม่กลับใจต้องถูกตัดออกจากประชาคม (1 คร. 5:13) แล้วพี่น้องในประชาคมควรปฏิบัติกับคนนั้นยังไง? เปาโลบอกว่า พี่น้องต้อง “เลิกคบ” กับคนนั้น นี่หมายความว่ายังไง? เปาโลอธิบายว่า “แม้แต่จะกินอะไรกับคนแบบนั้นก็อย่าเลย” (1 คร. 5:11) ปกติแล้วเวลาเรากินข้าวกับใครสักคน เราก็มักจะใช้เวลาพูดคุยกับเขา และนั่นอาจทำให้เราเริ่มสนิทกับคนนั้น ดังนั้น เราเข้าใจคำแนะนำของเปาโลชัดเจนเลยว่าพี่น้องในประชาคมไม่ควรไปคบหากับผู้ชายคนนี้ การทำแบบนี้จะช่วยปกป้องประชาคมไม่ให้ได้รับอิทธิพลที่ไม่ดี (1 คร. 5:5-7) และนอกจากนั้น การที่พี่น้องในประชาคมเลิกคบกับผู้ชายคนนี้อาจทำให้เขาเริ่มสำนึกตัวได้ว่าเขาทำผิดต่อพระยะโฮวามากแค่ไหน และนี่อาจทำให้เขาเริ่มรู้สึกอายและกระตุ้นเขาให้กลับใจ ห24.08 น. 15 ว. 4-5
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน
พระเจ้ารักโลกมาก จนถึงกับยอมสละลูกคนเดียวของพระองค์—ยน. 3:16
พระยะโฮวาให้พวกเขามีวันไถ่โทษที่ต้องจัดขึ้นทุกปี ในวันนั้นมหาปุโรหิตจะถวายสัตว์เป็นเครื่องบูชาเพื่อประชาชน ก็จริงที่เครื่องบูชาที่เป็นสัตว์ไม่สามารถไถ่โทษมนุษย์คนไหนให้พ้นจากบาปได้เพราะชีวิตสัตว์มีค่าไม่เท่ากับชีวิตมนุษย์ แต่ตราบใดที่ชาวอิสราเอลที่กลับใจถวายเครื่องบูชาที่พระยะโฮวายอมรับ พระองค์ก็เต็มใจให้อภัยบาปพวกเขา (ฮบ. 10:1-4) การจัดเตรียมนี้ช่วยให้ชาวอิสราเอลคิดเสมอว่าพวกเขายังเป็นคนบาป แล้วพระยะโฮวาให้มีการจัดเตรียมอะไรเพื่อจะให้อภัยบาปมนุษย์ได้อย่างถาวร? พระองค์ให้ลูกชายที่รักของพระองค์ “ถูกถวายครั้งเดียวเพื่อรับบาปของคนมากมาย” (ฮบ. 9:28) พระเยซู “สละชีวิตเป็นค่าไถ่ให้คนมากมาย”—มธ. 20:28 ห25.02 น. 4 ว. 9-10
วันอังคารที่ 16 มิถุนายน
คุณต้องเฝ้าระวังอยู่เสมอและอธิษฐานอยู่เรื่อย ๆ เพื่อจะไม่พลาดเมื่อถูกทดสอบ—มธ. 26:41
“ใจสู้ก็จริง แต่ร่างกายยังอ่อนแอ” (มธ. 26:41ข) จากคำพูดนี้ พระเยซูเข้าใจดีว่าเราทุกคนไม่สมบูรณ์แบบและทำผิดพลาดได้ และคำพูดของท่านก็เตือนเราด้วยว่าอย่ามั่นใจในตัวเองมากเกินไป ในคืนที่พระเยซูจะเสียชีวิต พวกสาวกของท่านพูดด้วยความมั่นใจว่ายังไง ๆ พวกเขาก็ไม่ทิ้งท่านแน่ ๆ (มธ. 26:35) พวกสาวกมีความตั้งใจที่ดี แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าในสถานการณ์ที่ต้องเจอกับความกดดัน พวกเขาอาจยอมแพ้ต่อการล่อใจได้ง่าย ๆ นี่เลยเป็นเหตุผลที่พระเยซูเตือนพวกเขาอย่างที่บอกไว้ในข้อคัมภีร์ประจำวันนี้ แต่น่าเศร้าที่พวกสาวกไม่ได้ระวังอยู่เสมออย่างที่พระเยซูสั่งไว้ ตอนที่ท่านถูกจับพวกเขาอยู่กับท่านไหมหรือพวกเขากลัวแล้วก็หนีไป? พวกเขาทิ้งพระเยซูไปเพราะพวกเขาไม่ได้ระวังอยู่เสมอ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกเขาบอกว่าจะไม่มีวันทิ้งท่าน—มธ. 26:56 ห24.07 น. 14 ว. 1-2
