กันยายน
วันอังคารที่ 1 กันยายน
ให้พวกคุณคอยตรวจสอบตัวเองว่ายังใช้ชีวิตตามความเชื่อของคริสเตียนอยู่ไหม—2 คร. 13:5
เมื่อเราก้าวหน้าจนเป็นคริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราก็ต้องพยายามที่จะเป็นแบบนั้นต่อ ๆ ไปด้วย ดังนั้น เราต้องไม่มั่นใจในตัวเองมากเกินไป (1 คร. 10:12) และต้อง “คอยตรวจสอบ” ตัวเองว่าเรากำลังก้าวหน้าต่อไปเรื่อย ๆ ไหม ในจดหมายที่อัครสาวกเปาโลเขียนถึงพี่น้องในเมืองโคโลสี เขาเน้นอีกครั้งว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเป็นคริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่เสมอ แม้พี่น้องในโคโลสีจะเป็นผู้ใหญ่ด้านความเชื่ออยู่แล้ว แต่เปาโลเตือนพวกเขาให้ระวังและอย่าถูกล่อลวงโดยแนวคิดต่าง ๆ ของโลก (คส. 2:6-10) และเปาโลก็บอกว่าเอปาฟรัสซึ่งรู้จักพี่น้องที่โคโลสีดีก็อธิษฐานเผื่อพวกเขาเสมอ เพื่อที่พวกเขาจะ “โตเป็นผู้ใหญ่ที่ยืนหยัดอยู่ได้” (คส. 4:12) เราเรียนอะไรได้จากเรื่องนี้? ทั้งเปาโลและเอปาฟรัสรู้ดีว่าการพยายามเป็นคริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่อยู่เสมอต้องใช้ความพยายามมากและต้องขอพระยะโฮวาช่วย เปาโลกับเอปาฟรัสอยากให้พี่น้องในโคโลสีเป็นแบบนั้นเสมอไม่ว่าจะเจอความยากลำบากอะไรก็ตาม ห24.04 น. 6-7 ว. 16-17
วันพุธที่ 2 กันยายน
เรามีพระยะโฮวาอยู่ด้วย อย่าไปกลัวพวกเขาเลย—กดว. 14:9
เมื่อเราเกรงกลัวพระยะโฮวา เราจะรักพระองค์มากจนไม่อยากทำให้พระองค์เสียใจ เราเต็มใจเรียนรู้ที่จะมองให้ออกว่าอะไรถูกอะไรผิด และมองให้ออกว่าอะไรคือเรื่องจริงอะไรคือเรื่องโกหก เพราะเรารู้ว่านี่จะทำให้พระยะโฮวาพอใจ (สภษ. 2:3-6; ฮบ. 5:14) ถ้าเรากลัวคนมากกว่ากลัวพระยะโฮวา เราอาจเริ่มเชื่อสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ให้เรามาดูตัวอย่างของหัวหน้าชาวอิสราเอล 12 คนที่ถูกส่งไปสอดแนมแผ่นดินที่พระยะโฮวาสัญญา สำหรับคนสอดแนม 10 คน ความกลัวชาวคานาอันมันมากกว่าความรักที่มีต่อพระยะโฮวา พวกเขาเลยบอกชาวอิสราเอลว่า “เราสู้คนพวกนั้นไม่ได้หรอก พวกเขาแข็งแรงกว่าเรา” (กดว. 13:27-31) ก็จริง จากมุมมองของมนุษย์ ชาวคานาอันแข็งแกร่งมากกว่า แต่การบอกว่าชาวอิสราเอลสู้ชาวคานาอันไม่ได้ มันแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้คิดถึงพระยะโฮวาเลย ห24.07 น. 9 ว. 5-6
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน
พระองค์ผู้พิพากษาโลกทั้งสิ้นจะทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างแน่นอน—ปฐก. 18:25
เรามั่นใจได้ไหมว่าเมื่อพระยะโฮวาพิพากษา พระองค์จะตัดสินทุกเรื่องอย่างถูกต้องเสมอ? เรามั่นใจได้แน่นอน และเหมือนกับที่อับราฮัมเข้าใจดี พระยะโฮวาเป็น “ผู้พิพากษาโลกทั้งสิ้น” ที่สมบูรณ์แบบ มีสติปัญญา และเมตตา พระองค์ได้ฝึกอบรมลูกชายของพระองค์และมอบหมายให้ท่านทำหน้าที่พิพากษามนุษย์ทุกคนด้วย (ยน. 5:22) ทั้งพระยะโฮวาและพระเยซูอ่านหัวใจของมนุษย์ทุกคนได้ (มธ. 9:4) ดังนั้น เรามั่นใจได้ว่าพระองค์ทั้งสอง “จะทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างแน่นอน” ขอให้เราตั้งใจที่จะไว้วางใจพระยะโฮวาและมั่นใจว่าพระองค์จะตัดสินทุกเรื่องอย่างถูกต้อง เรารู้ดีว่าเราไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะพิพากษาคนอื่น มีแต่พระยะโฮวาเท่านั้นที่ทำหน้าที่นี้ได้ (อสย. 55:8, 9) ดังนั้น ให้เราฝากการพิพากษาทุกอย่างไว้กับพระยะโฮวาและพระเยซูซึ่งเป็นกษัตริย์ของเราที่เลียนแบบพระยะโฮวาได้อย่างสมบูรณ์แบบในเรื่องความยุติธรรมและความเมตตา—อสย. 11:3, 4 ห24.05 น. 7 ว. 18-19
วันศุกร์ที่ 4 กันยายน
พระยะโฮวาเกลียดคนเจ้าเล่ห์ แต่พระองค์เป็นเพื่อนสนิทกับคนซื่อตรง—สภษ. 3:32
เป็นเรื่องสำคัญมากที่เราต้องพูดความจริงจากใจ เราเห็นเรื่องนี้ได้จากตอนที่ฟีลิปพาเพื่อนของเขาที่ชื่อนาธานาเอลมาหาพระเยซู ถึงแม้พระเยซูไม่เคยเจอนาธานาเอลมาก่อน แต่พระเยซูบอกว่า “นี่ไง คนอิสราเอลแท้ ๆ ที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไร” (ยน. 1:47) พระเยซูมองนาธานาเอลพิเศษกว่าคนอื่น นาธานาเอลก็เหมือนกับเราที่เป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ แต่เขาไม่มีเล่ห์เหลี่ยม จริงใจ และซื่อสัตย์ในทุกเรื่อง พระเยซูชมเชยนาธานาเอลที่เป็นแบบนั้น ข้อเรียกร้องส่วนใหญ่เพื่อจะทำให้พระยะโฮวาพอใจซึ่งบันทึกในสดุดีบท 15 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อคนอื่น สดุดี 15:3 บอกว่าแขกในเต็นท์ของพระยะโฮวาจะ “ไม่ใส่ร้ายคนอื่น ไม่ทำชั่วต่อเพื่อนบ้าน และไม่ใส่ร้ายเพื่อน” ถ้าเราพูดใส่ร้ายคนอื่น มันจะทำให้เขาเจ็บปวดใจมาก—ยก. 1:26 ห24.06 น. 10 ว. 7, 9; น. 11 ว. 10