วันพุธที่ 17 มิถุนายน
การตายของลูกพระองค์ยังทำให้เราคืนดีกับพระองค์ได้—รม. 5:10
นอกจากอาดัมกับเอวาสูญเสียโอกาสที่จะมีชีวิตตลอดไปแล้ว พวกเขายังสูญเสียสายสัมพันธ์ที่มีค่ากับพระยะโฮวาด้วย ก่อนที่อาดัมกับเอวาทำบาป พวกเขาอยู่ในครอบครัวของพระยะโฮวา (ลก. 3:38) แต่พอพวกเขาไม่เชื่อฟัง พวกเขาก็เลยถูกขับไล่ออกจากครอบครัวของพระองค์ก่อนที่จะมีลูก (ปฐก. 3:23, 24; 4:1) ดังนั้น พวกเราซึ่งเป็นลูกหลานของพวกเขาจึงยังไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า และจำเป็นต้องคืนดีกับพระองค์ (รม. 5:10, 11) หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเราจำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ แหล่งอ้างอิงหนึ่งบอกว่า คำกรีกที่แปลว่า “คืนดี” อาจแปลได้ด้วยว่า “เปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นเพื่อน” เราประทับใจจริง ๆ ที่พระยะโฮวาเป็นฝ่ายริเริ่มที่จะทำให้เรื่องนี้เป็นไปได้ แล้วพระองค์ทำยังไง? โดยการจัดเตรียมเรื่องการไถ่บาป พระยะโฮวาได้ช่วยให้มนุษย์ที่ผิดบาปกลับมามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ พระองค์เอาสิ่งที่อาดัมทำให้สูญเสียไปกลับคืนมาโดยใช้สิ่งที่มีค่าเท่าเทียมกันมาแลก ห25.02 น. 3-4 ว. 7-8
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน
ความเสียใจแบบที่พระเจ้าพอใจนั้นกระตุ้นให้เกิดการกลับใจ ซึ่งนำไปถึงความรอด—2 คร. 7:10
อัครสาวกเปาโลบอกว่าพี่น้องชายที่ก่อนหน้านี้ได้ทำผิดโดยไปมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาของพ่อตัวเอง ได้ “ถูกพี่น้องส่วนใหญ่ตำหนิมามากพอแล้ว” (2 คร. 2:5-8) นี่หมายความว่าการสั่งสอนพี่น้องชายคนนี้โดยตัดเขาออกจากประชาคมได้บรรลุเป้าหมายแล้ว (1 คร. 5:1) เป้าหมายที่ว่าคืออะไร? ก็คือเพื่อทำให้เขาสำนึกตัวว่าต้องกลับใจ (ฮบ. 12:11) ดังนั้น เปาโลเลยแนะนำให้พี่น้องในประชาคมโครินธ์ “ยอมให้อภัยและปลอบใจ” เขา และยังแนะนำด้วยว่า “ทำให้เขามั่นใจว่าพวกคุณรักเขาจริง ๆ” ขอสังเกตว่าเปาโลไม่ได้แค่ต้องการให้พี่น้องในประชาคมรับคนที่ทำผิดกลับคืนมาเท่านั้น แต่ต้องการให้พวกเขาแสดงออกทั้งคำพูดและการกระทำว่าได้ให้อภัยพี่น้องคนนั้นจริง ๆ และแสดงความรักต่อเขาด้วย เมื่อพวกเขาทำแบบนี้จึงเป็นการแสดงอย่างชัดเจนว่าพวกเขายินดีต้อนรับพี่น้องคนนั้นให้กลับมาในประชาคม ห24.08 น. 15 ว. 4; น. 16-17 ว. 6-8