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน
อาจารย์ครับ พอเราอ้างชื่อท่าน แม้แต่ปีศาจก็ยังอยู่ใต้อำนาจเราเลย—ลก. 10:17
ถ้าคุณเตรียมตัวอย่างดีก่อนออกประกาศ คุณก็จะไม่เกร็งและพูดกับเจ้าของบ้านได้อย่างสบายใจ พระเยซูช่วยสาวกของท่านให้เตรียมตัวอย่างดีก่อนที่ท่านจะส่งพวกเขาออกไปประกาศ (ลก. 10:1-11) เมื่อพวกเขาทำตามคำแนะนำของพระเยซู พวกเขาก็สามารถทำอะไรดี ๆ หลายอย่างได้สำเร็จ และนั่นทำให้พวกเขามีความสุขมาก เราจะเตรียมตัวสำหรับการประกาศได้ยังไง? เราทำแบบนั้นได้โดยคิดว่า เราจะอธิบายความจริงในคัมภีร์ไบเบิลออกมาเป็นคำพูดของตัวเองได้ยังไง และลองคิดถึง 2-3 ฉากเหตุการณ์ว่าคนในเขตของเรามักจะพูดกับเรายังไงและให้คิดว่าจะตอบพวกเขายังไง แล้วตอนที่ไปประกาศก็ให้เราพูดแบบสบาย ๆ เป็นกันเอง และยิ้มให้เขาด้วย ห24.04 น. 16 ว. 6-7
วันอาทิตย์ 6 กันยายน
พระยะโฮวา พระเจ้าของเรา พระองค์สมควรจะได้รับการยกย่องสรรเสริญ ความนับถือ และฤทธิ์อำนาจ เพราะพระองค์สร้างทุกสิ่ง—วว. 4:11
เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่เราออกไปประกาศข่าวดีก็คือ เรารักพระยะโฮวาและชื่อที่บริสุทธิ์ของพระองค์ เรามองว่าการไปประกาศเป็นวิธีที่เราสรรเสริญพระยะโฮวา พวกเราเห็นด้วยว่าพระยะโฮวา “สมควรจะได้รับการยกย่องสรรเสริญ ความนับถือ และฤทธิ์อำนาจ” จากผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ พวกเราสามารถยกย่องสรรเสริญและให้ความนับถือกับพระยะโฮวาได้เมื่อเราไปบอกคนอื่นว่าพระยะโฮวาเป็นผู้ “สร้างทุกสิ่ง” รวมถึงชีวิตของเราด้วย และเราให้ฤทธิ์อำนาจกับพระองค์โดยการใช้เวลา กำลัง และสิ่งต่าง ๆ ที่เรามีเพื่อจะประกาศมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ (มธ. 6:33; ลก. 13:24; คส. 3:23) พูดง่าย ๆ ก็คือเราชอบมากจริง ๆ ที่จะพูดให้คนอื่นฟังเกี่ยวกับพระเจ้าที่เรารัก และเรายังอยากอธิบายให้คนอื่นฟังว่าชื่อของพระองค์หมายความว่ายังไงและพระองค์เป็นพระเจ้าแบบไหน ห24.05 น. 17 ว. 11
วันจันทร์ที่ 7 กันยายน
พระองค์ให้รางวัลกับคนที่เสาะหาพระองค์อย่างจริงจัง—ฮบ. 11:6
พระยะโฮวาช่วยให้เรามีสันติสุขและความอิ่มใจพอใจตั้งแต่ตอนนี้ และในอนาคตจะให้ชีวิตตลอดไปกับเรา เราฝากความหวังไว้กับพระยะโฮวาได้เพราะพระองค์อยากให้รางวัลกับเราและพระองค์มีพลังที่จะทำอย่างนั้นได้แน่นอน การที่เรามั่นใจในเรื่องนี้กระตุ้นให้เรายุ่งอยู่เสมอในงานรับใช้เหมือนกับที่ผู้รับใช้ของพระเจ้าในอดีตได้ทำ นี่เป็นสิ่งที่ทิโมธีได้ทำด้วย (ฮบ. 6:10-12) ทิโมธีเชื่อว่าพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่จะให้รางวัลกับเขา (1 ทธ. 4:10) เขาเลยตั้งใจทำงานหนักเพื่อพระยะโฮวาและเพื่อคนอื่น ๆ เขาทำยังไงบ้าง? อัครสาวกเปาโลกระตุ้นให้เขาพัฒนาตัวเองเพื่อจะเป็นผู้สอนที่ดีขึ้นทั้งในงานประกาศและในประชาคม เปาโลยังบอกให้ทิโมธีวางตัวอย่างที่ดีให้กับพี่น้องทั้งคนที่อายุน้อยและอายุมาก นอกจากนั้น ทิโมธียังได้รับงานมอบหมายที่ไม่ง่าย เช่น เขาต้องให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมาแต่ก็ต้องทำอย่างนั้นด้วยความรักด้วย (1 ทธ. 4:11-16; 2 ทธ. 4:1-5) ทิโมธีมั่นใจว่าพระยะโฮวาก็จะให้รางวัลเขาแน่นอน—รม. 2:6, 7 ห24.06 น. 22-23 ว. 10-11
วันอังคารที่ 8 กันยายน
พระยะโฮวาเตือนอิสราเอลกับยูดาห์อยู่เรื่อย ๆ ผ่านทางผู้พยากรณ์—2 พก. 17:13
มีหลายครั้งที่พระยะโฮวาใช้ผู้พยากรณ์ของพระองค์ไปเตือนและว่ากล่าวชาวอิสราเอล เช่น พระยะโฮวาพูดผ่านทางผู้พยากรณ์อิสยาห์ว่า “อิสราเอลที่ทิ้งเรา กลับมาเถอะ . . . เราจะไม่มองเจ้าด้วยความโกรธ เพราะเราภักดีต่อเจ้า . . . เราจะไม่โกรธเจ้าตลอดไป ขอให้เจ้ายอมรับความผิดของตัวเองเถอะ เพราะเจ้ากบฏต่อพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า” (ยรม. 3:12, 13) และพระยะโฮวายังใช้ผู้พยากรณ์โยเอลไปบอกพวกเขาว่า “กลับมาหาเราอย่างจริงใจเถอะ” (ยอล. 2:12, 13) พระองค์สั่งให้ผู้พยากรณ์อิสยาห์ไปประกาศว่า “รักษาตัวให้สะอาดอยู่เสมอ เอาการกระทำที่เลวร้ายออกไปให้พ้นจากหน้าเรา เลิกทำชั่วเสียที” (อสย. 1:16-19) นอกจากนั้น พระยะโฮวาสั่งเอเสเคียลให้ไปบอกพวกเขาว่า “เราไม่ดีใจเลยที่คนชั่วตาย แต่เราอยากให้เขาเลิกทำชั่วแล้วมีชีวิตอยู่ต่อไป . . . เราไม่อยากให้ใครตายเลย ดังนั้น เลิกทำชั่วแล้วมีชีวิตอยู่ต่อไปเถอะ” (อสค. 18:23, 32) พระยะโฮวาจะดีใจถ้าเห็นผู้คนกลับใจเพราะพระองค์อยากให้พวกเขามีชีวิตตลอดไป ห24.08 น. 9 ว. 5-6
วันพุธที่ 9 กันยายน
พระคัมภีร์ทุกตอน พระเจ้าดลใจให้เขียนขึ้นมา—2 ทธ. 3:16
ผู้รับใช้ของพระเจ้าจะได้รับความรู้ที่เสริมความเชื่อ ได้รับการชี้นำ และการปกป้องเหมือนกันทุกคน ตัวอย่างหนึ่งที่แสดงว่าพระยะโฮวาไม่ลำเอียงก็คือ พระองค์ทำให้คนทั่วโลกไม่ว่าพวกเขาจะพูดภาษาอะไรก็สามารถหาอ่านคัมภีร์ไบเบิลได้ ตอนแรกคัมภีร์ไบเบิลถูกเขียนด้วย 3 ภาษาคือภาษาฮีบรู ภาษาอาราเมอิก และภาษากรีก แต่คนที่สามารถอ่านคัมภีร์ไบเบิลในภาษาเดิมจะสนิทกับพระยะโฮวามากกว่าคนที่ไม่สามารถอ่านภาษาเหล่านั้นไหม? ไม่เลย (มธ. 11:25) เราจะเป็นคนที่พระยะโฮวายอมรับหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรามีการศึกษาสูงแค่ไหนหรือเรารู้ภาษาเดิมที่คัมภีร์ไบเบิลเขียนหรือเปล่า แทนที่พระยะโฮวาจะให้มีคัมภีร์ไบเบิลซึ่งมีสติปัญญาของพระองค์เฉพาะกับคนที่มีการศึกษาสูงเท่านั้น พระยะโฮวาให้ทุกคนบนโลกสามารถอ่านคัมภีร์ไบเบิลได้โดยที่พระองค์ให้มีการแปลคัมภีร์ไบเบิลนับพันภาษา ซึ่งทำให้ทุกคนสามารถได้รับประโยชน์จากคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลและเรียนรู้ว่าพวกเขาจะมาเป็นเพื่อนกับพระองค์ได้ยังไง—2 ทธ. 3:16, 17 ห24.06 น. 6-7 ว. 13-15
วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน
กรุง [เยรูซาเล็ม] ใกล้จะถูกทำลายให้ร้างเปล่าแล้ว—ลก. 21:20
พระเยซูบอกล่วงหน้าว่าอีกไม่นานกรุงเยรูซาเล็มและวิหารจะต้องถูกทำลาย แน่นอนว่าทั้งเปาโลและคริสเตียนที่อยู่ในยูเดียไม่รู้ว่าการทำลายกรุงเยรูซาเล็มจะมาถึงเมื่อไหร่จริง ๆ แต่คริสเตียนเหล่านั้นสามารถใช้ช่วงเวลาที่สงบสุขนี้เพื่อพัฒนาตัวเองให้มีความเชื่อและความอดทนมากขึ้นได้ (ฮบ. 10:25; 12:1, 2) อีกไม่นาน เราทุกคนจะต้องเจอกับความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่ที่หนักกว่าที่คริสเตียนชาวฮีบรูเคยเจอ (มธ. 24:21; วว. 16:14, 16) ลองดูคำแนะนำบางอย่างที่พระยะโฮวาให้กับพวกเขาและดูว่าเราจะได้ประโยชน์อะไรด้วย ในจดหมายที่อัครสาวกเปาโลเขียนถึงคริสเตียนชาวฮีบรู เขากระตุ้นพี่น้องให้อ่านคัมภีร์ไบเบิลและคิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งมากขึ้น (ฮบ. 5:14–6:1) เปาโลยกข้อคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูและอธิบายว่าทำไมการนมัสการพระยะโฮวาของคริสเตียนถึงดีกว่าการนมัสการของชาวยิว เปาโลรู้ว่าถ้าคริสเตียนชาวฮีบรูมีความรู้และความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับความจริง นี่ก็จะช่วยให้พวกเขารู้ว่าอะไรคือคำสอนเท็จและปฏิเสธมันได้ ห24.09 น. 8-9 ว. 2-3; น. 10 ว. 6
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน
นายของเราถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นมาแล้วจริง ๆ—ลก. 24:34
สาวกของพระเยซูต้องการกำลังใจ เพราะอะไร? เพราะพวกเขาบางคนต้องทิ้งบ้าน ทิ้งครอบครัว ทิ้งธุรกิจเพื่อจะติดตามพระเยซูเสมอ (มธ. 19:27) บางคนถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมเพราะเลือกที่จะมาเป็นสาวกของท่าน (ยน. 9:22) แต่พวกเขาก็เต็มใจเสียสละและอดทนกับสิ่งเหล่านี้เพราะเชื่อว่าพระเยซูคือเมสสิยาห์ที่พระเจ้าสัญญา (มธ. 16:16) อย่างไรก็ตาม เมื่อพระเยซูถูกประหารชีวิต ความหวังของพวกเขาก็สูญสิ้น และนี่ทำให้พวกเขารู้สึกท้อแท้มาก พระเยซูรู้ดีว่าที่สาวกของท่านเศร้าเสียใจไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความเชื่ออ่อนแอ ท่านเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะเสียใจเมื่อต้องเจอกับการสูญเสีย ดังนั้น ในวันที่พระเยซูฟื้นขึ้นจากตาย ท่านเลยไปให้กำลังใจเพื่อน ๆ ของท่านทันที ตัวอย่างเช่น ท่านปรากฏตัวให้มารีย์มักดาลาเห็นตอนที่เธอกำลังร้องไห้อยู่หน้าอุโมงค์ฝังศพของท่าน (ยน. 20:11, 16) นอกจากนั้น ท่านยังปรากฏตัวกับสาวก 2 คนที่เดินทางไปหมู่บ้านเอมมาอูส และยังปรากฏตัวให้อัครสาวกเปโตรเห็นอีกด้วย ห24.10 น. 13 ว. 5-6