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน
พวกคุณถูกประจานให้ขายหน้าและถูกเคี่ยวเข็ญ—ฮบ. 10:33
อัครสาวกเปาโลรู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะอดทนได้ เขาบอกคริสเตียนชาวฮีบรูว่า เมื่อต้องอดทนกับความลำบาก พวกเขาต้องไม่พึ่งตัวเองแต่ต้องพึ่งพระยะโฮวา เปาโลเองก็ทำแบบนี้ เขาเลยสามารถพูดด้วยความกล้าหาญว่า “พระยะโฮวาเป็นผู้ช่วยเหลือผม ผมจะไม่กลัวอะไร” (ฮบ. 13:6) พี่น้องของเราบางคนกำลังอดทนกับการข่มเหงอยู่ในตอนนี้ วิธีหนึ่งที่เราแสดงว่าเรารักพวกเขาก็คือโดยการอธิษฐานเพื่อพวกเขาและบางครั้งเราอาจให้สิ่งจำเป็นกับพวกเขาได้ด้วย อย่างไรก็ตามคัมภีร์ไบเบิลก็บอกอย่างชัดเจนด้วยว่า “ทุกคนที่ตั้งใจใช้ชีวิตด้วยความเลื่อมใสพระเจ้าและเป็นสาวกพระคริสต์เยซูต้องถูกข่มเหงกันทั้งนั้น” (2 ทธ. 3:12) เพราะอย่างนี้เราทุกคนเลยต้องเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ให้เราไว้ใจพระยะโฮวาต่อ ๆ ไปและมั่นใจว่าพระองค์จะช่วยเราให้อดทนกับปัญหาอะไรก็ตามที่เราอาจเจอ และเมื่อถึงเวลาพระองค์จะช่วยผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ทุกคน—2 ธส. 1:7, 8 ห24.09 น. 13 ว. 17-18
วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน
ชาวเมืองโครินธ์หลายคนได้ฟังแล้วก็เชื่อและรับบัพติศมา—กจ. 18:8
อะไรช่วยให้ชาวเมืองโครินธ์รับบัพติศมาได้? (2 โครินธ์ 10:4, 5) คัมภีร์ไบเบิลและพลังบริสุทธิ์ของพระยะโฮวาช่วยให้พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ (ฮบ. 4:12) ชาวเมืองโครินธ์ที่ตอบรับข่าวดีเกี่ยวกับพระคริสต์สามารถละทิ้งนิสัยและการประพฤติที่ไม่ดี เช่น การเป็นคนเมาเหล้า เป็นขโมย และรักร่วมเพศ (1 คร. 6:9-11) ขอสังเกตว่าถึงแม้ชาวเมืองโครินธ์บางคนจะมีนิสัยไม่ดีที่ฝังรากลึกมานานที่ต้องเอาชนะ แต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดเอาเองว่าคงเป็นเรื่องยากเกินไปที่จะเข้ามาเป็นคริสเตียน พวกเขาพยายามเต็มที่ที่จะเดินบนทางแคบที่นำไปถึงชีวิตตลอดไป (มธ. 7:13, 14) ตัวคุณเองมีนิสัยหรือการประพฤติที่ไม่ดีบางอย่างที่ต้องเอาชนะเพื่อจะรับบัพติศมาไหม? ถ้ามี ก็ขอให้คุณสู้ต่อไป อย่ายอมแพ้! ให้คุณขอพลังบริสุทธิ์จากพระยะโฮวาเพื่อช่วยให้คุณเอาชนะความต้องการที่จะทำสิ่งไม่ดี ห25.03 น. 6 ว. 15-17
วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน
ถ้าใครในพวกคุณขาดสติปัญญา ให้เขาพยายามขอจากพระเจ้าต่อ ๆ ไป—ยก. 1:5
ให้อธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยคุณให้รู้ว่าพระองค์คิดยังไง พระยะโฮวาสัญญาว่าจะให้สติปัญญาเพื่อจะช่วยให้คุณมองออกว่าจะตัดสินใจในแบบที่ทำให้พระองค์พอใจได้ยังไง เมื่อพระยะโฮวาให้สติปัญญา พระองค์ก็ “เต็มใจให้ทุกคนอย่างใจกว้างและไม่เคยต่อว่า” เมื่อคุณอธิษฐานขอการชี้นำจากพระยะโฮวาแล้ว ให้ตั้งใจสังเกตว่าพระองค์ตอบคุณยังไง ลองคิดถึงตัวอย่างเปรียบเทียบนี้ สมมุติว่าคุณไปเที่ยวสักที่หนึ่งแล้วเกิดหลงทาง คุณอาจถามเส้นทางจากคนแถวนั้น แต่พอถามเขาแล้ว คุณจะเดินหนีไปเลยไหมโดยที่เขายังไม่ทันบอกอะไร? คุณจะไม่ทำอย่างนั้นแน่ ๆ แต่จะรอฟังจากเขาก่อนว่าคุณควรไปทางไหน เหมือนกันหลังจากที่คุณอธิษฐานขอสติปัญญาจากพระยะโฮวา ให้พยายามดูว่าพระองค์ตอบคุณยังไงโดยค้นดูในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับหลักการและกฎหมายที่เอามาใช้กับสถานการณ์ของคุณได้ เช่น ตอนที่คุณกำลังคิดว่าจะไปปาร์ตี้ดีไหม คุณอาจลองค้นดูว่าคัมภีร์ไบเบิลพูดยังไงเกี่ยวกับการเลี้ยงเฮฮาจนสุดเหวี่ยง การคบหาที่ไม่ดี และการให้รัฐบาลของพระเจ้ามาก่อนความชอบของตัวเอง—มธ. 6:33; รม. 13:13; 1 คร. 15:33 ห25.01 น. 16 ว. 6-7
วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน
ดูสิ ผู้รับใช้ของเราจะมีกิน แต่พวกเจ้าจะหิว—อสย. 65:13
อิสยาห์ทำให้เราเห็นภาพว่าคนที่อยู่ในอุทยานโดยนัยกับคนที่ไม่ได้อยู่ในนั้นต่างกันขนาดไหน พระยะโฮวาเลี้ยงดูผู้รับใช้ของพระองค์ที่อยู่ในอุทยานโดยนัยอย่างดี เช่น เราได้พลังบริสุทธิ์จากพระเจ้า เรามีคัมภีร์ไบเบิล มีหนังสือ และสื่อต่าง ๆ ที่อาศัยพระคัมภีร์ เราเลย “มีกิน . . . มีดื่ม . . . [และ] มีความสุข” (เทียบกับวิวรณ์ 22:17) ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่ได้อยู่ในอุทยานโดยนัย พวกเขา “หิว . . . กระหาย . . . [และ] อับอาย” เพราะไม่รู้จักพระยะโฮวา (อมส. 8:11) พระยะโฮวาจะให้สิ่งจำเป็นกับคนของพระองค์อย่างไม่อั้น ซึ่งรวมถึงความรู้ที่เสริมความเชื่อด้วย (ยอล. 2:21-24) ทุกวันนี้พระองค์ให้เรามีคัมภีร์ไบเบิล หนังสือ และสื่อต่าง ๆ ที่อาศัยพระคัมภีร์ เว็บไซต์ jw.org การประชุมประชาคม และการประชุมใหญ่ต่าง ๆ เราได้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ทุกวันเราเลยรู้สึกว่าได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีและสดชื่นขึ้น ห24.04 น. 21 ว. 5-6