วันเสาร์ที่ 12 กันยายน
พร้อมเสมอที่จะอธิบายเรื่องความหวังของคุณกับคนที่สงสัยว่าทำไมพวกคุณหวังอย่างนั้น—1 ปต. 3:15
พวกคุณที่เป็นพ่อแม่ ขอให้ฝึกลูกให้พร้อมจะปกป้องความเชื่อเรื่องพระเจ้าผู้สร้าง คุณอาจใช้บทความในเว็บไซต์ jw.org คุยกับลูก เช่น บทความชุด “หนุ่มสาวถามว่า—มีพระเจ้าสร้างหรือวิวัฒนาการ?” แล้วคุณก็อาจคุยกับลูกว่า การหาเหตุผลแบบไหนที่ลูกรู้สึกว่าช่วยคนอื่นให้ยอมรับว่ามีพระเจ้าผู้สร้าง ให้ใช้การหาเหตุผลแบบง่าย ๆ กับคนที่อยากคุยกับเรา เช่น เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งอาจบอกว่า “เราเชื่อเฉพาะสิ่งที่มองเห็นเท่านั้น เราไม่เคยเห็นพระเจ้านี่ จะเชื่อได้ยังไงว่าพระองค์มีอยู่จริง?” ลูกอาจจะตอบเขาว่า “ถ้านายเดินเที่ยวในป่า แล้วเห็นบ่อน้ำอันหนึ่งที่สร้างอย่างดีและยังใช้งานได้ นายคิดว่ามันจะเกิดขึ้นมาเองไหม? ขนาดบ่อน้ำยังเกิดขึ้นมาเองไม่ได้ ต้องมีคนสร้างมันขึ้นมา จักรวาลที่สลับซับซ้อนกว่านั้นเยอะก็ยิ่งต้องมีผู้ที่สร้างมันขึ้นมาใช่ไหม?” ห24.12 น. 18 ว. 16
วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน
ยิ่งมีอายุ ยิ่งมีสติปัญญา และยิ่งอายุยืน ก็ยิ่งมีความเข้าใจไม่ใช่หรือ?—โยบ 12:12
เราทุกคนต้องการคำแนะนำดี ๆ เพื่อจะตัดสินใจได้อย่างฉลาด เราสามารถหาคำแนะนำดี ๆ ได้จากผู้ดูแลและพี่น้องคริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ แต่ถ้าพวกเขาอายุมากแล้ว เราไม่ควรคิดว่าคำแนะนำของพวกเขาล้าสมัย พระยะโฮวาอยากให้เราเรียนจากพี่น้องที่สูงอายุเพราะพวกเขาผ่านอะไรมาเยอะก็เลยมีประสบการณ์ ความเข้าใจ และสติปัญญามากกว่าเรา ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล พระยะโฮวาใช้ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ในอดีต อย่างเช่น โมเสส ดาวิด และอัครสาวกยอห์นเพื่อให้กำลังใจและชี้นำประชาชนของพระองค์ พวกเขามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่แตกต่างกันและสภาพการณ์ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ในช่วงท้าย ๆ ที่พวกเขามีชีวิตอยู่พวกเขาได้ให้คำแนะนำที่ฉลาดกับคนที่อายุน้อย ทั้ง 3 คนเน้นถึงความสำคัญของการเชื่อฟังพระยะโฮวา ไม่ว่าเราจะอายุน้อยหรืออายุมากเราก็จะได้รับประโยชน์ถ้าเราดูคำแนะนำของพวกเขา—รม. 15:4; 2 ทธ. 3:16 ห24.11 น. 8 ว. 1-2
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน
ถ้าคุณไม่กินเนื้อและดื่มเลือดของ ‘ลูกมนุษย์’ คุณจะไม่ได้ชีวิต—ยน. 6:53
ในสมัยโนอาห์ พระยะโฮวาห้ามไม่ให้กินเลือด (ปฐก. 9:3, 4) พระยะโฮวายังสั่งห้ามเรื่องนี้ซ้ำอีกโดยให้โมเสสเขียนไว้เป็นกฎหมายสำหรับชาติอิสราเอลว่า ใครก็ตามที่กินเลือดจะต้อง “ถูกประหารชีวิต” (ลนต. 7:27) พระเยซูก็สอนให้ชาวยิวเชื่อฟังกฎหมายของโมเสส (มธ. 5:17-19) ดังนั้น เป็นไปไม่ได้ที่พระเยซูจะบอกให้ชาวยิวเหล่านั้นกินเนื้อหรือดื่มเลือดของท่านจริง ๆ เห็นได้ชัดเลยว่าท่านพูดในความหมายเป็นนัย เหมือนกับที่ท่านพูดกับผู้หญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำว่า “คนที่ดื่มน้ำที่ผมให้จะ . . . [มี] ชีวิตตลอดไป” (ยน. 4:7, 14) พระเยซูไม่ได้บอกผู้หญิงชาวสะมาเรียว่าเธอจะมีชีวิตตลอดไปได้โดยการดื่มน้ำจริง ๆ เหมือนกันพระเยซูก็ไม่ได้บอกฝูงชนที่อยู่ในเมืองคาเปอร์นาอุมว่าพวกเขาจะมีชีวิตตลอดไปได้ก็โดยการกินเนื้อและดื่มเลือดของท่านจริง ๆ ห24.12 น. 9 ว. 4-6
วันอังคารที่ 15 กันยายน
ให้ถวายร่างกายเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ ที่พระเจ้ายอมรับได้ การทำอย่างนี้เป็นการรับใช้ที่ศักดิ์สิทธิ์โดยใช้ความสามารถในการคิดหาเหตุผลของคุณ—รม. 12:1
สามีที่เป็นคริสเตียนต้องระวังการรับเอาความคิดผิด ๆ เกี่ยวกับผู้หญิง เพราะอะไร? เหตุผลหนึ่งก็คือคนเราคิดอะไรก็มักจะลงมือทำอย่างนั้น อัครสาวกเปาโลเตือนคริสเตียนผู้ถูกเจิมที่อยู่ในกรุงโรมว่าให้ “เลิกเลียนแบบคนในโลกนี้” (รม. 12:1, 2) ตอนที่เปาโลเขียนจดหมายถึงคริสเตียนในกรุงโรม พี่น้องที่นั่นเป็นคริสเตียนนานหลายปีแล้ว แต่จากคำพูดของเปาโลทำให้เห็นเลยว่า มีบางคนในประชาคมนั้นที่ยังคงได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมและความคิดของคนในโลก นี่เลยเป็นเหตุผลที่เปาโลเตือนพวกเขาให้เปลี่ยนความคิดและการกระทำของตัวเอง คำแนะนำของเปาโลยังคงใช้ได้กับสามีที่เป็นคริสเตียนในทุกวันนี้ด้วย น่าเศร้าที่บางคนได้รับอิทธิพลจากความคิดของคนทั่วไปในโลกและถึงกับทำไม่ดีกับภรรยาของตัวเอง ห25.01 น. 9 ว. 4
วันพุธที่ 16 กันยายน
ให้เอาใจใส่ฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่ในความดูแลของพวกคุณ—1 ปต. 5:2
ผู้ดูแลในทุกวันนี้ก็มีงานยุ่งมาก พวกเขาเป็นผู้ประกาศข่าวดี (2 ทธ. 4:5) พวกเขาเป็นตัวอย่างที่ดีในการประกาศอย่างขยันขันแข็ง จัดระเบียบงานประกาศของประชาคม และฝึกพี่น้องให้ประกาศและสอนอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น พวกเขายังทำหน้าที่ตัดสินเรื่องในประชาคมอย่างที่แสดงความเมตตาและไม่ลำเอียง เมื่อมีพี่น้องทำผิดร้ายแรง ผู้ดูแลจะพยายามช่วยพี่น้องคนนั้นให้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ของเขากับพระยะโฮวา และในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาประชาคมให้สะอาด (1 คร. 5:12, 13; กท. 6:1) หน้าที่หลักของผู้ดูแลทุกคนก็คือ เอาใจใส่ฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่ในความดูแลของพวกเขา (1 ปต. 5:1-3) ผู้ดูแลยังเตรียมคำบรรยายอย่างดีเพื่อจะบรรยายที่ประชาคม พวกเขาพยายามรู้จักพี่น้องทุกคนในประชาคมและไปเยี่ยมบำรุงเลี้ยงพี่น้องด้วย ผู้ดูแลบางคนยังช่วยงานก่อสร้างและบำรุงรักษาหอประชุม มีส่วนร่วมในการจัดการประชุมใหญ่ ทำงานในคณะกรรมการประสานงานกับโรงพยาบาลและกลุ่มเยี่ยมผู้ป่วย รวมถึงทำงานอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เราเห็นเลยว่าผู้ดูแลทำงานหนักจริง ๆ ห24.10 น. 20 ว. 9
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน
ทุกคนตายเพราะอาดัม และทุกคนก็จะมีชีวิตได้อีกเพราะพระคริสต์—1 คร. 15:22
ในคัมภีร์ไบเบิล คำว่า “การปลดปล่อย” หมายถึงการหลุดพ้นซึ่งเป็นผลจากการจ่ายค่าไถ่ อัครสาวกเปโตรอธิบายว่า “พวกคุณก็รู้ว่า พวกคุณถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากรูปแบบชีวิตที่ไร้ประโยชน์ซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษ พวกคุณไม่ได้ถูกปลดปล่อยด้วยสิ่งที่เน่าเปื่อยผุพังได้ หรือด้วยเงินหรือทอง แต่ด้วยเลือดที่มีค่ามากของพระคริสต์ซึ่งเป็นเหมือนเลือดของลูกแกะที่ไม่มีตำหนิและด่างพร้อย” (1 ปต. 1:18, 19) เพราะค่าไถ่ เราเลยได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาปและความตาย (รม. 5:21) เรารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณพระยะโฮวาและพระเยซูที่ไถ่เราด้วยเลือดที่มีค่ามากซึ่งก็คือชีวิตของพระเยซู ห25.02 น. 5 ว. 15-16
วันศุกร์ที่ 18 กันยายน
คนที่เฝ้าระวังเสมอจะมีความสุข—สภษ. 28:14
เราจะระวังตัวได้ยังไง? ให้เรามาดูว่าเราได้บทเรียนอะไรจากเรื่องราวของชายหนุ่มที่พูดถึงในสุภาษิตบท 7 ชายหนุ่มคนนี้ทำผิดศีลธรรมทางเพศกับผู้หญิงชั่ว ข้อ 22 บอกว่าเขาตามเธอไป “ทันที” แต่ท้องเรื่องของบทนี้ทำให้เรารู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ทำอะไรหลายอย่างที่ไม่ฉลาดจนนำไปสู่การทำบาป เขาทำอะไรบ้าง? อย่างแรกคือตอนที่จวนจะค่ำเขา “เดินไปแถว ๆ ซอยบ้านเธอ [ผู้หญิงที่ทำผิดศีลธรรม]” แล้วจากนั้นเขาก็เดินไปทางบ้านที่เธออยู่ (สภษ. 7:8, 9) พอเขาเห็นผู้หญิงคนนั้น เขาไม่ได้เดินหนีไป แต่เขาปล่อยให้เธอจูบและตั้งใจฟังตอนที่เธอเล่าว่าได้ถวายเครื่องบูชาผูกมิตร ซึ่งผู้หญิงคนนั้นอาจพูดแบบนี้เพราะต้องการให้เขามองว่าเธอไม่ใช่คนไม่ดี (สภษ. 7:13, 14, 21) ถ้าเขาหลีกเลี่ยงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ที่นำไปสู่การทำผิด เขาก็จะไม่เจอการล่อใจจนพลาดทำผิด ห24.07 น. 16 ว. 8-9; น. 19 ว. 19
วันเสาร์ที่ 19 กันยายน
ยอมให้อภัยและปลอบใจเขา—2 คร. 2:7
พระยะโฮวาไม่ยอมทนกับการทำผิดร้ายแรง บางคนอาจคิดว่าเพราะพระองค์เมตตาก็เลยยอมให้คนทำผิดที่ไม่กลับใจยังคงอยู่ในประชาคมต่อไป แต่ไม่ใช่แบบนั้นเลย แม้พระยะโฮวาจะเมตตามาก แต่พระองค์ก็ไม่ได้ยอมรับการกระทำทุกอย่างและไม่ได้ลดมาตรฐานของพระองค์ (ยด. 4) ถ้าพระยะโฮวายอมให้คนที่ไม่กลับใจยังคงอยู่ในประชาคมต่อไป นั่นจะไม่เป็นการแสดงความเมตตาเลยเพราะจะทำให้ทุกคนในประชาคมตกอยู่ในอันตราย (สภษ. 13:20; 1 คร. 15:33) นอกจากนั้น เราได้เรียนด้วยว่าพระยะโฮวาไม่อยากให้ใครต้องถูกทำลาย ดังนั้น ถ้ามีทางเป็นไปได้ พระองค์ก็อยากจะช่วยผู้คนให้ได้มากที่สุด พระองค์แสดงความเมตตากับคนที่เปลี่ยนความคิดและการกระทำของตัวเองและอยากกลับมาสนิทกับพระองค์เหมือนเดิม (อสค. 33:11; 2 ปต. 3:9) ดังนั้น เมื่อพี่น้องชายในเมืองโครินธ์คนนั้นกลับใจ พระยะโฮวาก็เลยใช้อัครสาวกเปาโลให้ช่วยพี่น้องในประชาคมนั้นเข้าใจว่าควรให้อภัยเขาและรับเขากลับเข้ามาในประชาคม ห24.08 น. 17 ว. 7; น. 18-19 ว. 14-15
วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน
ที่พวกคุณได้ทำอย่างนั้นกับพี่น้องของผมแม้แต่คนที่ดูต่ำต้อยที่สุด ก็เหมือนพวกคุณได้ทำกับผมด้วย—มธ. 25:40
ในตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องแกะกับแพะ พระเยซูบอกว่าท่านจะพิพากษาผู้คนโดยดูว่าพวกเขาสนับสนุนผู้ถูกเจิมไหม (มธ. 25:31-46) ท่านจะตัดสินว่าใครเป็นแกะหรือแพะในช่วงท้ายของ “ความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่” ไม่นานก่อนสงครามอาร์มาเกดโดนจะเริ่มต้น (มธ. 24:21) เหมือนกับผู้เลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ พระเยซูก็จะแยกคนที่สนับสนุนผู้ถูกเจิมอย่างซื่อสัตย์ออกจากคนที่ไม่ได้ทำแบบนั้น คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระเยซูในฐานะผู้พิพากษาที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระยะโฮวาจะตัดสินอย่างยุติธรรมแน่นอน (อสย. 11:3, 4) ท่านจะสังเกตผู้คนโดยดูจากการกระทำ ความคิด และคำพูดของพวกเขา รวมทั้งดูว่าพวกเขาปฏิบัติกับผู้ถูกเจิมซึ่งเป็นพี่น้องของท่านยังไง (มธ. 12:36, 37) พระเยซูจะรู้ว่าใครสนับสนุนผู้ถูกเจิมและงานของพวกเขา วิธีหนึ่งที่สำคัญมากที่ผู้คนจะสนับสนุนพี่น้องของพระคริสต์ได้ก็คือการช่วยพวกเขาในงานประกาศ ห24.09 น. 20-21 ว. 3-4
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน
ตรวจดูทุกสิ่งให้แน่ใจ—1 ธส. 5:21
ถ้าเราสงสัยเรื่องอะไรก็ให้เราค้นเรื่องนั้นในคัมภีร์ไบเบิล ตัวอย่างเช่น ขอให้คิดถึงวัยรุ่นที่สงสัยว่าพระยะโฮวาเป็นห่วงเขาจริง ๆ ไหม เขาควรปล่อยให้ตัวเองสงสัยอยู่อย่างนั้นโดยไม่ทำอะไรเลยไหม? ไม่ เขาควร “ตรวจดูทุกสิ่งให้แน่ใจ” โดยค้นดูว่าพระยะโฮวาคิดยังไงในเรื่องนั้นตอนที่เราอ่านคัมภีร์ไบเบิลเรากำลัง “ฟัง” พระยะโฮวาพูดกับเรา แต่ถ้าเราอยากได้คำตอบจากพระยะโฮวาสำหรับบางเรื่องที่เราสงสัยโดยเฉพาะ เราต้องทำมากกว่านั้น เราต้องหาและศึกษาค้นคว้าข้อคัมภีร์ที่จะตอบข้อสงสัยของเราได้ เราทำแบบนั้นได้โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ ที่องค์การของพระยะโฮวาจัดเตรียมไว้ (สภษ. 2:3-6) เราสามารถอธิษฐานขอให้พระยะโฮวาชี้นำการค้นคว้าของเราและช่วยเราให้รู้ว่าพระองค์คิดยังไงในเรื่องนั้น จากนั้นให้เราดูหลักการในคัมภีร์ไบเบิลและคำแนะนำต่าง ๆ ที่จะเอามาใช้กับสถานการณ์ของเรา ห24.10 น. 25 ว. 4-5
วันอังคารที่ 22 กันยายน
[ความรัก] ไม่เห็นแก่ตัว—1 คร. 13:5
พระยะโฮวาจะไม่อวยพรใครก็ตามที่ทำงานด้วยเจตนาที่เห็นแก่ตัวและทะเยอทะยาน (1 คร. 10:24, 33; 13:4) บางครั้งแม้แต่เพื่อนที่สนิทที่สุดของพระเยซูก็ยังอยากได้สิทธิพิเศษด้วยเหตุผลที่ไม่ถูกต้อง ลองคิดถึงตัวอย่างของอัครสาวกยากอบกับยอห์น พวกเขาขอพระเยซูให้ตำแหน่งพิเศษกับพวกเขาในรัฐบาลของท่าน แต่พระเยซูไม่ได้ชมเชยที่พวกเขาขอแบบนั้น ท่านอธิบายกับอัครสาวกทั้ง 12 คนว่า “ใครอยากเป็นใหญ่ก็ต้องรับใช้คนอื่น และใครอยากเป็นคนสำคัญที่สุดก็ต้องเป็นทาสรับใช้คนอื่น” (มก. 10:35-37, 43, 44) ดังนั้น พี่น้องชายควรมีแรงกระตุ้นที่ถูกต้องนั่นคือเพื่อจะรับใช้คนอื่น และนี่จะเป็นพรสำหรับประชาคมแน่นอน—1 ธส. 2:8 ห24.11 น. 15-16 ว. 7-8
วันพุธที่ 23 กันยายน
ถ้ามีที่ปรึกษาหลายคนแผนการจะสำเร็จ—สภษ. 15:22
ความรักจะกระตุ้นให้เราตัดสินใจในแบบที่คิดถึงผลประโยชน์ “ของคนอื่นด้วย” และแต่งตัวแบบสุภาพเรียบร้อย (1 คร. 10:23, 24, 32; 1 ทธ. 2:9, 10) ถ้าเราทำอย่างนั้น เราก็จะตัดสินใจในแบบที่แสดงให้เห็นว่าเรารักและนับถือคนอื่น ถ้าคุณกำลังตัดสินใจเรื่องใหญ่ ๆ ในชีวิต ให้คิดดูว่าคุณต้องทำอะไรบ้างเพื่อจะทำตามการตัดสินใจนั้นได้ พระเยซูสอนเราให้ “คำนวณค่าใช้จ่าย” ก่อน (ลก. 14:28) ดังนั้น คุณต้องคิดดูว่าถ้าจะทำตามการตัดสินใจนั้น มันจะใช้เวลามากเท่าไหร่ ต้องใช้ทรัพย์สินเงินทองหรือความพยายามมากน้อยแค่ไหน บางครั้งคุณอาจต้องคุยกับแต่ละคนในครอบครัวว่า พวกเขาจะทำอะไรได้บ้างเพื่อจะช่วยให้สิ่งที่คุณตัดสินใจไปแล้วสำเร็จได้ ทำไมการคิดถึงเรื่องเหล่านี้ถึงสำคัญ? เพราะมันจะช่วยให้คุณมองออกว่าคุณต้องปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่าง หรือช่วยให้คุณเห็นว่าอาจมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า ถ้าคุณถามและฟังความเห็นจากคนในครอบครัว พวกเขาก็พร้อมจะสนับสนุนการตัดสินใจของคุณ ห25.01 น. 18-19 ว. 14-15