วันอังคารที่ 23 มิถุนายน
ให้คำพูดของพวกคุณเป็นคำพูดที่กรุณาเสมอ—คส. 4:6
ถ้าคุณอยากเริ่มคบกับคนที่คุณสนใจ คุณอาจจะนัดเจอกับเขาในที่สาธารณะหรือคุยกับเขาทางโทรศัพท์ก็ได้ บอกเขาให้ชัดเจนว่าคุณสนใจและอยากรู้จักเขาให้ดีขึ้น (1 คร. 14:9) ถ้าจำเป็นก็ให้เวลาเขาคิดก่อนก็ได้ (สภษ. 15:28) และถ้าเขาไม่อยากคบกับคุณก็ให้เคารพการตัดสินใจของเขา คุณจะทำยังไงถ้ามีคนมาขอคบกับคุณ? คนนั้นคงต้องรวบรวมความกล้ามากเพื่อจะบอกคุณแบบนั้น ดังนั้น ขอให้คุณกรุณาและเคารพความรู้สึกของเขาด้วย ถ้าคุณต้องการเวลาคิดสักหน่อยก็ให้บอกเขา แต่พยายามให้คำตอบกับเขาเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ (สภษ. 13:12) ถ้าคุณไม่อยากคบกับเขา ก็ขอให้บอกเขาอย่างอ่อนโยนและชัดเจน แต่ถ้าคุณอยากคบกับคนนั้นด้วยก็ให้บอกเขาว่าคุณรู้สึกยังไง และคุยกันว่าควรปฏิบัติตัวยังไงบ้างตอนที่คบกันเพราะอาจมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้คุณสองคนคิดไม่เหมือนกันในเรื่องนี้ ห24.05 น. 23-24 ว. 12-13
วันพุธที่ 24 มิถุนายน
ผมจะสู้กับคุณในนามของพระยะโฮวาผู้เป็นจอมทัพ—1 ซม. 17:45
ตอนที่ดาวิดยังเป็นวัยรุ่น น่าจะอายุยังไม่เกิน 20 ปี เขาไปที่ค่ายของทหารอิสราเอล ดาวิดเห็นทหารอิสราเอลหวาดกลัวเพราะนักรบร่างยักษ์ชาวฟีลิสเตียที่ชื่อโกลิอัทได้ออกมา “ท้ากองทัพอิสราเอล” (1 ซม. 17:10, 11) ทหารของอิสราเอลกลัวมากเพราะพวกเขาคิดถึงแต่รูปร่างที่สูงใหญ่ของโกลิอัทและคำพูดเยาะเย้ยของเขา (1 ซม. 17:24, 25) แต่ดาวิดมีมุมมองที่ต่างออกไป ดาวิดรู้ว่าเมื่อโกลิอัทท้าทายกองทัพของอิสราเอลก็เท่ากับเขากำลัง “ท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่” (1 ซม. 17:26) ดาวิดคิดถึงพระยะโฮวาเสมอ เขามั่นใจว่าพระเจ้าที่เคยช่วยเขาตอนที่เลี้ยงแกะของพ่อก็จะช่วยเขาอีกครั้งในเหตุการณ์นี้ด้วย เขาเลยออกไปสู้กับโกลิอัท และได้รับชัยชนะในที่สุด—1 ซม. 17:45-51 ห24.06 น. 21 ว. 7
วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน
ไม่ต้องกลัว เพราะเราอยู่กับเจ้า ไม่ต้องกังวล เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้พวกเจ้าเข้มแข็ง และเราจะช่วยพวกเจ้า เราจะใช้มือขวาซึ่งทำสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมยึดพวกเจ้าไว้แน่นอน—อสย. 41:10
ลองคิดดูว่าชีวิตเราจะเป็นยังไงถ้าเราไม่ได้รับใช้พระยะโฮวา ถ้าเราจำไว้เสมอว่าการรับใช้พระยะโฮวาทำให้ชีวิตของเราดียังไง นี่ก็จะช่วยให้เรารักษาความซื่อสัตย์ต่อพระองค์ และเหมือนกับผู้เขียนหนังสือสดุดีเราก็จะพูดได้อย่างเต็มปากว่า “ส่วนตัวผม เป็นเรื่องดีที่ผมเข้ามาใกล้พระเจ้า” (สด. 73:28) ไม่ว่าเราจะเจอกับปัญหาอะไรในสมัยสุดท้ายนี้ เราก็ไม่ต้องกลัวเพราะเรา “เป็นทาสของพระเจ้าเที่ยงแท้ที่มีชีวิตอยู่” (1 ธส. 1:9) พระเจ้าของเรามีตัวตนอยู่จริงและพร้อมจะช่วยเหลือเราเสมอ พระองค์ทำให้เห็นแล้วว่าเคยช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ในอดีตยังไงและพระองค์ช่วยพวกเราในทุกวันนี้ด้วย อีกไม่นานเราจะต้องเจอกับความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนบนโลกนี้ แต่เราไม่ต้องรับมือกับเรื่องนี้ตามลำพัง ขอให้เราทุกคน “มีความกล้าและพูดได้ว่า ‘พระยะโฮวาเป็นผู้ช่วยเหลือผม ผมจะไม่กลัวอะไร’”—ฮบ. 13:5, 6 ห24.06 น. 25 ว. 17-18
วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน
พวกเจ้าจะเห็น . . . ถึงความแตกต่างระหว่างคนดีและคนชั่ว—มลค. 3:18
คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงกษัตริย์ของอิสราเอลมากกว่า 40 คน และบอกด้วยว่ากษัตริย์ที่ดีก็เคยทำสิ่งที่ไม่ดี ตัวอย่างเช่น พระยะโฮวาพูดถึงกษัตริย์ดาวิดว่า “ดาวิดผู้รับใช้ของเรา . . . เชื่อฟังเราสุดหัวใจและทำแต่สิ่งที่เราเห็นว่าถูกต้อง” (1 พก. 14:8) ถึงอย่างนั้น ดาวิดก็เคยทำผิดศีลธรรมทางเพศกับภรรยาของคนอื่น และยังวางแผนให้สามีของเธอไปตายในสนามรบด้วย (2 ซม. 11:4, 14, 15) ในทางตรงกันข้าม คัมภีร์ไบเบิลบอกว่ากษัตริย์ที่ไม่ดีก็เคยทำสิ่งดี ๆ ด้วย เช่น เรโหโบอัม สำหรับพระยะโฮวาแล้วเขาเป็นคนที่ “ทำชั่ว” (2 พศ. 12:14) แต่เรโหโบอัมก็เชื่อฟังพระยะโฮวาตอนที่พระองค์บอกเขาว่าไม่ต้องไปสู้กับอิสราเอล 10 ตระกูลที่พยายามจะแยกตัวออกจากอาณาจักรของเขา นอกจากนั้น เขายังช่วยปกป้องประชาชนของพระยะโฮวาโดยสร้างเมืองที่มีป้อมปราการหลายเมืองด้วย (1 พก. 12:21-24; 2 พศ. 11:5-12) พระยะโฮวาตัดสินยังไงว่ากษัตริย์คนนั้นซื่อสัตย์ในสายตาของพระองค์? พระองค์ดูที่สภาพหัวใจของเขา ดูว่าเขากลับใจหรือเปล่า และดูว่าเขาสนับสนุนการนมัสการแท้หรือไม่ ห24.07 น. 20 ว. 1-3
วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน
ให้เลี้ยงดูเขาด้วยคำสั่งสอนและคำตักเตือนจากพระยะโฮวา—อฟ. 6:4
ผู้ดูแลควรทำยังไงถ้าผู้เยาว์ที่รับบัพติศมาแล้วที่อายุต่ำกว่า 18 ปีทำผิดร้ายแรง? คณะผู้ดูแลจะมอบหมายผู้ดูแล 2 คนไปพบกับผู้เยาว์พร้อมกับพ่อแม่ที่เป็นคริสเตียน ผู้ดูแลจะดูว่าพ่อแม่ได้ทำอะไรไปแล้วบ้างเพื่อช่วยลูกให้กลับใจ ถ้าผู้เยาว์มีทัศนะที่ดีและพ่อแม่กำลังจัดการเรื่องนั้นอยู่ ผู้ดูแล 2 คนอาจตัดสินใจว่าไม่จำเป็นที่ผู้เยาว์และพ่อแม่ต้องพบกับคณะกรรมการ ผู้ดูแลรู้ว่าพระยะโฮวาให้พ่อแม่มีหน้าที่รับผิดชอบในการแก้ไขและสั่งสอนลูกด้วยความรัก (ฉธบ. 6:6, 7; สภษ. 6:20; 22:6; อฟ. 6:2-4) ผู้ดูแลจะตรวจสอบกับพ่อแม่เป็นระยะเพื่อให้แน่ใจว่าผู้เยาว์ได้รับความช่วยเหลือด้านความเชื่อที่จำเป็น ถึงอย่างนั้น ถ้าผู้เยาว์ที่รับบัพติศมาแล้วยังคงทำผิดต่อไปและไม่กลับใจล่ะ? ถ้าเป็นแบบนี้ คณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้ดูแลจะพบกับผู้เยาว์และพ่อแม่ที่เป็นคริสเตียน ห24.08 น. 24 ว. 18
วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน
การให้ทำให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ—กจ. 20:35
เราทุกคนต่างก็มีความสุขเมื่อได้รับของขวัญอะไรบางอย่าง แต่เราจะยิ่งมีความสุขมากกว่าถ้าเราได้เป็นผู้ให้ การที่พระยะโฮวาสร้างเราแบบนี้ทำให้เราสามารถเพิ่มความสุขให้กับตัวเองได้ เราจะมีความสุขมากขึ้นเมื่อเราหาโอกาสทำสิ่งดี ๆ ให้กับคนอื่น มันน่าทึ่งมากใช่ไหมที่พระยะโฮวาสร้างเราให้เป็นแบบนี้? (สด. 139:14) คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าการให้ทำให้เรามีความสุข เราเลยไม่แปลกใจที่คัมภีร์ไบเบิลถึงเรียกพระยะโฮวาว่า “พระเจ้าผู้มีความสุข” (1 ทธ. 1:11) พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าองค์แรกที่เป็นผู้ให้และไม่มีใครให้ได้มากเท่ากับพระองค์อีกแล้ว อัครสาวกเปาโลบอกว่า “เรามีชีวิตอยู่และเคลื่อนไหวไปมาได้” ก็เพราะพระองค์ (กจ. 17:28) ดังนั้น เราเห็นชัดเลยว่า “ของดี ๆ และสมบูรณ์ทุกอย่าง” มาจากพระยะโฮวา (ยก. 1:17) เราทุกคนคงอยากมีความสุขมากขึ้นกับการให้ เราจะมีความสุขแบบนั้นได้ถ้าเราเลียนแบบความใจกว้างของพระยะโฮวา—อฟ. 5:1 ห24.09 น. 26 ว. 1-4
วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน
ไม่ว่าเราก้าวหน้าถึงขั้นไหนแล้ว ก็ให้เราก้าวหน้าแบบนั้นต่อไปเรื่อย ๆ เหมือนที่เคยทำมา—ฟป. 3:16
หลังจากที่ได้ดูข้อเรียกร้องของการเป็นผู้ดูแลแล้ว ผู้ช่วยงานรับใช้บางคนอาจรู้สึกว่าเขาไม่มีทางที่จะเป็นผู้ดูแลได้เลย แต่ขอจำไว้ว่าทั้งพระยะโฮวาและองค์การของพระองค์ไม่ได้คาดหมายว่าคุณจะต้องทำตามข้อเรียกร้องเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ (1 ปต. 2:21) พระยะโฮวาจะใช้พลังบริสุทธิ์ของพระองค์เพื่อช่วยคุณให้สามารถบรรลุข้อเรียกร้องเหล่านี้ได้แน่นอน (ฟป. 2:13) มีคุณลักษณะอะไรไหมที่คุณอยากจะพัฒนาให้ดีขึ้น? ให้อธิษฐานถึงพระยะโฮวา ค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนั้น และขอคำแนะนำจากผู้ดูแลสักคนเพื่อจะรู้ว่าคุณต้องปรับปรุงอะไรบ้าง ขอให้คุณพยายามก้าวหน้าต่อ ๆ ไป ขอพระยะโฮวาฝึกและนวดปั้นคุณให้เป็นคนที่พระองค์ใช้งานได้มากขึ้นในประชาคม (อสย. 64:8) ขอพระยะโฮวาอวยพรความพยายามของคุณที่จะมีคุณสมบัติรับใช้เป็นผู้ดูแล ห24.11 น. 25 ว. 17-18
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน
พระเจ้าไม่ทำสิ่งที่ชั่ว พระองค์จึงไม่มีวันลืมงานที่พวกคุณทำและความรักที่พวกคุณมีต่อชื่อของพระองค์ คือที่พวกคุณรับใช้พวกผู้บริสุทธิ์และยังคงรับใช้อยู่—ฮบ. 6:10
ไม่มีใครในพวกเราควรคิดว่า เรารับใช้พระยะโฮวามานานหลายปีแล้ว พระองค์ก็สมควรจะให้อภัยเรา ก็จริงที่พระยะโฮวาเห็นค่าที่เรารับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์ แต่พระยะโฮวาไม่ได้สละพระเยซูให้เราเพื่อเป็นค่าตอบแทนที่เรารับใช้พระองค์ พระองค์ให้พระเยซูกับเรามาฟรี ๆ ดังนั้น ถ้าเราคิดว่าพระยะโฮวาสมควรให้อภัยเราเพราะเราทำเพื่อพระองค์มาเยอะแล้ว มันก็ไม่ถูก เพราะมันเหมือนกับเรากำลังบอกว่า การสละชีวิตของพระเยซูไม่มีความหมายอะไรเลย (เทียบกับกาลาเทีย 2:21) อัครสาวกเปาโลรู้ดีว่าถึงเขารับใช้มากขนาดไหนก็ไม่คู่ควรที่พระยะโฮวาจะให้อภัยเขา แล้วทำไมเปาโลถึงทุ่มเทรับใช้พระองค์อย่างเต็มที่ขนาดนี้? ที่เขารับใช้เต็มที่ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ว่าเขาคู่ควรจะได้รับการอภัยจากพระยะโฮวา แต่เขาอยากแสดงให้พระองค์เห็นว่าเขาเห็นค่าความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ (อฟ. 3:7) เราเองก็ควรเลียนแบบเปาโลในเรื่องนี้ เราอยากขยันทำงานรับใช้ต่อไป ไม่ใช่เพื่อจะได้รับความเมตตา แต่เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราเห็นค่าที่พระยะโฮวาเมตตาเรา ห25.01 น. 27 ว. 5-6