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน
ให้ชื่นชมยินดี—อสย. 65:18
อิสยาห์ยังบอกอีกว่าทำไมเราควร “ชื่นชมยินดี” ที่ได้อยู่ในอุทยานโดยนัย เพราะอุทยานโดยนัยเป็นสิ่งที่พระยะโฮวาสร้างขึ้นมา (อสย. 65:18, 19) เลยไม่แปลกที่พระยะโฮวาจะใช้เราช่วยคนอื่น ๆ ให้ออกมาจากองค์การต่าง ๆ ของโลกนี้ที่ไม่ได้สอนความจริงเกี่ยวกับพระองค์ และพาพวกเขาให้เข้ามาอยู่ในอุทยานโดยนัยที่สวยงาม การรู้ความจริงทำให้เราได้รับพรมากมาย เราเลยรู้สึกตื่นเต้นและอยากบอกเรื่องนี้กับคนอื่น ๆ ด้วย (ยรม. 31:12) นอกจากนั้น เรายังตื่นเต้นและเห็นค่าความหวังที่เรามีเพราะได้อยู่ในอุทยานโดยนัย คัมภีร์ไบเบิลสัญญาว่า เราจะ “สร้างบ้านและได้อยู่ . . . จะทำสวนองุ่นและได้กินผล” เราจะ “ไม่ต้องตรากตรำทำงานแล้วไม่ได้อะไร . . . เพราะพระยะโฮวาจะอวยพร” พระองค์สัญญาว่าจะให้เรามีชีวิตที่มีความสุข มั่นคงปลอดภัย และมีชีวิตที่มีจุดมุ่งหมาย พระยะโฮวารู้ว่าเราแต่ละคนจำเป็นต้องมีอะไร และจะ “ทำให้ทุกชีวิตอิ่มสมปรารถนา”—อสย. 65:20-24; สด. 145:16 ห24.04 น. 22-23 ว. 11-12
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน
พระองค์เป็นหินที่แข็งแกร่งและเป็นที่หลบภัยของผม—สด. 62:7
เราให้พระยะโฮวาเป็นหินที่แข็งแกร่งของเราเมื่อเราไว้วางใจพระองค์อย่างเต็มที่ เรามั่นใจว่าเมื่อเราเชื่อฟังพระยะโฮวาแม้จะเจอความยากลำบาก เราจะได้รับประโยชน์แน่นอน (อสย. 48:17, 18) ทุกครั้งที่เราเห็นว่าพระยะโฮวาช่วยเรายังไง เราก็จะไว้วางใจพระองค์มากขึ้น และในอนาคตเมื่อเราเจอปัญหา เราจะมั่นใจว่าพระยะโฮวาพร้อมที่จะช่วยเราให้อดทนกับปัญหาทุกอย่างได้ พระยะโฮวาหนักแน่นมั่นคงเหมือนกับหินก้อนใหญ่ คุณลักษณะของพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนและพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนความประสงค์ของพระองค์ด้วย (มลค. 3:6) ตอนที่อาดัมกับเอวากบฏ พระยะโฮวาไม่ได้เปลี่ยนความประสงค์ของพระองค์ที่มีต่อมนุษย์ และอัครสาวกเปาโลเขียนไว้ด้วยว่าพระยะโฮวา “จะปฏิเสธตัวพระองค์เองไม่ได้” (2 ทธ. 2:13) นี่หมายความว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือใครจะทำอะไรก็ตาม พระยะโฮวาจะไม่เปลี่ยนคุณลักษณะ ความประสงค์ หรือมาตรฐานของพระองค์ ถ้าเรามั่นใจว่าพระยะโฮวามั่นคง เราจะพึ่งพระองค์ตอนที่เราเจอความยากลำบาก และมั่นใจว่าพระองค์จะทำตามสัญญาที่พระองค์ให้ไว้เกี่ยวกับอนาคต—สด. 62:6, 7 ห24.06 น. 27-28 ว. 7-8
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน
ความงามของคุณอยู่ที่ภายใน . . . มีค่ามาก—1 ปต. 3:4
ถ้าคุณมีแฟน อะไรจะช่วยคุณตัดสินใจได้ว่าจะแต่งงานดีไหม? สิ่งที่จะช่วยคุณได้ก็คือคุณต้องรู้จักกันให้ดี ก่อนที่จะคบกันเป็นแฟนคุณคงได้รู้จักเขาบ้างแล้ว แต่ตอนนี้คุณมีโอกาสที่จะได้รู้จักตัวตนจริง ๆ ของเขา นี่รวมถึงการได้รู้ว่าเขามีความเชื่อยังไง นิสัยใจคอเป็นยังไง และมีวิธีคิดแบบไหน เมื่อเวลาผ่านไปคุณน่าจะตอบคำถามเหล่านี้ได้ เช่น ‘คนนี้จะเป็นคู่ชีวิตที่ดีของฉันไหม?’ (สภษ. 31:26, 27, 30; อฟ. 5:33; 1 ทธ. 5:8) ‘เราเอาใจใส่ความรู้สึกของกันและกันได้ไหม? เรารับข้อเสียของกันและกันได้ไหม?’ (รม. 3:23) ในช่วงที่คุณพยายามรู้จักกันให้ดีขึ้น ขอให้จำไว้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ว่าคุณมีอะไรบ้างที่เหมือนกัน แต่คุณปรับตัวเข้ากันได้ดีขนาดไหนแม้คุณสองคนจะมีอะไรไม่เหมือนกัน ห24.05 น. 27 ว. 5
วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน
เราทำผิดต่อพระยะโฮวาแล้ว—2 ซม. 12:13
กษัตริย์ดาวิดทำผิดร้ายแรง แต่เมื่อผู้พยากรณ์นาธันบอกดาวิดว่าพระยะโฮวารู้สึกยังไงกับบาปที่เขาทำ ดาวิดก็ถ่อมตัวและกลับใจ (สด. 51:3, 4, 17, หัวบท) กษัตริย์เฮเซคียาห์ก็ทำบาปต่อพระยะโฮวาเหมือนกัน (2 พศ. 32:25) แต่เหมือนกับดาวิด เฮเซคียาห์ถ่อมตัวและกลับใจ (2 พศ. 32:26) ผลก็คือพระยะโฮวามองว่าเฮเซคียาห์เป็นกษัตริย์ที่ซื่อสัตย์และเขา “ทำสิ่งที่พระยะโฮวาเห็นว่าถูกต้อง” (2 พก. 18:3) เราได้เรียนอะไร? เราต้องกลับใจจากบาปและทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อจะไม่กลับไปทำผิดซ้ำอีก แล้วถ้าเราได้รับคำแนะนำจากผู้ดูแลในประชาคมแม้แต่ในเรื่องที่เราคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ ล่ะ? ตอนที่เราได้รับคำแนะนำเราไม่ควรรู้สึกว่าพระยะโฮวาไม่รักเราหรือผู้ดูแลไม่ชอบเรา อย่าลืมว่าแม้แต่กษัตริย์ที่ดีก็ยังต้องได้รับคำแนะนำและถูกว่ากล่าวตักเตือน (ฮบ. 12:6) ตอนที่เราถูกว่ากล่าวตักเตือน เราควร 1) ถ่อมใจยอมรับฟัง 2) เปลี่ยนแปลงตัวเอง และ 3) ตั้งใจรับใช้พระยะโฮวาต่อไป ถ้าเรากลับใจจากบาป พระยะโฮวาก็จะให้อภัยเรา 2 คร. 7:9, 11 ห24.07 น. 21 ว. 8; น. 22 ว. 9, 11
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน
พวกคุณต้องกำจัดคนชั่วออกไปจากพวกคุณ—1 คร. 5:13
คนที่ทำผิดจะถูกตัดออกจากประชาคมถ้าเขาไม่ยอมปรับเปลี่ยนตัวเองถึงแม้ผู้ดูแลพยายามช่วยเขาหลายครั้งแล้ว (2 พก. 17:12-15) การกระทำของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาเลือกที่จะไม่เชื่อฟังมาตรฐานของพระยะโฮวา (ฉธบ. 30:19, 20) ถ้าเป็นแบบนั้น ผู้ดูแลจะให้มีคำประกาศที่ประชาคมว่าเขาไม่ได้เป็นพยานพระยะโฮวาอีกต่อไป จุดประสงค์ที่มีคำประกาศนี้ไม่ใช่เพื่อทำให้คนที่ทำผิดรู้สึกอาย แต่เพื่อพี่น้องในประชาคมจะสามารถทำตามคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลที่บอกให้ “เลิกคบ” กับคนนั้น “แม้แต่จะกินอะไรกับคนแบบนั้นก็อย่าเลย” (1 คร. 5:9-11) นี่เป็นคำแนะนำที่ดีมาก เพราะเปาโลบอกว่า “เชื้อขนมปังแค่นิดเดียวก็ทำให้แป้งทั้งก้อนขึ้นฟูได้” (1 คร. 5:6) คนทำผิดที่ไม่กลับใจอาจทำให้พี่น้องคนอื่น ๆ คิดว่าไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งของพระยะโฮวาก็ได้—สภษ. 13:20; 1 คร. 15:33 ห24.08 น. 27 ว. 3-4
วันอังคารที่ 29 กันยายน
ผมมีกำลังทนได้ทุกสิ่งเพราะพระองค์ให้กำลังกับผม—ฟป. 4:13
เราไม่สามารถเทียบกำลังของเรากับพระยะโฮวาได้ เรามีขีดจำกัด แต่พระยะโฮวาไม่มีขีดจำกัดในเรื่องนี้ และเราก็ไม่สามารถให้กำลังกับคนอื่นได้จริง ๆ แต่เราสามารถเลียนแบบพระองค์ได้โดยใช้กำลังของเราเองเพื่อช่วยเหลือคนอื่น ตัวอย่างเช่น เราสามารถไปซื้อของหรือทำงานบ้านให้กับพี่น้องที่สูงอายุหรือพี่น้องที่กำลังป่วยอยู่ และเราอาจอาสาสมัครช่วยทำความสะอาดหรือบำรุงรักษาหอประชุม อย่าลืมว่าคำพูดของเราก็สามารถให้กำลังกับคนอื่นได้ คุณนึกถึงใครไหมที่คุณจะพูดให้กำลังใจได้? หรือมีใครไหมที่กำลังต้องการการปลอบใจ? ถ้าคุณนึกออก ก็ขอให้บอกเขาว่าคุณเป็นห่วงเขามาก คุณอาจไปเยี่ยมเขา คุยกันทางโทรศัพท์ ส่งการ์ด ส่งอีเมล หรือส่งข้อความก็ได้ คุณไม่ต้องใช้คำพูดสวยหรูอะไรมาก แค่คำพูดจากใจไม่กี่คำก็อาจเป็นสิ่งที่พี่น้องคนนั้นต้องการพอดีเพื่อช่วยเขาที่จะรักษาความซื่อสัตย์ได้ในวันนั้น หรือเพื่อช่วยเขาให้มีมุมมองในแง่บวกมากขึ้น—สภษ. 12:25; อฟ. 4:29 ห24.09 น. 28 ว. 8-10
วันพุธที่ 30 กันยายน
ถ้าผู้ชายคนไหนพยายามจะได้ทำหน้าที่ผู้ดูแลก็แสดงว่าเขาอยากจะทำงานที่ดี—1 ทธ. 3:1
ถ้าคุณเป็นผู้ช่วยงานรับใช้มาระยะหนึ่งแล้ว คุณคงอยากพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นเพื่อจะมีคุณสมบัติเป็นผู้ดูแล คุณอยากจะ “ทำงานที่ดี” นี้ไหม? งานของผู้ดูแลมีอะไรบ้าง? พวกเขานำหน้าในงานประกาศ เยี่ยมบำรุงเลี้ยง และสอนพี่น้องในประชาคม นอกจากนั้น คำพูดและตัวอย่างของพวกเขาช่วยให้พี่น้องมีความเชื่อเข้มแข็ง นี่เลยเป็นเหตุผลที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกผู้ดูแลที่ทำงานหนักว่า “ของขวัญที่เป็นมนุษย์” (อฟ. 4:8) คุณจะมีคุณสมบัติเพื่อจะรับใช้เป็นผู้ดูแลได้ยังไง? การได้ทำหน้าที่ผู้ดูแลไม่เหมือนกับการได้งานอาชีพ เพราะแค่คุณมีความสามารถอย่างเดียวก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะเป็นผู้ดูแลได้ ปกติแล้วเวลาคุณไปสมัครงาน ถ้าคุณมีความสามารถตรงกับความต้องการของบริษัท คุณก็อาจได้งานทำ แต่การเป็นผู้ดูแลไม่ใช่แค่ประกาศและสอนได้เก่งเท่านั้น คุณต้องมีคุณสมบัติอื่น ๆ ในการเป็นผู้ดูแลตามหลักพระคัมภีร์ด้วยอย่างที่บอกไว้ใน 1 ทธ. 3:1-7 และ ทต. 1:5-9 ห24.11 น. 20 ว. 1-3